ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
20-04-2024, 00:45
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  เทเลคอมพูล"เรื่องเก่าเก็บ/ทักษิณ" ซุก "-วีรบุรุษสพรั่ง?"รื้อ" 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
เทเลคอมพูล"เรื่องเก่าเก็บ/ทักษิณ" ซุก "-วีรบุรุษสพรั่ง?"รื้อ"  (อ่าน 1030 ครั้ง)
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« เมื่อ: 31-03-2007, 13:03 »

คิดใหม่วันอาทิตย์

เทเลคอมพูล"เรื่องเก่าเก็บ/ทักษิณ" ซุก "-วีรบุรุษสพรั่ง?"รื้อ"
 
25 มีนาคม พ.ศ. 2550 00:00:00
 
พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานคณะกรรมการบริษัท ทีโอที จำกัด (ประเทศไทย) ควรจะตัดอกตัดใจ เลิกยุ่งกับสนามบินอาถรรพ์ "สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง" ที่มีแต่เรื่องเปลืองตัว

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :

จนเปรอะเปื้อนทำให้สง่าราศี "ว่าที่ผู้บัญชาการทหารบก" หมองลงไปถนัดตา

แล้วหันมาเอาจริงเอาจังกับข้อเสนอยุทธศาสตร์โครงข่ายโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ Telecom Pool ของ ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ ที่เป็นกรรมการและโฆษกทีโอทีให้ประสบความสำเร็จให้ได้

เรื่องนี้ใหญ่กว่าสำคัญกว่าเรื่องสนามบินหลายเท่า หากพล.อ.สพรั่ง "ขาบู๊" ลุยให้ตั้งลำนำร่องอย่างมั่นๆ เป็นผลสำเร็จในยุคนี้ จะเกิดคุณูปการต่อสังคมไทยในระยะยาวนานัปการ เพราะสนามบินไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนไทยทั้ง 65 ล้านคนอย่างมากแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น

แต่โครงข่ายโทรคมนาคมแห่งชาติ จะเสมือน "ทางด่วนแห่งชาติ" ที่นำพาทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งการสื่อสาร ข่าว ความรู้ และความบันเทิงไปถึงคนไทยทุกคนทุกครัวเรือนได้อย่างเท่าเทียม

"เทเลคอมพูล" จะเสมือน "กุญแจดอกสำคัญ" ในการปฏิรูปหลายๆ อย่างในประเทศที่เป็นเสมือนการใช้เครน "ยกครก" ขึ้นภูเขาสำเร็จ หลังจากพยายามเข็นครกกันมาหลายครั้ง แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ

ปฏิรูปสังคมและปฏิรูปเศรษฐกิจ ให้เกิดความเท่าเทียมกันในการสื่อสารราคาถูกลงมาก ทำลายการผูกขาดการบริการจากโทรศัพท์ทุกระบบให้เกิดรายใหม่ๆ แข่งขันกันบริการประชาชน ผลจะช่วยทำให้เกิดระบบการค้าแบบใหม่ เช่น E-Commerce , E-service , E-business ,อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของจริง ฯลฯ

ปฏิรูปสื่อวิทยุโทรทัศน์ ที่จะเกิดผู้ผลิตรายการโทรทัศน์รายเล็กๆ หลากหลายเกินกว่า 100 ช่อง ทั้งช่องข่าว,ช่องบันเทิง,ช่องวัฒนธรรม ,ช่องท้องถิ่น ฯลฯ

ปฏิรูปการเรียนรู้ ที่เด็กๆ จะสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและเรียนรู้วิทยาการจากทั่วโลกได้ในเวลารวดเร็ว ผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงถึงทุกห้องเรียน

ที่สำคัญ เมื่อเกิดการปฏิรูปสังคม,ปฏิรูปเศรษฐกิจ,ปฏิรูปสื่อและปฏิรูปการเรียนรู้ จะทำให้การ "ปฏิรูปการเมือง" สัมฤทธิผลอย่างยั่งยืน เพราะพลังประชาชนจะสามารถแสดงออกและเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแข็งขัน ผ่านโครงข่ายโทรคมนาคมที่เข้าถึงทุกครัวเรือน

เขียนอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องการขยายความสำคัญเกินเลยความเป็นจริงแต่อย่างใด หากย้อนกลับไปตรวจสอบแนวคิด "เทเลคอมพูล" แล้ว จะพบว่าไม่ใช่เรื่องใหม่เลย แต่เป็นนโยบายที่ถูก "ซุก" อย่างเงียบเชียบ ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

เพราะเพิ่งได้เอกสารเก่าเล่มหนึ่ง จัดทำโดยคณะกรรมการจัดทำนโยบายทางด่วนสารสนเทศ กระทรวงคมนาคม ศึกษานโยบายทางด่วนสารสนเทศของประเทศไทยไว้แล้วเมื่อเดือนตุลาคม 2543 ในช่วงปลาย รัฐบาลนายชวน หลีกภัย หลังจากประกาศยุบสภาไปแล้ว

"นโยบายทางด่วนสารสนเทศของประเทศไทย" น่าจะเป็นเรื่องเดียวกันกับการจุดพลุ "เทเลคอมพูล" ของดร.วุฒิพงษ์ แต่นโยบายนี้ไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็น "งานหลัก" ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่เป็นเจ้าของเครือข่ายโทรคมนาคมขนาดใหญ่ที่สุดระบบโทรศัพท์มือถือจีเอสเอ็มของเอไอเอสและดาวเทียมไทยคม

ถือเป็นปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) ขนานใหญ่ที่สุดของอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงมากนัก

รวมทั้งยังเกิดการทับซ้อนอีกหลายซับหลายซ้อน จากหุ้นส่วนการเมืองสำคัญอีก 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ดร.อดิศัย โพธารามิก อดีตรัฐมนตรีหลายตำแหน่งในรัฐบาลทักษิณ ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มจัสมินกับบริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน) เจ้าของโครงข่ายโทรศัพท์พื้นฐานในต่างจังหวัดทั้งหมด

และกลุ่มซีพีที่ส่งตัวแทนเข้าไปนั่งเป็นรัฐมนตรีและผู้ช่วยรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลทักษิณ กลุ่มซีพีเป็นเจ้าของโครงข่ายโทรศัพท์พื้นฐานในกรุงเทพมหานครและโทรศัพท์มือถือระบบ 1800


ผมอ่านเอกสารผลการศึกษาการกำหนดนโยบายทางด่วนสารสนเทศชุดนี้ ด้วยความฝันอันบรรเจิด อยากให้ประเทศไทยเป็นจริงตามนั้น เมื่อมีการกำหนดระยะเวลาการก้าวสู่ "ทางด่วนสารสนเทศ" ไว้ค่อนข้างท้าทาย

ปี พ.ศ. 2560 ควรจะต้องมีทางด่วนสารสนเทศถึง "ทุกบ้าน"

ปี พ.ศ.2555 ควรจะต้องมีทางด่วนสารสนเทศถึง "ทุกตำบล"

ปี พ.ศ.2550 ควรจะต้องมีทางด่วนสารสนเทศถึง "ทุกอำเภอ"

นับจากปี พ.ศ.2543 ที่มีการเสนอผลศึกษาเชิงนโยบายไว้ ผ่านมา 7 ปีในปีนี้ 2550 "ทางด่วนสารสนเทศ" ที่เป็น "ความเร็วสูง" ควรจะไปถึงทุกอำเภอในประเทศไทย หากมีการเอาจริงเอาจังกับนโยบายนี้ แต่ในความเป็นจริง "อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง" ไปถึงเพียงแค่อำเภอเมืองและอำเภอระดับรองลงไปเท่านั้นเอง

มิหนำซ้ำอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงยังเป็นลักษณะการแบ่งปันกันใช้หรือแชร์แบนด์วิธ หาใช่ความเร็วสูงจริงแต่อย่างใด จึงทำให้เมื่อมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในช่วงเวลาเดียวกันมากๆ จะทำให้ระดับความเร็วของอินเทอร์เน็ตลดลงทันที

อดีตนายกฯ ทักษิณเคยพูดหาเสียงว่า จะทำให้คนไทยมีอินเทอร์เน็ตใช้ทุกบ้าน แต่ในความเป็นจริงกลับกลายเป็น การสั่งให้ กระทรวงมหาดไทยเช่าเหมา "ทรานสปอนเดอร์" ของดาวเทียมไอพีสตาร์ ของบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) ที่เป็นบริษัทครอบครัวชินวัตร ติดตั้งจานรับสัญญาณจากดาวเทียมไอพีสตาร์ ที่เป็นเทคโนโลยีแรกของโลกในระบบ KU-BAND ให้กับ "ตำบล" ทุกแห่งประมาณ 7,000 แห่ง เพื่อให้เป็นไปตาม "นโยบายอินเทอร์เน็ตตำบล"

ผลการศึกษาเชิงนโยบายชี้ให้เห็นว่า โครงสร้างโครงข่ายโทรคมนาคมในไทยมีปัญหาใหญ่อยู่ 4 ประการ

1.ความซ้ำซ้อนของเครือข่าย ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนซ้ำซ้อนสร้างระบบเครือข่ายในระดับเครือข่ายหลักเชื่อมโยงจังหวัดเป็นการวางเครือข่ายไปตามแนวถนนสายหลัก

2.การเชื่อมโยงเครือข่ายแทบไม่มี เมื่อต่างคนต่างลงทุนสร้างเครือข่ายแข่งขันในเชิงธุรกิจมากเกินไป ทำให้ไม่มีการเชื่อมโยงโครงข่าย เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ร่วมกัน

3.การกระจายเครือข่ายกระจุกอยู่ในเขตเมือง ไม่มีใครยอมลงทุนในพื้นที่ไกลๆ ที่ไม่คุ้มค่าการลงทุน ทำให้โครงข่ายโทรคมนาคมของไทยกระจุกตัวมาก

4.ความน่าเชื่อถือของเครือข่ายยังไว้ใจไม่ได้ เพราะจากสภาพทับซ้อนกันของเครือข่ายและไม่สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายกันได้ เมื่อเกิดสาธารณภัยรุนแรงในพื้นที่มีการวางเครือข่ายไว้จะเห็นได้ว่า ระบบเครือข่ายจะถูกตัดขาดลงทันที และเมื่อไม่มีระบบเครือข่ายสำรอง ทำให้การบริการสื่อสารชะงักลงทุกครั้ง

ที่น่าแปลกผลการศึกษาระบุไว้ว่า โครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารโทรคมนาคมของหน่วยงานต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว คือระบบเครือข่ายเคเบิลใยแก้ว (Optical Fiber) , ระบบเครือข่ายไมโครเวฟ (Microwave) และเครือข่ายดาวเทียม (Satellite) ค่อนข้างมากเกินพอ และพร้อมจะทำหน้าที่เป็นทางด่วนสารสนเทศของประเทศในลักษณะ เครือข่ายหลัก (Main Backbone) ได้อย่างดี

เพียงแต่จะต้องจัดตั้งองค์กรกลาง "จัดการ" อย่างเหมาะสม เพื่อลดความซ้ำซ้อนแล้วสามารถให้บริการในลักษณะเป็น Universal Service ที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงเครือข่ายได้อย่างเสมอภาค

ผลการศึกษาของคณะกรรมการชุดนี้ ได้ให้ภาพรวมของโครงข่ายทั่วประเทศไว้ 3 กลุ่มใหญ่คือ

1.ระบบเครือข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสง (Optical Fiber) ของหน่วยงานหลักๆ ที่มีการลงทุนไปแล้ว คือบริษัทกสท ,บริษัททศท ,บริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ (กลุ่มแทค-ยูคอม), บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (กลุ่มชิน-เอไอเอส) และบริษัทเทเลคอมเอเชีย (กลุ่มทรู-ซีพี)

2.ระบบเครือข่ายไมโครเวฟ (Microwave) ของหน่วยงานหลักๆ ที่มีการลงทุนไปแล้ว คือกระทรวงมหาดไทย,กรมการสื่อสารทหาร ,บริษัททศท ,บริษัทกสท ,บริษัท เทเลโฟน แอนด์ เทเลคอมมิวนิเคชั่น และบริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ (กลุ่มแทค-ยูคอม)

3.ระบบเครือข่ายดาวเทียม (Satellite) ที่มีสารพัดหน่วยงานภาครัฐลงทุนจัดทำเครือข่ายดาวเทียมของตัวเอง

ข้อเสนอนี้น่าจะสอดคล้องกับแนวคิดของดร.วุฒิพงษ์ ที่มี "พิมพ์เขียว" จัดตั้งโครงข่ายโทรคมนาคมแห่งชาติหรือเทเลคอมพูลในฐานะนิติบุคคล ที่เป็น "โฮลดิ้งคอมปะนี" เพื่อถือหุ้นบริษัททีโอทีกับบริษัทกสท 100% เพราะทั้งสองบริษัทเป็นเจ้าของสัมปทานโครงข่าย 5 โครงการ คือโครงข่ายโทรศัพท์พื้นฐาน "ทรู" ในกรุงเทพฯ , โครงข่ายโทรศัพท์พื้นฐานทีทีแอนด์ทีในต่างจังหวัด , โครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 ระบบ คือเอไอเอส,ดีแทค และทรูมูฟ

นอกจากนี้ "พิมพ์เขียว" ของ ดร.วุฒิพงษ์ ยังคิดจะเข้าไป "ขอซื้อ" และบริหารจัดการโครงข่ายสิทธิการพาดสายโครงข่ายใยแก้วนำแสงของการไฟฟ้า 3 แห่ง เพื่อให้เป็นโครงข่ายเดียวกันทั่วประเทศ Single National Network ที่เข้าถึงเกือบทุกบ้านในประเทศไทย

หาก "เทเลคอมพูล" สำเร็จหรือเพียงแค่ตั้งหลักตั้งลำเป็นรูปร่างออก "กฎหมาย" รองรับ เพื่อป้องกันการผูกขาดหาผลประโยชน์จากใครก็ตาม ที่เข้ามามีอำนาจจะเกิดผลอเนกอนันต์ยิ่งกว่าการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่พล.อ.สพรั่งต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย นำกำลังทหารจากกองทัพภาคที่สามเข้าร่วมโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการพลเรือน "ทักษิณ ชินวัตร"

พล.อ.สพรั่งจะกลายเป็น "วีรบุรุษ" อย่างถาวรและแท้จริง หาใช่ "วีรบุรุษ" ปลอมๆจากการล้มล้างรัฐบาลด้วยกระบอกปืนแล้วฉีกรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด

(อ่านคอลัมน์ย้อนหลังและแสดงความคิดเห็นใน www.oknation.net/blog/adisak)
 
 http://www.bangkokbiznews.com/2007/03/25/WW12_1239_news.php?newsid=60922



นี่เป็นเรื่อง 'น้ำลดตอผุด' เรื่องหนึ่งที่นักธุรกิจการเมืองทักษิณ ที่เห็น 'ผลประโยชน์ทับซ้อน' เหนือกว่าผลประโยชน์ของชาติ ถูกเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับรู้หลังการสิ้นการใช้'อำนาจเป็นธรรม'ของนักธุรกิจการเมืองและพรรคการเมืองของพวกเขา....

บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
หน้า: [1]
    กระโดดไป: