ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
16-04-2024, 12:20
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  แก้วสรร มาแล้ว 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
แก้วสรร มาแล้ว  (อ่าน 1897 ครั้ง)
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« เมื่อ: 19-03-2007, 08:57 »

ประชุม คตส. มีมติเชือดโกง 'เอื้ออาทร' ชี้หลักฐานเอาผิดได้
    "แก้วสรร" หนึ่งในทีมเชือดมหากาพย์โคตรโกง แย้มที่ประชุมมีมติฟันทุจริต "บ้านเอื้ออาทร" ลอตแรกแล้ว หลังหยุดสุดสัปดาห์ คตส.ย่องรวมพลประชุมเงียบ ยันหลักฐานที่มีสามารถชี้มูลความผิดได้ชัวร์ อุบไต๋ยังไม่บอกว่าบิ๊กนักการเมืองคนใดถูกจัดการบ้าง เปรยให้ติดตามดูกันเอง  ด้านอนุกรรมการเรียก "ชวนพิศ" อดีตผู้ว่าการการเคหะฯให้ปากคำอาทิตย์หน้า ส่วนอนุซีทีเอ็กซ์เรียกอดีต บอร์ด บทม. ชี้แจงเพิ่มเติมอีกครั้ง ขณะที่อนุหุ้นชินฯเตรียมเชิญ "ศุภเดช พูนพิพัฒน์" หุ้นใหญ่กุหลาบแก้วแจง ผู้จัดทำ "แกะรอยคอร์รัปชัน" แจงเหตุรายการล่องหน
 
เกี่ยวกับปัญหาทุจริตโครงการต่าง ๆ ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ทางคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กำลังตรวจสอบอย่างเร่งด่วน โดยมีโครงการที่ส่อทุจริตโผล่ออกมาเป็นระลอก ๆ ล่าสุด นายอุดม เฟื่องฟุ้ง กรรมการ คตส. ในฐานะประธานอนุกรรมการตรวจสอบโครงการออกสลากพิเศษเลขท้าย 2-3 ตัว ถึงกับโมโหควันออกหู เนื่องจากไม่สามารถตั้งอนุฯไต่สวนหวยบนดินได้ สาเหตุเพราะกระทรวงการคลังไม่ส่งมาร้องทุกข์ พร้อมกับระบุว่า หากกฎหมายปราบทุจริตผ่านเมื่อไหร่ คตส. จะฟ้องร้องเองพร้อมตั้งทีมไต่สวนลากตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้ ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
 
ความคืบหน้าเกี่ยวกับการทำงานของ  คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) วันที่ 18 มี.ค. ผู้   สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ คณะ อนุกรรมการสอบสวนการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่มีนายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการ คตส. เป็นประธาน และมีคณะทำงาน ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากฝ่ายต่าง ๆ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้นัดประชุมกันเป็นการเฉพาะ ที่สถานที่แห่งหนึ่งโดยประชุมกันตลอดทั้งวัน ทั้งนี้เพื่อสรุปผลการสอบสวน เตรียมนำเสนอที่ประชุมใหญ่ คตส. ในวันจันทร์ที่ 19 มี.ค.นี้ เพื่อให้ที่ประชุมรับทราบผลสรุปการสอบสวนและชี้มูลความผิด  ผู้เกี่ยวข้อง
 
 นายแก้วสรร ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ได้สรุปผลการสอบสวนการทุจริตบ้านเอื้ออาทรแล้ว 1 โครงการ ยืนยันว่าจากหลักฐานที่มีอยู่จำนวนมากสามารถชี้มูลความผิดได้ ขอให้รอดูการแถลงหลังการประชุม คตส. วันที่ 19 มี.ค.นี้ให้ดี ส่วนที่ว่าจะถึงนักการเมืองระดับชาติ หรือผู้เกี่ยวข้องระดับพญานาค ตามที่กล่าวมาตลอดหรือไม่ยังไม่อยากบอกตอนนี้ แต่การที่นำเสนอผลสรุปโครงการดังกล่าวจากที่มีอยู่ 300 กว่าโครงการก็แสดงให้เห็นแล้วว่าหลักฐานต้องชัดเจน และจากนี้ไปก็จะทยอยชี้มูลสรุปผลออกมาอีกหลายเรื่องในโครงการบ้านเอื้ออาทรทั้งหมด
 
มีรายงานด้วยว่าอนุกรรมการสอบสวนการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร ได้นัดนางชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์ อดีตผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบโครงการบ้านเอื้ออาทรมาตั้งแต่ต้นในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าชี้แจงต่อ คตส.ในสัปดาห์นี้ โดยหากนางชวนพิศไม่มา ชี้แจงกับ คตส. ด้วยตัวเอง ทางอนุกรรมการก็จะไม่รอฟังคำชี้แจงจากนางชวนพิศแล้ว จะสรุปผลการสอบสวนทันที
 
นายแก้วสรร ยังกล่าวถึงการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการของสถานีโทรทัศน์ไอทีวี หลังจากมีกลุ่มภาคประชาชนนำโดยนายการุณ ใสงาม สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญได้มายื่นให้ คตส.ตรวจสอบกรณีรัฐบาลช่วยเหลือไอทีวีว่า  ตนก็จะรายงานความคืบหน้าการรวบรวมปัญหาของไอทีวีให้ที่ประชุมทราบตามที่ได้รับมอบหมายได้ภายในวันจันทร์ที่ 19 มี.ค.นี้ แต่จะเป็นแค่การรายงานความคืบหน้าเท่านั้น ก็แล้วแต่ที่ประชุมใหญ่ คตส.ว่าจะเห็นชอบรับเรื่องไอทีวีไว้สอบสวนหรือไม่
 
ด้านคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ในฐานะคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีการจัดซื้อเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 กล่าวถึง ความคืบหน้าในการไต่สวนว่า ในวันที่ 19 มี.ค.นี้ ทางอนุกรรมการไต่สวน ได้เชิญผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจงข้อกล่าวหาเพิ่มเติม 2 คน คือนายกมลพงษ์ ชุ่มมณี อดีต บอร์ด บทม.มารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่ม และนายบัญชา ปัทมาภรณ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บทม. ส่วน พล.อ.อ.ณรงค์ศักดิ์   สังขพงศ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ อดีตบอร์ด บทม.จะเชิญมาอีกครั้งในวันที่ 2 เม.ย.นี้
 
รายงานข่าวจาก คตส.แจ้งว่า ในการตรวจสอบการซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในส่วนการซื้อขายระหว่าง บริษัทแอมเพิลริชกับนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร ที่มีนายวิโรจน์ เลาหะพันธ์ กรรมการ คตส. เป็นประธาน ที่เคยระบุว่า จะพยายามสรุปผลการตรวจสอบเพื่อนำเสนอต่อที่ประชุม คตส.ชุดใหญ่ภายในเดือน มี.ค. เพื่อให้กรมสรรพากรได้ทำการคำนวณภาษีได้ถูกต้องนั้น ปรากฏว่ายังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากข้อมูลที่ได้จากเจ้าหน้าที่ธนาคารซิตี้แบงก์ยังไม่ชัดเจน ดังนั้นทางอนุกรรมการฯจะเชิญตัวแทนจากธนาคาร   ซิตี้แบงก์มาชี้แจงอีกครั้งภายในสัปดาห์นี้
 
ส่วนความคืบหน้าในการตรวจสอบการเป็นนอมินีของบริษัทกุหลาบแก้วนั้น หลังจาก  ที่อนุกรรมการฯ ที่รับผิดชอบโดยนายสัก กอ  แสงเรือง กรรมการ คตส. ได้เชิญนายสุรินทร์ อุปพัทธกูร หรือดาโต๊ะสุรินทร์ นักธุรกิจสองสัญชาติไทย-มาเลเซีย ผู้ถือหุ้นบริษัทกุหลาบแก้ว ซึ่งเข้าไปซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปหลังเกิดปัญหาเรื่องนอมินีของบริษัทกุหลาบแก้ว มาชี้แจงเป็นเวลา 7 ชั่วโมงแล้ว ทางอนุกรรมการจะเชิญนายศุภเดช พูนพิพัฒน์ ผู้ถือหุ้นบริษัทกุหลาบแก้วอีกรายหนึ่งมาชี้แจงในวันที่ 29 มี.ค.นี้ หลังจากที่นายศุภเดช ขอเลื่อนการชี้แจงมาแล้วครั้งหนึ่ง
 
