http://www.komchadluek.net/2007/02/10/q010_87924.php?news_id=87924'แพทย์สุวรรณภูมิ' ฟันธง สนามบินโคม่า-ปั๊มหัวใจยืดชีวิต
"วันที่ผมรู้สึกว่าหนัก ปัญหามันไปไกลเกิน หนักมากคือวันที่นักบิน บริษัทไทยแอร์เอเชีย รายงานจากเครื่องบินว่า รันเวย์มีจุดที่อันตราย มีรอยปริ"
เพียงแค่ 4 เดือนหลังการเปิดใช้อย่างเป็นทางการ โดยไม่ฟังเสียงทัดทาน สภาพของสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ดูไม่ต่างกับคนป่วยไข้ ต่อตระกูล ยมนาค นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบปัญหาการชำรุดบริเวณทางขับ (Runway) และทางวิ่ง (Taxi way) ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ผู้ซึ่งสวมบท "แพทย์" เข้าไปตรวจสอบอาการของสุวรรณภูมิ ที่ปรากฏรอยร้าวในหลายแห่ง ให้บทสรุปในเบื้องต้นว่า สุวรรณภูมิไม่ต่างจากคนป่วยไข้ที่ต้องเฝ้าดูแลอาการทุกชั่วโมง
+
ตอนนี้พอจะสรุปหรือรู้สาเหตุว่าความเสียหายที่รันเวย์ และแท็กซี่เวย์ เกิดขึ้นจากอะไร ?
ที่พูดมาก่อนหน้าที่มีกรรมการทางวิชาการ เราถือว่าเราสันนิษฐาน 3-4 ข้อ เหล่านี้มาจากประสบการณ์แต่ละคน เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านดินก็บอกว่าเป็นเรื่องของดิน ดินข้างล่างไม่สามารถรับแรงได้แล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านการว่าจ้างก็บอกว่าผู้รับเหมาอาจจะทำผิด อาจจะใช้ของผิดสเปค คอนกรีต ยางมะตอย อาจจะไม่ดี หรือแอสฟัลต์ไม่ได้คุณภาพ แต่มีเหตุผลอันหนึ่งที่คนนิยม คือโทษให้เป็นเรื่องดินฟ้าอากาศเลย แล้วก็นักวิชาการส่วนหนึ่งคิดว่าน่าจะเริ่มตั้งแต่การออกแบบเลย เป็น 3 ข้อที่ วิศวะบริหารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ที่มาตั้งหัวข้อไว้ อันที่ 4 มาจากนักประวัติศาสตร์คิดว่าอาจมาจากการถมทรายตั้งแต่ปี 2543-2544 ก็อาจเป็นได้ สันนิษฐานข้อนี้ เรากำลังเจาะสำรวจเจาะทะลุคอนกรีต 70 เซนติเมตรถึงชั้นทรายก็ได้ตัวอย่างมาแล้ว
เจาะกี่จุด ?
ตอนนี้เราเจาะจุดแรก เป็นสี่เหลี่ยมที่มีคนเอาไปลงว่าเป็นหลุมศพ เป็นบริเวณใต้รันเวย์ จุดที่เกิดอาการ ที่เครื่องบินลงจอดแล้วบุ๋ม เราจะลงไปและจะขุดเพิ่มขึ้นด้วย เรามีข้อมูลเรื่องทรายที่ตรงนี้ อาจจะเจอหรือไม่เจอทรายที่มีคุณภาพไม่ดี แต่ชั้นแรกที่ผมเอามาดู กรรมการก็ได้ดู ทรายที่ขุดขึ้นมาบอกได้ว่า ไม่ใช่ทรายขี้เป็ด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นทรายดี ก็ต้องเอาไปเข้าแล็บ แล็บก็จะบอกว่าความละเอียดคุณภาพของทรายได้ตามที่กำหนดหรือไม่ เรามีข้อมูลซึ่งมีคนส่งมาให้ว่า เคยมีการได้รับคำสั่งจากรัฐมนตรีสมัยนั้น ให้เอาทรายไปตรวจเหมือนกัน เพราะมีคนพูดว่าทรายที่เอามาถมไม่ได้คุณภาพ เลยเอาไปสำรวจ พบว่าในตัวอย่างที่ได้มาประมาณ 10-20 ตัวอย่าง เป็นทรายที่ไม่ได้มาตรฐานแต่ในสมัยนั้นเรื่องก็เงียบไป แต่ตอนนี้เขาก็เอาข้อมูลมาให้ เราก็ได้ข้อมูลมาแล้วก็ไปเจาะ
หมายความว่าถ้าจะใช้วิธีการถมทราย ก็ต้องใช้ทรายที่ได้มาตรฐาน ?
ใช่ แต่ผมคิดว่าแม้กระทั่งคนรับเหมาที่ถมหรือคนที่ขายทรายก็ไม่เข้าใจว่าทรายที่ถมดินมันสำคัญอย่างไร ทรายขี้เป็ดก็ถมได้ แต่เขาไม่เข้าใจว่า ที่เราเรียกว่า ถมดิน ถมทรายๆ มันไม่ใช่เอาทรายไปถมที่ มันต้องเป็นทรายที่มีคุณสมบัติพิเศษ ที่สามารถให้น้ำผ่านได้สะดวก เพราะระบบที่เขาถมทรายเป็นหมื่นล้าน ถามว่าทำไมแพงมาก คิวละ 800 เกือบ 900 ขณะที่ทรายทั่วไป 200 เขาไม่เข้าใจ เพราะว่านี่เป็นเทคโนโลยีพิเศษที่จะเร่งทำให้ดูดน้ำออกจากดินเหนียวหรือดินเลนเพื่อให้ดินทรุดลง แทนที่เราจะรอ ที่ดอนเมืองมีเวลาเป็น 70-80 ปีค่อยๆ ทรุด แต่สุวรรณภูมิให้มันทรุดภายใน 3 ปี ถึงที่แล้วมันจะไม่ขยับแล้ว ถ้าเราไปใช้เลยมันก็จะทรุด
การเลือกวิธีการนี้ก็เป็นที่เข้าใจว่าจะต้องทำลักษณะนี้ ต้องใช้ทรายอย่างนี้ แล้วมันเกิดความผิดพลาดที่ตรงไหนที่ทำให้ผู้รับเหมาไม่เข้าใจ ?
ผู้รับเหมาไม่เข้าใจไม่เป็นไร แต่คนที่เข้าใจไม่ควบคุม ไม่ดูแล ประชาชนยังไม่เข้าใจเลยว่าสำคัญยังไง แต่เรารู้ว่าในวงการทรายเขาก็บอกว่า ทรายที่ได้คุณสมบัติ ไม่ใช่แค่ทรายแม่น้ำ แต่ต้องมีความละเอียดความหยาบตรงตามสเปคเป๊ะ ต้องเอาทรายมาผสม ผ่านตะแกรงมาผสมกัน ถ้าต้องการเยอะขนาดนั้น มีคนบอกว่าต้องการทรายแบบนี้ซึ่งในธรรมชาติมีไม่มาก ไม่รู้จะหาที่ไหน ก็ทำให้เกิดการปลอม ดีบ้างไม่ดีบ้าง
ถ้าอย่างนั้นเบื้องต้นที่ทรายกว่าครึ่งไม่ได้มาตรฐาน ก็เห็นคนรับผิดชอบแล้ว ?
คือคนที่ควบคุม
รวมทั้งบอร์ดใช่มั้ย ?
ไม่รู้ หน้าที่ผมตอนนี้ก็คือหาว่ามันเกิดจากอะไรแล้วก็ทำไมถึงเกิดขึ้นได้
ที่มันผิดอย่างนี้ เป็นเพราะเขาเลือกวิธีนี้...ฟันธงไว้แต่แรก ?
