ปากคำผู้รอดชีวิต"รถตู้เบตงเที่ยวมรณะ"
Posted by โต.รัตนะ : 16:55:15 น.
ปากคำ "อับดุลรามัน"คนขับรถตู้"นาทีเที่ยวมรณะ"
ผมได้รับความอนุเคราะห์จากผู้ใหญ่ที่เคารพ ต่อสายโทรศัพท์เพื่อพูดคุยกับ อับดุลรามัน คอแดะ คนขับรถตู้เบตง-หดใหญ่ เที่ยวมรณะ สายวันที่ 14 มีนาคม ซึ่งเป็นเหตุการณืสะเทือนขวัญที่สุดครั้งในที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้
นายอับดุลรามัน คอแดะ หนุ่มใหญ่บนวัย 40ปี เกิดและเติบโตในอำเภอเบตง ปัจจุบันอาศัยในบ้านเลขที่เลขที่ 7/11 หมู่ 2 ต.ธารทิพย์ อ.เบตง จ.ยะลา และเป็นคนขับรถตู้โดยสารทะเบียน 10-0975 ยะลา ห้างหุ้นส่วนจำกัดเบตงทัวร์ (2007) หนึ่งในสองผู้รอดตายจากเที่ยวมรณะในเหตุการณ์สังหารหมู่บนถนนสายบันนังสตา-ปะแต เมื่อเข้าวันที่ 14 มีนาคม ที่ผ่านมา
อับดุลรามัน เริ่มต้นบทสนทนาด้วยน้ำเสียงราบเรียบย้อนทานีเฉียดตายให้ฟังว่า ก่อนเกิดเหตุการณืสุดเทือนใจเจ็บปวดที่สุดในชีวิตว่า ได้หันหลังให้กับอาชีพคนขับรถตู้ไปนานเกือบหนึ่งปี หลังจากรู้สึกเบื่อกับอาชีพที่ดำเนินติดต่อมากว่า 10ปี ผนวกกับได้รับเลือกให้ป็นกำนันตำบลธารทิพย์ อ.เบตง จังหวัดยะลา
กระทั่งเมื่อหมดวาระ ได้ประกอบกิจการเล็กๆน้อยๆอยู่กับบ้าน กระทั่ง เมื่อ 3วันก่อนเกิดเหตุ เพื่อสนิทซึ่งขับรถตู้คันดังกล่าว มีภารกิจต้องเดินทางไปยังจังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้ไหว้วานให้ทำหน้าที่แทนในช่วงที่ไม่อยู่
"เห็นว่าว่างๆก็เลยตัดสินใจรับปากอีกทั้งเส้นทางนี้ก็คุ้นชินจนแทบจะหลับตาขับได้"
อดีต กำนันตำบลธารทิพย์ บอกว่า วันเกิดเหตุไม่มีเค้าลาง หรือสิ่งบอกเหตุใดๆว่าจะมีภัยมาถึงตัว กระทั่งออกจากคิวรถต้นทางในตัวเมืองเบตง พร้อมผู้โดยสาร 11คน กระทั่งระหว่างทางมีชายมุสลิมวัยกลางคน ขอลงจากรถกลางทาง ที่ อ.ธารโต จ.ยะลา
"เขาบอกว่าเพื่อนจะมารับขอลงตรงนี้ เราก็ไม่เอะใจเพราะจ่ายค่าโดยสารเรียบร้อยแล้ว"บทสนทนาประโยคเดียวระหว่างพลขับกับชายหนุ่มลึกลับที่ไม่ได้ร่วมขบวนก่อนถึงจุดเกิดเหตุ
ระหว่างทางบรรยากาศภายในรถก็เป็นไปอย่างปกติ ประโยคสนทนาของผู้ดดยสารทำให้รู้ว่าในรถมีทั้งนักเรียนกำลังเตรียมตัวไปสอบ หรือผู้เป็นแม่กำลังเดินทางไปส่งบุตรสาวเรียนพิเศษที่หาดใหญ่ กระทั่งคู้รักนั่งจู๋จี๋อย่างกระหนุงกระหนิง