ขณะที่นายอภิชาต ทองอยู่ ผู้จัดทำรายการ "แกะรอยคอร์รัปชัน" รายการโทรทัศน์  ที่ทาง คตส. เป็นผู้ผลิต โดยมี คมช.เป็นผู้   สนับสนุนรายการ ออกอากาศทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 เวลา 19.30-20.00 น. เปิดเผยถึงสาเหตุที่วันที่ 17-18 มี.ค. ไม่มีรายการแกะรอยคอร์รัปชันออกอากาศ จนเป็นเหตุให้มีประชาชนสอบถามเข้ามามากว่าเกิดอะไรขึ้น ทางช่อง 5 ได้ติดต่อมาทางรายการว่า วันที่ 18 มี.ค. ทางสถานีมีรายการพิเศษ ขอยกเลิกรายการในวันอาทิตย์ และจะนำมาออกทดแทนในสัปดาห์ต่อไป แต่ถ้าทำเช่นนี้จะเป็นการล่มรายการทั้งหมด เพราะรูปแบบรายการจะมีทั้งหมด 12 ชั่วโมง
 
ผู้จัดรายการฯ กล่าวอีกว่า เป็นการเปิดเผยเบื้องหน้าเบื้องหลังการทุจริต 12 รายการที่   ทาง คตส. ดูแลอยู่ โดยในวันเสาร์ จะเป็นการ เกริ่นนำ และเนื้อหาการทุจริตจะอยู่ในช่วงวัน อาทิตย์ หากออกอากาศเหลื่อมล้ำกันเช่นนี้จะทำ  ให้ประชาชนที่เฝ้าติดตามชมรายการเกิดความสับสน ไม่ต่อเนื่อง ทางรายการจึงขอยกเลิกรายการในวันเสาร์ ที่ 17 มี.ค. ด้วย และรายการในสัปดาห์นี้จะออกในสัปดาห์หน้าต่อไป โดยจะเป็นเรื่องการทุจริตใน เรื่องบ้านเอื้ออาทร อย่างไรก็ตามประชาชนที่สนใจติชมรายการ สามารถแสดงความคิดเห็นมาที่ ตู้ป.ณ. 232 หลักสี่ กท. 10210 หรืออยากชมรายการย้อนหลัง หรือโหลดเพลง ก็ให้เข้าไปที่   เว็บไซต์ www.tracecorupp.tv ได้.
[/color]

http://www.dailynews.co.th/dailynews/pages/front_th/popup_news/Default.aspx?Newsid=121302&NewsType=1&Template=2

 
บันทึกการเข้า
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #1 เมื่อ: 19-03-2007, 10:39 »

น่าเห็นใจ อ.แก้วสรร และ คณะทำงาน คตส. ที่ได้รับการแต่งตั้งโดย คมช.

ทั้ง คมช. และ รัฐบาล ให้ปืนเพื่อไปไล่ยิง ตะกวด แต่ไม่ให้ ลูกกระสุน 

...
บันทึกการเข้า
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #2 เมื่อ: 19-03-2007, 10:52 »

เกือบหกเดือน กัยการทำงานได้ขนาดนี้ ก็นับว่าเก่งพอตัว  ถึงจะร้องกันลั่นว่า ข้าราชการใส่เกียร์ว่าง รัฐบาลไม่สนุบสนุนจริงจัง  แต่ตองอย่าลืมนะคะว่า เมื่อครั้งท่านเข้ามารับตำแหน่งกัน ท่านประกาศความมั่นใจไว้อย่างไร

อีกประการหนึ่ง ฝ่ายทักษิณนั้นเขาหาว่า การสอบสวนเอาผิดนี้ไม่ยุติธรรม มีการตั้งธงไว้แล้วว่า ต้องผิด  แต่ขณะเดียวกันฝ่ายจะถล่มทักษิณ ก็ร้องว่า ทำงานช้า ป่านนี้ไม่เห็นได้อะไรเลย รัฐบาลไม่ช่วย ไม่กำชับให้ข้าราชการเข้าช่วย   สองฝ่ายนี้เห็นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล ฝ่ายทักษิณก็จะยังคงร้องว่าถูกรังแก รัฐบาลและคมช.ใส่ความ  ฝ่ายไม่เอาทักษิณจะร้องไหมว่า นี่ขนาดรัฐบาลไม่ใส่ใจจะช่วย คมช.ทำเหมือนจะซูเอี๋ยกับทักษิณ ยังฟ้องเอาผิดกันได้ จะชื่นชม คตส. ไหม

การนำอาชญากรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม  ด้วยความยุติธรรม ต้องใช้เวลาและความอดทน ความสามารถของผู้ปฎิบัตงาน  อย่าว่าแต่ในเมืองไทยเลย อเมริกากว่าจะเอาอัลคาโปนมาเข้าคุกได้ ยังต้องใช้เวลานาน ท่ามกลางความไม่พอใจของประชาชน แต่เมื่อทำสำเร็จ ผลงานนั้นก็ไม่หนีไปไหนค่ะ 
บันทึกการเข้า
ริวเซย์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,637


Worrior in The Blue Armor


เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 19-03-2007, 11:07 »

เกือบหกเดือน กัยการทำงานได้ขนาดนี้ ก็นับว่าเก่งพอตัว  ถึงจะร้องกันลั่นว่า ข้าราชการใส่เกียร์ว่าง รัฐบาลไม่สนุบสนุนจริงจัง  แต่ตองอย่าลืมนะคะว่า เมื่อครั้งท่านเข้ามารับตำแหน่งกัน ท่านประกาศความมั่นใจไว้อย่างไร

อีกประการหนึ่ง ฝ่ายทักษิณนั้นเขาหาว่า การสอบสวนเอาผิดนี้ไม่ยุติธรรม มีการตั้งธงไว้แล้วว่า ต้องผิด  แต่ขณะเดียวกันฝ่ายจะถล่มทักษิณ ก็ร้องว่า ทำงานช้า ป่านนี้ไม่เห็นได้อะไรเลย รัฐบาลไม่ช่วย ไม่กำชับให้ข้าราชการเข้าช่วย   สองฝ่ายนี้เห็นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล ฝ่ายทักษิณก็จะยังคงร้องว่าถูกรังแก รัฐบาลและคมช.ใส่ความ  ฝ่ายไม่เอาทักษิณจะร้องไหมว่า นี่ขนาดรัฐบาลไม่ใส่ใจจะช่วย คมช.ทำเหมือนจะซูเอี๋ยกับทักษิณ ยังฟ้องเอาผิดกันได้ จะชื่นชม คตส. ไหม

การนำอาชญากรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม  ด้วยความยุติธรรม ต้องใช้เวลาและความอดทน ความสามารถของผู้ปฎิบัตงาน  อย่าว่าแต่ในเมืองไทยเลย อเมริกากว่าจะเอาอัลคาโปนมาเข้าคุกได้ ยังต้องใช้เวลานาน ท่ามกลางความไม่พอใจของประชาชน แต่เมื่อทำสำเร็จ ผลงานนั้นก็ไม่หนีไปไหนค่ะ 

พูดอีกก็ถูกอีกครับผม เห็นด้วยกับความเห็นนี้ของคุณพรรณชมพูอย่างยิ่ง

บางคนอาจติดนิสัยการทำงานของนายกคนก่อนมา แต่การดำเนินคดีนักการเมืองเรื่องคอรัปชั่นต้องใช้เวลารวบรวมหลักฐานให้รัดกุม ต้องสอบพยานบุคคล พยานเอกสาร ตรงนี้อาจจะไม่ทันใจบางคน แต่ผลงานตรงนี้เชื่อว่าไม่หนีไปไหนแน่นอน
บันทึกการเข้า

ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^


สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #4 เมื่อ: 19-03-2007, 11:08 »

วาทะกรรมของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี


           “ถึงเวลาที่เราต้องประกาศสงครามกับคอร์รัปชัน ความยากจน และยาเสพติด การประกาศสงครามก็คือว่า การต้องเรียกหาอาสาสมัครเพื่อจัดกำลังคนออกสู้รบ เพราะฉะนั้นการประกาศสงครามกับเชื้อโรค ๓ ตัว แล้วถือว่าเป็นศัตรูของชาติ ถือว่าเป็นศัตรูของลูกหลานเรา ถ้าวันนี้ใครไม่มาร่วมกันทำสงคราม ภาษานักรบ ภาษาสงครามของทางทหารเขาเรียกว่าเป็น พวกทรยศ”