ไม่ใช่หน้าที่ผม ต้องตั้งคำถามว่า ถ้าการเลือกวิธีการก่อสร้าง วิศวกรไม่ควรจะคำนึงถึงแค่เรื่องเทคโนโลยี เทคโนโลยีดี แต่เราสามารถก่อสร้างให้เป็นไปตามเทคโนโลยีนั้นไหม คนที่ทำงานให้เราจะเข้าใจไหมถึงความสำคัญ เป็นเรื่องใหม่อาจจะครั้งแรกในประเทศไทย อาจจะไม่ใช่ครั้งแรกในประเทศไทยแต่เป็นโครงการใหญ่ที่รีดน้ำออกจากดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เมื่อก่อนมีการทดลองทำที่มอเตอร์เวย์ จริงๆ แล้วมีวิธีการที่จะปรับดินให้แข็ง หรือให้สนามบินไม่ทรุดอื่นๆ อีกเยอะ แต่ผู้สนับสนุนให้ใช้วิธีนี้ (พีวีดี) ต้องพูดว่า เก่ง ที่พูดให้ทำให้ใช้วิธีนี้ ...เก่งที่ทำให้คนเชื่อมาใช้วิธีนี้
เก่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นวิธีที่ถูกต้อง ?
คือเก่ง ในลักษณะที่พูดให้นักการเมืองและผู้ที่มีอำนาจมาใช้วิธีนี้ แต่ในวงการวิชาการก็ถกเถียงกันมาก โดยเฉพาะที่เป็นอาจารย์บอกว่า ต้องเกิดปัญหาแน่ แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเร็วขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม ถึงทรายดีก็ไม่ได้หมายความว่าปัญหาอื่นจะหมดไป เพราะว่าที่ตั้งสันนิษฐานไว้ 4 ข้อ อาจพบว่าสาเหตุทั้ง 4 อันเป็นไปได้ทั้งสิ้น
การเร่งให้เปิดเป็นปัญหาหรือไม่ ?
เป็นปัญหาแน่นนอน ตั้งแต่ปี 2548 ที่มีปัญหาว่ามีรอยแตกที่สนามบิน ผมในฐานะนายกสภาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ตอนนั้นก็ด้วยความที่สาธารณชนต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต้องการคนกลางไปดู ตอนนั้นพบว่าที่รันเวย์มีรอยร้าวซึ่งเป็นส่วนที่น่ากลัว รอยร้าวที่พูดกันอยู่ที่ไหล่ทางยาวร้อยเมตรจริง แยกใหญ่จริง ครั้งแรกก็เคลียร์ก่อนว่า ไม่ใช่รันเวย์ อันที่สอง เราก็ดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น เราก็พบว่าการเร่งให้ดินยุบตัวเร็วด้วยวิธีใหม่กว่าเก่าอีก
วิธีเก่าใช้วิธีเอาหินทับ เร่งให้ดินมันยุบ วิธีใหม่นี่ใช้หินทับและใช้ปั๊มสูบ คือเอาท่อเสียบแล้วดูดน้ำออก เร่งดูดเหมือนสูบน้ำบาดาลแล้วแผ่นดินก็ทรุด แล้วเวลาในการดูดทำให้มันทรุดมันสั้นกว่าเดิมเยอะ ไม่ถึงปีด้วยซ้ำ มันก็ทรุดจริง แล้วมันไปดูดน้ำที่อื่นด้วย ซึ่งในรันเวย์ตรงนั้นก็มีการดูดน้ำกระทบกระเทือนด้วยตรงไหล่ทาง
ถ้าการเร่งให้สร้างมีปัญหาก็เป็นอีกจุดที่ต้องมีคนรับผิดชอบ ?
ใช่ รวมทั้งเรื่องการเลือกวิธี พอตั้งเป้าเวลาก่อสร้างเวลามันเกิดปัญหามีอะไรต่างๆ ในประวัติศาสตร์สอนว่า เมื่อเร่ง พอไปถึงจุดหนึ่งมันก็ต้องใช้วิธีไม่ปกติ แล้วจะทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ อย่างเช่น ตอนทำเอเชี่ยนเกมส์ ผมก็บอกว่าถ้าเร่งขนาดนี้มันอาจจะมีพลาด เพราะยิ่งใช้เทคโนโลยีใหม่ ก็มีหลังคาสระว่ายน้ำพังไปทีหนึ่ง ใช้เสาเหล็กคนงานไม่รู้ แล้วไปถอดสลิงที่เรายึดไว้ มันอยู่ได้ แต่ถ้าถอดสลิงออกก่อนเสร็จสมบูรณ์ มันก็จะพับลง นี่เป็นบทเรียน คือการก่อสร้างมันไม่ใช่แค่วิศวกรรู้เรื่อง เข้าใจ แต่ต้องบอกคนก่อสร้างด้วย
เพราะฉะนั้นการเร่งเวลา ก็ไม่เป็นไรถ้ายังอยู่ในลิมิตที่วิศวกรผู้เชี่ยวชาญรับได้ เป็นบทเรียนว่ายุคปัจจุบัน ผู้นำคิดคนเดียว ผมว่ามันใช้ไม่ได้ในยุคนี้แล้ว ตำราการบริหารต่างๆ บอกว่าการบริหารของผู้บริหาร บริษัทยุคใหม่ต้องให้มีการมีส่วนร่วม ใช้พลังสมองของคนต่างๆ เพราะข้อมูล ความรู้ มันมหาศาลเรียนทั้งชีวิตก็ไม่หมด เราจะคิดว่าผู้บริหารที่อัจฉริยะอย่างไอน์สไตน์ให้มาบริหารสุวรรณภูมิคนเดียว มันก็ไม่ดี นี่เป็นความผิดพลาดของสไตล์การบริหารตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ประธานบอร์ด ผู้จัดการ ฝ่ายต่างๆ สไตล์เหมือนกันหมด
นอกจากรันย์เวย์ แท็กซี่เวย์ แล้วตัวอาคารก็ยังทรุดด้วย ?
ตามทฤษฎีผู้ดีไซน์เลือกวิธีการสร้างเพื่อให้สร้างได้เร็ว คือวิธีตอกเข็มเพราะเร็ว เพื่อให้ง่ายก็ตอกลงไปแค่ 20 เมตร ซึ่งยังไม่ถึงชั้นแข็ง ก็ทำให้เร็ว ผู้ออกแบบรู้ว่าจะมีการทรุด แต่หวังว่าจะทรุดไม่แตกต่าง คือ ทรุดทั้งตึกไม่เป็นไร เมื่อมีข่าวผมถามนักวิชาการว่า มันจะแตกมั้ย นักวิชาการบอกว่ามีโอกาส ก็ต้องติดตามดู
ก็เหมือนตึกลอยบนเลน ก็ไม่รู้ว่าทางไหนจะทรุดก่อน ?
มีคนบอกว่าตอก (เสาเข็ม) แล้ว พออีกวันหาย ตอกลงไปแล้วตอกไปตอกมามันเบี้ยว มันเคลื่อนตัว พวกนี้ก็ยากต้องติดตามดู ส่วนที่เป็นโครงสร้างจะรู้ล่วงหน้านาน
รวมหมดแล้วจะประเมินได้มั้ยว่าจะใช้เงินเท่าไร เวลานานแค่ไหน ?
ขั้นตอนต้องบอกว่า เรายังไม่รู้ว่าจะใช้เงินเท่าไร ผมเคยบอกว่า ประมาณ 300-3,000 ล้านบาท ผมบอกว่า ผมไม่รู้ ก็ต้องประเมิน ซึ่งก็ประเมินไม่ได้หรอก ตัวเลขที่ท่าอากาศยานจะเคลมจากบริษัทประกัน ผมก็เลยคูณเข้าไปสิบเท่าเลย ที่จริงอาจจะ 300-30,000 ล้านก็ได้ เรายังบอกไม่ได้ จนกว่าจะรู้สาเหตุ ถ้าเรารู้สาเหตุถึงจะรู้วิธีแก้ไข รู้วิธีแก้ไขแล้วมันยังมีอีก 10 วิธี แต่ละวิธีอาจจะแพงกว่ากันสองเท่า สามเท่า
