ปัญญาชนบนเขาควาย?โดย วิโรจน์ ณ ระนอง ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)"ถึงเวลาต้องเลือกข้างได้แล้ว"
-สนธิ ลิ้มทองกุล (จากการอภิปรายหลายครั้งในปี 2549)"ถ้าผมปฏิเสธรัฐประหาร หมายความว่าผมต้องเลือกการนองเลือดใช่ไหม พูดง่ายๆ
ระหว่างทักษิณกับรัฐประหารผมเอาอะไร มันเป็นโศกนาฏกรรม (tragedy) ที่เรา
ต้องอยู่ตรงนั้น"
--ไชยันต์ ไชยพร (คำสัมภาษณ์ใน สารคดี ตุลาคม 2549)"ในชีวิตผมไม่เคยเป็นกลาง ไม่เคยเป็นกลางระหว่างความถูกต้องและความผิด ไม่เป็น
กลางระหว่างความถูกกับความชั่ว ระหว่างประชาธิปไตยกับไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่
เคยเป็นกลางระหว่างธรรมะและอธรรม ไม่เคยเป็นกลางระหว่างวิชาและอวิชา หรือ
ระหว่างกติการัฐธรรมนูญที่ถูกต้องกับกติกาที่จัดตั้ง ไม่เคยเป็นกลางระหว่างอิสรภาพ
ของสื่อกับการกีดกันอิสรภาพ ไม่เคยเป็นกลางระหว่างหลักนิติธรรมกับการใช้ความ
อยุติธรรม ไม่เคยเป็นกลางระหว่างความดีและความไม่ดี ผมอยู่ฝ่ายหนึ่งเสมอไป และ
ตลอดชีวิตเชื่อว่าฝ่ายที่ผมอยู่นั้นถูกต้อง"
อานันท์ ปันยารชุน ปาฐกถา "ปฏิรูปสังคมและการเมืองครั้งใหม่" 30 สิงหาคม 2549สำหรับสังคมไทยที่ใครต่อใครมักจะนิยมพูดถึงทางสายกลาง และในหลายครั้งเราได้
พบเห็นการประนีประนอมกันทางการเมืองอย่างที่ไม่ต้องคำนึงถึงหลักการเท่าใดนัก
ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่เราได้เห็นปรากฏการณ์ที่ต่างจากปกติ กล่าวคือมีการรณรงค์ให้
"เลือกข้าง" เพื่อชาติ ซึ่งทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อย (รวมทั้งชนชั้นกลางในเมืองที่
มักจะเชื่อว่าตัวเอง "มีการศึกษา" และคนที่คิดว่าตัวเองเป็น "ปัญญาชน" ทั้งหลาย)
ต้องปรับตัวเพื่อรับกับโจทย์ใหม่ข้อนี้
และก็ไม่แปลกอะไรที่ในสังคมที่มีการปลูกฝังค่านิยมให้ผู้น้อยเชื่อฟังผู้ใหญ่ พ่อแม่
ครูอาจารย์ รวมทั้งผู้มากบารมีทั้งหลายนั้น ชนชั้นกลางและนักวิชาการจำนวนมาก
มีปัญหากับการปรับตัวครั้งนี้
จนเป็นที่กล่าวขวัญกันไปทั่วว่า มีหลายกรณีที่การปรับตัวที่ไม่เหมือนกันของคนที่
ใกล้ชิดกัน ได้นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูง หรือเพื่อนร่วมงาน
จนบางท่านที่ "ใจไม่แข็งพอ" ถึงกับบอกว่าไม่ขอพบกับเพื่อนที่มีความเห็นต่างกัน
ในระยะนี้ เพราะไม่อยากเสี่ยงที่จะเสียเพื่อนที่ "อาจจะ" ได้ทะเลาะกันในเรื่องพวกนี้
ถ้ามาพบหน้าค่าตากัน
ไม่มีข้อมูลพอที่จะบอกได้ว่าการปลุกระดมด้วยวาทกรรม "ต้องเลือกข้าง" ที่คุณสนธิ
ลิ้มทองกุล ผลักดันมาเป็นเวลานานมีผลต่อพฤติกรรมของ "ปัญญาชน" และชนชั้น
กลางในเมือง (ที่ไ
ม่ค่อยคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสถูกหลอกหรือมอมเมาได้ง่ายๆ เหมือน
ชาว "รากหญ้า") หรือไม่เพียงใด
แต่การสังเกตจากแวดวงที่พอรู้จัก ก็พบว่ามีคนจำนวนมากเห็นว่าตัวเองจำเป็นหรือ
สมควรต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่งในบรรดาสองพลังที่มีบทบาทสำคัญทางการเมือง
ในขณะนั้น คือเลือกสนับสนุนคุณสนธิและพันธมิตร หรือสนับสนุนคุณทักษิณและพรรค
ไทยรักไทย
หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 คนเหล่านั้นก็
ยังเห็นว่ายังมีความจำเป็นต้อง
เลือกข้างกันต่อไป (แต่ข้างแรกเปลี่ยนจากพันธมิตร มาเป็นคณะรัฐประหารที่นำโดย
พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน และรัฐบาลที่เกิดขึ้นตามมาจากการรัฐประหารครั้งนั้นแทน)
ในสังคมที่เชื่อในหลักการประชาธิปไตยนั้น การเลือกดำเนินกิจกรรมทางการเมือง
หรือให้ความสนับสนุนผู้นำ พรรค หรือกลุ่มการเมืองกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดด้วยความเชื่อทาง
อุดมการณ์ (หรือแม้กระทั่งด้วยผลประโยชน์) ที่สอดคล้องต้องกัน ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิด
ปกติอะไร
แต่สิ่งที่ถือได้ว่าเป็น "ความไม่ปกติ" ของปรากฏการณ์และวาทกรรม "เลือกข้าง"
ในปีที่ผ่านมาก็คือ มีคนจำนวนมากที่รู้สึกว่าตนต้องเลือกข้างด้วยความ "จำใจ"
เพราะเป็นการเลือกจากสองข้าง (หรือสองขั้ว) ที่ตนมีข้อกังขาในพฤติกรรมที่ผ่านมา
ในหลายๆ ด้าน
หรืออีกนัยหนึ่งคนเหล่านี้ไม่ได้เชื่อว่าตัวเองกำลังเลือกข้างระหว่าง "ความถูกต้องและ
ความผิด ความดีกับความชั่ว หรือระหว่างประชาธิปไตยกับไม่เป็นประชาธิปไตย" อย่าง
ที่คุณอานันท์ได้กล่าวถึง
แต่พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องเลือกจากตัวเลือกที่เป็น
"สีเทา" ที่ตนไม่อยากเลือกทั้งสองตัว แต่ที่ต้อง "จำใจเลือก" ก็เพราะเชื่อว่าเป็น
สิ่งที่ "จำเป็น" สำหรับบ้านเมืองที่พลเมืองดีอย่างพวกเขาไม่ควรเพิกเฉยหรือปฏิเสธ
ความรับผิดชอบโดยไม่เลือกฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
ในสถานการณ์ที่อยู่ "ระหว่างเขาควาย" ที่ไม่พึงปรารถนาทั้งคู่นั้น หลายท่านได้
พยายาม "ชั่งน้ำหนัก" และ
เลือกที่จะอยู่ข้างฝ่ายที่ตนคิดว่า "เลวน้อยกว่า" และบางรายก็แอบ
หวังอยู่ลึกๆ ว่าตนคง "เลือกไม่ผิด" ถึงแม้ว่าหลายคนจะอดห่วง
ไม่ได้ว่าในที่สุดฝ่ายที่ต้องสูญเสียโดยไม่ได้อะไรกลับมาก็คือฝ่ายประชาชนที่เป็น
กำลังสนับสนุนที่คงจะไม่ได้มีโอกาสได้ดิบได้ดีเหมือนกับขุนพลในสองฟากนี้
นอกจากการตัดสินใจเข้าไปร่วมวงไพบูลย์กับข้างใดข้างหนึ่งแล้ว บรรดา "ปัญญาชน
