5 ปีมีแต่การโกง : ข้อกล่าวหาที่รอการพิสูจน์ผู้ต้องหาทรราชย์หน้าเหลี่ยม

ข้อหา คือ การบอกว่าบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยว่ากระทำผิดกฎหมาย หลังจากที่ได้เห็นผลของการกระทำผิดกฎหมาย แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ และทำอย่างไร หรือพูดง่ายๆ ก็คือการตั้งข้อสงสัยว่าจะเป็นผู้กระทำผิดในสิ่งที่ปรากฏผลให้เห็นว่าเป็นความผิดนั่นเอง ข้อหาได้เกิดขึ้นหลังจากผู้ที่ได้เห็นผลของการกระทำผิด และทำการสอบสวนเพื่อหาผู้กระทำผิด แล้วพบว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันได้ว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำผิด ก็จะนำตัวผู้นั้นมาลงโทษตามกระบวนการแห่งกฎหมาย และระหว่างที่กระบวนการตามกฎหมายดำเนินอยู่ จะเรียกผู้ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยว่าเป็นผู้ต้องหา มิใช่เป็นคนผิด
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อยู่ระหว่างการถูกดำเนินคดีเช่นนี้ ถึงแม้จะยังไม่เป็นคนผิดหรือเป็นนักโทษตามคำตัดสินของศาล แต่ถือได้ว่าเป็นจำเลยในทางกฎหมาย และยิ่งถ้าเป็นคดีที่ก่อความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้แก่สังคมโดยรวม เช่น คดีทุจริตคอร์รัปชันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติอันเป็นส่วนรวมด้วยแล้ว จะตกเป็นจำเลยสังคมมีผลต่อเกียรติยศชื่อเสียงทั้งของตนเอง และวงศ์ตระกูล ดังที่ได้เกิดขึ้นแก่อดีตผู้นำรัฐบาลชุดที่แล้วอยู่ในขณะนี้
ดังนั้นการให้สัมภาษณ์สื่อในประเทศญี่ปุ่นของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในส่วนที่เกี่ยวกับการยึดอำนาจของคณะปฏิรูปฯ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมา จึงเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้แก่ข้อกล่าวหาที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นำมาเป็นเหตุอ้างอีกครั้ง
ส่วนข้อกล่าวหาอื่น เป็นต้นว่าทำให้สังคมแตกแยกนั้น ถึงแม้ไม่ได้มีการนำมาตอกย้ำเพิ่มเติม แต่เหตุการณ์ชุมนุมที่ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลชุดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกมาเดินสายปราศรัย ก็พอจะทำให้มองเห็นชัดเจนว่ายังแตกแยกกันอยู่ ทั้งนี้เนื่องจากว่าเมื่อมีฝ่ายสนับสนุนออกมา ก็มีฝ่ายต่อต้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนระดับกลางอยู่ในสังคมเมือง และเป็นผู้บริโภคข่าวสารอย่างทั่วถึงในทุกเรื่องโดยใช้สติปัญญาไตร่ตรองด้วยเหตุผล จึงไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองด้วยเหตุเพียงถูกมอมเมาด้วยผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยที่ทางฝ่ายการเมืองหยิบยื่นให้ เฉกเช่นสังคมรากหญ้าที่ยังอ่อนด้อยด้วยสติปัญญา และมากด้วยความยากลำบากในการครองชีวิต จึงทำให้ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองได้ง่าย และนี่เองคือจุดที่ทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในสังคมไทย อันเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายลด แลก แจก แถมของรัฐบาลในยุคก่อนที่จะมีการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และในการยึดอำนาจในครั้งนั้น ความแตกแยกในสังคมดังกล่าวแล้วข้างต้นก็ถูกนำมาเป็นเหตุอ้างประการหนึ่งในการยึดอำนาจ
หลังจากมีการยึดอำนาจแล้ว ข้อกล่าวหารัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยิ่งดังกระหึ่มเพิ่มขึ้น เมื่อ คตส.ที่คณะปฏิรูปฯ ตั้งขึ้นเพื่อสอบสวนการกระทำทุจริตในโครงการต่างๆ ได้เริ่มทำงาน และมีการแถลงข่าวออกมาเป็นระยะๆ
ล่าสุด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้เพิ่มข้อกล่าวหาที่เรียกได้ว่ารุนแรงให้แก่รัฐบาลชุดที่แล้ว เมื่อพูดถึงเหตุให้มีการยึดอำนาจในประเทศไทยขณะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในประเทศญี่ปุ่น โดยบอกว่า 5 ปีของรัฐบาลชุดที่แล้วมีแต่เรื่องโกงอันถือได้ว่าเป็นการยืนยันเหตุอ้างในการยึดอำนาจของคณะปฏิรูปฯ ให้มีน้ำหนักมากขึ้นอีกครั้ง
แต่การตอกย้ำด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว คงไม่เพียงพอที่จะทำให้ภาพลักษณ์ในเชิงบวกในสายตาของผู้คนที่นิยมในระบอบทักษิณเสื่อมถอยไปได้หมดสิ้น
ดังนั้นถ้า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีความเชื่อว่ารัฐบาลทักษิณมีแต่โกง ก็ควรอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมมือกับ คตส.และ คมช.ดำเนินการสอบสวนในทุกเรื่องที่เห็นว่าน่าจะเข้าข่ายทุจริต แล้วส่งให้ศาลดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม
ส่วนว่าศาลจะดำเนินการและมีผลออกมาอย่างไรก็เป็นเรื่องของศาล แต่ในส่วนของฝ่ายบริหารที่พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ดูแลรับผิดชอบอยู่ก็จะพ้นจากข้อครหาว่าเข้าเกียร์ว่าง ด้วยรู้เห็นเป็นใจหรือมีข้อตกลงบางประการกับอดีตผู้นำรัฐบาล ดังที่บุคคลบางคนและบางกลุ่มกำลังสงสัยอยู่ในขณะนี้
อะไรทำให้รัฐบาลชุดของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ถูกมองว่าเข้าเกียร์ว่าง
เกี่ยวกับประเด็นแห่งคำถามนี้มองเห็นได้ไม่ยาก เพียงแต่นำเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาปะติดปะต่อก็พอจะทำให้เข้าใจได้ และเรื่องที่ว่านี้ก็พอจะอนุมานได้ดังต่อไปนี้
1. การที่ คตส. ขอความร่วมมือให้หน่วยงานต้นสังกัดร้องทุกข์กล่าวโทษในคดีซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานรัฐเท่าที่ควรจะเป็น
2. ในส่วนของรัฐบาลเองแทนที่จะหยิบยกเรื่องการทุจริตในหน่วยงานของรัฐ อันเกี่ยวข้องกับรัฐบาลชุดที่แล้วขึ้นมาแก้ไขอย่างจริงจัง และให้มีผลเป็นรูปธรรม เช่น ในกรณีของสนามบินสุวรรณภูมิที่มีแต่ข่าวเรื่องโน้นเรื่องนี้เข้าข่ายทุจริตแต่ยังไม่ปรากฏว่าคดีคืบหน้าถึงขั้นจะสิ้นสุด และนำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้สักคดีเดียว
3. เวลาที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งของอายุ 1 ปีของรัฐบาลชุดนี้ เมื่อเทียบกับจำนวนคดีความที่ คตส. ต้องดำเนินการ และจะต้องได้รับความร่วมมือจากฝ่ายรัฐบาลแล้ว มองไม่เห็นว่าจะดำเนินการได้ทัน และมีผลตามที่ตั้งข้อกล่าวหาได้ในเหตุอ้างทำการยึดอำนาจของคณะปฏิรูปฯ แต่อย่างใด
ด้วยเหตุ 3 ประการที่ยกมาทำให้มองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากว่า รัฐบาลชุดนี้ทำงานแบบซื้อเวลาให้มีการเลือกตั้ง และปล่อยให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งรับภาระในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ถ้าข้อสมมติฐานดังกล่าวข้างต้น ก็พอจะทำให้เชื่อได้ว่าข้อกังขาที่ว่าผู้นำรัฐบาลชุดนี้มีข้อตกลงบางประการกับอดีตผู้นำ คงจะมีเค้าแห่งความจริง
ยิ่งถ้านำเอาคำพูด นายนพดล ปัทมะ ทนายที่ปรึกษาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ออกมาพูดถึงสัญญาด้วยแล้ว ก็น่าจะเป็นคำยืนยันว่ามีข้อตกลงจริง
ส่วนว่าตกลงในระดับไหน และตกลงในเรื่องใดบ้างนั้น คงต้องรอให้มีการเลือกตั้งแล้วมีผู้มาเปิดเผยเบื้องหลังแห่งการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ และเชื่อว่าการเลือกตั้งคงจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน เพราะเป็นทางเดียวที่จะช่วยให้ความผิดของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ก็คือเปิดโอกาสให้นักเลือกตั้งด้วยกันเข้ามาแก้ ทุกอย่างก็จะลงตัวเหมือนไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้นในประเทศไทย และนี่เองที่ทางฝ่ายกลุ่มอำนาจต่างเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งอยู่ในขณะนี้
อีกประการหนึ่ง ถ้าข้อกล่าวหาที่คณะปฏิรูปฯ อ้างเป็นเหตุยึดอำนาจไม่ได้รับการสอบสวนให้จบลงในรัฐบาลชุดนี้ และเมื่อถึงการเลือกตั้งแล้วปรากฏว่าที่กล่าวอ้างไม่เป็นความผิด ก็เท่ากับยืนยันว่าเหตุอ้างที่คณะปฏิรูปฯ หยิบยกขึ้นมาไม่จริง และถ้าเป็นเช่นนี้ใครได้และใครเสีย ท่านผู้อ่านคิดเองก็คงจะออก