แก้การเมืองด้วยการทหาร?คอลัมน์ เดินหน้าชน โดย จำลอง ดอกปิกการแก้ไขสถานการณ์อึมครึมในขณะนี้ ในทางทฤษฏีมีทางออกจากระดับอ่อนสุด จนถึง
ระดับเข้มข้น อยู่แค่ 3 ประการ
1. การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของรัฐบาล
2. การเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี และ
3. การใช้กำลังทหารปฏิวัติอีกครั้ง
การแก้ด้วยแผนขั้นที่ 1 ปรับคณะรัฐมนตรีอาจไม่สอดคล้องต้องกันกับสถานการณ์ปัจจุบัน
ด้วยผ่านการพิสูจน์มาในระดับหนึ่งแล้วว่า ไม่ประสบผลสำเร็จ ฉะนั้น มาตรการอ่อนสุดนี้
จึงน่าจะมองข้ามไปได้
เหลือเพียงการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี หรือไม่ก็ทำการรัฐประหารอีกครั้ง
ทั้ง 2 ประการนี้ มีแนวโน้มความเป็นไปได้สูงยิ่ง!!
ทั้งนี้ เนื่องจากลึกๆ แล้วคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือ คมช. และแนวร่วมที่ออกมา
เคลื่อนไหวต่างไม่พอใจ และพากันหวาดระแวง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ทำอะไรไม่ได้
ดั่งใจตัวและพวกพ้อง
คนเหล่านี้ตั้งคำถามนายกรัฐมนตรีต่างๆ นานา พร้อมกับ
ยัดเยียดข้อกล่าวหาต่อสายกับกลุ่ม
อำนาจเก่า
ยิ่งดูเหมือนรัฐบาลไม่กระตือรือร้นในการอำนวยความสะดวกเอาผิดกับรัฐบาล พ.ต.ท.
ทักษิณ ชินวัตร ดังจะเห็นได้จาก แม้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิด
ความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เรียกร้อง ให้ออกมติคณะรัฐมนตรีบังคับให้ข้าราชการให้
ความร่วมมือ ทว่าไม่ได้รับการสนองตอบ ก็ยิ่งทำให้ความไม่ไว้วางใจเพิ่มสูงขึ้น
เป้าของ คมช.จึงอยู่ที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นสำคัญ!!
เมื่อมองว่า เป็นอุปสรรคสำคัญในการกำจัดกลุ่มอำนาจเก่า อันอาจเท่ากับเปิดโอกาสให้
ฟื้นคืนชีพกลับมาเช็คบิลผู้ก่อการรัฐประหารได้แล้ว ก็ต้องแก้ปัญหาให้ตรงจุด
นั่นคือเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี!!
แรงกดดันจึงถาโถมเข้าใส่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อย่างต่อเนื่อง ตามมาด้วยกระแสข่าว
อาจถอดใจ ตามมาด้วยการปฏิเสธด้วยอารมณ์ขัน ทำเช่นนั้นมิได้ เพราะไม่ใช่ทศกัณฑ์
กระนั้นสัญญาณที่จับได้จากคำพูด พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
เพื่อนผู้รู้ใจนายกฯ ที่ว่า หากสถานการณ์รุนแรงวุ่นวายจากการเคลื่อนไหวของหลายกลุ่มขึ้น
"ท่านก็สัญญาว่า ให้แก้ไขปัญหาการเมืองด้วยการเมือง คำว่าการเมืองนั่นคือเปลี่ยนรัฐบาล
นั่นเอง เมื่อถึงจุดนั้น นายกรัฐมนตรีก็พร้อมที่จะลาออก" กลับน่าสนใจมิใช่น้อย
น่าสนใจเป็นอย่างมากตรงที่ว่า เป็นคำพูดดักคอคล้ายปิดทาง ไม่ต้องการให้ใครคิดก่อการ
ปฏิวัติรัฐประหารอีกครั้ง โดยยินดีเปิดทางให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยวิถีทางการเมือง ที่
ส่งผลสะเทือนบอบช้ำต่อประเทศน้อยกว่า
นอกจากนี้ยังอาจเป็นการส่งสัญญาณเตือน ปรามการรุกคืบกดดันจาก คมช. หากยัง
ไม่หยุดเคลื่อนไหวอาจตัดสินใจลาออก เป็นความพยายามกรุยทางปูพื้นเหตุผลว่า ถึง
ที่สุดแล้วหากต้องตัดสินใจไขก๊อกจากภาระหน้าที่ หาใช่เป็นเพราะถอดใจในระดับ
ธรรมดาไม่ หากแต่ถูกกดดันหนักจากทั้ง คมช.และแนวร่วม กระทั่งขาดความเป็นอิสระ
มิอาจบริหารราชการแผ่นดินให้ดำเนินไปอย่างราบรื่นได้
จงอย่าได้คิดเรียกร้อง กดดันด้วยวิธีการต่างๆ นานาเพื่อให้ทำตามความต้องการในบาง
เรื่องอีกเด็ดขาด!!
การเปิดไพ่เล่นเช่นนี้ ด้านหนึ่งอาจเข้าทาง คมช.หากยังไม่เปลี่ยนความคิดเปลี่ยนตัว
นายกรัฐมนตรี ทว่าด้านหนึ่งอาจต้องคิดหนักเช่นกัน
หากไม่ใช่ "สุรยุทธ์ จุลานนท์" แล้วจะเอาใครหรือว่า "ไต๋" นี้ นายกรัฐมนตรีมองออกเช่นกันว่า ในภาวะเช่นนี้หาคนมาดำรงตำแหน่ง
แทนยากยิ่งเต็มที
หรือว่า "พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน" จะกล้าเป็นเอง
หรือว่า ต้องการปฏิวัติล้มล้างแล้วก่อร่างใหม่
สถานการณ์นับจากนี้ไป เข้มข้นน่าสนใจ
ยิ่งกว่าการเผชิญหน้าในวันนี้เสียอีก!!
มติชน วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10625http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act07130450&day=2007/04/13§ionid=0130ไม่เอา "สุรยุทธ์" แล้วจะเอาใคร?
พวกที่ขยันไล่ คงจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว
ก็รอดูต่อไปว่า ที่อ้างกันว่า "รักชาติ" นั้น รักแบบไหน?
ที่เที่ยวกล่าวหาคนอื่นเป็น "ผู้ร้าย" แท้จริงก็เป็นเพียงผู้ที่ "อ้างว่า" ดี?