          “ก็ประกาศชัดๆ อีกครั้งที่คุณหมอประเวศ วะสี บอกให้ผมประกาศ รัฐบาลภายใต้การนำของผมจะไม่ยอมการทุจริตคอร์รัปชันใดๆ เพราะฉะนั้นยินดีที่จะให้ท่านบอกเบาะแส เพียงแต่การสืบสวนชัดว่า มีการทุจริต คอร์รัปชัน เราจะดำเนินการทางการปกครองก่อนหรือทางการบริหารก่อนจนกว่าจะได้มาซึ่งหลักฐานแน่นหนาถึงจะดำเนินการทางด้านกฎหมาย ทางอาญาต่อไป เพราะฉะนั้นทันทีที่การสืบสวนค่อนข้างชัดว่า พฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต ผมไม่เอาไว้”

         “ผมเชื่อว่าการขับเคลื่อนเพื่อขจัดคอร์รัปชันให้หมดจากประเทศไทยได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่พลังนี้ต้องอย่าให้หมด อย่าให้แผ่วเราต้องทำกันต่อไป แล้วต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ทั้งภาครัฐและภาคประชาชน ถ้าเมื่อไรเราคิดจะทำงานด้านความระแวงซึ่งกันและกันก็ไม่เกิดอีก สังคมไทยเป็นสังคม ขี้ระแวง เพราะฉะนั้นถ้าระแวงเกินไปเราจะทำไม่ได้ แม้กระทั่งกับคนที่โกง บางทีต้องคุยด้วย เพื่อจะได้รู้ mentality (รู้วิธีคิด) ของคนขี้โกงว่าเป็นอย่างไร จะจับเสือไม่เข้าถ้ำเสือก็จับเสือไม่ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้อยากให้การปฏิสัมพันธ์เหล่านี้เกิดขึ้นระหว่างภาครัฐ ภาคการเมือง ภาคข้าราชการ ภาคประชาชนให้มีปฏิสัมพันธ์กันและมีการพบกัน คุยกันและออกนโยบายออกแนวทางร่วมกันในการปฏิบัติร่วมกัน แล้วจริงใจต่อกันในการทำงาน รัฐบาลนี้ไม่ต้องการทำเรื่องนี้แบบ cosmetic (ผักชีโรยหน้า) ต้องทำเรื่องนี้เป็นรูปธรรมจริงจัง เพราะจะช่วยทำให้การแก้ปัญหาของชาติง่ายขึ้นและเร็วขึ้น”

          “แล้ววันนี้คนที่บอกอาสามาเป็นรัฐบาล มาเป็นนายกรัฐมนตรี มาเป็นรัฐมนตรี มาเป็น ส.ส. มาเป็นวุฒิสมาชิก แล้วยังไม่มาร่วมทำสงครามอย่างนี้ก็ยิ่งกว่าทรยศอีก ขอขอบคุณในความกล้าหาญและเสียสละของท่านแทนประชาชนอีกครั้ง ก็ขอขอบคุณท่านผู้ใหญ่ทุกๆ ท่านที่ช่วยกันคิดและรัฐบาลจะไม่ให้ความคิดของท่านเป็นหมัน ผมขอมอบให้รัฐมนตรีฯ ยุติธรรม คือ คุณพงศ์เทพ เทพกาญจนา เป็นคนร่วมวางกรอบร่วมกับท่าน สู่ agenda เดียวกันคือ ปราบคอร์รัปชันและแบ่งงานกันทำ และติดตามในสิ่งที่ต้องแก้ไขทั้งภาคโครงสร้าง ทางการบริหาร โครงสร้างกฎหมายและโครงสร้างทางสังคม เราพร้อมจะเปลี่ยนแปลงเพื่อได้สังคมที่ดีครับ ขอขอบคุณครับ” (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ๒๗ ก.ค. ๔๔)

----------------------
http://www.pnac-2001.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=36696



ถ้าพลเอกสุรยุทธ และพลเอกสนธิ ไม่ปฏิบัติตามนโยบายของทักษิณ

ท่านก็จะถูกจัดเป็น คนทรยศ
   

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-03-2007, 11:49 โดย สมชายสายชม » บันทึกการเข้า
นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 19-03-2007, 11:38 »

คตส สู้ๆ 

คดียุบพรรค ก็ใกล้เข้ามา

คดีแม้วขึ้นศาลหลายคดีมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่แปลก

ที่กองเชียร์แม้วเลยต้องพล่านกันสุดฤทธิ์ 
บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #6 เมื่อ: 19-03-2007, 11:42 »

ระหว่างที่รอคอย มา 5-6 เดือน .............คงมีหลายคนลังเล ว่า มีการซูเอี๋ย กัน หรือ ว่าหลักฐานอาจจะหายาก จนไม่สามารถเอาผิดได้ ..........ผมเองมั่นใจมาตลอด ว่า หลักฐานต้องมีแน่ แต่ที่ไม่แน่ใจก็คือ บรรดาเหล่าข้าราชการที่เกี่ยวข้องได้ทำลายเอกสารไปมากน้อยเพียงใด..........แต่มาถึงวันนี้ เมื่อเรื่องทะยอย เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หลาย ๆ คน คงสบายใจขึ้น เพราะเชื่อมั่นในกระบวนยุติธรรมอยู่แล้ว  อีกทั้ง บรรดา คตส. เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ในเรื่องกฏหมายอยู่แล้ว ยิ่งเรื่องออกมาช้าแบบนี้ ก็เป็นบทพิสูจน์อย่างหนึ่งว่า หลักฐาน พยาน น่าจะครบถ้วน
บันทึกการเข้า
นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 19-03-2007, 11:47 »

ที่น่าห่วงอยู่ที่ ไม่รู้ใครในรัฐบาลจะใส่เกียร์ถอยนะซิครับ ต้องคอยเฝ้าระวังไว้ดีดี

เพราะที่ผ่านมาแทบทั้งรัฐบาล ส่วนใหญ่เกียร์ว่างกั้นทั้งนั้น

ให้กองเชียร์ลุ้นเหนื่อย จนหลายคนทนไม่ไหวเกียร์ว่างเลิกเชียร์ไปแล้ว
บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #8 เมื่อ: 19-03-2007, 13:41 »

นับถืออาจารย์แก้วสรรครับ

อ.แก้วสรร ไม่ใช่สนธิ หาก รัฐบาล ยังคงเกียร์ถอยหรือ ไม่ให้ความร่วมมือ

ผมคงรับไม่ได้
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #9 เมื่อ: 19-03-2007, 13:51 »

อ.แก้วสรร และคณะ คตส. มีความเคลื่อนไหว

เพราะ แพ กำลังลอยออกไปกลางน้ำ
บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
นู๋เจ๋ง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,877



« ตอบ #10 เมื่อ: 19-03-2007, 16:14 »

ให้กำลังใจค่ะ

สิ่งที่พวกมันทำไว้เนียน หาหลักฐานยาก

ทำได้เท่านี้ก็ เก่ง และต้องให้กำลังใจต่อไปค่ะ
บันทึกการเข้า

~จะแน่วแน่...แก้ไข...ในสิ่งผิด~
The Grudge โคตรผีดุ
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 86


« ตอบ #11 เมื่อ: 19-03-2007, 17:29 »

ร้องเอ๋ง ร้องเจี๊ยก ดีใจ กรี๊ดกร๊าดด กันจนคอแหบคอแห้ง หน้าเหียว ไปหมดแล้วเนี่ย

เมื่อไหร่จะเอาซะทีละครับเนี่ย
บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #12 เมื่อ: 19-03-2007, 18:28 »

ร้องเอ๋ง ร้องเจี๊ยก ดีใจ กรี๊ดกร๊าดด กันจนคอแหบคอแห้ง หน้าเหียว ไปหมดแล้วเนี่ย

เมื่อไหร่จะเอาซะทีละครับเนี่ย

เพอเรื่องขึ้นศาล ก็อย่าไปเห่าหอน แถว ๆ ศาลล่ะ ........
บันทึกการเข้า
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #13 เมื่อ: 21-03-2007, 09:01 »

เปิดรายงาน ผลการตรวจทุจริตบ้านเอื้ออาทร
 
20 มีนาคม พ.ศ. 2550 18:37:00
 
คตส.ทำการไต่สวนและกล่าวโทษโครงการบ้านเอื้ออาทร ต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายคน มีรายละเอียดดังนี้กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :

 

            โครงการบ้านเอื้ออาทร เป็นนโยบายของรัฐบาล พตท.ทักษิณ ชินวัตร  สืบเนื่องมาจากการที่นายกรัฐมนตรีได้พบเห็นโครงการ “บ้านคนจน” ในประเทศสหพันธรัฐรัสเซีย เมื่อเดือนตุลาคม  ๒๕๔๕ แล้วมอบหมายให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงการคลัง    ร่วมกันศึกษาแนวทางและความเป็นไปได้ โดยมีฝ่ายนโยบายและแผนของการเคหะแห่งชาติ ( กคช.) เป็นเจ้าของเรื่อง