ผู้เห็นแก่บ้านเมือง" เหล่านี้ยังพยายามโน้มน้าวให้ผู้อื่นเข้าไปร่วมกับตนด้วย การโน้ม-
น้าวด้วยตรรกะข้างต้นถูกขยายไปสู่ระดับที่ว่า "ถ้าคุณไม่เข้ามาร่วมขบวนของสนธิก็
หมายความว่าคุณเป็นพวกหรือเป็นแนวร่วมของทักษิณ"
หรือ "ถ้าคุณคัดค้านทักษิณ คุณก็คือพวกสนธิ-จำลอง" (หรือเป็นพวกนิยมอำนาจเก่า
ทาสศักดินา นิยมมาตรา 7 นิยมรัฐประหาร ฯลฯ)
ด้วยตรรกะทำนองนี้ หลายคนที่เคยออกมาคัดค้านมาตรการอาชญากรรมของรัฐใน
กรณีฆ่าตัดตอนและอุ้มฆ่าภาคใต้อย่างรุนแรงตั้งแต่ยังไม่มี "ขบวนการสนธิ" ก็ถูกคน
กลุ่มหนึ่งเหมารวมเข้าเป็น "สมุนทักษิณ" เมื่อพวกเขาแสดงความเห็นว่าข้อเรียกร้อง
หลายประการของ "ขบวนการสนธิและพันธมิตร" เป็นข้อเรียกร้องที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
และในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ถูกคนอีกกลุ่ม (ซึ่งเห็นว่าทักษิณเป็นทางเลือกที่
"ก้าวหน้ากว่า") มองว่าการคัดค้านทักษิณของคนกลุ่มนี้เป็นเพียงการ "ค้านแก้เก้อ"
ที่โดยพฤตินัยแล้วเป็นการสร้างความเข้มแข็งพฤติกรรมที่สนับสนุนขั้วอำนาจเก่า ทั้งๆ
ที่กลุ่มผู้ที่ถูกกล่าวถึงก็คัดค้านการขอรัฐบาลพระราชทานและคัดค้านรัฐประหารมาโดย
ตลอดด้วยเช่นกัน
และตลกร้ายที่บางท่านในกลุ่มนี้เจออีกก็คือ เมื่อบางท่านออกมาแสดงความ
ไม่เห็นด้วย
กับรัฐประหาร โดยเน้นถึงความสำคัญของหลักการประชาธิปไตย ก็ได้รับคำวิจารณ์กลับ
มาว่าพวกเขาเป็นพวก "fundamentalist ที่หลับหูหลับตายึดหลักการอย่างสุดโต่ง" และ
บอกว่าข้อดีของสังคมไทยคือ "ความไม่สุดโต่ง" และความเป็น "pragmatism" ไปเสียอีกในชีวิตจริงของคนเรานั้น อาจมีหลายโอกาสที่เราต้องตัดสินใจ "เลือกข้าง" เมื่อเดินมา
ถึงทางสองแพร่งที่ชัดเจน (เช่น ระหว่าง "ความถูกกับความผิด" หรือระหว่าง "ความดี
กับความชั่ว") ซึ่งสำหรับหลายคนแล้ว การใช้จริยธรรมสำนึกของตนนำทางจะช่วยให้
ตนสามารถเลือกข้างและออกจากสถานการณ์ที่เป็นทางสองแพร่งแบบนั้นได้โดยไม่
ยากนัก (ถึงแม้ว่าบางครั้งการเลือกทางที่ถูกอาจทำให้ชีวิตลำบากกว่าก็ตาม)
แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาเป็นข้อบ่งชี้ว่าในชีวิตจริงนั้น มีโอกาสเช่นกัน
ที่เราอาจจะหลงผิด (หรือถูกโน้มน้าวให้เชื่อ) ว่าเรามีความจำเป็นต้อง "เลือกข้าง"
ถึงแม้ว่าในทั้งสองข้างที่มีให้เลือกตั้ง ล้วนแล้วแต่เป็น "สีเทา" ที่จริยธรรมสำนึกของ
เราจะปฏิเสธไม่เลือกในยามปกติ
ซึ่งชวนให้ตั้งคำถามต่อไปอีกข้อหนึ่งว่า แล้วทำไมหลายคนกลับรู้สึกว่าจำเป็นต้องเลือก
ในสภาวการณ์ที่มีตัวเลือกที่เป็น "สีเทา" เพิ่มขึ้นเป็นสองตัวเล่า?
