6 เดือนใต้รัฐประหารโดย สันต์ หัตถีรัตน์คณะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ได้ยึดครองประเทศมา 6 เดือนแล้ว แม้จะขนาน
นามตนเองว่า "คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์
ทรงเป็นประมุข" (คปค.) ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ"
(คมช.) แต่ไม่สามารถ "ปฏิรูปการปกครอง" หรือสร้าง "ความมั่นคง" ใดๆ ให้แก่
ประเทศชาติ ให้สมกับชื่อที่ตนได้ตั้งขึ้นเลย
ระบอบและระบบต่างๆ ในการปกครองแผ่นดินกลับ "ถอยหลัง" ไปอย่างน้อย 16 ปี
และดูจะเลวร้ายกว่าสมัย "คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ" (รสช.) ที่ทำ
รัฐประหารเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 อีกด้วย อาทิ
.........การปกครองแผ่นดินได้เปลี่ยนจาก "ระบอบประชาธิปไตย" ที่ใช้เงินเป็นตัว
ขับเคลื่อน มาเป็น "ระบอบอำมาตยาธิปไตย" ที่ใช้ปืนและรถถังเป็นตัวกำหนด และมี
แนวโน้มที่จะเกิด "ระบอบอัตตาธิปไตย" ในอนาคต ถ้ายังคงสภาพเช่นนี้ต่อไป
.........การปกครองแผ่นดินเปลี่ยนจากระบบ "นิติรัฐ" (รัฐที่ยังใช้กฎหมายทั้งในและ
ระหว่างประเทศเป็นหลัก แม้จะอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมายในการหาผลประโยชน์ใส่
ตน) มาเป็นระบบ "ตั้งธง" และ "ทุบโต๊ะ" จนกระบวนการยุติธรรมระส่ำระสาย และ
ทำลายศรัทธาของผู้คนทั้งในและนอกประเทศ เพราะไม่ยึดหลัก "นิติธรรม"
.........การปกครองแผ่นดินเปลี่ยนจากระบบที่ให้ "สิทธิเสรีภาพ" จนผู้คนสามารถตั้ง
สถานีวิทยุชุมชนและสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพื่อด่าว่ารัฐบาลได้ มาเป็นระบบที่
ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่อสารมวลชน แล้วยังมีระบบ "เลือกปฏิบัติ"
อีกด้วย
.........การปกครองแผ่นดินเปลี่ยนจากระบบ "เอื้ออาทร" แบบ "ประชานิยม" มาเป็น
ระบบ "ตามยถากรรม" ดังตัวอย่างเช่น ประชาชนใน 47 จังหวัดที่ถูกน้ำท่วมเป็นประวัติ-
การณ์หลังรัฐประหารไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที จึงต้องดิ้นรนยังชีพของตน
ไปตามยถากรรม
.........การปกครองแผ่นดินเปลี่ยนจากระบบที่คนยากจน ("รากหญ้า") ได้มีส่วนร่วม
มากขึ้น มาเป็นระบบที่ "รากหญ้า" ถูกสอดแนม สอดส่อง ดูแคลน และไม่ไว้วางใจ
เพิ่มขึ้นๆ แม้แต่ในชุมชนแออัดในกรุงเทพมหานคร
.........การปกครองแผ่นดินเปลี่ยนจากระบบการเมืองที่มีเสถียรภาพและความชอบธรรม
(อย่างน้อยตามรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการยกร่างมากที่สุด) มาเป็นระบบ
การเมืองแบบเผด็จการทหารที่ฉีกรัฐธรรมนูญของประชาชนทิ้ง แล้วสร้างรัฐธรรมนูญ
ฉบับชั่วคราวที่วิปริตพิสดาร และกำลังยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรที่จะวิปริตมากขึ้น
ทำให้การเมืองไร้เสถียรภาพ อาจเกิดรัฐประหารซ้ำหรือซ้อนดังในอดีต เพื่อเปลี่ยนรัฐบาล
อีกในอนาคตอันใกล้
จึงเกิด "ความไม่มั่นคง" ในด้านต่างๆ เช่น
ความไม่มั่นคงในทางการเมือง เนื่องจากรัฐบาลปัจจุบันถือกำเนิดจากรัฐประหาร
จึงขาดความชอบธรรมตั้งแต่เริ่มต้น และรัฐมนตรีเกือบทุกคนไม่มีความสัมพันธ์กับ
ประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะประชาชนในระดับ "รากหญ้า" (แม้จะได้รับชื่อใหม่
ว่า "รากแก้ว" แต่ไม่เคยได้รับความสำคัญและการดูแลแบบรากแก้วเลย มิหนำซ้ำ
ยังถูกดูแคลนว่าโง่เขลา ขายเสียง เป็นพวก "ทักษิณ" ฯลฯ) จึงเกิดความหวาด
ระแวงในกันและกัน ซึ่งจะเป็นสาเหตุนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอนาคต
ความไม่สมานฉันท์ใน คมช.และในรัฐบาล ระหว่าง คมช.กับรัฐบาล ระหว่าง คมช.
และรัฐบาลกับกลุ่มพันธมิตร ที่ช่วยกันโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ และความขยันแสดง
ความเห็นที่ขัดแย้งกันผ่านสื่อสร้างความสับสนแก่ประชาชน และขัดแย้งอย่างยิ่งกับ
การกล่าวอ้างว่า จะเข้ามาสร้างความสมานฉันท์ในชาติ เพราะในพวกเดียวกันเอง ยัง
สร้างความสมานฉันท์ไม่ได้เลย เช่น
การสร้างสถานการณ์เพื่อขับแกนนำ คมช. คนหนึ่งออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจ
แห่งชาติมาจนถึงกรณีล่าสุดที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง
(หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ) ถูกกดดันให้ต้องลาออก และได้วิจารณ์ถึงความไม่โปร่งใสในการ
ทำงานของรัฐบาลและรัฐมนตรี
ความไร้เสถียรภาพในทางการเมือง ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนและข้องใจว่า
ใครเป็นผู้บริหารปกครองประเทศกันแน่ คมช. รัฐบาล กลุ่มพันธมิตร สื่อบางฉบับ
หรือ "ไอ้โม่ง" เป็นต้น
ความไม่มั่นคงในทางเศรษฐกิจ ความอ่อนด้อยในการประชาสัมพันธ์ปรัชญาเศรษฐกิจ
พอเพียงและการเปลี่ยนวิธีการทางเศรษฐกิจกลับไปกลับมาในช่วงข้ามคืน ก่อให้เกิด
ความสับสนและความไม่ไว้วางใจแก่นักลงทุนทั้งในและนอกประเทศ ทำให้เกิดความ
เสียหายมหาศาล และยังไม่มีกระบวนการที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาเหล่านี้
เศรษฐกิจของประเทศจึงทรุดลงๆ ประชาชนทำมาหากินลำบากขึ้น ชาวบ้านหลายคน
ถึงกับพูดว่าฟ้าดินคงลงโทษประเทศไทย จึงทำให้น้ำท่วมใหญ่เป็นประวัติการณ์ถึง 47
จังหวัดหลังรัฐประหาร และพอจะลืมตาอ้าปากหลังภัยน้ำท่วม ก็ต้องถูกซ้ำเติมด้วยภัย
แล้งอีก
ความพยายามที่จะไล่ล่า "ทักษิณ" แบบไม่คำนึงถึงประโยชน์ของชาติ ทำให้สมบัติของ
ชาติ เช่นสนามบินสุวรรณภูมิ (ที่สร้างขึ้นด้วยภาษีอากรของประชาชนจำนวนมหาศาล)
ถูกทำให้เป็น "สุสาน" ที่ด้อยคุณค่าลงอย่างมากมาย ทำลายชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของ
ประเทศอย่างที่ไม่สามารถจะเรียกคืนได้
ความไม่มั่นคงในทางสังคม ยาเสพติดกลับระบาดมากขึ้นและกว้างขวางขึ้น หวยใต้ดิน
ได้ฤกษ์ขยายกิจการอย่างกว้างขวาง อาชญากรรมต่างๆ เพิ่มมากขึ้น สังคมฟอนเฟะและ
ไร้คุณธรรมเพิ่มขึ้น การก่อความไม่สงบ (การก่อการร้าย) รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่เฉพาะใน
4 จังหวัด (เพิ่มขึ้นอย่างเป็นทางการจากเดิม 3 จังหวัด) ชายแดนใต้ แต่ยังลุกลามเข้า
สู่กรุงเทพมหานคร
การเผาโรงเรียน การเผาชุมชนแออัด การใส่ร้ายป้ายสี การทุจริตคอร์รัปชั่น ความ
แตกแยกในสังคม ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และความรุนแรงอื่นๆ ใน
สังคม กลับเพิ่มขึ้นๆ
ทั้งนี้เพราะผู้บริหารปกครองประเทศได้แสดงลักษณะ "มือถือสาก ปากถือศีล" ดังเช่น
การรับเงินเดือนและเงินตอบแทนในหลายๆ ตำแหน่งไปพร้อมกันในเวลาเดียวกัน เป็น
การทุจริตประพฤติมิชอบอย่างไม่ละอายแก่ใจตนเอง ไม่ละอายประชาชนและข้าราชการ
ผู้น้อย แล้วยังส่งพรรคพวกไปกิน "ตำแหน่งเงิน ตำแหน่งทอง" ต่างๆ
