ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
18-04-2024, 07:52
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  จีนพัฒนาเครื่องบินโดยสารใช้เองเทียบ Airbus (แท้จริงฤาษีไม่เข้าใจศ.ก.พอเพียงหรอก) 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
จีนพัฒนาเครื่องบินโดยสารใช้เองเทียบ Airbus (แท้จริงฤาษีไม่เข้าใจศ.ก.พอเพียงหรอก)  (อ่าน 3283 ครั้ง)
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« เมื่อ: 13-03-2007, 10:17 »

เป็นที่ยอมรับกันชัดเจนแล้วว่า ประเทศจีน ณ วันนี้ ไม่เพียงแค่เศรษฐกิจที่ขยายตัวในอัตราสูงและทำให้จีนเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่จีนยังสามารถพัฒนาเทคโนโลยี่ได้ก้าวหน้าไม่น้อยไปกว่าประเทศพัฒนาแล้วอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา และประเทศในสหภาพยุโรป(อียู) โดยเฉพาะเทคโนโลยีในเชิงพาณิชย์ ที่ทั้งภาครัฐและเอกชนจีนทุ่มทุนพัฒนาเอง และซื้อเทคโนโลยีจากต่างชาติเข้ามายกระดับ ซึ่งเห็นได้ทั่วไป ตั้งแต่ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ทีวี รถยนต์ สินค้าคอนซูเมอร์ ไปจนถึงสิ่งก่อสร้าง อาคารสูง ยานอวกาศ

รวมถึงเครื่องบินโดยสารเชิงพาณิชย์ ที่จีนกำลังพัฒนารุ่น ARJ21 ออกมาชนกับ โบอิ้ง 737 และแอร์บัส 320 สำหรับใช้บินภายในประเทศ เป้าหมายเพื่อรองรับตลาดการบินในประเทศรวมทั้งจำนวนผู้โดยสารที่กำลังขยายตัว โดยบริษัทคอนซอเตี่ยม AVIC I Commercial Aircraft Co. Ltd. (ACAC) และได้รับความช่วยเหลือจากบริษัทต่างชาติที่ซัพพลายชิ้นส่วนเครื่องบิน และระบบย่อยให้รวมประมาณ 19 บริษัท อาทิ เจอเนอรัล อิเล็คตริก(จีอี) ผลิตเครื่องยนต์เครื่องบิน และ ร็อคเวลล์ คอลลินส์ ผลิตเทคโนโลยีการบิน ให้ โดยบริษัทวางแผนนำเครื่องบินต้นแบบมาทดสอบบินเที่ยวแรกเดือนมีนาคม 2551 และคาดว่าจะนำมาบินให้บริการเชิงพาณิชย์ได้ประมาณกันยายน 2552

นาย ซวี๊ กว่านหัว รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน เคยกล่าวไว้เมื่อมกราคมที่ผ่านมาว่า การพัฒนาเทคโนโลยีผลิตเครื่องบินโดยสารเชิงพาณิชย์แบบลำตัวกว้าง เป็นหนึ่งในงานวิจัยที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญในระดับต้นๆ เป้าหมายเพื่อเป็นคู่แข่งแย่งส่วนแบ่งตลาด จากผู้ผลิตเครื่องบิน 2 รายใหญ่ของโลก คือ โบอิ้ง และแอร์บัส และรองรับการบินในประเทศที่จำนวนผู้โดยสารกำลังขยายตัว

โดยค่ายโบอิ้ง มองว่า จีนจะเป็นตลาดที่อุตสาหกรรมการบินขยายตัวเร็วที่สุดในโลก และคาดการณ์ว่าจะสามารถขายเครื่องบินพาณิชย์ให้จีนได้ 2,880 ลำ รวมมูลค่า 280,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะ 20 ปีข้างหน้า ขณะนี้รายงานการวิจัยตลาดจีนของแอร์บัส คาดการณ์ว่า ระหว่างปี 2549-2568 จีนจะมีความต้องการเครื่องบินโดยสารและขนส่งสินค้ารวม 3,000 ลำ แยกเป็นเครื่องบินแบบทางเดินเดียว 2,050 ลำ แบบสองทางเดินเกือบ 600 ลำ แบบพิสัยบินระยะปานกลาง 200 ลำ และเครื่องบินขนาดใหญ่ 180 ลำ