คนที่ตัดสินคนสุดท้ายในแง่นโยบายเป็นคนเลือกว่าจะใช้วิธีไหน ตั้งแต่รื้อสร้างใหม่ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้เวลามากที่สุดจนถึงวิธีเร็วและแข็งแรงแต่อาจแพง 5 เท่า เช่น เร็วสร้าง 2 เดือนแต่แพงขึ้น 5 เท่า นี่ยกตัวอย่างนะ ก็เป็นหน้าที่ของผู้ตัดสินใจที่จะเอาปัจจัยอื่นมาประกอบ วิศวกรอาจจะบอกเอาวิธีแพง 5 เท่า เมื่อมองเศรษฐกิจประเทศแล้วก็บอกนักเศรษฐศาสตร์อาจจะให้เกิดความเสียหายต่อประเทศน้อยที่สุด
เราก็จะจำกัดวงของเรา ต้องหาเหตุให้ได้ แต่ฟังดูมันเรียกว่าหนักนะ ตอนที่ผมเจอจุดเสียหายบนรันเวย์ก็ยังไม่ค่อยตื่นเต้น เพราะจากแท็กซี่เวย์เป็นอย่างนี้ รันเวย์ก็ต้องเป็น ก็ยังสงสัยว่าทำไมไม่เป็นก็เลยไปดู ก็เจอ แต่วันที่ผมรู้สึกว่าหนัก ปัญหามันไปไกลเกิน หนักมากคือวันที่นักบิน บริษัทไทยแอร์เอเชีย รายงานจากเครื่องบินว่า รันเวย์มีจุดที่อันตราย มีรอยปริ หรือมีเศษหินอะไรเนี่ย ซึ่งเราก็ยังไม่เชื่อ 100% เกิดขึ้นหลังจากวันที่ผมไปตรวจสนามบิน 1 วัน ผมไปตรวจก่อน 1 วัน พาผู้สื่อข่าวเนชั่นไปถ่ายของจริงเลย หลังจากนั้น 1 วันนักบินก็มองเห็นจากเครื่องบินบอกว่า รอยใหญ่มาก
นักบินเขามีอำนาจและกฎการบินก็ให้อำนาจเขา สามารถสั่งได้ว่า ถ้ารายงานแล้วเขาจะส่งทั่วไปเลย บอกนักบินว่าอาจจะไม่ให้ลง ทางเราเลยต้องปิด แต่มันไม่ปิดปกติแต่ปิดฉุกเฉินเลยคือ 5 มกราคม 5 โมงเย็นถึง 5 ทุ่ม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เครื่องบินหนาแน่นที่สุด มี 2 รันเวย์ก็ยังเป็น เพราะฉะนั้น เราปิดไปประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ 3 กิโลเมตรเราก็ปิดไปส่วนหนึ่งก็ทำให้เครื่องบินจำนวนมากลงไม่ได้ ก็เข้าคิวยาวเลย เราบอกรันเวย์สั้นก็ลงสิ ก็มีเครื่องบินเล็กๆ ลง แต่เครื่องบินที่มาสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะตอนสี่-ห้าทุ่ม เป็นเครื่องบินที่บินระหว่างทวีปเลย
เพราะฉะนั้น ก็มีเครื่องบิน โดยปกติ 1 ชั่วโมงมันมีเครื่องบินประมาณช่วงเร่งด่วนแทบจะลงทุก 1 นาที คิดง่ายๆ 50 ลำลำละ 200 คน เอาแค่ 1 ชั่วโมง 50 ลำ คูณ 200 คน เท่ากับ 1,000 คน หรือ 2,000 วนในอากาศเกือบสองชั่วโมง มีคนที่ผมรู้จักมาจากภูเก็ตวนอยู่ 2 ชั่วโมงพอดีมีน้ำมัน คนที่ไม่มีน้ำมันก็ไปลงอู่ตะเภา มันมีเหตุการณ์อย่างนี้จริงๆ แล้วภายใน 1 วันมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้อย่างนี้ งั้นพรุ่งนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้ ชั่วโมงหน้าก็เกิดขึ้นได้ เราอยากรู้ความจริง เรารู้ว่าแอร์เอเชียเที่ยวบินเท่าไร ยังไม่มีใครบอกผม ว่าผมจะคุยกับเขาได้ไง เพราะผมอยากขอข้อมูลกับเขา เพราะเขาบอกว่าเขาเห็นจริง ก็เป็นเรื่องใหญ่ เพราะมันเสียหายขนาดนี้ และถ้าเราต้องปิดอาทิตย์ละหนมันก็เป็นสนามบินที่ไม่ควรมีใครมาลงแล้ว
ตอนนี้ก็ไปใช้แค่รันเวย์เดียว แล้วก็ลงเยอะ ?
ลงเยอะครับ ก็จะพังเร็ว ตอนนี้ผมยังอยากไปเฝ้า 24 ชั่วโมงว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่เราก็ไม่อยากกางเต็นท์นอนเหมือนคนที่เคยทำ แถวนี้มันอันตราย ต้องไปเฝ้า เราส่งคนให้ไปดู
คิดถึงความคุ้มค่าทำให้มันดีที่สุด คุ้มค่ากับการลงทุนซ่อมมากแค่ไหนเทียบกับการขยายดอนเมือง ?
ช่วงที่ผ่านมาท่าอากาศยานไทยใช้จ่ายไปกับที่นี่จำนวนมหาศาล บางอย่างบอกได้ว่าใช้ไปอย่างฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะการโฆษณาประชาสัมพันธ์เปิดลองของจริงทั้งเปิดจริง มันมีการเปิดอยู่เรื่อยและแต่ละครั้งก็ทุ่มทุนมหาศาล และมีการจัดจ้างโดยวิธีรวดเร็วไม่จำเป็นก็เยอะ ของจำเป็นกลับไม่มี เช่น เก้าอี้ไม่มีเบาะ มันประหลาด คือ ประหยัดในส่วนที่ไม่ควรประหยัด เช่นว่าพื้นใช้หินขัดแล้วมันก็สกปรก ไม่ควรประหยัดก็ประหยัด อันที่ไม่ควรต้องซื้ออย่างซีทีเอ็กซ์ก็ซื้อมาตั้งเยอะแยะ เรียกว่าเป็นการลงทุนตั้งแต่ต้นที่ใช้จ่ายเยอะ
เพราะฉะนั้นพูดถึงที่ต้องขยายอีก เหตุผลที่แท้จริงที่ต้องกลับมาใช้ดอนเมืองก็ยังไม่เกี่ยว เพราะตอนนั้นก็ยังไม่เจอรอยแตกที่รันเวย์ เจอแต่ที่แท็กซี่เวย์ ซึ่งเราถือว่าเป็นเรื่องที่ซ่อมได้ ตอนนั้นเราคิดว่าทำไมดูตัวเลขของกิจการแล้วสำหรับปีต่อไปค่อนข้างกังวล ไม่ได้ใช้ทำอะไร กลับเป็นตัวติดลบเป็นร้อยล้าน ถามว่าดอนเมืองปิดรึเปล่าก็บอกว่ายังเปิดอยู่ มีศุลกากร ตรวจคนเข้าเมือง มีเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ควบคุมการบิน แต่มีเครื่องบินมาลงเฉพาะที่ไม่ได้ห้ามลง ผมบอกเราไม่ได้ย้ายนะแต่ห้ามเครื่องบินมาลง อดีตนายกรัฐมนตรีสมัยนั้นห้ามเครื่องบินมาลงดอนเมือง เครื่องบินให้มารวมที่สุวรรณภูมิทั้งหมด เพราะฉะนั้นดอนเมืองไม่ได้ปิด ในความคิดของผม เรายกเลิกคำสั่งที่มันไม่สมควรเสีย
ข้อเสนอในการแก้ไขอย่างไร ?
ถ้ารู้สาเหตุแล้วจะมีข้อเสนอที่มีข้อมูลสนับสนุนมากขึ้น ตอนนี้เราเดาว่าปิดไปเลยแล้วมาอยู่ดอนเมือง แล้วเมื่อสุวรรณภูมิแก้ไขแต่งตัวใหม่ เปิดตัวอย่างสมบูรณ์แบบติดอันดับโลกไปเลยอีก 2 ปี หรือปีหนึ่ง ทำมันใหม่หมดหรือว่าก็เป็นไปลักษณะนี้คือเปิดสองสนามบิน คือ ในประเทศอยู่ดอนเมืองต่างประเทศอยู่สุวรรณภูมิ ซ่อมไปสร้างไปยังรับผู้โดยสารปีละ 40-50 ล้านคน ใช้เงินน้อย ยกเว้นว่าสุวรรณภูมิใช้ไม่ได้ ถ้าเราพบว่าเป็นอันตราย อัตราการการพังทรุดต้องปิดซ่อม ใช้อันเดียว อีกอันปิดซ่อม พอใช้รันเวย์เดียวไม่นานก็พัง สุดท้ายก็ใช้ไม่ได้เลย
เท่าที่เห็นก็คือพังแน่ๆ เป็นอันตรายแน่ ?
