แฉเหตุ สุรยุทธ์ถอดใจ!เกาเหลาบิ๊กบังทาบอานันท์ ปันยารชุนนั่งนายกฯ โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 13 เมษายน 2550 09:16 น.
เบื้องหลังข่าวลือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ถอดใจ วงในชี้ประเด็นหลักเกิดการงัดข้อกับ บิ๊กบัง เพราะต่างฝ่ายต่างปักธงการบริหารของตัวเองไว้แล้ว ขณะที่ การเสนอพ.ร.ก.ฉุกเฉินคุมพื้นที่กทม.เป็นชนวนเหตุที่ยอมไม่ได้ พร้อมข่าวลือ บิ๊กบังเข้าพบป๋าเปรม ทาบ อานันท์ ปันยารชุน นั่งเก้าอี้นายกฯ พร้อมตั้งครม.ใหม่แทน รัฐบาลขิงแก่ที่ปล่อยเกียร์ว่าง จนอาจเป็นเหตุให้หลังเลือกตั้ง อำนาจเก่าฟ้องกลับคมช.ได้!
กระแสข่าวร้อนในเรื่องของการสละเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ กำลังกลายเป็นประเด็นดึงดูดความสนใจของสังคมอีกครั้ง ในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา การออกมาเคลียร์ พร้อมกับย้ำอย่างมั่นใจว่า นายกฯคนนี้ไม่มีทางท้อ ทั้งของประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และเหล่า บิ๊กๆคมช.ทั้งหลาย ประสานเป็นเสียงเดียวกันว่า ถึงอย่างไรพล.อ.สุรยุทธ์ก็จะไม่สละเก้าอี้ ก่อนครบวาระอย่างแน่นอน
ทันทีที่มีข่าวว่านายกฯสุรยุทธ์ จะถอดใจทิ้งตำแหน่งผู้นำรัฐบาลในแต่ละครั้งที่ผ่านมา นั้นหลายฝ่ายยอมรับว่ามีผลกระทบติดตามมาแทบทุกด้านทั้งในแง่ความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน ผลกระทบต่อนานาชาติที่กำลังจับตาดูการบริหารงานของรัฐบาลท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่ปกติ และรวมทั้งผลกระทบทางการเมืองที่จากเดิมทั้งรัฐบาลและคมช.ต่างตกอยู่ในสภาพที่เป็นรอง เป็นฝ่ายรับมือกับเกมใต้ดินบนดินที่มาจากฝ่ายขั้วอำนาจเก่า ดังนั้นเมื่อมีข่าวว่าผู้นำรัฐบาลส่ออาการหวั่นไหว จึงยิ่งกลายเป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายตรงข้ามไปโดยปริยาย
สุรยุทธ์เบื่อบทฤาษีเลี้ยงเต่า-ขัดแย้ง บิ๊กบัง
อย่างไรก็ตามต้องยอมรับเมื่อเกิดข่าวลือกรณีนายกฯสุรยุทธ์ อาจตัดสินใจลาออกครั้งล่าสุดรอบนี้ หลังจากที่เดินทางกลับจากลงนามทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ได้เกิดคำถามติดตามมาว่าอะไรที่ทำให้ นายทหารอาชีพอย่างพล.อ.สุรยุทธ์ เกิดอาการท้อแท้จนถึงขั้นที่จะสละเรือทั้งปัญหาไว้เบื้องหลังอย่างนั้นหรือ ? ในข้อเท็จจริงแล้วกว่าที่ข่าวลือการลาออกครั้งนี้จะปะทุขึ้นมาตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย.ที่ผ่านมานั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าได้เกิดสารพัดปัญหาที่รุมเร้าพล.อ.สุรยุทธ์ มาอย่างหนัก โดยที่ปัญหาส่วนใหญ่ถูกมองว่าผู้นำรัฐบาลและรัฐมนตรีในครม.เป็นฝ่ายก่อปัญหาขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะเป็นการกรณีการแก้ไขปัญหาทางการเมือง ที่จนวันนี้ยังไม่สามารถใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นเครื่องมือกำหลาบม็อบพีทีวีลงได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้คมช.ได้พยายามเสนอแนะให้รัฐบาลใช้อำนาจออกพ.ร.ก.ดังกล่าวแล้ว แต่กลับไม่เป็นผล
นอกจากนี้ปัจจัยที่เกิดจากการเข้าเกียร์ว่างของพล.อ.สุรยุทธ์ และรัฐมนตรีในครม.จนสร้างความไม่พอใจให้กับคมช.มากที่สุดคือการไม่ให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือคตส. เพื่อให้กระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริต มาทำการร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อให้ขั้นตอนการทำงานของคตส.เดินหน้าไปได้ แต่ท้ายที่สุดกลับไม่มีสัญญาณใดส่งออกมาจากคนในรัฐบาล ทั้งที่ความจริงแล้วทุกคนย่อมรู้ดีว่าหากนาทีนี้คตส.ยังไม่สามารถจัดการเอาผิดกับอดีตรัฐมนตรีและโดยเฉพาะพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้อย่างจริงจังแล้วเมื่อใดที่อำนาจเก่าย้อนกลับมา ทั้งคมช. รัฐบาลตลอดจนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องย่อมต้องโดนเช็คบิลอย่างแน่นอนก็ตาม ดังนั้นถึงแม้นาทีนี้พล.อ.สุรยุทธ์ อาจจะไม่ได้คิดที่จะถอดใจสละเรือตามข่าวลือก็ตาม แต่ท้ายที่สุดแล้วย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่ากระบวนการ ขับไล่กำลังเปิดฉากขึ้นแล้ว
ขณะนี้พล.อ.สุรยุทธ์อยู่ในสภาวะที่ต้องแบกรับซึ่งความรับผิดชอบทั้งหมด เปรียบได้ดังเช่น การขับรถที่ถูกชนมาอย่างยับเยิน พังทั้งคัน แอร์แบ็กก็ไม่มีคนขับต้องรับแรงกระแทบแบบเต็มๆเช่นเดียวกับขณะนี้ที่พล.อ.สุรยุทธ์ต้องทนรับแรงกดดันและแรงปะทะจากทุกฝ่ายแบบเต็มๆ
อรรคพล สรสุชาติ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ระบุกับผู้จัดการรายสัปดาห์ และกล่าวว่าหากจะมองไปถึงสาเหตุที่จะทำให้อาการถอดใจเป็นผลถึงขั้นทำให้พล.อ.สุรยุทธ์ตัดสินใจลาออกได้นั้น ก็จะมาจากการที่บรรดารัฐมนตรีต่างๆยังคงลอยตัวอยู่เหนือปัญหาที่ควรเร่งแก้ไข พล.อ.สุรยุทธ์ในฐานะผู้นำก็จะอยู่สภาวะที่อึดอัด แบกรับปัญหาทุกอย่างอยู่เพียงผู้เดียวและนำไปสู่การถอดใจสละเก้าอี้ในที่สุด
แนะล้างไพ่ขจัดเกียร์ว่าง
นอกจากนี้ เมื่อมองไปถึงจุดอ่อนอีกประการที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การทำงานที่ไม่เกิดประสิทธิภาพดังที่ควรจะเป็น รัฐบาลยังไม่มีผลงานใดที่เป็นรูปธรรมและเมื่อดูตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมาการบริหารงานทุกอย่างก็หยุดนิ่ง โดยเฉพาะภายหลังการผ่านพ.ร.บ.งบประมาณปี 50ก็ยังไม่มีอะไรที่ดีขึ้นทั้งที่ความจริงรัฐบาลสามารถที่จะทำอะไรได้มากกว่านี้
ประกอบกับการที่ภายหลังกฎหมายที่ออกมาจากรัฐบาลบางฉบับถูกคว่ำในสภาฯ ก็ไม่มีการผลักดันต่อหรือออกมาแก้ไข รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ก็ยังวางเฉยทั้งที่ความจริงจะต้องรู้สึกเดือดร้อนและเร่งเข้ามาแก้ไขอย่าง
ถึงแม้ว่าวันนี้จะมีคนมาบอกว่า รัฐมนตรีบางท่านเป็นที่รู้จัก ตัวอย่างเช่น คุณหญิงไขศรี แต่ก็ต้องถามกลับว่ารู้จักกันในด้านใด ระหว่างการเป็นข่าวมากหรือจากการทำงานซึ่งการเป็นที่รู้จักนั้นไม่ได้ชี้ให้เห็นถึงคุณภาพในการทำงานอย่างแท้จริงได้
อรรคพล วิเคราะห์ต่อว่าหากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแบบถึงขั้น ล้างไพ่ ครม.ชุดนี้จะอยู่ได้อย่างนานไม่เกิน 3เดือน
สนช.สายทหารเชื่อ สุรยุทธ์เดินตามเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวจากคณะกรรมการประสานงานระหว่างสมาชิกสภานิติบัญญัติและรัฐบาล (วิปรัฐบาล)ระบุกับผู้จัดการรายสัปดาห์ ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ว่า บรรดาสนช.ทั้งหมดก็มีอันแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันเป็น 2 กลุ่มโดยกลุ่มที่หนึ่งซึ่งมีความใกล้ชิดพล.อ.สุรยุทธ์ นั้นยืนยันอย่างหนักแน่นมาตลอดว่าพล.อ.สุรยุทธ์จะไม่ถอดใจลาออก เนื่องจากพล.อ.สุรยุทธ์ ได้ปักธงไว้เรียบร้อย ด้วยการประกาศขีดเส้นวันเลือกตั้งไว้อย่างแน่นอนภายในสิ้นปีนี้ และหากนำภาพการกล่าวถ้อยแถลงเมื่อครั้งที่เดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นที่ผ่านมา ที่เปิดฉากวิพากษ์อดีตนายกฯทักษิณ อย่างดุเดือดด้วยแล้ว ยิ่งทำให้สนช.สายทหาร มั่นใจว่าจะไม่มีการถอดใจตามมาอย่างแน่นอน
เมื่อสอดส่ายสายตาไปอีกกลุ่มหนึ่งของสนช.ที่มีเป้าหมายหลักอยู่ที่การต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณชนิดสุดลิ่มนั้นก็มองว่า ประเด็นการลาออกของพล.อ.สุรยุทธ์จะจริงหรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ได้มีการมองข้ามช็อตไปแล้ว โดยมองไปว่าเวลานี้นายกฯไม่ควรที่จะทำหน้าที่บริหารราชการต่อไปเนื่องจากจะยิ่งทำให้เกิดปัญหาและเสียเวลามากขึ้น
นาทีนี้ การตั้งคำถามถึงการหาผู้นำคนใหม่มาทำหน้าที่แทนพล.อ.สุรยุทธ์นั้นสำคัญกว่า ซึ่งชื่อของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ก็เป็นชื่อร้อนที่ถูกยกขึ้นมาพูดถึงกันอย่างหนาหู แล้วก็ยังมีชื่อของ ผู้ดีรัตนโกสินทร์ อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัยอย่าง อานันท์ ปันยารชุน ติดโผเข้ามาด้วยเช่นกัน
แนะดึง อานันท์ นั่งเก้าอี้นายกฯคนใหม่
อัษฏา ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตประจำองค์การสหประชาชาติ มองว่า หากมีการเปลี่ยนตัวนายกฯคนใหม่ ในขณะนี้จะเป็นการสร้างผลกระทบด้านความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างชาติแต่เชื่อว่า ชาวต่างชาติจะเข้าใจความเป็นไปของสังคมไทย ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนสนใจก็คือไม่จำเป็นว่าผู้นำจะเป็นใครแต่สำคัญที่ความมีเสถียรภาพนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ธรรมชาติของนักธุรกิจไม่ชอบความเปลี่ยนแปลง ว่าใครจะเป็นนายกนั้นไม่สำคัญแต่ว่า ความมีเสถียรภาพนั้นสำคัญที่สุด ซึ่งหากมองจริงๆแล้วนั้นก็ยังเชื่อว่าพล.อ.สุรยุทธ์จะยังคงไม่ลาออกในขณะนี้
ทั้งนี้ การหาตัวตายตัวแทนของพล.อ.สุรยุทธ์ นั้น อัษฎา วิเคราะห์ต่อว่า รายชื่อที่ตกอยู่วงสนทนาในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หรือ อานันท์ ปันยารชุน ล้วนแล้วแต่มีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น ซึ่งหากเป็นพล.อ.สนธิรับตำแหน่งนายกฯคนต่อไปก็จะช่วยให้การทำงานเด็ดขาด รวดเร็วมากยิ่งขึ้นเพราะปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นส่วนหนึ่งเกิดมาจากความเกรงใจกันระหว่างพล.อ.สุรยุทธ์และพล.อ.สนธิ แต่ปัญหาใหญ่ก็คือการยอมรับจากสังคม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการซ้ำรอยของเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี 35 ก็มีความเป็นไปได้สูง
แต่ในทางกลับกันหากเป็นชื่อของ อานันท์ แล้วอาจทำให้ภาพสะท้อนที่เกิดขึ้นดีกว่าพล.อ.สนธิ เนื่องจากต้นทุนทางสังคมของอานันท์ นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าพล.อ.สุรยุทธ์ ไม่ว่าจะเคยเป็น อดีตนายกรัฐมนตรี และได้รับความไว้วางใจมาแล้ว รวมทั้งในแง่การบริหารนั้นน่าจะมีความเด็ดขาดและรวดเร็วมากกว่าพล.อ.สุรยุทธ์ ด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าชื่อของอานันท์ กับการรับบท ว่าที่นายกฯคนใหม่นั้นได้เคยปรากฏขึ้นมาแล้ว และยิ่งถูกตอกย้ำมากขึ้นเมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมานั้น โดยอานันท์ ได้เดินทางเข้าพบกับพล.อ.สุรยุทธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาลถึงแม้ในการเข้าหารือกันในวันนั้นจะไม่มีการเปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่กระแสที่เกิดขึ้นคือข่าวลือว่าอานันท์ กำลังจะกลายเป็นแคนดิเดท ว่าที่นายกฯคนใหม่ หากพล.อ.สุรยุทธ์ ถอดใจ...!
ทั้งนี้ มีรายงานจากแหล่งข่าวระดับสูงในคมช.แจ้งว่าแนวคิดที่จะเสนอให้มีการดึงอานันท์ ปันยารชุน เข้ามารับตำแหน่งนายกฯคนใหม่แทนพล.อ.สุรยุทธ์ นั้น เนื่องจากประธานคมช.มองว่าการบริหารงานของรัฐบาลที่ผ่านมาไม่สามารถตอบสนองเหตุผลในการทำรัฐประหารทั้ง 4 ข้อได้แล้ว ยังปรากฏว่าตัวนายกฯกลับมีท่าทีนิ่งเฉย ไม่ให้ความร่วมมือในการจัดการกับอำนาจเก่าอย่างจริงจัง ทั้งที่หากในวันข้างหน้าเมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ สามารถกลับคืนสู่อำนาจได้แล้วคนที่จะลำบากและมีแนวโน้มถูกเช็คบิลคืนคือนายทหารที่ยังอยู่ในกองทัพ รวมทั้งตัวพล.อ.สนธิ นั่นเอง ดังนั้นมีรายงานว่าพล.อ.สนธิ ได้เข้าพบกับพล.อ.เปรม เพื่อขอที่จะดึงอานันท์ เข้ามาทำหน้าที่นายกฯคนใหม่
ณ วันนี้ ก็ยังไม่มีใครที่จะสามารถให้คำตอบได้ว่า พล.อ.สุรยุทธ์จะลาออกจากการเป็นนายกฯหรือไม่ แต่ความจริงที่ดำรงอยู่ในขณะนี้ก็คือพล.อ.สุรยุทธ์ยังคงเป็นนายกฯและสิ่งที่สามารถทำได้ดีที่สุดคือการปรับเปลี่ยนท่าทีในการปฎิบัติงานในรวดเร็วและเอาจริงเอาจังมากยิ่งขึ้นซึ่งหากยังไม่เป็นเช่นนั้น และผลที่ออกมายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เมื่อนั้นการพิจารณาตนเองเพื่อเปิดทางให้คนที่ยังมีไฟและมีความเด็ดขาดมารับไม้ต่อก็จะเป็นการดีที่สุด...
http://manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9500000042164