เหวง โตจิราการ ผู้สับสนในจุดยืน
http://www2.se-ed.net/poommahidol/information_1_5.htmlนักศึกษาแพทย์รามาอีกผู้หนึ่งที่มีบทบาทในชุมนุมพุทธศาสตร์ก็คือ นศพ.เหวง โตจิราการ เมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาเตรียมแพทย์รามาปี 1 ในปี 2512 นศพ.เหวงซึ่งถูกรุ่นพี่คือ นศพ.พิวัฒน์ โปษยานนท์ ชักชวนให้มาร่วมทำกิจกรรมในชุมนุมพุทธศาสตร์และประเพณี ก็ได้พยายามนำแนวคิดคำสอนของท่านพุทธทาส มาเผยแพร่โดยอาศัยบทบาทหน้าที่ในฐานะเลขานุการนักศึกษาปี 1 นำคำสอนเหล่านี้ติดสับเปลี่ยนไว้ในห้องบรรยาย L 01 ทุกวัน ขณะเดียวกันก็รับอาสาทำหน้าที่ติวเตอร์ในวิชาต่างๆในช่วงพักเที่ยงและช่วงว่างอื่นๆ ทำให้เป็นที่รู้จักของเพื่อนและรุ่นน้องต่างคณะและทำให้รุ่นพี่-รุ่นน้องในกลุ่มติวที่ต้องเรียนรวมกัน 2 ปีแรกในคณะวิทยาศาสตร์ได้เชื่อมร้อยกันได้ระดับหนึ่ง
จนเมื่อขึ้นปี 2 นศพ.เหวงเข้ารับตำแหน่งประธานชุมนุมพุทธศาสตร์และประเพณีเต็มตัว ก็ได้พยายามเน้นสาระแห่งพุทธธรรมเป็นหลัก แทนการจัดงานหรือกิจกรรมที่ฟุ่มเฟือย เช่นการจัดค่ายอาสาของชุมนุมพุทธฯแทนการจัดทอดกฐิน หรือการนำดนตรีโปงลางของอีสานมาเล่นในงานประจำปีของมหาวิทยาลัย เป็นต้น แม้เมื่อพ้นตำแหน่งไปเมื่อขึ้นปี 3 เขาก็ยังคงทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานนำนักศึกษาแพทย์ประมาณ 20 คนไปบวชที่สวนโมกข์
ด้วยเหตุนี้ นศพ.เหวงจึงได้รับการขนานนามว่าท่านมหา แม้เมื่อตัดสินใจเลือกหาทางเข้ามาเคลื่อนไหวกิจกรรมนักศึกษาในฐานะนายกสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลเต็มตัวหลัง 14 ตุลาคม 2516 ตามคำขอร้องของนศพ.ประยงค์ แทนการทุ่มเทความสนใจไปในทางพุทธศาสนา หลังจากหลบไปใช้เวลาหาคำตอบให้กับตัวเองอยู่พักใหญ่
------------------------
http://www.komchadluek.net/column/scoop/2005/10/15.phpเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 น.พ.เหวง เป็นหนึ่งในนักศึกษาแพทย์ ที่มีส่วนร่วม ในการชุมนุมประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย โดยขณะนั้นเขาได้รับมอบหมายให้รักษา เพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่เกิดเจ็บป่วยระหว่างร่วมชุมนุม แต่ในวันนั้น น.พ.เหวง ต้องพบ เหตุการณ์รุนแรงที่ต้องจำไปตลอดชีวิต
"ผมไม่คิดมาก่อนว่าประเทศไทยจะมีเหตุการณ์มหาวิปโยคอย่างเช่น วันนั้น ทหาร ตำรวจ ใช้รถถัง และอาวุธสารพัดชนิด เข้าห้ำหั่นประชาชนของตัวเอง ราวกับ ทำสงครามกับกองทัพต่างชาติ ตลอดทั้งวันและคืนที่ต้องทนเห็นภาพเพื่อนร่วม อุดมการณ์ถูกเข็นฆ่าล้มหายตายจากไปต่อหน้ามันช่างเจ็บปวดสุด บรรยาย" น.พ.เหวง สะท้อนเหตุการณ์วันแห่งความโหดร้ายด้วยเสียงสั่นเครือ
หลังเหตุการณ์วันนั้นรัฐบาลเผด็จการยอมสละอำนาจลาออกจากตำแหน่ง และลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ ซึ่งในวันนั้นกลุ่มผู้เคลื่อนไหวหลงดีใจว่าชัยชนะ ในวันนั้นจะนำมาซึ่ง "ประชาธิปไตย" ตามที่คาดหวัง แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น หลังเหตุการณ์วิปโยค เพียง 3 ปี ก็เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองขึ้นอีกครั้ง เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นักศึกษาและประชาชนถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และถูกล้อมปราบปราม ฆ่าตายอย่างสยดสยอง
ส่วนกลุ่มที่รอดพ้นจากความตาย ต้องหนีเข้าป่าอย่างหัวซุกหัวซุน โดยพวกเขา เหล่านี้ต้องเข้าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จับปืนต่อสู้กับคนของรัฐ น.พ.เหวง เป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้ เพราะถูกลอบสังหารต้องหนีเข้าไปทนทุกข์อยู่ป่านานหลายปี
น.พ.เหวง บอกว่า สมัยนั้นพื้นที่ไหนไม่มีคอมมิวนิสต์อย่าหวังเลยว่าจะได้รับ การดูแลเอาใจใส่จากรัฐ ซ้ำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐบางรายยังไป บังคับขืนใจลูกเมียเขา กดขี่ชาวบ้านอีก เมื่อชาวบ้านถูกรังแกไม่รู้จะพึ่งใคร ต้องเข้าร่วม กับพรรคคอมมิวนิสต์ เพราะคอยปกป้องเสรีภาพให้กับพวกเขา ชาวบ้าน ไม่รู้หรอกว่า คอมมิวนิสต์ ลัทธินิยม วิพากษ์วิธีคืออะไร รู้แต่ว่ามีคนคอยปกป้องช่วยเหลือ
น.พ.เหวง กล่าวว่า สมัยนี้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพมากขึ้น สมารถวิพากษ์ วิจารณ์เรื่องการเมืองใดๆ ได้ แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่ค่อยใส่ใจ ต่างจากสมัย ยุค 14 ตุลาคม 2516 ที่ส่วนใหญ่ให้ความสนใจความเป็นไปของสังคมมากกว่าสนใจเรื่องของตัวเอง
---------------------------
กรกฎาคม 2518 เหวง โตจิราการ ออกเดินทางจากระเทศไทยไปยังกรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส พร้อมด้วย เสกสรร ประเสริฐกุล จีระนันท์ พิตรปรีชา เทอดภูมิ ใจดี ปรีดี ประสิทธิ์ ไชยโย สมาน รวมเจ็ดคน เพื่อหาทางเดินทางต่อไปยังกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชจีน และจะหาทางเดินทางกลับเข้าสู่สมรภูมิในปรเทศไทย ในเขตพื้นที่ยึดครองของ พรรคคอมมิวนิสต์แหงประเทศไทย
หมอเหวง ไม่ได้เข้าป่าจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม แต่เดินทางไปพร้อมคณะของ เสกสรร ประเสริฐกุล จีระนันท์ พิตรปรีชา เทอดภูมิใจดี ประสิทธิ์ ไชยโย และ สมาน (จำนามสกุลไม่ได้) ก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลา หลายเดือน ไม่ได้มุ่งตรงเข้าป่า แต่ไปปารีส ก่อนจะวนกลับมาจีน เวียดนาม ลาว และเข้าฐานที่มั่นในประเทศไทย
ครั้งอยู่เวียดนามก่อนเข้าไทย เคยมีเรื่องร้าวฉานกันในกลุ่ม จีระนันท์เล่าไว้วว่า หมอเหวงชูหนังสือปกแดงของเหมาเจ๋อตง ร้องประนามอีกฝ่ายในทำนองเป็นลัทธิแก้ นิยมโซเวียต เรียกว่าฟิวส์ขาดกันเลยทีเดียว
เมื่อเข้าฐานที่มั่นในไทย ก็มีเรื่องเช่นเดียวกับบทความข้างบนนั่นเอง
มาถึงวันนี้ หมอจะยังเก็บสรรยิพนธ์เหมาเจ๋อตงเล่มที่ชูหราๆในวันนั้นหรือไม่ ไม่มีใครทราบ แต่ดูเหมือนการชุมนุมรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ของกลุ่ม เสกสรร จีระนันท์ ประจำปี ไม่มีเงาของหมอผู้นี้
อุดมการณ์ของหมอจะยังอยู่หรือไม่ เหมือนอุดมการของหมอสันต์หรือไม่ ใครหนอจะรู้ได้