ขอแสดงความคิดเห็นเรื่องศาสนาประจำชาติ
ข้าพเจ้าเคยได้ยินหลักสูตรภาษาไทยของพี่น้องมุสลิมในจังหวัดภายได้ เขาเริ่มสอนว่า " กอ ไก่ พระเจ้าสร้างมา" แทนที่จะสอนว่า กอ เอ๋ย กอ ไก่ นั่นแสดงว่าเป็นเรื่องดีที่เขาสนใจปลูกฝังหลักศาสนาให้แก่ลูกหลานตั้งแต่เยาว์วัย โดยที่พ่อ-แม่ ครูบาอาจารย์เป็นผู้สอนเอง ไม่ต้องรอให้นักการศาสนามาสอน แต่พอหันมาดูพี่น้องชาวพุทธด้วยกัน จะมีสักกี่คนที่เคยสอนศาสนาให้กับลูกหลานด้วยตนเอง เพราะแม้แต่พ่อ-แม่เองก็ทำตัวเหินห่างจากศาสนามาโดยตลอด
ขอถามหน่อยนะครับ
1. ท่านคิดว่า พุทธศาสนิกชนทั่วโลก ในปัจจุบันนี้มีมากขึ้นหรือน้อยลงครับ? ลองเข้าไป
ที่นี่ดู
http://www.newmana.com/yabb/index.php?board=1.0 และ
http://www.muslimthai.com/forum/index.php?board=9.0 ก็จะทราบว่าเยาวชนของเราเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ที่กล่าวกันว่า ประเทศไทยมีประชากรนับถือศาสนาพุทธ กว่า 90 % คงไม่เป็นความจริงอีกต่อไปแล้ว
2. เป็นคำถามเชิงเปรียบเทียบนะครับ
เด็กเล็กๆที่ป่วย ไม่ยอมรับประทานยาขม แต่เพราะกลัวคำสั่งของพ่อ-แม่จึงยอมทานยา สุดท้ายท่านคิดว่าเขาจะหายป่วยมั๊ยครับ.. การบัญญัติพุทธศาสนาก็เช่นกัน เมื่อบัญญัติแล้ว ก็จะสามารถออกกฎหมายมาบังคับไม่ให้มีการฆ่าสัตว์และดื่มสุราในวันพระ นักเรียนนักศึกษาต้องปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนาภาวนา ปีละ 10 วัน เป็นต้นได้...
(...ศาสนาอิสลามห้ามดื่มสุรา และเล่นการพนันโดยเด็ดขาด..)
3. เมื่อก่อนนี้ ข้าพเจ้าไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่กับการให้บัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ แต่เนื่องด้วย ขณะนี้เยาวชนคนรุ่นใหม่ทำตัวห่างเหินจากศาสนาที่พ่อแม่นับถือมากขึ้นทุกวัน พ่อ-แม่ก็ไม่สามารถชักจูงลูกหลานให้เข้าหาศาสนาได้ เพราะตนเองก็เคยถูกคนรุ่นปู่-ย่า ละเลยในเรื่องนี้เช่นกัน เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ อีก ๕๐ ปีข้างหน้าพระพุทธศาสนาจะเป็นเช่นไรละครับ มันน่าจะถึงเวลาแล้วนะครับ ก่อนที่จะปล่อยให้ศาสนิกของศาสนาอื่นมีมากขึ้นกว่านี้ จนแก้ไขอะไรไม่ทัน ..
...ศาสนาอิสลามไม่เหมือนศาสนาอื่นนะครับ อย่าได้หวังว่า เมื่อเขาขึ้นเป็นใหญ่แล้วเราจะขอร้องอะไรเขาได้ ประเทศอินโดเนเซีย มาเลเซีย เคยเป็นประเทศพุทธศาสนา 100 % มาก่อน แต่เดี่ยวนี้ ชาวพุทธจะขอเช่าสถานีวิทยุออกอากาศรายการธรรมสอนชาวพุทธด้วยกันก็ยังไม่ได้เลยครับ.. ประเทศมุสลิมแถบอาหรับจะเอาเทปธรรมเข้าประเทศเขาก็ยังไม่ได้เลยนะครับ...
...จะทำกันประการใด ก็โปรดพิจารณากันให้ถี่ถ้วน ส่วนตัวข้าพเจ้าเองอีกไม่เกิน 50 ปี ก็คงไม่อยู่แล้ว ลูกหลานก็ไม่มี จึงไม่เดือนร้อนในประเด็นนี้เท่าไหร่นัก แต่พวกท่านทั้งหลายยังมีลูกหลานสืบสกุลกันอยู่มิใช่หรือ
... ขอให้เป็นชะตากรรมของสัตว์ก็แล้วกัน ถ้าจะให้อาตมาไปร่วมประท้วงด้วย..คงจะไม่ไป?
ประเด็นหลัก
ประเด็นที่แท้จริงในเรื่องนี้ ก็คือ สถานการณ์ที่เป็นไปในปัจจุบันนี้ จะต้องมีกฎเกณฑ์ หรือมาตรการข้อบังคับอย่างใดอย่างหนึ่งมาแก้ไขโดยด่วน ได้แก่
1. จะต้องมีกฎหมายที่แน่นอน ที่จะมาบีบบังคับให้ผู้ที่ประพฤติเสื่อมเสียออกไปเสียจากศาสนาให้เร็วที่สุด และมากที่สุด เท่าที่จะทำได้
2. จะต้องมีกฎข้อบังคับให้ชาวพุทธทุกคนต้องปฏิบัติวิปัสสนาอย่างน้อย ๑๐ วัน ในชาตินี้ หลังจากนั้นทุก ๆ อย่างก็จะเข้าสู่ระบบของมันเอง
เมื่อถึงตรงนี้ ขอถามว่า จะมีสิ่งใดที่จะช่วยผลักดันให้สองข้อข้างต้นเป็นไปได้จริง ยิ่งไปกว่ากันบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือท่านมีข้อคิดเห็นที่เป็นไปได้ และน่าสนใจยิ่งไปกว่านี้..?
ศาสนาพุทธ มีจุดอ่อนตรงที่ให้อิสรเสรีแก่ทุกๆคนที่จะปฏิบัติตาม แต่ในเมื่อพวกเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่รู้แจ้งแก่ใจว่า หากใครปฏิบัติตามคำสอนของพุทธศาสนาจะต้องได้ดีทุกคน แล้วพวกเราจะมัวมาลังเลอะไรกัน กับการช่วยกันออกกฎข้อบังคับ เพื่อบีบบังคับให้ลูกหลานได้ปฏิบัติตาม
ขอถามย้ำอีกครั้งว่า ในสถานการณ์ที่สื่อโหมโฆษณาชวนชื่อดึงจิตคนรุ่นใหม่ให้ห่างไกลศาสนาออกไปทุกนาที ทุกชั่วโมง และยั่วยุ-เย้ายวนจิตใจให้พระหนุ่ม เณรน้อยมีพฤติกรรมที่เสื่อมเสีย มากขึ้น ๆๆ อย่างที่เป็นอยู่นี้ จะมีวิธีการใดที่เป็นไปได้จริงมิใช่แค่บ่น ที่จะทำให้พระไม่ดีออกไปจากศาสนา และส่งเสริมให้ชาวพุทธทุกคนได้ลิ้มรสชาติแห่งพระสัทธรรมอย่างน้อย ๑๐ วันในชาตินี้ ได้ดีและเป็นไปได้จริงยิ่งไปกว่าการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และออกกฎหมายลูกมาบีบบังคับ
ถ้าหากมีวิธีการอื่นที่ทำได้ และเป็นไปได้จริงด้วยนะ ก็โปรดนำมาเสนอด้วย
.. ที่ว่าประเทศภูฐาน ไม่ได้บัญญัติในรัฐธรรมนูญนั้น ก็เพราะเขายังไม่มีสิ่งยั่วยุมากมายเหมือนบ้านเรา คนในชาติและพระสงฆ์ยังยึดมั่นในศาสนากันดีอยู่
...ที่ว่า ถึงบัญญัติไว้ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ แต่ที่เกิดขึ้นจริงคืออะไร ปัจจุบันนี้มิได้บัญญัติไว้มิใช่หรือ จึงไม่สามารถออกกฎหมายลูกมาบีบบังคับพระสงฆ์และข้าราชารได้ สิ่งเลวร้ายต่างๆจึงเกิดขึ้นทั้งแก่พระศาสนาและสังคม จนแทบจะหาทางแก้ไม่ได้แล้ว รัฐธรรมนูญฉบับนี้ อาจจะเป็นรถด่วนขบวนสุดท้าย ที่จะมาช่วยให้พุทธศาสนาอยู่รอดในสังคมไทยก็ได้นะ..โปรดพิจารณาดู
..สิ่งที่ต้องการจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ การออกกฎหมายลูกมาบีบบังคับพระอลัชชีและข้าราชการในเรื่องเกี่ยวกับศาสนาโดยเฉพาะ ..ท่านก็รู้ดีนี่หน่า ว่า..แค่พระธรรมวินัยเอาแทบไม่อยู่แล้ว
ปฏิบัติวิปัสสนาปีละ ๑๐ วัน
ที่อาตมากล้าพูดเรื่องวิปัสสนา ๑๐ วันนั้น เนื่องจาก เมื่อ ๗ เดือนที่ผ่านมา อาตมาได้ไปปฏิบัติวิปัสสนา ๗ เดือนเต็ม เป็นการปฏิบัติแบบวิปัสสนาล้วน ๆ ซึ่งถูกต้องตามหลักคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถาและฎีกาทุกประการจึงกล้าที่จะยืนยันว่า หากใครปฏิบัติด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ผ่าน ๑๐ วันแรกของชีวิตไปได้ หลังจากนั้นเขาจะปฏิบัติต่อเองโดยไม่ต้องบังคับ แต่มีเงือนไขว่า ต้องเป็นการปฏิบัติแบบวิปัสสนาล้วน ๆ นะครับ จึงจะได้ผลเช่นนี้ แต่ถ้าปฏิบ้ติแบบปุพพังคมนัย ก็จะได้ผลเช่นกัน แต่ต้องใช้เวลานากว่านี้มาก แค่ ๑๐ วันยังไม่ได้อะไรเลย การปฏิบัติทั้ง ๒ แบบนี้มีข้อแต่ต่างดังนี้
.. วิปัสสนาล้วน(สุทธวิปัสนา) ทำให้กิเลสลดและเข้าใจชีวิตมากขึ้นเท่านั้น แต่สมาธิไม่ดิ่งลึกมาก
..ปุพพังคมนัย(สมถนำหน้า) ช่วงแรกจะฟุ้งซ่านมาก แต่พอผ่านไปสมาธิจะดิ่งลึกมาก สุขสงบมากเกินไป ช่วงแรกๆ ยิ่งปฏิบัติยิ่งยึดติด จนบางคนหลงไปเลยก็มี
...ที่อาตมาสามารถปฏิบัติวิปัสสนาติดต่อกัน ๗ เดือนเต็มได้ ก็เนื่องมาจาก ตอนเรียนปริญญาตรี ถูกมหาวิทยาลัยบังคับให้ปฏิบัติ ปีละ ๑๐ วันนี้แหละ