เขา กล่าวต่อว่า รถตู้แล่นกระทั่งรถวิ่งมาถึงหลักกิโลเมตรที่ 15-17 บ้านอุเบง หมู่ 4 อ.ยะหา จ.ยะลา พบกับต้นไม้ขนาดใหญ้นอนขวางถนน และรู้ทันทีว่าสถานการณ์ร้ายได้อย่างกรายเข้ามาใกล้ตัวแล้ว เพราะนี่คือยุทธวิธียอดนิยมที่ฝ่ายตรงจ้ามมักใช้กับเจ้าหน้าที่ทหาร หรือตำรวจ ก่อนซุ่มโจมตี
"พยายามกลับหัวรถเพื่อย้อนกลับไปที่แยกบันนังสตา เพื่อใช้ถนนมลายูบางกอก ตรงเข้าเมืองยะลา เพื่อตัดเส้นทางไปเข้า อ.หาดใหญ่"
ทันใดนั้นหนุ่มรุ่นสวมชุดเขียวยืนขวางเต็มถนน สาดกระสุนชุดใหญ่ใส่รถประดุจห่าฝน เสียงตะโกนกรีดร้องภายในรถดังลั่น และไม่มีใครรู้ชะตาชีวิตตัวเองหลังจากนี้
"ยืนยันว่าวันนั้นคนร้ายมามากว่า10คน เพราะกวากสายตาเห็นทันทีหลังกลับรถนอกจากบนถนนหลายสิบคนแล้ว ริมถนน ด้านข้างยังมีอีกหลายชีวิต"
เขาเล่าว่า กระสุนนัดแรกถากกกหูด้านซ้าย ขณะเดียวกัน รู้สึกแน่นหน้าอก กระทั่งมารู้ตัวที่โรงพยาบาลอีกทีว่าโดยยิงเข้าที่บริเวณดังกล่าว 2รู
"กระสุนชุดแรกจากคนร้ายทำให้ผมรู้สึกสลึมสลือ ขณะเดียวกันรถเสียหลักไหลลงข้างทาง ในหูได้ยินเพียงคนร้องระงมขอความช่วยเหลือ ส่วนตัวเองแทบจะไม่รู้สึกอะไร เพียงแต่ยังมีสติอยู่บ้างเเละพยายามประคองร่างเปิดประตูออกจการถให้ได้"
อับดุลรามัน บอกว่านาทีนั้นมั่นใจว่าไม่รอดแน่ และมั่นใจว่าเขาคงไม่ไว้ชีวิตให้พ้นไปจากปฏิบัติการครั้งนี้ กระทั่งกระเสือกกระสนออกจากรถได้และทิ้งร่างลงกองกับพื้น จึงได้สวดมนต์เพื่อขอพรให้องค์อัลเลาะห์มารับไปอยู่บนสรวงสวรรค์
"บทสวดวันนั้นยืนยันว่าเป็นบทสวดก่อนตายไม่ได้ร้องขอชีวิตจากผู้ก่อความไม่สงบตามที่เป็นข่าวอย่างใด"
นาทีนั้นเขาคิดเพียงว่า ขอเพียงพระองค์มารับชีวิตลูกไปอยู่ในอ้อมกอดของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ขณะที่ไม่มีเสียงตอบกลับจากผู้ลงมือก่อเหตุในขณะนั้น โดยปล่อยให้นอนพร่ำบนสวดอยู่บนถนนเป็นเวานานประมาณ 3-5 นาที
สิ่งที่ได้ยินมีเพียงวลีเดียว คือการสั่งปลิดชีพผู้ดดยสารบนรถตู้ให้หมด"ยิงหัวให้หมดทุกคน"
อับดุลรามันบอกว่า นาทีนั้นกำลังที่จะลุกขึ้นยังเป็นไปอย่างย่ากลำบาก เสียงกระสุนดังขึ้นแต่ละนัด ก่อนสิ้นเสียงกรีดร้องโหยหวลของเหยื่อแต่ละคน
แม้ไม่เห็นภาพแต่เสียงที่ก้องกังวาลเข้ามาสู่โสตประสาทก็เพียงพอที่จะบ่งบอกภาพอันน่าสยดสยองและพฤติกรรมสุดเลือดเย็นของคนร้ายเหล่านี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
