ได้เวลาฉีดยากระตุ้นประเทศ เคียงคู่เศรษฐกิจพอเพียง... กาแฟดำ3 เมษายน พ.ศ. 2550 00:01:00
ภาวะเศรษฐกิจอึมครึมขณะนี้มีหลายปัจจัย และหนึ่งในนั้นคือภาพของความ "ไร้ทิศทาง" ของรัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : แต่เป็นภาพของรัฐบาลชั่วคราวที่เดินเก้ๆ กังๆ เด็ดขาดก็ไม่ใช่ หน่อมแน้มก็ไม่เชิง ทำให้เสียโอกาสทองไปแล้ว 6 เดือนเป็นอย่างน้อย
ดังนั้น ข่าวว่าสัปดาห์หน้ากระทรวงการคลังจะหารือร่วมกับที่ปรึกษาและนักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เพื่อออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม จึงควรจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและขึงขังอย่างแท้จริง
ไม่ว่าจะเป็นมาตรการเกี่ยวกับภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเกี่ยวโยงกับธุรกิจด้านอื่นๆ อีกมาก หรือเรื่องของการส่งออกซึ่งก็หนีไม่พ้นว่าเกี่ยวกับเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนที่กำลังเป็นปัญหา เพราะเงินบาทแข็งค่าถึงจุดที่กระทบต่อผู้ส่งออกอย่างชัดเจนโดยที่ยังไม่ได้ประเมินผลบวกของเงินบาทแข็งกับผลเสียนั้น เมื่อบวกลบคูณหารออกมาแล้วภาพรวมของประเทศชาติเป็นอย่างไร ผู้ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งควรจะเกื้อกูลผู้เสียหายจากเรื่องเดียวกันนี้อย่างไร?
แน่นอนว่าเรื่องของอัตราดอกเบี้ยและการปล่อยเงินกู้เข้าตลาดอย่างเป็นระบบและจริงจังนั้นจะต้องเป็นเรื่องเร่งด่วนอีกเรื่องหนึ่ง
การจะเร่งให้มีการเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้ตามเป้าคือ ร้อยละ 93 ของงบประมาณรวมนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลกลางเองจะต้องมีมาตรการเร่งรัดเป็นพิเศษ มีการตรวจสอบ และ "จี้" ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องเดินหน้าทำตามโครงการทั้งหลายให้ได้
คณะรัฐบาลชุดนี้ต้องสลัดความเป็น "ขิงแก่" หรือ ภาพของความเป็นข้าราชการประจำมากกว่าผู้บริหารระดับชาติด้วยการลงมือลงไม้มาสั่งงานเองให้เดินตามเป้าหมายให้ได้
ยิ่งหลายหน่วยงานราชการขณะนี้ ทำตัวเป็นคน "เกียร์ว่าง" เพราะ "รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี" ก็ยิ่งมีความจำเป็นที่ตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยเองจะต้องลงมาสั่งการให้เดินเครื่องทุกๆ ด้านก่อนที่จะมีการประกาศวันเลือกตั้งและดำเนินตามกติกาแห่งรัฐเพื่อคืนอำนาจทางการเมืองให้กับประชาชน
หากเชื่อกันว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศสำหรับเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเป็นจุด "ต่ำสุด" แล้ว ก็ต้องแปลว่ามาตรการต่างๆ ที่กำลังจะออกมาต้องไปกระตุ้นถูกจุด
นั่นย่อมไม่ใช่เพียงแค่ปรึกษาหารือกับที่ปรึกษาของนายกฯ หรือของรัฐมนตรีและนักวิชาการจาก TDRI เท่านั้น หากแต่จะต้องระดมสรรพกำลังจากผู้คนทุกเครือข่ายโดยเฉพาะจากภาคเอกชน
ภาควิชาการไม่ควรจะจำกัดเพียงแค่สำนัก TDRI และภาคเอกชนก็ไม่ควรจะเป็นแค่คณะกรรมการของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ หอการค้าแห่งประเทศไทย เพราะนี่คือปัญหาระดับชาติที่ต้องการความเห็นหลากหลายจากทุกวงการ โดยเฉพาะจากวงการที่ไม่เคยมีสิทธิมีเสียงในการแสดงออกมาก่อน
ที่จะต้องให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่า "ส่วนกลาง" คือ ตัวแทนของธุรกิจและเอกชนจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ เศรษฐกิจระดับรากหญ้า (รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ อปท. ที่ยังเบิกจ่ายล่าช้าและเงินเข้าระบบช้า) และตัวแทนของธุรกิจต่างชาติรวมไปถึงทุกกลุ่มก้อนที่มีส่วนเกี่ยวกับประเด็นที่กำลังถกเถียงกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการค้าปลีก การลงนามข้อตกลงการค้าเสรี หรือ FTA กับต่างประเทศ รวมไปถึงประเด็นเรื่อง "นอมินี" และมาตรการสำรองเงินตราต่างประเทศร้อยละ 30
ทุกภาคส่วนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือ stakeholders จะต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการถกแถลงเพื่อออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม จะว่าไปแล้วทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้โดยภายใต้การนำของนายกฯ รองนายกฯ โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รัฐมนตรีการคลังฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ และรัฐมนตรีพาณิชย์เกริกไกร จีระแพทย์ ก็ไม่ขี้เหร่อะไรนักหนา
ทำไมดูเหมือนท่วงทีลีลาขยับไม่คล่องตัวเสียที...จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี package กระตุ้นเศรษฐกิจเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับ "เศรษฐกิจพอเพียง" เพื่อความสมดุลแห่งการผลักดันประเทศชาติไปข้างหน้าแล้ว
สถานการณ์บ้านเมืองอย่างนี้ พรุ่งนี้ก็สายไปเสียแล้ว
(เข้ามาร่วมแสดงความเห็นต่อสถานการณ์บ้านเมืองวันนี้ได้ที่ blog ส่วนตัวของผมที่
www.oknation.net/blog/black ตลอด 24 ชั่วโมงครับ)
http://www.bangkokbiznews.com/2007/04/03/WW12_1238_news.php?newsid=62437นำมาบทความของ"กาแฟดำ" มาแปะ
แล้วอย่าพาลว่า "ตัดแปะ" อีกหล่ะ...............ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า