การทุจริตเชิงนโยบาย และการทุจริตโดยการยักย้ายถ่ายโอนเงินภาษีอากรของประชาชน
ไปทำรัฐประหาร และบำรุงบำเรอพรรคพวกที่ช่วยและสนับสนุนการทำรัฐประหาร รวมถึง
การใช้เงินจำนวนมหาศาลให้พรรคพวกมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับรัฐประหาร เป็นตัวอย่าง
การทุจริต ที่ไม่ต่างจากรัฐบาลก่อนๆ และตรงข้ามกับหลัก 4 ป. (โปร่งใส เป็นธรรม
ประหยัด และมีประสิทธิภาพ) ของรัฐบาล
ความไม่มั่นคงระหว่างประเทศ การใช้เหตุการณ์ "ทักษิณ" ในต่างประเทศหาเรื่อง
ประเทศอื่น การพยายามปลุกกระแสชาตินิยมโดยข้อมูลผิดๆ เช่น เรื่องดาวเทียม
"ไทยคม" การให้ข่าวในทำนองว่าจะยึดคืนดาวเทียมและธุรกิจต่างชาติ ทำให้ต่างชาติ
ไม่ไว้วางใจในนโยบายที่ผันผวน (เอาแต่ใจ) ของ คมช. และสมุน ที่ไม่ยึดหลักกฎหมาย
ระหว่างประเทศและความชอบธรรม
การดำเนินการผิดพลาดต่างๆ สร้างความขุ่นเคืองให้กับประเทศอื่น ทำให้ประเทศ
ไทยถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น และถูกนำไปเปรียบเทียบกับประเทศพม่ามากขึ้น
จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลการสำรวจเอแบคโพลล์เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ปรากฏว่า คนกรุงเทพฯ ถึงร้อยละ 76 เห็นว่าสถานการณ์ของประเทศแย่ลง
ร้อยละ 64 ยังไม่เห็นทิศทางของการเมืองที่ชัดเจน
ร้อยละ 63 ไม่รู้ว่ารัฐธรรมนูญที่กำลังร่างอยู่นั้นคืออะไร
และร้อยละ 55 ไม่เชื่อว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญของประชาชน
นี่คือความเห็นของคนกรุงเทพฯ ที่ส่วนใหญ่เคยสนับสนุน คมช. และรัฐบาล
ถ้าไปสำรวจคนต่างจังหวัด ผลจะน่าวิตกกว่านี้มาก!
คมช.และรัฐบาลควรจะทบทวนและประเมินตนเองว่า มีศักยภาพพอจะบริหารปกครอง
ประเทศต่อไปหรือไม่ หรือจะรอจนกว่าเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมก่อน
จนคนเขามาถอนหงอกที่ชอบอ้างว่า "รักชาติและมีคุณธรรม" เสียก่อน แล้วจึงจะรู้สำนึก
ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น อาจจะสายเกินเยียวยาได้เพราะมีผู้คาดการณ์ว่า ประเทศไทยจะเป็น
ตัวการก่อ "โรคต้มยำกุ้ง" อีกครั้งในไม่ช้านี้
คมช. และรัฐบาล จึงควรที่จะคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด โดยประกาศใช้
รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ไปพลางก่อน เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้ง ให้มีผู้แทนของประชาชน
มาบริหารปกครองประเทศในขณะที่มีการปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่ โดยให้ประชาชนมี
ส่วนร่วมในการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยตรง
เพื่อสร้างความชอบธรรม ความสมานฉันท์ และการฟื้นตัวจากสถานการณ์ที่เสื่อมทรุดลง
เรื่อยๆ ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ในระยะ 6 เดือนที่ผ่านมา
มติชน วันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10603http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act02220350&day=2007/03/22§ionid=0130