ข้ออ้างประการหนึ่งถึงความจำเป็นที่ต้องเลือกข้าง "สีเทา" ข้างใดข้างหนึ่งก็คือ ถึงแม้
ในความเป็นจริงอาจมีทางเลือกมากกว่าสองทาง (ตัวอย่างของ
ทางเลือกที่สามที่ผ่าน
มาก็มีกลุ่มนักวิชาการที่
คัดค้านทั้งทักษิณและการขอรัฐบาลพระราชทาน และต่อมาก็
คัดค้านรัฐประหารด้วย)
แต่ในสมการการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจนั้น
มีเพียงสองขั้วใหญ่เท่านั้นที่มีพลังพอที่จะสู้รบ
ปรบมือกันได้ ดังนั้น ถ้าคุณ "ไร้เดียงสา" ไปเลือก
ทางที่สามหรือที่สี่ที่ห้า เสียง (หรือ
"พลัง") ของคุณก็จะ
ไม่มีความหมายซึ่งการประเมินทำนองนี้มีส่วนจริงในทางการเมือง แต่คนเหล่านี้คงมองข้ามไปว่าใน
ระบบที่มีการเลือกตั้งนั้น ปกติเสียงของปัจเจกแต่ละรายก็ไม่เคยเป็นเสียงชี้ขาดอยู่แล้ว
(แม้กระทั่งในการเลือกตั้งที่ถือว่า "สูสีมาก" ก็มักจะแพ้ชนะกันเป็นหลายร้อยหรือเป็น
พันเสียง) และในระบบเผด็จการนั้น เสียงของปัญญาชน (และประชาชนทั่วไป) ก็มัก
จะไม่ได้รับการรับฟังเท่าใดนัก
แน่นอนว่า รัฐบาลมักจะยินดีรับฟังเสียงของนักวิชาการที่เป็น "หุ้นส่วน" ในการ
เคลื่อนไหวทางการเมืองของตน ซึ่งคงเป็นเหตุผลที่ดีพอสำหรับนักวิชาการที่หวัง
จะได้ตำแหน่งทางการเมืองที่จะ "เลือกข้าง" ที่ตนคิดว่ามีศักยภาพที่จะ "ชนะ" ได้
แต่สำหรับนักวิชาการที่คิดว่างานหลักของตนคือเผยแพร่ความรู้และหลักการที่ถูกต้อง
นั้น ก็ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะต้องไปเลือกข้างที่ตนเห็นว่าเป็นสีดำหรือแม้กระทั่งสีเทา
(และถ้าทำแบบนี้ก็จะช่วยให้ไม่ต้องเสียเวลาไปสรรหาข้อแก้ตัวให้กับพฤติกรรมของ
ตัวเอง ซึ่งบางครั้งก็ทำได้จำกัดและด้วยความอิหลักอิเหลื่อ ตัวอย่างเช่น อธิการบดี
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถึงกับต้องไปงัดคำพูดจากนิยายกำลังภายในของโกวเล้งว่า
"ถ้าหากเราไม่ลงนรก แล้วผู้ใดจะลงนรก" มาสร้างความชอบธรรมให้กับการตัดสินใจ
เข้าไปควบตำแหน่งในสภานิติบัญญัติแห่งชาติของท่าน)
ความจริงปัญหา
"ทางสองแพร่งลวง" ("False Dilemma" หรือ "False Dichotomy")
หรือความเชื่อที่ว่าเรามีเพียงสองทางเลือกในขณะที่ในความเป็นจริงมีทางเลือกมากกว่า
สองทาง เป็นความผิดพลาดเชิงตรรกะ (Fallacy) ประเภทหนึ่งที่รู้จักกันดีในวงวิชาการ
แต่คงจะไม่แพร่หลายนักในวงวิชาการไทยที่อาจารย์จำนวนไม่น้อยยังให้ความสำคัญกับ
การเช็คเวลาเข้าห้องเรียนเพื่อเป็นหลักประกันว่าจะมีนักศึกษามาฟังและจดจำหรือ "เชื่อ"
สิ่งที่ตนบรรยายมากกว่าการสร้างนักศึกษาที่เป็น "นักคิด" หรือ "ปัญญาชน" (และก็ดู
เหมือนว่านอกจากอาจารย์ไทยหลายท่านจะไม่ตระหนักถึงความผิดพลาดเชิงตรรกะดัง
กล่าวแล้ว หลายท่านยังกลับเต็มไปด้วยทักษะในการ "เสี้ยมคนให้ไปอยู่ตรงเขาควาย"
ไปเสียอีก)
ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรที่เราจะได้ยินได้ฟังอาจารย์คณะรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยที่
มีชื่อเสียงท่านหนึ่งสามารถอธิบายความชอบธรรมของรัฐประหารด้วยเหตุผลประเภท
"คุณจะเลือกอะไรระหว่างรัฐประหารที่ไม่มีการนองเลือดในคืนวันที่ 19 กันยายน หรือ
จะต้องรอให้มีการนองเลือดเกิดขึ้นเสียก่อน"
ทั้งๆ ที่ตั้งแต่ปลายปี 2548 ถึงกลางเดือนกันยายน 2549 นั้น มีการชุมนุมมาแล้วรวม
เป็นเวลาหลายสิบวันและยังไม่การนองเลือดเกิดขึ้น และก็ยังไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ชี้ให้
เห็นว่าการชุมนุมวันที่ 20 กันยายน 2549 จะต่างไปจากครั้งก่อนๆ อย่างไร (นอกเหนือ
ไปจาก
ข่าวลือที่ปล่อยจากฝ่ายที่จะจัดชุมนุม ซึ่งมีหลักฐานแวดล้อมว่าบางกลุ่มมีส่วน
เกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร)
นอกจากปัญหา "ทางสองแพร่งลวง" จะเกิดขึ้นในกรณีที่ในความเป็นจริงมีทางเลือกที่
มากกว่าสองทางแล้ว ยังมีโอกาสเกิดขึ้นกับกรณีที่เราหลงเชื่อว่าจะต้องเลือกทางหนึ่ง
ทางใดจากทางเลือกทั้งสองเท่านั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงสามารถเลือกใช้ทั้งสองทาง
ประกอบกันได้
ตัวอย่างเช่น ในการแก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น การใช้นโยบายสมานฉันท์
(ที่อดีตนายกฯทักษิณดูแคลนว่าเป็น "นโยบายปูผ้ากราบ") กับชาวมุสลิมโดยทั่วไป กับ
การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด (และเป็นธรรม) กับผู้ที่ก่ออาชญากรรม ก็สามารถ
ดำเนินการไปด้วยกันโดยไม่จำเป็นต้องเลือกเอาทางหนึ่งทางใดเท่านั้น
หรือการดำเนินคดีกับนักการเมืองก็สามารถดำเนินการไปพร้อมกับการปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตยได้ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการทำรัฐประหาร และห้ามพรรคการเมืองทำ
กิจกรรมหลักของตนเสมอไป
จนถึงทุกวันนี้ ที่เหตุการณ์การต่อสู้ทางการเมืองได้ดำเนินมาเป็นเวลากว่าหนึ่งปี ก็ยัง
ไม่เห็นวี่แววที่สังคมไทยจะหลุดพ้นไปจากกับดักทางสองแพร่งลวงอันนี้เลย
ทรรศนะแบบนี้มีผลต่อการทำงานของหลายฝ่าย
ในขณะนี้ เรามีคณะรัฐประหารที่บอกว่าตัวเองเป็นสุภาพบุรุษและเสนอนโยบายสมาน-
ฉันท์ แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นสมานฉันท์ภายใต้ "ความเงียบ" (แบบที่ให้ผู้ที่มีความเห็น
ต่างออกไปสงบปากสงบคำเสีย)
สื่อมวลชนจำนวนไม่น้อยก็ยังคงตกอยู่ในกับดักนี้จนหลายท่านคงจะยังทำหน้าที่
"กองเชียร์" แทน "หมาเฝ้าบ้าน" ไปอีกสักพักใหญ่
(อาจจะจนกระทั่งหายกลัวว่า
"[ระบอบ] ทักษิณจะกลับมา")แต่สำหรับนักวิชาการที่เป็น "ปัญญาชน" อีกหลายท่านที่ไม่ได้มีเจตนาหวังเดินทางลัด
เข้าสู่ศูนย์อำนาจใดๆ นั้น ผู้เขียนขออนุญาตส่งเสียงร้องเรียกดังๆ ว่า "ไหนๆ ก็ผ่านมา
เป็นปีแล้ว เมื่อไหร่ท่านจะลงจากเขาควายมาทำหน้าที่ของตัวเองกันเสียที?"
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเหมือนกับจุดยืน
ของสถาบันต้นสังกัด มติชน วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10622http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act04100450&day=2007/04/10§ionid=0130