              เดือน มกราคม ๒๕๔๖ หลังจากได้รับรายงานและเสนอเรื่องเข้าสู่ความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีแล้ว   รัฐบาลจึงได้รับรองและผลักดัน  “ โครงการบ้านเอื้ออาทร ”   ตามกรอบและแนวทางต่อไปนี้

 

๑)  ตั้งเป้าหมายจัดทำที่อยู่อาศัยขายให้ผู้มีรายได้น้อยที่อยู่ในเมืองทั้งประเทศประมาณ  ๑ ล้านครอบครัวจากนั้นตัดเป้าหมายจำนวน ๖ แสนครอบครัว มอบให้ กคช.รับไปจัดทำบ้านให้ลุล่วง ๖ แสนหน่วย โดยเรียกว่า “โครงการบ้านเอื้ออาทร”  จาก ปี ๒๕๔๖ - ๒๕๕๐  ล่าสุดในปี ๒๕๔๗ ได้ขอปรับแก้เป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น ๖๐๑,๗๒๗   หน่วย  จากปี ๒๕๔๖ - ๒๕๕๑

๒) ผู้มีรายได้น้อยหมายถึง ผู้มีรายได้ต่อครัวเรือนไม่เกินเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ( ณ ปี ๒๕๔๖-๒๕๔๗ )หรือไม่เกิน ๑๗,๕๐๐ บาท ( ณ ปี ๒๕๔๘ ) หรือไม่เกิน ๒๒,๐๐๐ บาท ( ณ ปี ๒๕๔๙ ) ซึ่งจะมีโอกาสได้ ซื้อบ้านเอื้ออาทรของ กคช.  เป็นขั้นเป็นตอนดังนี้

            (๑)“ผู้จอง” ลงนามจองบ้านในโครงการใดโครงการหนึ่ง    ที่มีประกาศเชิญชวนให้เข้าจอง หากโครงการนั้น   มีใบจองเกิน ๒๐๐% ของจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยที่มี  ก็แสดงว่ามีความเป็นไปได้ทางการตลาด   กคช. ก็จะอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างได้

            (๒)“ ผู้จะซื้อ” เมื่อโครงการนั้นเริ่มลงมือก่อสร้างแล้ว  กคช. ก็จะจับสลากใบจองที่มี  และเชิญผู้โชคดี มาทำสัญญาจะซื้อ  เปลี่ยนจาก “ ผู้จอง”  มาเป็น“ ผู้จะซื้อ” ผ่อนดาวน์ให้ กคช. เดือนละ ๕๐๐ บาท  จนกว่าบ้านจะแล้วเสร็จ

            (๓) “ ผู้ซื้อ”  เมื่อบ้านที่ดาวน์ไว้แล้วเสร็จ การเคหะฯ ก็จะนำเครดิตของผู้จะซื้อไปให้ธนาคารพิจารณาหากธนาคารรับรอง  กคช.ก็จะตกลงทำสัญญาขายบ้านหลังนั้นให้ แก่ผู้จะ ซื้อ ในราคาหน่วยละ ๓.๙ แสนบาท  ผ่อนส่งเดือนละ ๑,๕๐๐ - ๒,๕๐๐ บาท รวม ๓๐ ปี แล้ว กคช.ก็จะนำสิทธิเรียกร้องนี้ไปขายให้แก่ธนาคาร   ให้ธนาคารเข้ามารับความเสี่ยงเป็นเจ้าหนี้แทน    ส่วนกคช. ก็จะนำเงินที่ได้ไปเป็นรายได้ของโครงการเพื่อชำระหนี้เงินกู้ ที่กู้มาลงทุนพัฒนาโครงการ จากธนาคารต่างๆ ต่อไป

๓.)  ในด้านการเงินนั้น รัฐบาลได้วางกรอบให้ขายบ้านพร้อมที่ดินแก่กลุ่มเป้าหมาย ในราคา หน่วยละ  ๓.๙ แสนบาท จากต้นทุนจริง หน่วยละ ๔.๗ แสนบาท  (มาจากเงินอุดหนุนของรัฐ ๘๐,๐๐๐ บาทและเงินกู้ โดย กคช.)   ต้นทุนจริงนี้เมื่อหักค่าบริหารจัดการของ  กคช. ๕ หมื่นบาทแล้วก็จะเหลือเนื้อเงินลงทุนจริง    ที่ต้องใช้เป็นค่าที่ดิน และค่าก่อสร้าง ทั้งปวงต่อไป  หน่วยละ ๔.๒ แสนบาท รวมวงเงินลงทุนทั้งหมด     ในโครงการเป็นเงิน ๒๗๓,๒๐๙.๑๒๕ ล้านบาท แยกเป็นเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ๕๐,๗๑๕.๙๒๖         ล้านบาท และเงินกู้จำนวน ๒๒๒,๔๙๓.๑๙๙ ล้านบาท

 

สัญญาจ้างเหมาที่ใช้ในโครงการ

            จากการตรวจสอบ ได้พบพัฒนาการของสัญญาในโครงการบ้านเอื้ออาทร เป็นสามระยะ ดังนี้

                ระยะจ้างเหมาก่อสร้างเท่านั้น    การเคหะนำที่ดินของ การเคหะเองหรือจัดหาที่ดินเอง  แล้วออกแบบวางผัง  จากนั้นจึงทำการตลาด  คือโฆษณาหาลูกค้าในพื้นที่รอบโครงการมาลงนามในใบจอง   หรือ                                                                   Pre  Sale  ให้ได้ ๒๐๐% ก่อน   แล้วจึงว่าจ้างสัญญานี้ใช้ในโครงการระยะ ๑ - ๒ ปี ๒๕๔๖ -๒๕๔๗    เกิดสัญญา   สร้างบ้านประมาณ ๖ หมื่นหน่วย  ต่อมาเห็นว่าล่าช้าไม่เป็นไปตามเป้าหมาย  จึงเปลี่ยนมาเป็นสัญญาเทอร์นคีย์

 

                ระยะเทอร์นคีย์เฉพาะโครงการ การเคหะมอบให้เอกชนนำโครงการมาเสนอขาย เริ่มจากที่ดินที่เข้าเงื่อนไขและแบบแปลนจำนวนใบจอง ๒๐๐%  แล้วจึงให้ลงมือก่อสร้างจนแล้วเสร็จ มีการ ต่อรองราคารับซื้อต่อหน่วยแปรผันตามราคาที่ดินที่ประเมิน เฉลี่ยราคารับซื้อหน่วยละ ๔ แสน พบว่าได้หมู่บ้านต้นทุนแพงขึ้น แต่

ทำเลไกลกว่าเดิม  สัญญานี้ใช้ในโครงการระยะที่ ๓ -๔ ปี ๒๕๔๗-๒๕๔๘ ได้สัญญาสร้างบ้านประมาณ ๑.๔ แสนหน่วย  ต่อมาเห็นว่าล่าช้าอยู่ดี  จึงเปลี่ยนมาเป็นสัญญาเทอร์นคีย์ เหมาโควต้า

             ระยะเทอร์นคีย์เหมาโควต้า  เป็นระยะที่สุ่มเสี่ยงต่อความเสียหายและความทุจริตอย่างยิ่ง เกิดจากการผลักดันด้วยน้ำมือของนายวัฒนา เมืองสุข รัฐมนตรีผู้ดูแลในช่วง ๒๕๔๘-๒๕๔๙  ที่ให้เหตุผลว่าต้องการ             ๑๐๐๐ หน่วย    นำเป้าหมาย ๔ แสน หน่วยที่ล่าช้าอยู่       มาจัดสรรแบ่งเป็นโควต้าให้เอกชนแต่ละรายรับเป็นเป้าหมายจัดสรรให้ครบถ้วนภายในปี ๒๕๕๑ โดยขณะที่ได้สัญญาเหมาโควต้านั้น ยังไม่จำเป็นต้องมีที่ดินในมือเลย เมื่อได้สัญญาโควต้าแล้ว       จึงจะทยอยหาที่ดินแปลงต่างๆ   มาเสนอ ทำสัญญาเหมาเบ็ดเสร็จจัดสรรเป็นแปลงๆ  ไปอีกครั้งหนึ่ง      เช่น ๓ โครงการ โครงการละ ๑,๐๐๐- ๗๐๐ และ ๘๐๐  จนครบ โควต้าที่ได้ไว้