เหยื่อที่น่าเห็นใจที่สุดคือนายประวิช ชมพูทอง ที่ได้ร้องขอชีวิตจากคนร้าย แต่ไม่มีใครฟัง ก่อนลั่นกระสุนใส่พร้อมกับ น.ส.วิลาสิณี ชมพูทอง บุตรสาววัย 16ปี ที่กำลังเดินยทางไปสอบเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนวรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลา
เช่นเดียวกับนางศุภวรรณ แซ่ลู่ ซึ่งเป็นครูโรงเรียนเบตงสุภาพอนุสรณ์ ซึ่งนั่งอยู่เบาะหลัง ได้ตะโกนขอไห้ปล่อยบุตรสาวคือน.ส.กีรติ แซ่ลู่ นักเรียนโรงเรียนหาดใหญ่รัฐประชาสรรค์ ที่กำลังเดินทางไปเรียนพิเศษที่อำเภอหาดใหญ่ ซึ่งมารู้ภายหลังว่าผู้เป็นแม่คืออีกคนที่รอดชะตากรรมอันโหดร้ายครั้งนี้เช่นเดียวกับผม
ปฏิบัติการสุดโหดของกองกำลังไม่ทราบกลุ่ม ยุติลงเพียงเวลาไม่เกิน 5นาที โดยทั้งหมดเคลื่อนไหวออกจากจุดเกิดเหตุด้วยเท้าชนิดเงียบกริบ และไม่รู้เลยแยกย้ายกันไปทางไหน
"ไม่นานผมได้ยืนเสียงเลื่อยยนต์ จึงพยายามรวบรวมสติและลุกขึ้นถ่อสังขารตัวเองไปตาถนนและเห็นทหารพรานพยายามเข้ามาในที่เกิดเหตุและร้องตะโกนของความช่วยเหลือ"
เขาเล่าต่อว่า ขณะนั้นผมไม่รู้ว่าภายในรถมีใครเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง แม้ใจอยากช่วยก็ตามเพราะไม่มั่นใจว่าช่วงเวลาอันโหดร้ายฝ่ายตรงข้ามได้ทิ้งอะไรไว้บ้าง สิ่งที่กลัวคือการลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่ชุดที่เข้ามาถึงจุดเกิดเหตุภายหลังอย่างที่เราเคยได้ยินและเห็นข่าวว่าเขาทำเช่นนี้บ่อครั้ง จึงมุ่งหน้าไปเตือนทหารให้รู้ตัวเสียก่อน
ทันทีที่รู้ตัวว่ารอดชีวิต สิ่งแรกที่เกิดขึ้นในความรู้สึกคือบุตร ทั้ง 5คน ที่เพิ่งพูดคุยก่อนออกจากบ้านในตอน05.30น.เพื่อมุ่งหน้ามาเช็คเวลาก่อนออกจากคิวรับผู้โดยสาร เพราะทุกคนนัดกันไว้ว่าวันนี้พ่อจะซื้อกับข้าวอร่อยๆจากหาดใหญ่มาจากฝาก
อับดุลรามัน บอกว่าทันทีที่มีทหารนายหนึ่งโผเข้ารับร่างอันชุ่มไปด้วยเลือดและไร้เรี่ยวแรง ก้หมดสติทันทีเพราะรู้ว่านับแต่นาทีนี้เป็นต้นไปคงปลอดภัยแล้ว
ทั้งหมดคือเสี้ยวหนึ่งที่ผมสามารถถอดอารมณ์และความรู้สึกของหนุ่มรุ่นใหญ่ ที่เพิ่งผ่านนาทีชีวิต มาเล่าสู่บล็อคเกอร์เนชั่นอีกทอด
http://www.oknation.net/blog/bigtoh/2007/03/16/entry-1