คิดใหม่วันอาทิตย์เทเลคอมพูล"เรื่องเก่าเก็บ/ทักษิณ" ซุก "-วีรบุรุษสพรั่ง?"รื้อ"
25 มีนาคม พ.ศ. 2550 00:00:00
พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานคณะกรรมการบริษัท ทีโอที จำกัด (ประเทศไทย) ควรจะตัดอกตัดใจ เลิกยุ่งกับสนามบินอาถรรพ์ "สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง" ที่มีแต่เรื่องเปลืองตัว
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
จนเปรอะเปื้อนทำให้สง่าราศี "ว่าที่ผู้บัญชาการทหารบก" หมองลงไปถนัดตา
แล้วหันมาเอาจริงเอาจังกับข้อเสนอยุทธศาสตร์โครงข่ายโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ Telecom Pool ของ ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ ที่เป็นกรรมการและโฆษกทีโอทีให้ประสบความสำเร็จให้ได้ เรื่องนี้ใหญ่กว่าสำคัญกว่าเรื่องสนามบินหลายเท่า หากพล.อ.สพรั่ง "ขาบู๊" ลุยให้ตั้งลำนำร่องอย่างมั่นๆ เป็นผลสำเร็จในยุคนี้ จะเกิดคุณูปการต่อสังคมไทยในระยะยาวนานัปการ เพราะสนามบินไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนไทยทั้ง 65 ล้านคนอย่างมากแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
แต่โครงข่ายโทรคมนาคมแห่งชาติ จะเสมือน "ทางด่วนแห่งชาติ" ที่นำพาทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งการสื่อสาร ข่าว ความรู้ และความบันเทิงไปถึงคนไทยทุกคนทุกครัวเรือนได้อย่างเท่าเทียม
"เทเลคอมพูล" จะเสมือน "กุญแจดอกสำคัญ" ในการปฏิรูปหลายๆ อย่างในประเทศที่เป็นเสมือนการใช้เครน "ยกครก" ขึ้นภูเขาสำเร็จ หลังจากพยายามเข็นครกกันมาหลายครั้ง แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ
ปฏิรูปสังคมและปฏิรูปเศรษฐกิจ ให้เกิดความเท่าเทียมกันในการสื่อสารราคาถูกลงมาก ทำลายการผูกขาดการบริการจากโทรศัพท์ทุกระบบให้เกิดรายใหม่ๆ แข่งขันกันบริการประชาชน ผลจะช่วยทำให้เกิดระบบการค้าแบบใหม่ เช่น E-Commerce , E-service , E-business ,อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของจริง ฯลฯ
ปฏิรูปสื่อวิทยุโทรทัศน์ ที่จะเกิดผู้ผลิตรายการโทรทัศน์รายเล็กๆ หลากหลายเกินกว่า 100 ช่อง ทั้งช่องข่าว,ช่องบันเทิง,ช่องวัฒนธรรม ,ช่องท้องถิ่น ฯลฯ
ปฏิรูปการเรียนรู้ ที่เด็กๆ จะสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและเรียนรู้วิทยาการจากทั่วโลกได้ในเวลารวดเร็ว ผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงถึงทุกห้องเรียน
ที่สำคัญ เมื่อเกิดการปฏิรูปสังคม,ปฏิรูปเศรษฐกิจ,ปฏิรูปสื่อและปฏิรูปการเรียนรู้ จะทำให้การ "ปฏิรูปการเมือง" สัมฤทธิผลอย่างยั่งยืน เพราะพลังประชาชนจะสามารถแสดงออกและเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแข็งขัน ผ่านโครงข่ายโทรคมนาคมที่เข้าถึงทุกครัวเรือน
เขียนอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องการขยายความสำคัญเกินเลยความเป็นจริงแต่อย่างใด หากย้อนกลับไปตรวจสอบแนวคิด "เทเลคอมพูล" แล้ว จะพบว่าไม่ใช่เรื่องใหม่เลย แต่เป็นนโยบายที่ถูก "ซุก" อย่างเงียบเชียบ ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะเพิ่งได้เอกสารเก่าเล่มหนึ่ง จัดทำโดยคณะกรรมการจัดทำนโยบายทางด่วนสารสนเทศ กระทรวงคมนาคม ศึกษานโยบายทางด่วนสารสนเทศของประเทศไทยไว้แล้วเมื่อเดือนตุลาคม 2543 ในช่วงปลาย รัฐบาลนายชวน หลีกภัย หลังจากประกาศยุบสภาไปแล้ว "นโยบายทางด่วนสารสนเทศของประเทศไทย" น่าจะเป็นเรื่องเดียวกันกับการจุดพลุ "เทเลคอมพูล" ของดร.วุฒิพงษ์ แต่นโยบายนี้ไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็น "งานหลัก" ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่เป็นเจ้าของเครือข่ายโทรคมนาคมขนาดใหญ่ที่สุดระบบโทรศัพท์มือถือจีเอสเอ็มของเอไอเอสและดาวเทียมไทยคม
ถือเป็นปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) ขนานใหญ่ที่สุดของอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงมากนัก รวมทั้งยังเกิดการทับซ้อนอีกหลายซับหลายซ้อน จากหุ้นส่วนการเมืองสำคัญอีก 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ดร.อดิศัย โพธารามิก อดีตรัฐมนตรีหลายตำแหน่งในรัฐบาลทักษิณ ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มจัสมินกับบริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) เจ้าของโครงข่ายโทรศัพท์พื้นฐานในต่างจังหวัดทั้งหมด
และกลุ่มซีพีที่ส่งตัวแทนเข้าไปนั่งเป็นรัฐมนตรีและผู้ช่วยรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลทักษิณ กลุ่มซีพีเป็นเจ้าของโครงข่ายโทรศัพท์พื้นฐานในกรุงเทพมหานครและโทรศัพท์มือถือระบบ 1800 ผมอ่านเอกสารผลการศึกษาการกำหนดนโยบายทางด่วนสารสนเทศชุดนี้ ด้วยความฝันอันบรรเจิด อยากให้ประเทศไทยเป็นจริงตามนั้น เมื่อมีการกำหนดระยะเวลาการก้าวสู่ "ทางด่วนสารสนเทศ" ไว้ค่อนข้างท้าทาย
ปี พ.ศ. 2560 ควรจะต้องมีทางด่วนสารสนเทศถึง "ทุกบ้าน"
ปี พ.ศ.2555 ควรจะต้องมีทางด่วนสารสนเทศถึง "ทุกตำบล"
ปี พ.ศ.2550 ควรจะต้องมีทางด่วนสารสนเทศถึง "ทุกอำเภอ"
นับจากปี พ.ศ.2543 ที่มีการเสนอผลศึกษาเชิงนโยบายไว้ ผ่านมา 7 ปีในปีนี้ 2550 "ทางด่วนสารสนเทศ" ที่เป็น "ความเร็วสูง" ควรจะไปถึงทุกอำเภอในประเทศไทย หากมีการเอาจริงเอาจังกับนโยบายนี้ แต่ในความเป็นจริง "อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง" ไปถึงเพียงแค่อำเภอเมืองและอำเภอระดับรองลงไปเท่านั้นเอง
มิหนำซ้ำอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงยังเป็นลักษณะการแบ่งปันกันใช้หรือแชร์แบนด์วิธ หาใช่ความเร็วสูงจริงแต่อย่างใด จึงทำให้เมื่อมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในช่วงเวลาเดียวกันมากๆ จะทำให้ระดับความเร็วของอินเทอร์เน็ตลดลงทันที
อดีตนายกฯ ทักษิณเคยพูดหาเสียงว่า จะทำให้คนไทยมีอินเทอร์เน็ตใช้ทุกบ้าน แต่ในความเป็นจริงกลับกลายเป็น
การสั่งให้ กระทรวงมหาดไทยเช่าเหมา "ทรานสปอนเดอร์" ของดาวเทียมไอพีสตาร์ ของบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) ที่เป็นบริษัทครอบครัวชินวัตร ติดตั้งจานรับสัญญาณจากดาวเทียมไอพีสตาร์ ที่เป็นเทคโนโลยีแรกของโลกในระบบ KU-BAND ให้กับ "ตำบล" ทุกแห่งประมาณ 7,000 แห่ง เพื่อให้เป็นไปตาม "นโยบายอินเทอร์เน็ตตำบล" ผลการศึกษาเชิงนโยบายชี้ให้เห็นว่า โครงสร้างโครงข่ายโทรคมนาคมในไทยมีปัญหาใหญ่อยู่ 4 ประการ
1.ความซ้ำซ้อนของเครือข่าย ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนซ้ำซ้อนสร้างระบบเครือข่ายในระดับเครือข่ายหลักเชื่อมโยงจังหวัดเป็นการวางเครือข่ายไปตามแนวถนนสายหลัก
2.การเชื่อมโยงเครือข่ายแทบไม่มี เมื่อต่างคนต่างลงทุนสร้างเครือข่ายแข่งขันในเชิงธุรกิจมากเกินไป ทำให้ไม่มีการเชื่อมโยงโครงข่าย เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ร่วมกัน
3.การกระจายเครือข่ายกระจุกอยู่ในเขตเมือง ไม่มีใครยอมลงทุนในพื้นที่ไกลๆ ที่ไม่คุ้มค่าการลงทุน ทำให้โครงข่ายโทรคมนาคมของไทยกระจุกตัวมาก
4.ความน่าเชื่อถือของเครือข่ายยังไว้ใจไม่ได้ เพราะจากสภาพทับซ้อนกันของเครือข่ายและไม่สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายกันได้ เมื่อเกิดสาธารณภัยรุนแรงในพื้นที่มีการวางเครือข่ายไว้จะเห็นได้ว่า ระบบเครือข่ายจะถูกตัดขาดลงทันที และเมื่อไม่มีระบบเครือข่ายสำรอง ทำให้การบริการสื่อสารชะงักลงทุกครั้ง
ที่น่าแปลกผลการศึกษาระบุไว้ว่า โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารโทรคมนาคมของหน่วยงานต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว คือระบบเครือข่ายเคเบิลใยแก้ว (Optical Fiber) , ระบบเครือข่ายไมโครเวฟ (Microwave) และเครือข่ายดาวเทียม (Satellite) ค่อนข้างมากเกินพอ และพร้อมจะทำหน้าที่เป็นทางด่วนสารสนเทศของประเทศในลักษณะ เครือข่ายหลัก (Main Backbone) ได้อย่างดี
เพียงแต่จะต้องจัดตั้งองค์กรกลาง "จัดการ" อย่างเหมาะสม เพื่อลดความซ้ำซ้อนแล้วสามารถให้บริการในลักษณะเป็น Universal Service ที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงเครือข่ายได้อย่างเสมอภาค
ผลการศึกษาของคณะกรรมการชุดนี้ ได้ให้ภาพรวมของโครงข่ายทั่วประเทศไว้ 3 กลุ่มใหญ่คือ
1.ระบบเครือข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสง (Optical Fiber) ของหน่วยงานหลักๆ ที่มีการลงทุนไปแล้ว คือบริษัทกสท ,บริษัททศท ,บริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ (กลุ่มแทค-ยูคอม), บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (กลุ่มชิน-เอไอเอส) และบริษัทเทเลคอมเอเชีย (กลุ่มทรู-ซีพี)
2.ระบบเครือข่ายไมโครเวฟ (Microwave) ของหน่วยงานหลักๆ ที่มีการลงทุนไปแล้ว คือกระทรวงมหาดไทย,กรมการสื่อสารทหาร ,บริษัททศท ,บริษัทกสท ,บริษัท เทเลโฟน แอนด์ เทเลคอมมิวนิเคชั่น และบริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ (กลุ่มแทค-ยูคอม)
3.ระบบเครือข่ายดาวเทียม (Satellite) ที่มีสารพัดหน่วยงานภาครัฐลงทุนจัดทำเครือข่ายดาวเทียมของตัวเอง
ข้อเสนอนี้น่าจะสอดคล้องกับแนวคิดของดร.วุฒิพงษ์ ที่มี "พิมพ์เขียว" จัดตั้งโครงข่ายโทรคมนาคมแห่งชาติหรือเทเลคอมพูลในฐานะนิติบุคคล ที่เป็น "โฮลดิ้งคอมปะนี" เพื่อถือหุ้นบริษัททีโอทีกับบริษัทกสท 100% เพราะทั้งสองบริษัทเป็นเจ้าของสัมปทานโครงข่าย 5 โครงการ คือโครงข่ายโทรศัพท์พื้นฐาน "ทรู" ในกรุงเทพฯ , โครงข่ายโทรศัพท์พื้นฐานทีทีแอนด์ทีในต่างจังหวัด , โครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 ระบบ คือเอไอเอส,ดีแทค และทรูมูฟ
นอกจากนี้ "พิมพ์เขียว" ของ ดร.วุฒิพงษ์ ยังคิดจะเข้าไป "ขอซื้อ" และบริหารจัดการโครงข่ายสิทธิการพาดสายโครงข่ายใยแก้วนำแสงของการไฟฟ้า 3 แห่ง เพื่อให้เป็นโครงข่ายเดียวกันทั่วประเทศ Single National Network ที่เข้าถึงเกือบทุกบ้านในประเทศไทย
หาก "เทเลคอมพูล" สำเร็จหรือเพียงแค่ตั้งหลักตั้งลำเป็นรูปร่างออก "กฎหมาย" รองรับ เพื่อป้องกันการผูกขาดหาผลประโยชน์จากใครก็ตาม ที่เข้ามามีอำนาจจะเกิดผลอเนกอนันต์ยิ่งกว่าการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่พล.อ.สพรั่งต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย นำกำลังทหารจากกองทัพภาคที่สามเข้าร่วมโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการพลเรือน "ทักษิณ ชินวัตร" พล.อ.สพรั่งจะกลายเป็น "วีรบุรุษ" อย่างถาวรและแท้จริง หาใช่ "วีรบุรุษ" ปลอมๆจากการล้มล้างรัฐบาลด้วยกระบอกปืนแล้วฉีกรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด
(อ่านคอลัมน์ย้อนหลังและแสดงความคิดเห็นใน
www.oknation.net/blog/adisak)
http://www.bangkokbiznews.com/2007/03/25/WW12_1239_news.php?newsid=60922นี่เป็นเรื่อง 'น้ำลดตอผุด' เรื่องหนึ่งที่นักธุรกิจการเมืองทักษิณ ที่เห็น 'ผลประโยชน์ทับซ้อน' เหนือกว่าผลประโยชน์ของชาติ ถูกเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับรู้หลังการสิ้นการใช้'อำนาจเป็นธรรม'ของนักธุรกิจการเมืองและพรรคการเมืองของพวกเขา....