๒,๕๐๐ หน่วย เป็นต้น   สัญญาเหมาโควต้าให้รับจ้างเหมาจัดสรรโดยระบบเทอร์นคีย์นี้จะเหมาราคาให้ตายตัวหน่วยละ ๔.๒ แสนบาท ไม่มีการตรวจสอบราคาที่ดินอีกต่อไป  ผู้ได้โควต้าต้องวางประกันว่าจะจัดสรรจนครบในวงประกัน ๕% ของมูลค่างานทั้งหมด   และเมื่อ  มีแผนงานรายปีมาเสนอแน่นอนแล้ว ว่ามีโครงการกี่หน่วย  ก็จะเบิกเงินล่วงหน้าได้ไม่เกิน ๑๕%  เพื่อนำไปจัดหาที่ดินและพัฒนาโครงการมาเสนอทำสัญญาเทอร์นคีย์ เฉพาะโครงการต่อไป

ช่องทางทุจริต

            จากการตรวจสอบโดยรวมได้พบว่า  เมื่อนำสัญญาทั้งสามรูปแบบมาปรับใช้กับโครงการ  โดยแต่ละสัญญาก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันดังเช่นที่กล่าวมาแล้ว    ก็ได้ปรากฏพฤติการณ์ทุจริตเกิดขึ้นตามช่องทางดังต่อไปนี้

            ข้อหนึ่ง  ในระยะแรกที่จ้างเอกชนสร้างหมู่บ้านบนที่ดินของการเคหะเท่านั้นนั้น     ก็ไม่มีช่องทางทุจริตอะไรเป็นพิเศษมากไปกว่าสัญญาเหมาก่อสร้างธรรมดา

              ข้อสอง. พอ ย่างเข้าสู่ระยะที่สองที่เหมาให้ คู่สัญญาหาที่ดิน  หาคนจอง    และออกแบบกับก่อสร้างด้วยนั้น    ช่องว่างที่มุ่งจะหาที่ดินราคาถูกมาเสนอขายเป็นโครงการให้แก่รัฐจึงเปิดกว้างขึ้นทันที   กล่าวคือ

                 การพอกราคาที่ดิน” จากการตรวจสอบคดีในมือที่เรียกว่า “ คดีพอกราคาที่ดิน ๓ คดี” ( อยู่ในระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน)ได้พบว่า   เกิดการจับกลุ่มของเจ้าหน้าที่และผู้บริหาร   รับติดต่อกับนายหน้าค้าที่ดิน   พอกส่วนต่างราคาที่ดินที่เกินจริงลงไปในแปลงที่ดินเป้าหมาย        ตามการเจรจาแบ่งประโยชน์ให้แก่ทั้ง นายหน้า, เจ้าหน้าที่ตรวจสอบที่ดินและโครงการ, ผู้บริหาร,นักการเมืองและผู้รับเหมา  เมื่อได้ส่วนแบ่งที่ตกลงกันได้แล้ว  ที่ดินรังสิตคลองเก้า  ๑๐๐ ไร่  ราคา ไร่ละ ๕ แสนบาท   ก็สามารถแปลงร่างเป็นโครงการเทอร์นคีย์   มีราคาที่ดิน ไร่ละ ๑ ล้านบาท ไปได้ในที่สุด

             “ กลไกประเมินราคาที่ดิน”         ส่วนการประเมินราคาที่ดินที่กำหนดให้เป็นกลไกตรวจสอบราคาจริงนั้นคณะกรรมการตรวจสอบก็ได้พบทั้งการปลอมสมุดประเมินราคาที่ดินของบริษัทประเมิน  หรือพบการอ้างอิงเป็นเท็จถึง ๓๒  โครงการ รวมเรียกว่า “คดีประเมินราคาที่ดินเป็นเท็จ” ขณะนี้กำลังตรวจสอบเบื้องต้น

              “ ดีมานด์เทียม” กลไกสุดท้ายที่จะช่วยเป็นหลักประกันให้แก่รัฐได้ว่า   การลงทุนว่าจ้างจัดสรรในแต่ละโครงการจะมี ลูกค้าคอยซื้อบ้านอยู่จริง ก็คือ  ระบบจองล่วงหน้าที่ กำหนดให้ผู้รับเหมาต้องโฆษณาหาลูกค้าจองบ้านให้ได้ครบ ๒๐๐% เสียก่อนและหากไม่ครบ การเคหะก็จะไม่รับซื้อโครงการ    จากการตรวจสอบก็ได้พบว่าโครงการตามสัญญาเทอร์นคีย์นี้     เมื่อจับสลากเรียกบุคคลที่มีชื่อในใบจองมาทำสัญญาจะซื้อบ้านและผ่อนดาวน์นั้น   ก็กลับมียอดทิ้งใบจองสูง เกิน ๕๐%  หลายโครงการ ครั้นต้องการจะตรวจสอบหาหลักฐานการจองที่แท้จริงก็กลับมีคำสั่งให้ทำลายเอกสารใบจอง จนหมดสิ้นหลายโครงการ

               พฤติการณ์ทุจริต นำที่ดินราคาถูก  ไร้ศักยภาพการลงทุน   ไม่มีลูกค้าที่แท้จริง       มาแปลงเป็นโครงการจอมปลอม    โดยอาศัยอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่หลายระดับ    จึงเกิดขึ้นอย่างชัดเจน     และเกิดจากการออกแบบสัญญา   ที่สร้างการเหมาเบ็ดเสร็จอย่างไม่สมเหตุผล  และควบคุมไม่ได้    ยังความเสียหายเป็น  บ้านจัดสรรในทำเลรกร้างห่างไกลที่ไม่มีทางจะขายได้    หรือฝืนสร้างไปทั้งๆ ที่ไม่มีลูกค้าอยู่ในมือ      หรือสร้างไปทั้งๆ ที่ไม่มีทางจะแล้วเสร็จเพราะนายหน้าทั้งปวงได้ชักส่วนต่างไปเป็นของตนจนหมดสิ้น    แล้วทิ้งงานให้อยู่ในมือผู้รับเหมาช่วงในวงเงินที่ไม่มีทางจะสร้างได้จนทุกวันนี้     ทั้งหมดนี้คือความเสียหายหลายรูปแบบที่เกาะกินเป็นวิกฤตโครงการเอื้ออาทรในทุกวันนี้

              ข้อสาม  กระบวนการทุจริตได้ก่อคดีพิศดารไว้คดีหนึ่ง  คือ“คดีโครงการ ร่มเกล้า- บางพลี ”  ที่กลุ่มผู้ทุจริตได้สมคบกัน  ซื้อที่ดินของการเคหะเอง ราคาจริง ๔๑๐ ล้าน  แต่ซื้อในราคา ๖๐๐ ล้านมาแปลงเป็นโครงการจ้างเหมาเบ็ดเสร็จ  มูลค่า ๔,๘๙๘ ล้านแล้วขายคืนการเคหะพอกส่วนต่างซ่อนไว้ประมาณ ๓๘๗ ล้านบาท  เป็นกำไรของเอกชน ๑๙๗ ล้าน (๑๒%)  เป็นกำไรที่ดินเข้าการเคหะ ๑๙๐ ล้านบาท     แล้วผู้บริหารก็นำรายได้จากการขายที่ดินทั้งหมดไปกล่าวอ้างทางบัญชีแบ่งเป็นโบนัสให้พนักงานโดยมิชอบ ๕๒ ล้านบาท ในที่สุด          ซึ่งคณะอนุกรรมการจะได้นำเสนอผลการตรวจสอบต่อ คตส.ภายในมีนาคมนี้อีกเช่นกัน                             ข้อสี่  สัญญาเหมาโควต้าให้เหมาเบ็ดเสร็จในระยะสุดท้ายนั้น  ถือเป็นวิวัฒนาการขั้นสูงสุดของ กระบวนการทุจริตโดยสัญญาเหมาเบ็ดเสร็จ ที่นำเป้าหมายที่เหลือทั้งหมดมาประกาศแบ่งสรรให้เอกชนมาแบ่งปันกันไป   ในราคาตายตัวหน่วยละ ๔.๒ แสนบาท  ไม่มีการตรวจสอบราคาประเมินที่ดินอีกต่อไป  ระบบนี้คือระบบที่เปิดช่องให้แก่การพอกส่วนต่างราคาที่ดินอย่างเต็มที่   และประกันราคารับซื้อโครงการทุกแปลง

ทุกแห่งในราคาตายตัวเต็มพิกัดที่รัฐบาลวางไว้คือ ๔.๒ แสนบาท


                กำไรที่เปิดกว้างเห็นชัดเช่นนี้นี่เอง   คือจุดดึงดูดใจ       ให้เกิดกระบวนการเจรจา แบ่งสรรโควต้าให้แก่บริษัทต่างๆ    อย่างรวบรัดไร้หลักเกณฑ์          แล้วจ่ายเงินล่วงหน้า ๑๕%  ของมูลค่างานปีแรกตามที่กล่าวอ้างในในทันที    นำมาซึ่งข้อครหาไปทั่ววงการว่า  เป็นสัญญาที่นักการเมืองได้ออกแบบเพื่อเรียกค่าหัวคิวทั้งโครงการที่เหลืออยู่ ๔.๒ แสนหน่วย  ในราคาหน่วยละ๑ - ๑.๕ หมื่นบาทในที่สุด    ซึ่งคณะอนุกรรมการตรวจสอบ ก็มีปากคำพยานที่ยืนยันถึงการเรียกร้องค่าหัวคิวนี้อยู่ ๑ โครงการ    และที่เป็นคดีถึงขั้นจ่ายเงินค่าหัวคิว  ๘๑ ล้านบาท คตส.ติดตามได้ถึงระดับฟอกเงินอยู่ ๑ คดี คือ“คดีบริษัทพาสทิญ่า”  ที่พร้อมจะสรุปเสนอต่อ คตส.ได้ใน มีนาคมนี้

            ข้อห้า  ต่อคำถามที่ว่า  หากกระบวนการเรียกร้องค่าหัวคิวโควต้า  ๔ แสนหน่วย   ในราคาหน่วยละ ๑ - ๑.๕ หมื่นบาทนี้มีอยู่จริงแล้ว    ผู้รับเหมาจะมีกำไรเหลือจากการรับจ้างจัดสรรรายโครงการตามโควต้านั้นหรือไม่นั้น   ผลการตรวจสอบได้พบว่า     โครงการจัดสรรในระยะโควต้านี้  มีอัตราความหนาแน่น คือจำนวนหน่วยบ้านต่อไร่  เพิ่มขึ้นกว่าเดิม ประมาณ ๒๐%  กรณีจึงเห็นได้ชัดเจนว่ากระบวนการทุจริตได้อาศัยการเพิ่มจำนวนหน่วยในแต่ละโครงการเพื่อเพิ่มราคาโครงการ      จนสามารถมีรายได้คุ้มค่าหัวคิวและเหลือเป็นกำไรในส่วนของตนได้อีกก้อนหนึ่งหมู่บ้านในระยะเทอร์นคีย์เหมาโควต้านี้      จึงนอกจากจะอยู่ไกลจนได้ต้นทุนที่ดินต่ำแล้ว    ก็ยังมีอัตราความหนาแน่นสูง   อาคารอยู่ชิดติดกันและมีพื้นที่ส่วนกลางน้อยอย่างเห็นได้ชัด

             ผลประโยชน์ในแต่ละโครงการ  ที่จะได้จากสัญญาเทอร์นคีย์เหมาโควต้านี้  มีมูลค่าสูงกว่าสัญญาเทอร์นคีย์เฉพาะโครงการมาก ดังจะเห็นได้จากพฤติการณ์ที่  ในต้นปี ๒๕๔๘ เมื่อเริ่มนำระบบนี้มาใช้นั้น ในขณะนั้นก็มีโครงการเทอร์นคีย์ธรรมดาที่  บอร์ดการเคหะได้อนุมัติแล้วแต่อยู่ในระหว่างรอทำสัญญาและแผนงานโดยละเอียดอยู่ ๑๐ โครงการ    แต่เมื่อเกิดระบบเทอร์นคีย์โควตาที่ให้ราคาเหมาแน่นอน หน่วยละ ๔.๒ แสนบาท อีกทั้งยังไม่ควบคุมความหนาแน่นโดยเข้มงวดเช่นนี้     กลุ่มผู้ทุจริตก็ได้สมคบกันเปิดโอกาสให้ผู้รับเหมาทั้ง ๑๐ โครงการ มีสิทธินำที่ดินแปลงเดิมมาปรับปรุงเป็นข้อเสนอเข้าสู่ระบบใหม่ได้    โดยแต่ละรายต่างก็พากันเพิ่ม ราคาที่ดินลงไปในที่แปลงเดิม  และเพิ่มบ้านลงไปอีกจนแออัด  แล้วได้ราคาต่อหน่วยเพิ่มขึ้นอีก      รวมคิดเป็นเงินที่รัฐต้องจ่ายซื้อโครงการเดิมในราคาใหม่ ในคุณภาพที่ต่ำกว่าเดิม   ทั้ง ๑๐ โครงการ  ประมาณ  ๕๐๐ ล้านบาท   ทั้งหมดนี้  กลุ่มผู้สมคบได้พยายามทุจริตอย่างถึงที่สุด    แม้จะเกิดรัฐประหารแล้ว  ก็ยังบังอาจประชุมคณะกรรมการกลั่นกรอง  และคณะกรรมการการเคหะ  เพื่ออนุมัติให้แปลงโครงการจนนาทีสุดท้าย( ดู เอกสารแนบหมายเลข ๑ ) ซึ่งความผิดในส่วนนี้อาจรวมเรียกว่า“คดีแปลงโครงการโดยทุจริต” ยังอยู่ระหว่างรอตรวจสอบ  เพราะกำลังเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ

                ข้อหก  ผลการตรวจสอบโดยถี่ถ้วนของพนักงานเจ้าหน้าที่พบว่า    กรอบระเบียบที่บกพร่องเปิดช่องต่อการทุจริตอย่างง่ายดาย ในระยะเทอร์นคีย์เหมาโควต้านี้    เกิดจากการผลักดันและควบคุมโดยใกล้ชิดของรัฐมนตรีและผู้ว่าการเคหะ    ดำเนินการร่างข้อกำหนด  ประชุมผู้รับเหมา และคัดสรรไป     โดยมิได้สนใจศึกษาตรวจสอบปัญหาข้อกฎหมายต่างๆ  เลย  ครั้นเมื่อต้องลงนามในสัญญา ก็จำเป็นต้องนำร่างสัญญาไปปรึกษาเจรจากับทางสำนักงานอัยการสูงสุด  และทางอัยการก็มีข้อท้วงติงหลายข้อ  พร้อมเสนอให้มีแนวปฏิบัติที่รัดกุมคอยกำกับปัญหาไว้หลายประการ แต่ผู้รับผิดชอบกลับมิได้นำข้อยุตินั้นมาปฏิบัติอย่างจริงจัง    คงปล่อยให้ความเสียหายต่างๆ  บังเกิดขึ้นเป็นโครงการๆ ไปโดยต่อเนื่อง    คณะอนุกรรมการจึงมีความเห็นว่า    ในชั้นท้ายที่สุดแล้ว ก็ควรประมวลความเสียหายที่เกิดขึ้นและตรวจพบได้  มารวมฟ้องเป็นคดีให้ผู้รับผิดชอบ   ต้องชดใช้ความเสียหายต่อรัฐ เป็นอีกคดีหนึ่งในชั้นที่สุดด้วย

กระบวนการทุจริต

            คณะอนุกรรมการเห็นควรให้ตรวจสอบพฤติกรรมทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรในสัญญาเทอร์นคีย์เท่านั้นซึ่งก็จะแบ่งได้เป็นสองกระทงคือในชั้นอนุมัติรายโครงการ และชั้นอนุมัติโควต้า  ได้พบกระบวนการทุจริตดังนี้ คือ

            ข้อหนึ่ง. กระบวนการทุจริตอนุมัติเทอร์นคีย์รายโครงการ

            งานหาที่ดินและพัฒนาโครงการ   งานในส่วนนี้ส่วนใหญ่จะตกอยู่กับขบวนการนายหน้า   ที่จะลงทุนแสวงหาที่ดินเป้าหมายแล้วพัฒนาเป็นรูปเล่มโครงการ    มีแผนแม่บทพร้อมต้นทุนโดยสังเขป  แล้วนำมาเสนอต่อกระบวนการทุจริตในการเคหะ      เมื่อผู้รับผิดชอบเห็นว่าเป็นไปได้ก็จะรับติดต่อประสานงานกับเครือข่ายในการเคหะ แล้วเจรจาเรียกบริษัทรับเหมามานำเสนออีกครั้งหนึ่ง

            อีกรูปแบบหนึ่งจะเป็นรูปแบบที่นักการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ทุจริตกับบริษัทจะร่วมกันไปเจรจาหาที่ดินด้วยตนเองโดยไม่ผ่านนายหน้า    แล้วให้บริษัทนั้นนำเสนอโครงการด้วยตนเอง

            รูปแบบสุดท้ายที่พิสดารมาก  คือกรณีที่กระบวนการทุจริตในการเคหะ  สมคบกับบริษัทนำที่ดินของการเคหะมาเสนอเป็นโครงการเอง เช่นกรณีโครงการร่มเกล้า - บางพลี เป็นต้น

            ช่องทางทั้งสามรูปแบบนี้   จะมีฐานทุจริตอยู่ที่งานตรวจสอบที่ดินในหน่วยธุรกิจทั้งสี่หน่วย       ประสานตรงกับผู้บริหารใหญ่ในสำนักงานใหญ่  เมื่อได้รับไฟเขียวก็จะผลักดันก้าวข้ามขั้นตอนตรวจสอบที่วางไว้   มุ่งตรงไปสู่ สำนักงานผู้ว่าการเคหะฯ และบอร์ดการเคหะในที่สุด

            งานรับและเสนอขออนุมัติโครงการ  คณะอนุกรรมการได้พบว่า  การตรวจสอบเนื้อหาและขั้นตอนความถูฏต้องในแต่ละโครงการโดยส่วนกลางคือสำนักงานผู้ว่าการเคหะนั้นไม่มีแม้แต่น้อยทุกโครงการที่เสนอมาจะรับและรวมนำเสนอต่อบอร์ดการเคหะ  โดยบอร์ดการเคหะจะสร้างกลไกเรียกว่า   “ คณะกรรมการกลั่นกรอง”

ประกอบด้วยบอร์ด ๔ คน และผู้ว่าการเคหะอีก ๑ คน   รับฟังข้อเสนอโครงการจากหน่วยธุรกิจต่างๆ     จนลุล่วง

โดยมีกรอบการตรวจสอบจำกัดแต่เฉพาะ เกณฑ์หยาบๆ   เช่น ที่ดินมีน้ำไฟถึงหรือไม่     ใบจองครบหรือไม่  ใบประเมินที่ดินครบหรือไม่   ความหนาแน่นอยู่ในเกณฑ์หรือไม่  เพียงนี้เท่านั้น   ส่วนการตรวจสอบในเชิงคุณภาพ

เช่น โครงการนี้ผ่านการตรวจสอบราคาที่ดินหรือไม่มีการลงพื้นที่ประเมินศักยภาพที่ดินได้ความเห็นเป็นประการใด   ใบจองบ้านที่ได้มามีสักขีพยานเพียงใดฯ   ทั้งหมดนี้จากเท่าที่ได้ตรวจสอบรายงานการประชุมมาก็มิได้เคยมีการตรวจสอบและกลั่นกรองอย่างจริงจังแม้แต่น้อย

            งานอนุมัติโครงการ  เป็นงานในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเคหะ ที่ได้ตรวจสอบพบว่ามีข้อพิจารณาแต่เฉพาะปัญหาที่คณะกรรมการกลั่นกรองขอคำวินิจฉัยเท่านั้น  เช่นปัญหาความสูงของอาคารในพื้นที่สีเขียวเป็นต้น    ส่วนปัญหาอื่นใดถ้าคณะกรรมการกลั่นกรองหรือฝ่ายบริหารไม่ขอปรึกษาแล้ว  ก็ไม่พบการหยิบยกท้วงติง หรือให้ตรวจสอบในโครงการใดเลย

                ภาพรวม  โดยภาพรวมที่กล่าวมา   กระบวนการทุจริตจึงฝังตัวและก่อตัวอยู่ในระดับ รับและนำเสนอโครงการ  ประสานกับแกนอำนาจบริหาร      จากนั้นจึงอาศัยงานกลั่นกรองที่มีแกนบอร์ดฝังตัวคอยประทับตรา

รับรองความถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง ก็เป็นอันเพียงพอ

            ข้อสอง.กระบวนการทุจริตอนุมัติโควต้าเทอร์นคีย์

            งานผลักดันกฎระเบียบ     ในช่วงใช้สัญญาเทอร์นคีย์เฉพาะโครงการนั้น   การเคหะยังมีกฎระเบียบและขั้นตอนที่คอยควบคุมรักษาประโยชน์ของราชการอยู่    แต่เมื่อใช้สัญญาเทอร์นคีย์เหมาโควตาแล้ว   ขั้นตอนเหล่านี้ก็ได้ถูกทำลายหายไปสิ้น  กล่าวคือ

                ๑.คุณสมบัติคู่สัญญา  เดิมทีจะมีการขึ้นบัญชีผู้รับเหมาที่มีศักยภาพ      มีผลงานก่อสร้างในอดีตที่น่าเชื่อถือมีประสบการณ์การก่อสร้างในระบบอุตสาหกรรม  ให้มีสิทธิเสนอโครงการได้    แต่เมื่อเข้าสู่ระบบเทอร์นคีย์เหมาโควต้าแล้ว  ระบบนี้ได้หายไป เปิดกว้างให้แก่เอกชนอย่างหละหลวม  โดยกำหนดเฉพาะขนาดของทุนจดทะเบียนบัญชีรายการบุคลากร ทั้งวิศวกร หรือสถาปนิก ที่ใช้ในโครงการเท่านั้น      ซึ่งล้วนเป็นเกณฑ์ลอยๆ  และไม่มีการตรวจสอบโดยแท้จริงเลย ทำให้ได้บริษัทที่ทำตนเป็นเพียงนายหน้า หรือจับเสือมือเปล่า เข้ามามากมายในที่สุด

                คณะอนุกรรมการตรวจสอบได้พบว่า ด้วยเกณฑ์ที่เปิดกว้างเช่นนี้  แทนที่จะมีบริษัทต่างๆ  เสนอตัวเข้ามาโดยมากมาย   แต่กลับมีบริษัทเสนอตัวเข้ามาน้อย  และได้สิทธิเกือบทุกบริษัท  ซึ่งผู้รับผิดชอบก็พยายามอธิบายว่า   เป็นเพราะการเคหะเรียกหลักประกันสูง ถึง ๕% ของงานที่เสนอขอโควต้า ( จำนวนหน่วย x ๔.๒ แสนบาท )

ก็ตาม  แต่จากการตรวจสอบก็พบพยานหลักฐานเป็นปากคำของบริษัทรับเหมาผู้สนใจว่า  เหตุผลแท้จริงนั้นอยู่ที่ ต้นทุนค่าหัวคิวที่สูงมาก   ทำให้ต้องได้โควต้าจำนวนมากจึงจะคุ้มทุน  ซึ่งก็ทำให้มูลค่าโควต้าสูง จนเกินกว่าจะ

หาหลักประกันธนาคารได้     ส่วนบริษัทเล็กๆ ที่ขอโควต้าน้อยๆ ที่กล้าเสนอมาโดยสุจริต  และไม่ยอมเจรจาค่าหัวคิวนั้น    ก็พบอยู่ ๑ ราย    ที่ไม่ได้รับอนุมัติโควต้าอยู่จนบัดนี้

                ๒.  การตรวจสอบราคาที่ดิน   ในช่วงที่ให้เอกชนหาที่ดินมาเสนอเป็นรายโครงการนั้น การเคหะยังมีมาตรการตรวจสอบราคาที่ดินที่แท้จริงอยู่โดยจะมีบริษัทประเมินราคาที่ดินของตนเองเพื่อตรวจสอบราคาประเมินของผู้รับเหมาอีกชั้นหนึ่ง  หากพบว่าสูงเกินไป ก็จะต่อรองให้ลดราคาต่อหน่วยลงจากที่เสนอไว้  แต่เมื่อใช้ระบบเทอร์น์คีย์เหมาโควต้าแล้ว กลับปรากฏว่าได้เหมาราคาให้แน่นอน ๔.๒ แสนบาท   พร้อมกับยกเลิกการตรวจสอบราคาที่ดิน    จนเปิดโล่งต่อการพอกราคาที่ดินและการต่อรองราคารับซื้อในที่สุด

                ๓. การกำหนดความหนาแน่นของหมู่บ้าน  ผู้รับผิดชอบได้พยายามอธิบายต่อคณะอนุกรรมการว่า          ในระบบเทอร์นคีย์เหมาโควต้านี้   หากพบว่าราคาที่ดินสูงเกินจริงก็จะตัดสินให้มีจำนวนหน่วยน้อยลง      ทำให้ได้หมู่บ้านที่ไม่หนาแน่น สมราคา ๔.๒ แสนบาท       แต่จากการตรวจสอบได้พบว่า หมู่บ้านในระบบนี้กลับได้รับอนุมัติด้วยความหนาแน่นที่เพิ่มขึ้นจากเดิม ระหว่าง ๑๐ - ๒๐ %   การลดความหนาแน่นที่กล่าวอ้างนั้น แม้จะมีอยู่จริงในบางโครงการ     ก็เป็นการลดจากข้อเสนอที่สูงลิ่วมาเป็นความหนาแน่นเต็มพิกัดที่วางไว้เท่านั้นเอง

            ๔. การจ่ายเงินล่วงหน้า  ๑๕%  เดิมทีในชั้นแจกโควต้านั้น       ก็ได้เปิดกว้างไว้ว่าคู่สัญญามีสิทธิเบิกเงินล่วงหน้าได้ ๑๕% ของมูลค่างานในโควต้าทั้งหมด      แต่ครั้นเมื่อเสนอร่างสัญญาให้อัยการสูงสุดตรวจสอบทางอัยการก็ท้วงติงข้อกำหนดนี้อย่างแข็งขัน    ผู้รับผิดชอบก็ได้อธิบายต่ออัยการว่าแท้ที่จริงนั้นผู้ขอโควตาจะมีที่ดินเป้าหมายอยู่ในมือแล้ว แต่ไม่อาจระบุได้เพราะยังไม่อาจเจรจาหรือออกแบบให้แน่นอนได้จำต้องได้เงินล่วงหน้า

ไปเจรจา วางมัดจำและออกแบบก่อน ทางอัยการจึงยอมอนุโลมโดยกำหนดไว้ในสัญญาว่า   การจ่ายเงินล่วงหน้า๑๕ %  ให้กระทำได้   เมื่อคู่สัญญามีแผนงานมาเสนอให้เห็นจริงเท่านั้นและได้กำหนดเงื่อนไขนี้ไว้ในสัญญาในที่สุด   

            งานอนุมัติโควต้าและเงินล่วงหน้า   ด้วยกฎระเบียบที่เปิดกว้างต่อการใช้ดุลพินิจเช่นที่กล่าวมา  การให้โควต้าและเงินล่วงหน้าในระบบเทอร์นคีย์เหมาโควต้า จึงเปิดช่องต่อการทุจริตเรียกค่าหัวคิวอย่างไร้ขอบเขต

                    คณะอนุกรรมการได้ตรวจสอบพบว่า  รัฐมนตรีในขณะนั้นได้ใช้อำนาจเปลี่ยนตัวบุคคลในบอร์ดการเคหะ ทั้งๆที่ยังไม่ครบวาระ        แล้วแต่งตั้งผู้คุ้นเคยเข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญทั้งประธานบอร์ด และประธานคณะกรรมการกลั่นกรอง    แล้วแต่งตั้งบุตรชายประธานคณะกรรมการกลั่นกรองเป็นผู้ช่วยเลขารัฐมนตรี  จากนั้นรัฐมนตรีผู้นี้ก็ได้เข้าร่วมประชุมสั่งการ บอร์ดการเคหะ และทีมผู้บริหารด้วยตนเอง   ทั้งหลักการและร่างระเบียบข้อบังคับต่างๆ  ให้ต้องผ่านความเห็นชอบของตนเองก่อน   มีการเรียกประชุมชี้แจงบริษัทผู้สนใจด้วยตนเอง  แล้วเร่งให้มีการจัดสรรโควต้าโดยเร่งรัดอย่างยิ่งพฤติการณ์ทั้งหมดนี้  เมื่อผนวกกับหลักฐานในคดี “ โครงการพาสทีญ่า”  ว่า   รัฐมนตรีเป็นผู้สั่งการให้นำข้อเสนอขอโควต้าของบริษัทนี้  เข้าคณะกรรมการกลั่นกรองโดยไม่ต้องตรวจสอบ    และพบการจ่ายเงิน ๘๑ ล้านจากเงินล่วงหน้าที่บริษัทพาสทีญ่าได้รับไปยังขบวนการฟอกเงิน  โดยมีคำรับจากกรรมการบริษัทว่าเป็นเงินค่าหัวคิวแล้ว    คณะอนุกรรมการจึงต้องสรุปว่าสัญญาเหมาโควต้านี้  แท้ที่จริงคือโครงการที่ออกแบบ และลงมือเพื่อทุจริต เรียกรับค่าโควต้านั่นเอง

 

อ.แก้วสรร หรือ ที่ถูกเยาะถากถางว่า เป็น แก้วหน้าม้า.......ที่วัน ๆ ดีแต่พูดไม่มีปัญญาเอาผิด วันนี้ทำสำนวน รายละเอียด การตรวจสอบ ทุกขั้นตอน.......ถ้ารออีกหน่อย ....รัฐบาลขิงแก่ให้ความสนับสนุนมากขึ้นซักหน่อย อ.แก้วสรร คงได้ยิงตะกวด ตัวใหญ่แบบ เผาขน
 
 
บันทึกการเข้า
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #14 เมื่อ: 21-03-2007, 23:16 »

ชวน” วอน “สุรยุทธ์” ยื่นมือช่วย คตส. - งัดข้อมูลโค่น “แม้ว” 
 
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 21 มีนาคม 2550 16:13 น.
 
 
        “ปธ.สภาที่ปรึกษาพรรค ปชป.” แนะ “สุรยุทธ์” ยื่นมือช่วย คตส.ง้างข้อมูลหน่วยงานรัฐโค่น “ระบอบทักษิณ” ให้สิ้นซาก พร้อมขอสงวนสิทธิ์งดประเมินผล คมช.-รัฐบาล เชื่อเข้ามาบริหารประเทศด้วยความตั้งใจจริง
       
       วันนี้ (21 มี.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ประเมินการทำงานครบรอบ 6 เดือนของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ว่า ไม่สามารถประเมินได้ แต่เชื่อว่า คมช.และรัฐบาล มีความตั้งใจในการเข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศ ทั้งนี้ ตนเป็นห่วงความล่าช้าในการแก้ปัญหาเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ที่ยังคงมีเหตุการณ์รุนแรงอยู่ ซึ่งรัฐบาลควรมีมาตรการที่เด็ดขาดนอกเหนือจากแนวทางสมานฉันท์ และการแก้ปัญหาภาคใต้ควรเป็นหน้าที่หลักของรัฐบาล ไม่ใช่มอบหมายให้เป็นหน้าที่หลักของ คมช.เพราะรัฐบาลมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการแต่งตั้งข้าราชการประจำในพื้นที่รวมถึงนโยบายในการแก้ปัญหาซึ่งเชื่อว่าสามารถแก้ปัญหาได้
       
       “ผมได้ลงไปในพื้นที่ พบว่ามีความหละหลวมในการตั้งด่านตรวจค้น โดยเฉพาะรถบรรทุกวัสดุก่อสร้าง เพราะสามารถที่จะซุกซ่อนอุปกรณ์ที่จะนำไปประกอบเป็นวัตถุระเบิดได้ ขณะที่เจ้าหน้าที่อ้างว่า การตั้งด่านตรวจอาจส่งผลเสียด้านภาพพจน์ และจะกระทบต่อการท่องเที่ยวในพื้นที่ ผมคิดว่า รัฐบาลอย่าเป็นห่วงภาพพจน์ของประเทศ ควรห่วงประชาชนมากกว่า ดังนั้น ในช่วงเวลาที่เหลือ 7 เดือน ยังพอมีเวลาที่รัฐบาล และ คมช.จะเร่งแก้ปัญหาในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และวางแนวทางสมานฉันท์ในระยะยาว” นายชวน กล่าว
       
       นายชวน กล่าวอีกว่า ส่วนปัญหาการตรวจสอบการทุจริตของ คตส.ที่หน่วยงานของรัฐไม่ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล และร้องทุกข์กล่าวโทษนั้น ตนเห็นว่า คตส.ได้ทำงานอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบอบทักษิณได้หยั่งลึกในระบบราชการ ทำให้ข้าราชการใส่เกียร์ว่างในการทำงาน ส่งผลเสียต่อการตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม ตนได้ทำหนังสือถึงรัฐบาลเพื่อเสนอแนะในการจัดทำงบประมาณปี 2551 ในการเยียวยาจังหวัดที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการจัดทำงบประมาณในรัฐบาล พ.ต.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย

 http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9500000032874
 



ประธาน คมช.พล.อ.สนธิ และ นายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์ น่าจะฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบข้างจากคนหลายฝ่ายที่เรียกร้องให้สนับสนุน คณะกรรมการ คตส. และป้องกันภัยจากกลุ่มอำนาจเก่าในอนาคตให้ด้วย.....



บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
หน้า: [1]
    กระโดดไป: