รัฐประหารและการเลือกตั้งโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์หลายคนเชื่อว่ารัฐประหารเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยแบบไทย
ผมคิดว่าจริง แต่จริงภายใต้เงื่อนไขที่น่ากลัวมาก
ที่เรียกว่า
ประชาธิปไตยแบบไทยคืออะไร สรุปให้เหลือสั้นๆ ก็
คือการแบ่งปันอำนาจกัน
อย่างไม่สู้ลงตัวนักระหว่างชนชั้นนำของสังคมในระยะแรก ชนชั้นนำได้แก่พวกอำมาตย์และเสนา ซึ่งร่วมมือกันกดดันเพื่อแบ่งปันอำนาจ
จากชนชั้นนำตามจารีต มาไว้ส่วนหนึ่ง ฉะนั้นในช่วงนั้น การรัฐประหาร (ทั้งโดยอาวุธและ
การกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ-เช่น งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา) คือเครื่องมือที่จะเพิ่มพูน
อำนาจที่แบ่งปันกันอย่างไม่ลงตัว ระหว่างเสนาอำมาตย์และชนชั้นนำตามจารีต ผลที่สุด
ดูเหมือนฝ่ายเสนาอำมาตย์จะสามารถถือไพ่ใบเหนือกว่าได้
การสละราชสมบัติของ ร.7 ในขณะที่ ร.8 ยังทรงพระเยาว์ และสภาพของสงครามมหา
เอเชียบูรพา และการเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหันของ ร.8 ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ฝ่าย
ชนชั้นนำตามจารีตต้องยอมถอยออกไปจากสนามประลองกำลัง
แต่เหล่าเสนาอำมาตย์ก็หาได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แย่ง
ชิงการนำกันอย่างหนัก จนบางฝ่ายต้องหันไปร่วมมือกับกลุ่มชนชั้นนำตามจารีต ก่อการ
รัฐประหารจนสามารถปราบคู่ปรปักษ์ได้ แต่การรัฐประหารก็ก่อให้เกิดปัญหาใหม่ คือ
การแบ่งปันอำนาจที่ไม่ลงตัวระหว่างเหล่าเสนาอำมาตย์ฝ่ายชนะกับฝ่ายชนชั้นนำตาม
จารีตซึ่งกลับเข้าสู่สนามประลองกำลังใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง แม้อย่างไม่เข้มแข็งเท่าเดิม
ก็ตาม
แล้วก็เกิดความแตกร้าวในหมู่เสนาอำมาตย์กันใหม่อีกรอบหนึ่ง ซึ่งต้องตัดสินกันด้วย
การรัฐประหารตามเคย ฝ่ายที่ประสบชัยชนะได้รับความร่วมมือจากชนชั้นนำตามจารีต
อย่างออกหน้า อีกทั้งต้องแสวงหาความชอบธรรมทางการเมืองจากอุดมการณ์ของ
เหล่าชนชั้นนำตามจารีตอย่างสุดตัว ทำให้ฝ่ายชนชั้นนำตามจารีตมีโอกาสสั่งสมบารมี
และอำนาจเพิ่มพูนขึ้นในสังคม
แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้ถืออำนาจเด็ดขาด ยังจำเป็นต้องแบ่งปันอำนาจระหว่างชนชั้นนำด้วยกัน
อันประกอบด้วยคนที่มีความหลากหลายขึ้นกว่าเดิมเป็นอันมาก ได้แก่ ชนชั้นนำตามจารีต,
เหล่าเสนาอำมาตย์, นักธุรกิจ (ซึ่งก็แตกตัวหลากหลายเพิ่มขึ้นตลอดมา), ปัญญาชน,
เจ้าพ่อท้องถิ่น, และคนชั้นกลางระดับบน ทั้งนี้ ยังไม่พูดถึงยุทธศาสตร์ในสงครามเย็นของ
สหรัฐ ซึ่งเป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งที่สำคัญในการแบ่งปันอำนาจของกลุ่มชนชั้นนำไทย
ในท่ามกลางการแบ่งปันอำนาจที่ไม่ลงตัวนี้ ชนชั้นนำใช้การรัฐประหารเป็นเครื่องมือ
ในการแก้ไขความขัดแย้ง
เหตุใดจึงไม่ใช้การเลือกตั้ง?ก็เพราะการเลือกตั้งเป็นการแข่งขันที่กลุ่มชนชั้นนำส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้ทรัพยากร
ทางการเมืองที่อยู่ในมือของตนเพื่อการแข่งขันได้
การมีฐานะเป็นผู้ถือปริญญาเอกและศาสตราจารย์ ไม่มีความหมายในการเลือกตั้ง
เช่นเดียวกับการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเหล้า-เบียร์, เป็นอดีตอธิบดี หรือเป็น มรว.
ล้วนไม่ได้มีส่วนช่วยให้ชนะการเลือกตั้งเลย...
และด้วยเหตุดังนั้น การเลือกตั้งจึงถูกคนกลุ่มนี้ลดความหมายให้เหลือเพียงการซื้อสิทธิ
ขายเสียง (ซึ่งจริงเพียงส่วนเดียว)ตรงกันข้าม การเลือกตั้งเปิดโอกาสให้บางกลุ่มในหมู่ชนชั้นนำได้เปรียบในดุลแห่ง
อำนาจที่ไม่ลงตัว เช่น เจ้าพ่อท้องถิ่น, ผู้นำท้องถิ่น, นักธุรกิจที่สามารถลงทุนสนับสนุน
นักการเมืองและพรรคการเมือง, คนที่เข้าถึงสื่อ ฯลฯ ยิ่งระบอบเลือกตั้งดำรงอยู่นาน
เท่าไร คนกลุ่มนี้จะยิ่งสั่งสมอำนาจเพิ่มพูนขึ้นและมั่นคงขึ้น จนกระทั่งยากที่กลุ่มอื่นใน
ชนชั้นนำจะต่อรองแบ่งปันอำนาจให้ "ลงตัว" แม้เพียงชั่วคราว
เพราะ
ประชาธิปไตยแบบไทยหมายถึงการปกครองของชนชั้นนำ, โดยชนชั้นนำ และ
เพื่อชนชั้นนำ การเลือกตั้งและการรัฐประหารจึงเป็นเครื่องมือสำหรับการแบ่งปันอำนาจ
เท่าๆ กัน
ใช้การเลือกตั้งหากสามารถแบ่งปันอำนาจกันได้ และรัฐประหารเมื่อรู้สึกว่าการแบ่งปัน
อำนาจไม่ "ลงตัว"
เป็นความเข้าใจผิดที่คิดว่า การรัฐประหารในประเทศไทยไม่มีความรุนแรง
ตรงกันข้าม การรัฐประหารสร้างความรุนแรงในสังคมมากกว่าการเลือกตั้ง (ซึ่งมีการฆ่า
หัวคะแนนและคู่แข่งกันอยู่บ้างเหมือนกัน) เสียอีก คู่ปรปักษ์ทางการเมืองต้องลี้ภัยไป
ต่างประเทศ หลายคนต้องจบชีวิตนอกประเทศไทย ไม่แต่เพียงผู้ที่เป็นหัวโจกของ
กลุ่มปรปักษ์เท่านั้น ลูกสมุนเองก็ต้องลี้ภัย หรือมิฉะนั้นก็ถูกเก็บเข้ากรุในระบบราชการ
บางครั้งผู้ทำรัฐประหารสร้างคุกพิเศษสำหรับจำขังลูกสมุน
การฆ่าก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของการขจัดปรปักษ์ทางการเมือง คณะรัฐประหารทุกชุดย่อม
แสวงหาความชอบธรรมของตนจากการสร้างภาพความสงบเรียบร้อย และวิธีที่จะได้ภาพ
นั้นมาเร็วที่สุดคือความรุนแรง ฉะนั้นจึงมีผู้คนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มชนชั้นนำต้องรับเคราะห์
จากคณะรัฐประหารอีกมาก บ้างถูกจับในข้อหาคอมมิวนิสต์, บ้างต้องทิ้งครอบครัวหนี
เข้าป่า, บ้างถูกทหารใช้กำลังขับไล่ออกจากเขตป่าสงวนฯซึ่งเคยทำกินมาหลายสิบปี,
บ้างถูกสั่ง "เก็บ" ทั้งจากคณะรัฐประหารเอง หรือจากเจ้าพ่อท้องถิ่นซึ่งคณะรัฐประหาร
ต้องการดึงมาเป็นพันธมิตร, บ้างถูกประหารชีวิตตามคำพิพากษา
ไม่แต่เพียงบุคคลที่ต้องเผชิญชะตากรรมในฐานะผู้แพ้เท่านั้น เราต้องคิดถึงครอบครัว
ญาติมิตรของคนเหล่านั้นด้วย เพราะชะตากรรมของเด็กและคนแก่อีกมากที่ตกเป็นเหยื่อ
ของการรัฐประหาร เพียงเพราะพวกเขาบังเอิญมีสายสัมพันธ์กับผู้แพ้
ถึงแม้ไม่มีการหลั่งเลือดกลางถนน แต่การเมืองไทยเป็นการเมืองที่รุนแรงตลอดมา ทั้ง
ไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองแต่อย่างใด (เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านแทบ
ทุกประเทศ-ไม่ว่าเราจะชอบระบอบปกครองของเขาหรือไม่)
แต่ดังที่กล่าวแล้วว่าการเมืองไทยเป็นการเมืองของกลุ่มชนชั้นนำเท่านั้น และหนทาง
สำหรับแก้ไขความขัดแย้งโดยสงบในหมู่ชนชั้นนำมีน้อย กลุ่มชนชั้นนำตามจารีตซึ่งได้
เพิ่มพูนบารมีและอำนาจขึ้นอย่างมากในช่วงสี่-ห้าทศวรรษที่ผ่านมา จะสามารถอำนวย
การนำ เพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงในความขัดแย้งกันได้หรือไม่?
ผมไม่แน่ใจในคำตอบนัก
แต่เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงสภาพการเมืองภายใต้รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อัน
เป็นช่วงที่ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองมีสูงมาก (เปลี่ยนรัฐบาลผสมหลายครั้ง,
ความพยายามรัฐประหารหลายครั้ง, ยุบสภาหลายครั้ง, กองทัพตบเท้าก็หลายครั้ง,
จนถึงที่สุดเปลี่ยนรัฐบาลได้ไม่ใช่จากผลการเลือกตั้งแต่เป็นผลของการชุมนุมใหญ่)
การนำของกลุ่มชนชั้นนำตามจารีตไม่ได้ช่วยลดความรุนแรงลงเลย
ที่ร้ายไปกว่านั้น การเมืองไทยซึ่งประกอบด้วยการเลือกตั้งสลับกับรัฐประหารในช่วง
2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา ได้ดึงเอาคนหน้าใหม่เข้ามามีบทบาททางการเมืองเพิ่มขึ้น นับ
ตั้งแต่
คนชั้นกลางระดับกลาง (นักวิชาชีพ) ลงไปถึงชาวบ้านในท้องถิ่น แต่ไม่มีพื้นที่
ในโครงสร้างชนชั้นนำเปิดให้คนกลุ่มนี้เข้าไปร่วมแบ่งปันอำนาจและผลประโยชน์ด้วย
ฉะนั้นคนกลุ่มนี้จึงกระโดดไปมาระหว่างการเลือกตั้งและการรัฐประหาร แล้วแต่ว่าอย่างใด
จะให้อำนาจแก่ตนมากกว่าในสถานการณ์หนึ่งๆ
โดยทั่วๆ ไปอาจกล่าวได้ว่ากลุ่มคนหน้าใหม่ในการเมืองไทยเหล่านี้
พอใจการเลือกตั้ง
มากกว่า เพราะระบอบเลือกตั้งเปิดโอกาสให้กลุ่มชนชั้นนำต้องฟังเสียงของตัวมากขึ้น
ทำให้ระบอบเลือกตั้งเป็นส่วนใหญ่ของการเมืองไทยหลัง 2520 เป็นต้นมา
แต่คนกลุ่ม
นี้
ก็ไม่รังเกียจที่จะสนับสนุนการรัฐประหาร หากพบว่าระบอบปกครองที่ได้มาลิดรอน
อำนาจของตน ดังเช่นการสนับสนุนคณะรัฐประหาร (ที่ล้มเหลว) หลายครั้งภายใต้รัฐบาล
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
ผมเชื่อว่า การเข้ามาในเวทีการเมืองของคนกลุ่มใหม่นี้ จะมีผลต่อการรัฐประหารด้วย
นั่นก็คือจะทำรัฐประหารอย่างไรให้ได้เปรียบคู่ปรปักษ์ในหมู่ชนชั้นนำด้วยกัน และใน
ขณะเดียวกันก็ได้รับการสนับสนุนจากคนหน้าใหม่เหล่านี้พอสมควร การรัฐประหารเริ่ม
กลายเป็น "การเมืองมวลชน" มากขึ้น
นอกจากนี้การเข้ามาของคนกลุ่มนี้ ยังทำให้การแบ่งปันอำนาจที่ไม่ลงตัวของกลุ่มชน
ชั้นนำมีความสลับซับซ้อนขึ้น ดึงให้บางกลุ่มของชนชั้นนำหันไปใช้การเลือกตั้งเพื่อ
ชิงไหวชิงพริบในการแบ่งปันอำนาจมากกว่าการรัฐประหาร
จะ
เหลือกลุ่มที่ต้องใช้การรัฐประหารในหมู่ชนชั้นนำน้อยกลุ่มลง (คือกลุ่มที่ไม่สามารถ
หรือมีข้อจำกัดที่จะแข่งขันทั้งทางลับหรือเปิดเผยในสนามเลือกตั้ง)
ทำให้เห็นได้ชัด
แก่สาธารณชนมากขึ้น ซึ่งแปลว่ากลุ่มนี้ต้องรับผิดชอบต่อการรัฐประหารที่ตัวก่อขึ้น
อย่างเปิดเผยมากขึ้นไปด้วย พูดอีกอย่างหนึ่งคือจะกลายเป็นเป้าให้แก่การวิเคราะห์,
วิพากษ์วิจารณ์, และโจมตีของสาธารณชนโดยตรง ท่ามกลางอำนาจเซ็นเซอร์ที่ไร้
ประสิทธิภาพลงเรื่อยๆ
ดังเช่น คมช.
ไม่อาจซ่อนตัวเองเบื้องหลังรัฐบาลที่ตัวตั้งขึ้นได้มิดชิดเท่ากับ รสช.
เป็นต้น
ยุคสมัยแห่งการลื่นไหลกำลังจะหมดไปแก่ประชาธิปไตยแบบไทย หรือการเมืองของ
ชนชั้นนำเสียแล้ว มติชน วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10607http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act03260350&day=2007/03/26§ionid=0130ขอให้เป็นอย่าง อ. ว่า นะคะ
สูญพันธุ์ไปซะที พวกไดโนเสาร์เต่าล้านปี
ที่คิดว่ารัฐประหารแก้ปัญหาได้
โลกสมัยการสื่อสารไร้พรมแดน
ไม่อาจปิดหูปิดตาประชาชนง่ายๆ
ด้วยการยึดสถานีวิทยุโทรทัศน์
เหมือนในอดีตอีกต่อไป