อันตราย...ถ้าเราเผลอแป๊บเดียว ต้องคอยระวังเหมือนคนไข้ปั๊มหัวใจเรื่อย ก็ไม่ตาย ถ้าไฟดับเมื่อไร อาจหัวใจวายตาย
ดินที่ไปตรวจสอบจะประกาศผลได้เมื่อไร ?
ถ้าทำตามวิธีซึ่งถือว่าเป็นวิจัยชิ้นหนึ่งที่เราไม่เคยเห็น ไม่เคยมีในโลกด้วยก็ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน แต่ผมเสนอว่าทนรอไม่ได้ถึง 6 เดือนสิ่งที่จะเกิดขึ้นที่อันตรายมากเราไม่รู้ วันต่อวัน สองอาทิตย์ต้องตอบกรรมการ กรรมการต้องตอบในสองอาทิตย์ ข้อมูลมากที่สุดใน 2 อาทิตย์ สิ้นสุดวันที่ 9 กุมภาพันธ์ เพราะสนามบินก็รอไม่ได้ ผมอยากคุยกับนักบินไทยแอร์เอเชียว่าคุณเห็นอะไร
ทางบริษัท (ไทยแอร์เอเชีย) ไม่ยอมแจ้ง ?
ถ้าเขาเห็นแล้วยินดีพูดก็เป็นประโยชน์ เพราะว่าถ้ามันเป็นงั้นเราคงต้องส่งคนไปตรวจ ลงหนึ่งลำปั๊บก็เข้าไปตรวจเหมือนเก็บลูกเทนนิส แต่เขาบอกว่าทำไม่ได้เพราะสนามบินมันกว้างมากขอเป็นตรวจทุกๆ 5 ลำ แต่ผมอยากให้ดูทุกลำ เพราะเราไม่รู้อะไรมากกว่านี้ 5 ลำ ตอนที่ 3 ลำลง จะรอลำที่ 5 ลำที่ 3 มันกระแทก 3 ลำ หินเริ่มกระเด็นออกมา ลำที่ 4 ดูดหินเข้าไป เราจะรออีกลำจะไปตรวจก็ไม่ทัน
อย่างนี้เปรียบเป็นคนไข้ก็เข้าขั้นโคม่า ?
ผมถึงอยากทราบว่า เขาเห็นอะไร นักบินทั่วโลกให้เกียรตินักบิน เพราะนักบินรับผิดชอบชีวิตผู้โดยสาร ประเทศไทยก็นับถือนักบินทุกคน ถ้านักบินบอกอย่างนี้บ่อยๆ สนามบินก็อยู่ไม่ได้
วันนี้-พรุ่งนี้ อาจารย์กล้าไปขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิมั้ย ?
(หัวเราะ) ก่อนขึ้น ผมคงไปตรวจก่อน ตอนขึ้นมีปัญหาเป็นส่วนที่อันตรายที่สุด รอยแตกก็แตกที่รอยขึ้นแล้วก็จุดที่ขึ้นเป็นจุดที่ใช้แรงมากที่สุด เครื่องยนต์ทำงานหนักที่สุด ในช่วงนี้ถ้ามีอะไรดูดเข้าไป นกบินที่เขากลัวมากที่สุด นกเข้าไปในท่อ อันตรายที่สุด ขาลงเครื่องแทบจะดับแล้ว ต้องเบามากเลย แตะแล้วก็วิ่ง ปรากฏจุดที่กระแทกไม่เป็นรอยบุ๋ม แต่ส่วนที่บุ๋มเป็นส่วนที่จอดเฉยๆ กลับมีรอยบุ๋ม เขาบอกว่า เที่ยวบินที่บินระหว่างประเทศน้ำมันเต็มลำ เพราะต้องบิน 20 ชั่วโมงไม่ได้เติมมันวิ่งมาพอจอดน้ำหนักกด นี่ล่ะที่เกิด อันนี้ฟังดูก็ใช่ เวลาลงถ้าลงแรงมากยากแตกเครื่องบินพัง เพราะฉะนั้นนักบินต้องลงเบาที่สุด