แถมบทความ ครับ อัตลักษณ์ที่น่ารู้ ของรัฐธรรมนูญไทย
http://www.nidambe11.net/ekonomiz/2006q2/2006may03p2.htmโดย เชาวนะ ไตรมาศ มติชนรายวัน วันที่ 03 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10280
1) รัฐธรรมนูญไทยเป็นรูปแบบลายลักษณ์อักษร
2) รัฐธรรมนูญไทยมีหลายฉบับ อีกทั้งเปลี่ยนแปลงเร็วในแง่เวลา และเปลี่ยนแปลงมากในแง่เนื้อหาสาระด้วย
3) รัฐธรรมนูญไทยมีอายุใช้งานนานสุด 13 ปี 4 เดือน 29 วัน และเร็วสุด 4 เดือน 13 วัน
4) รัฐธรรมนูญไทยมีอายุใช้งานเฉลี่ยฉบับละ 4 ปี
5) รัฐธรรมนูญไทยมีทั้งฉบับชั่วคราว และฉบับถาวร โดยที่ฉบับชั่วคราวสามารถมีอายุใช้งานได้นานถึง 9 ปี 5 เดือน 22 วัน ขณะที่ฉบับถาวรบางฉบับมีอายุเพียง 1 ปี
6) รัฐธรรมนูญไทยมีถึง 3 ระบอบ คือ รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย เผด็จการ และกึ่งประชาธิปไตย โดยรัฐธรรมนูญเผด็จการมีอายุใช้งานรวมมากที่สุดถึง 39 ปี 4 เดือน 2 วัน
7) รัฐธรรมนูญไทยส่วนใหญ่เอื้อต่อการเข้าสู่อำนาจและการพ้นจากอำนาจของผู้ปกครอง โดยอาศัยกำลังบังคับ ซึ่งเป็นวิถีทางของการใช้ความรุนแรง
รัฐธรรมนูญไทยส่วนใหญ่เน้นส่งเสริมอำนาจของผู้ปกครองมากกว่าการรับรองและประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน
9) รัฐธรรมนูญไทยทั้ง 16 ฉบับ มีที่มาจากการใช้กำลังบังคับ 8 ฉบับ และจากความตกลงยินยอม 8 ฉบับ
10) รัฐธรรมนูญไทยมีที่มาจากผู้ปกครองเกือบทั้งสิ้น
11) รัฐธรรมนูญไทยมีบทบัญญัติมากที่สุด 336 มาตรา และน้อยที่สุด 20 มาตรา
12) รัฐธรรมนูญไทยมีที่มาเริ่มแรกจากการสถาปนาระบอบการปกครองใหม่
13) รัฐธรรมนูญไทยทั้งเริ่มแรกและส่วนใหญ่มาจากการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจของผู้ปกครอง
14) รัฐธรรมนูญไทยส่วนใหญ่ไม่ก่อให้เกิดจุดเริ่มต้นหรือจุดเปลี่ยนของการสร้างวิวัฒนาการใหม่ในทางการเมืองการปกครอง
15) รัฐธรรมนูญไทยที่ผ่านมาจะลิดรอนสิทธิของประชาชนมากกว่าส่งเสริมและเป็นอุปกรณ์เกื้อกูลสิทธิของประชาชน
16) รัฐธรรมนูญไทยส่วนใหญ่ยังขาดความเป็นกฎหมายสูงสุด
17) รัฐธรรมนูญไทยมีเนื้อหาสาระและเจตนารมณ์โน้มเอียงไปทางหลังรัฐธรรมนูญนิยม แต่ในทางปฏิบัติมักนำไปใช้ ไม่สอดคล้องสนองตอบต่อหลักการของรัฐธรรมนูญ
18) รัฐธรรมนูญไทยมักจะอิงกับหลักการสิทธิ ประชาชนเกิดขึ้นมาทีหลังรัฐธรรมนูญ
19) รัฐธรรมนูญไทยมีแนวโน้มอิงหลักปฏิบัติได้ หรือเน้นปฏิบัตินิยมมากกว่าหลักความสมบูรณ์แบบหรือเน้นอุดมคตินิยม
20) รัฐธรรมนูญไทยอยู่ใต้กระแสการเมืองมากกว่าการเป็นปัจจัยอุปกรณ์ในการกำหนดวิวัฒนาการทางการเมือง หรือเป็นกระจกสะท้อนการเมืองมากกว่าเป็นกลไกกำกับควบคุมการเมือง
21) รัฐธรรมนูญไทยให้ความสำคัญกับสิทธิในการแข่งขันเข้ากุมอำนาจของผู้ปกครอง มากกว่าสิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจ
22) รัฐธรรมนูญไทยให้ความสำคัญการใช้อำนาจเพื่อการปกครองของผู้ปกครอง มากกว่าการประกันสิทธิอำนาจของประชาชนในฐานะผู้ควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจของผู้ปกครอง
23) รัฐธรรมนูญไทยมุ่งตอบสนองเจตนารมณ์ของผู้ปกครองมากกว่ามุ่งบรรลุเจตจำนงของประชาชน
24) รัฐธรรมนูญไทยมีฐานะเป็นเครื่องมือของผู้ปกครอง มากกว่าฐานะของกฎหมาย และการเป็นองค์ประกอบร่วมของระบบการเมือง
25) รัฐธรรมนูญไทยส่วนน้อยที่รับรองให้มีพรรคการเมือง ส่วนใหญ่ไม่รับรองให้มี
26) รัฐธรรมนูญไทยมีภาพลักษณ์เหมือนเป็นพินัยกรรมอำนาจของชนชั้นนำทางการเมือง
27) รัฐธรรมนูญไทย (ฉบับปัจจุบัน) เน้นการปฏิรูปการเมืองในรูปแบบและทิศทางที่ก้าวหน้ากว่าในอดีตมาก
28) รัฐธรรมนูญไทย (ฉบับปัจจุบัน) ก่อให้เกิดจุดเปลี่ยนในการสร้างวิวัฒนาการใหม่ทางการเมืองการปกครอง โดยสร้างระบบการมีส่วนร่วมที่เข้มแข็งของประชาชน (strong participation) ในระบอบประชาธิปไตยแบบส่วนร่วม (participatory democracy)
29) รัฐธรรมนูญไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันยังคงเผชิญอยู่กับภาวะวิกฤตความชอบธรรมในชั้นของการสร้างความเป็นสถาบัน (institutionalization) ของโครงสร้างพื้นฐานทางการเมืองการปกครอง (fundamental structure) อยู่อีกต่อไป ได้แก่ วิกฤตความชอบธรรมในการสร้างความเป็นสถาบันของ
(1) การจัดระเบียบองค์กรอำนาจทางการเมืองการปกครอง
(2) การสร้างความเห็นพ้องในระบอบการเมืองการปกครอง
(3) การสร้างความศักดิ์สิทธิ์ในสภาพบังคับของรัฐธรรมนูญ
(4) การสร้างผลึกของระบบกฎหมายและการปกครองโดยกฎหมาย
(5) การสร้างกฎเหล็กของระบบนิติรัฐ และ
(6) การสร้างอุดมการณ์ของลัทธิรัฐธรรมนูญนิยม
ซึ่งปัจจัยปัญหาต่างๆ เหล่านี้จะสร้างความเปราะบางแกว่งไกวของระบบการเมืองไทยไปพร้อมๆ กับความไร้เสถียรภาพของรัฐธรรมนูญเอง อันเป็นบททดสอบถึงสภาวะทวิลักษณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐธรรมนูญกับการเมือง ตามกรอบความสัมพันธ์ที่ว่าแท้ที่จริงแล้วรัฐธรรมนูญเป็นเพียงกระจกสะท้อนภาพของการเมือง ตามคำกล่าวที่ว่า "การเมืองเป็นเช่นไร-รัฐธรรมนูญก็พึงเป็นไปเช่นนั้น"
หรือแท้ที่จริงแล้ว รัฐธรรมนูญเป็นกลไกกำกับควบคุมการเมืองตามคำกล่าวที่ว่า "รัฐธรรมนูญเป็นเช่นไร-การเมืองก็พึงเป็นไปเช่นนั้น" หรือไม่
ซึ่งปริศนาสำคัญของกรอบความสัมพันธ์ดังกล่าวก็คือ มีข้อสงสัยว่าประสบการณ์จากการใช้รัฐธรรมนูญของไทยทั้ง 16 ฉบับที่ผ่านมานั้น เรากำลังใช้รัฐธรรมนูญปฏิรูปการเมือง หรือใช้การเมืองปฏิรูปรัฐธรรมนูญ
หากสังคมไทยยังไม่สามารถคลี่คลายปัญหาพื้นฐานเหล่านี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้เสียก่อน ก็จะดูเหมือนว่าเรายังเดินย้ำรอยเดิมอยู่ในวังวนของการใช้รัฐธรรมนูญกันอย่างสิ้นเปลือง หลายฉบับโดยที่เรายังไม่ได้มีการเริ่มต้นในการสร้างกติกาพื้นฐานของการใช้รัฐธรรมนูญขึ้นมายึดถือรวมกันได้เสียก่อนเลย ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเอาไข่มากินโดยที่ยังไม่รู้ว่าจะเลี้ยงไก่ให้ออกไข่ได้อย่างไร
หากเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไปเรื่อยๆ วัฒนธรรมการแก้กฎก็จะเข้ามาแทนที่การแก้คน เข้าทำนอง "กฎเท่านั้นที่ผิด คนไม่มีวันผิด" ไม่ต่างจากการปกครองโดยคนแทนการปกครองโดยกฎ รัฐธรรมนูญก็จะกลายเป็นแพะรับบาปอยู่ต่อไป จนไม่มีใครรู้สึกตระหนักในความเคารพศรัทธาและการหวงแหนปกป้องรัฐธรรมนูญเลย รัฐธรรมนูญก็จะขาดความหมายไร้คุณค่าไปในที่สุด
30) รัฐธรรมนูญไทยหากจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขใหม่ ควรให้ความสำคัญกับวิธีการในการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ให้ทัดเทียมกับการให้ความสำคัญกับเนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญด้วย เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกติกาสูงสุดทางการเมืองการปกครองที่จำต้องอาศัยความเห็นพ้องของคนส่วนใหญ่เป็นรากฐานสำคัญ
การได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญไทยในอดีตมักละเลยถึงวิธีการในการจัดทำจึงเป็นการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ได้ผ่านการมีส่วนร่วม ในการแสดงเจตนารมณ์ของคนส่วนใหญ่ ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานรองรับของการใช้เหตุผล ความต้องการ เป้าหมาย คุณธรรมและผลประโยชน์ของคนหมู่มากที่แท้จริง รัฐธรรมนูญจึงไม่มีเจ้าภาพหลักของคนหมู่มาก ที่จะเข้ามามีความเป็นเจ้าของร่วมกัน
31) รัฐธรรมนูญไทยในอนาคตควรให้ความสำคัญกับการสร้างความสามารถในการทำหน้าที่พื้นฐาน คือ สามารถใช้เป็นกลไกในการบังคับใช้เพื่อกำกับควบคุมระบบการเมืองได้ และการสร้างความสามารถในการทำประโยชน์พื้นฐาน คือ สามารถใช้เป็นกลไกในการบังคับใช้เพื่อผลักดันการแก้ไขปัญหาและผลักดันการพัฒนาประเทศให้บรรลุเป้าหมายได้
บทเรียนจากประสบการณ์ของการใช้รัฐธรรมนูญในอดีตล้วนสะท้อนให้เห็นปัญหาร่วมอยู่ใน 2 ด้านดังกล่าวเป็นสำคัญ กล่าวคือ ไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะเป็นประชาธิปไตย เผด็จการ หรือกึ่งเผด็จการ-กึ่งประชาธิปไตยก็ตาม ต่างก็ประสบปัญหาเดียวกันคือ
(1) รัฐธรรมนูญทำหน้าที่พื้นฐานในการควบคุมระบบการเมืองไม่ได้
และ (2) รัฐธรรมนูญทำประโยชน์พื้นฐานในการผลักดันการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาประเทศไม่ได้ เข้าทำนองปัญหาหนีเสือปะจระเข้ คือ รัฐธรรมนูญแบบไหนก็ใช้ไม่ได้
หากหวังจะสร้างรัฐธรรมนูญที่ดีเลิศขึ้นมาใช้ก็จะเจอปัญหาว่าทำหน้าที่พื้นฐานไม่ได้ เพราะเอาไปใช้บังคับในการกำกับควบคุมการเมืองไม่ได้
ในทางกลับกัน หากหวังจะสร้างรัฐธรรมนูญที่ไม่หวังจะให้ดีเลิศเพียงแต่หวังว่าจะพอปฏิบัติได้ขึ้นมาใช้ ก็จะเจอปัญหาว่าทำประโยชน์พื้นฐานไม่ได้ เพราะแม้จะเอาไปใช้บังคับในการกำกับควบคุมการเมืองได้ แต่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรตามมา เนื่องจากผลักดันให้เกิดการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาประเทศไม่ได้
32) รัฐธรรมนูญไทยในอนาคต ควรดำเนินจุดหมายให้สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้รัฐธรรมนูญสามารถสร้างกลไกอัตโนมัติขึ้นมาใช้ในการปรับแก้และรักษาตัวเอง ให้ดำรงอยู่อย่างยั่งยืนได้ในทุกสภาวการณ์ทางการเมือง ซึ่งจำเป็นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการ คือ
(1) การสร้างกติการ่วมของสังคมในการมีและใช้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้คนยอมรับอำนาจบังคับในความเป็นกฎหมายสูงสุด และความเป็นกฎหมายพื้นฐานทางการเมืองการปกครองของรัฐธรรมนูญเสียก่อน
(2) การสร้างความเชื่อถือร่วมของสังคมในการมีและใช้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้คนมีความเคารพศรัทธา หวงแหนและปกป้องรักษาความมั่นคงมีเสถียรภาพของรัฐธรรมนูญเสียก่อน
(3) การสร้างสำนึกร่วมของสังคมในการมีและใช้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้คนยึดถือแก่นสารสำคัญที่การทำหน้าที่และการส่งประโยชน์ของรัฐธรรมนูญว่า เป็นสาระสำคัญแทนการยึดถือแต่รายละเอียดของรัฐธรรมนูญเสียก่อน
(4) การสร้างวัฒนธรรมร่วมของสังคมในการมีและใช้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้คนเห็นแก่กฎมากกว่าเห็นแก่คน เห็นว่าการแก้ไขพฤติกรรมของคนจำเป็นกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
(5) การสร้างความเป็นเจ้าของร่วมของสังคมในการมีและใช้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้คนตระหนักในความจำเป็น ของการสร้างรากฐาน ความเห็นพ้องของคนหมู่มาก ตระหนักถึงความจำเป็น ในการเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนวิธีของการจัดทำรัฐธรรมนูญเท่าๆ กับเนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญ
ซึ่งจะทำให้รัฐธรรมนูญสะท้อนถึงเจตนารมณ์ทั่วไปของคนส่วนใหญ่ได้มากขึ้น และจะส่งผลเกื้อกูลในรัฐธรรมนูญ มีความสอดคล้องกับพื้นฐานความต้องการ เหตุผล ผลประโยชน์ คุณธรรม และเป้าหมายของคนหมู่มากได้อย่างแท้จริงด้วย