ดูจากตัวเลขข้างต้นแล้ว จีนจึงมองว่า แทนที่จะกลายเป็นผู้ซื้อเครื่องบินรายใหญ่สุดของโลกในอนาคต น่าจะเป็นผู้ลงทุนสร้างเครื่องบินแบรนด์ของตัวเองดีกว่า และเริ่มจัดสรรงบประมาณพัฒนา ARJ21 มาตั้งแต่ปี 2545  ขั้นแรก 646 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเครื่องบินที่บรรทุกผู้โดยสารได้ 70-110 ที่นั่ง นอกจากนี้จีนยังได้เรียนรู้จากทั้งโบอิ้งและแอร์บัส เนื่องจากมีผู้ผลิตจีนหลายแห่งที่ซัพพลายชิ้นส่วนเครื่องบินให้กับทั้งสองบริษัท ยังไม่รวมผู้ผลิตเครื่องบินขนาดเล็ก เช่นเอ็มบราเออร์ และบอมบาร์ดิเอ้ ที่เข้าไปตั้งฐานผลิตในจีน และล่าสุดแอร์บัสได้ตัดสินใจที่จะเข้าไปตั้งศูนย์ซอร์ซซิ่งชิ้นส่วนเครื่องบินในจีนปลายปีนี้

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 2521 เป็นต้นมาอุตสาหกรรมการบินของจีนขยายตัวในอัตรา 18% ต่อปี โดย 60% ของเที่ยวบินจะมีระยะบินระหว่าง 600-2,200 กิโลเมตร และเฉลี่ย 80% ของเที่ยวบินแต่ละวันจะขนผู้โดยสารเที่ยวละไม่เกิน 100 คน

ปัจจุบัน ARJ21 มียอดสั่งซื้อจากสายการบินในประเทศจีนแล้ว 71 ลำ และในระยะ 20 ปีข้างหน้าจีนคาดหวังว่าจะทำยอดขายในประเทศได้ ถึง 300 ลำ

มองผิวเผิน อาจจะเห็นว่า ที่จีนยอมลงทุนและใช้เวลาพัฒนา ARJ21 ไม่น่าจะคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่ง (ข้ออ้างสุดโปรดของคนไทยบางคน ที่มีอาชีพกินหัวคิว มันเลยเป็นง่อยไปเรื่อยๆ)

แต่จีนเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีเพราะไม่เพียงสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดในประเทศมาจากโบอิ้งและแอร์บัสได้เท่านั้น แต่ยังมองไปถึงการออกไปแย่งส่วนแบ่งตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะเอเชีย อาฟริกา และอเมริกาใต้ ด้วยกลยุทธราคาที่จูงใจ และคุณภาพที่แข่งขันได้ เหมือนกับรุ่น Xinzhou-60 เทอร์โบบ๊อปที่ขายไปทั่วโลกแล้วก่อนหน้านี้


http://www.thannews.th.com/detialNews.php?id=T1021998&issue=2199


จีนตั้งเป้าผลิตเครื่องบินซูเปอร์จัมโบ้เองได้ภายในปี2563
13 มีนาคม พ.ศ. 2550 09:18:00

อุตสาหกรรมการบินที่ขยายตัวรวดเร็ว ทำให้จีนมีแผนผลิตเครื่องบินพาณิชย์ขนาดใหญ่เองได้ภายในปี 2563 เพื่อประหยัดเงินที่จะต้อง นำเข้าเครื่องบินจากต่างประเทศ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานเมื่อวันจันทร์ว่า รัฐบาลจีนมีแผนผลิตเครื่องบินพาณิชย์ขนาดใหญ่เองได้ภายในปี 2563  เพื่อแข่งขันกับบริษัทผลิตเครื่องบินแอร์บัสและโบอิ้ง สองบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดเครื่องบินของโลกที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุด โดยจีนตั้งเป้าว่าจะจัดทำแบบพิมพ์เขียวของเครื่องบินได้เสร็จในปี 2553

เป้าหมายสำคัญของการผลิตเครื่องบินลำยักษ์ขึ้นเองก็เพื่อประหยัดเงินหลายพันล้านในการนำเข้าเครื่องบินจากต่างประเทศ ในภาวะที่อุตสาหกรรมการบินของจีนกำลังขยายตัวอย่างมาก โดยจีนกำลังอยู่ในช่วงกลางของแผนการจัดซื้อเครื่องบิน 500 ลำสร้างสนามบิน 48 แห่ง และจ้างนักบิน5,000 คนในระยะเวลา 5 ปี และคาดว่าในปี 2568 จะต้องใช้เงินอีกหลายล้านล้านดอลลาร์เพื่อจัดซื้อเครื่องบิน 2,230 ลำ นอกจากนี้ในปัจจุบัน จีนมีอำนาจทางเศรษฐกิจและทักษะทางเทคโนโลยีมากพอที่จะผลิตเครื่องบินลำยักษ์ได้เอง

ขณะเดียวกันนายหลิว ต้าเซียง ผู้เชี่ยวชาญการบินและสมาชิกสภาประชาชนจีน ซึ่งเสนอญัตติให้เริ่มโครงการวิจัยพัฒนาเครื่องบินขนาดใหญ่ต่อที่ประชุมสภาประจำปีมานาน 3 ปีแล้ว คาดหวังว่าเครื่องบินลำใหญ่ที่จีนสร้างเองจะขึ้นบินได้ภายใน 10-15 ปีข้างหน้า โดยน่าจะเป็นการผลิตเครื่องบินบรรทุกสินค้าก่อน เพราะสามารถออกแบบและสร้างได้ง่ายกว่าเครื่องบินโดยสาร

http://www.bangkokbiznews.com/2007/03/13/WW10_WW10_news.php?newsid=58621



จีนมาขนาดนี้ได้เพราะผู้นำประเทศมันฉลาด ทำเพื่อชาติ  ไอ้ที่คิดแค่ว่าเชิญต่างชาติมาลงทุนสร้าง แล้วนั่งภาวนาว่าเทคโนโลยีจะไหลมาเข้าสมองคนของตัวเองอัตโนมัติเป็นไปไม่ได้หรอก  ของไทยเจอไอ้โจรเสื้อนอกหน้าเหลี่ยมโกงไม่พอ มาเจอไอ้ฤาษีโง่ไปรับของโจรอีก   อย่าหวังเลยว่าจะเจริญ

โครงการรถไฟฟ้าไม่ว่าจะ 2-5 สาย จะสร้างขึ้นมา ถือเป็นโอกาสอันดีอีกครั้งที่จะสร้างฐานเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อพึ่งตัวเอง ถ้าไอ้ฤาษีสมองทึบที่มันพร่ำบ่นเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมันเข้าใจจริงๆ ก็ควรจะนึกถึงการพึ่งตัวเองให้ได้  ไม่ใช่นึกอะไรไม่ออกก็ซื้อลูกเดียว เกาะไต้หวันเล็กนิดเดียวมันก็สร้างเฮลิคอปเตอร์ใช้เอง  โปโตกเกาะมันเล็กมันยังอุตส่าห์พัฒนาเทคโนโลยี NEWater ถึงจะทำจากขี้เยี่ยวก็เพื่อพึ่งพาน้ำจืดด้วยตัวเอง  ประเทศมีพื้นที่ขนาดประเทศไทยจำเป็นต้องพึ่งตัวเองด้านเทคโนโลยีคมนาคมให้ได้ ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรบุคคลที่พัฒนาขึ้นมา แล้วเรียนรู้ต่อยอดให้ได้ แต่ไม่มีใครคิดเลย สมน้ำหน้า  ซ้ำร้ายปากยังอ้างว่าเศรษฐกิจพอเพียง  งั้นก็จนดักดานไปก็แล้วกัน   เป็นเวรเป็นกรรมอะไรของประเทศนี้วะเนี่ย .... อัปรีย์ไป จั***มา

ไปดูความพยายามพัฒนาปรับปรุง สร้างบ้านแปงเมืองของเขาดีกว่า vdo clip
http://www.bestsharing.com/f/bhdfh240229


http://www.avic1.com.cn/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-03-2007, 13:01 โดย wake up to reality .. 醒向现实 » บันทึกการเข้า

bgn
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 87


« ตอบ #1 เมื่อ: 13-03-2007, 12:41 »

เข้ามาแสดงตัวว่าเห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้

ผมพูดจนเมื่อยแล้ว ตอนนี้เลิกพูดแล้ว ... ไม่ใช่แต่นักกินหัวคิวหรอกที่เป็นตัวถ่วงประเทศ บุคลากรสายนักวิจัยและพัฒนา นักวิทย์และเทคโนโลยี ที่ความสามารถไม่ถึงแต่กันท่าคนอื่นก็มีส่วนมากพอๆกัน

และก็ ... ยุคที่เลวร้ายที่สุดคือยุคของเหลี่ยมพเนจร วิสัยทรรศน์ทางด้านนี์แย่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา มันจะขายของลูกเดียว

บันทึกการเข้า
ไม่อยากสมานฉันท์กับคนชั่ว
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 592


เตือนให้นึกถึง Icarus ผู้ไม่ประมาณตน


« ตอบ #2 เมื่อ: 13-03-2007, 16:15 »

เออแน่ะ

เมื่อก่อนผมเชื่อว่าการพัฒนาเทคโนโลยี ต้องเกิดจากแรงผลักดันในการค้าขายของเอกชนเท่านั้น

นี่อะไรวะ รัฐบาลสังคมนิยม เจ้ากี้เจ้าการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีด้วยตัวเองซะแล้ว นับถือๆ 

ทุนนิยมที่คิดแต่จะผันทรัพยากรเข้ากระเป๋าตัวเอง  มันทุนนิยมสามานย์จริงจริ๊ง 
บันทึกการเข้า
buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #3 เมื่อ: 13-03-2007, 16:28 »

เรื่องอื่นเกียร์ว่าเรื่อง ไอทีวี กับ เรื่องเมกะโปรเจค เร่งรัดขนานใหญ่

ตกลงเข้ามาทำไม
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
Şiłąncē Mőbiuş
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,215



เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 13-03-2007, 17:17 »

ตอนนี้ไทยตามหลังญี่ปุ่นแบบไม่เห็นฝุ่น (ทั้งๆที่เริ่มพัฒนาประเทศพร้อมกัน + ญี่ปุ่นแย่กว่าเพราะแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2)

ตอนนี้ไทยตามหลังสิงคโปร์แบบไม่เห็นฝุ่น (ทั้งๆที่มีการพัฒนาต่างๆมานานกว่า)

ตอนนี้ไทยตามหลังใต้หวัน+มาเลเ้ซีย แบบไม่เห็นฝุ่น (ทั้งๆที่ 2 ประเทศนี้พัฒนามาทีหลังไทย)

อีกไม่นานเราจะตามเวียดนามไม่เห็นฝุ่น (เพราะตอนนี้เวียดนามจ่อคอหอยไทยเข้ามาทุกทีแล้ว)

ถามว่าเพราะอะไร ทำไมถึงเป็นแบบนี้

ตอบแบบคนที่ไม่ประสีประสา ว่า

เพราะว่าเราเอาแต่คอรัปชั่นกัน เอะอะๆ ก็กินหัวคิว, การเรียนการสอนก็ไม่พัฒนา,

อยากจะถามว่าในวันนี้เรามีนักวิจัย, นักวิทยาศาสตร์กันเท่าไหร่

รัฐบาลบอกสนับสนุนในเรื่องแบบนี้ แต่งบที่ให้มีเท่าไหร่กันเชียว

อาจารย์สอนหนังสือที่มหาลัยบางรายก็เห็นแก่กระเป๋าตัวเองมากกว่าความเก่งของศิษย์ เวลาสอน ก็ไม่สอนเต็มที่ นักศึกษาไม่รู้เรื่อง ก็ให้ไปเรียนพิเศษเอา ซ้ำร้าย อาจารย์คนเดิม ก็เปิด โรงเรียนสอนพิเศษ แล้วบอกนักศึกษาว่า ถ้าไม่ไปเรียนพิเศษกับชั้นเกรดจะไม่สวยนะโว้ยยยยย

 


สงสารประเทศไทยครับ

บันทึกการเข้า



“People should not be afraid of their governments. Governments should be afraid of their people.”

. “ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลต่างหากที่ควรกลัวประชาชน” .

. แวะไปเยี่ยมกันได้ที่ http://silance-mobius.blogspot.com/ นะครับ .
kumtong
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 82


« ตอบ #5 เมื่อ: 13-03-2007, 18:45 »

ตกลงทั้งหมดนี่ต้องมาเริ่มที่ตาฤาษีนี่ใช่ไหม..
บันทึกการเข้า
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 13-03-2007, 19:11 »

ผมพูดจนเมื่อยแล้ว ตอนนี้เลิกพูดแล้ว ... ไม่ใช่แต่นักกินหัวคิวหรอกที่เป็นตัวถ่วงประเทศ บุคลากรสายนักวิจัยและพัฒนา นักวิทย์และเทคโนโลยี ที่ความสามารถไม่ถึงแต่กันท่าคนอื่นก็มีส่วนมากพอๆกัน
และก็ ... ยุคที่เลวร้ายที่สุดคือยุคของเหลี่ยมพเนจร วิสัยทรรศน์ทางด้านนี์แย่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา มันจะขายของลูกเดียว
ตกลงทั้งหมดนี่ต้องมาเริ่มที่ตาฤาษีนี่ใช่ไหม..
ยุคเหลี่ยมพเนจรทำเรื่องเลวร้ายไว้มาก แต่ยุคปฏิวัติ ปฏิวัติเข้ามา แต่ไม่ฉวยโอกาสริเริ่มสิ่งเหล่านี้ มัวแต่ไปยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง เช่น ทีวีของไอ ส.ใส่แว่น หมดยุคนี้ไปก็เลิกหวังเลยครับ


เออแน่ะ
เมื่อก่อนผมเชื่อว่าการพัฒนาเทคโนโลยี ต้องเกิดจากแรงผลักดันในการค้าขายของเอกชนเท่านั้น
นี่อะไรวะ รัฐบาลสังคมนิยม เจ้ากี้เจ้าการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีด้วยตัวเองซะแล้ว นับถือๆ 
ทุนนิยมที่คิดแต่จะผันทรัพยากรเข้ากระเป๋าตัวเอง  มันทุนนิยมสามานย์จริงจริ๊ง 

สมัยก่อนผมก็เชื่อว่าทุนนิยมนำหน้าเหมือนกัน แต่เมื่อไปดู ญี่ปุ่น เกาหลี ที่มันทันสมัยกันขนาดนี้ เริ่มจากรัฐบาลนำร่องกันทั้งนั้น  ยุคสร้างความทันสมัยของญี่ปุ่นก็เป็นเผด็จการ ส่งเสริมลัทธิชาตินิยมภูมิใจชาติพันธุ์ (ดาบสองคม) เรียนรู้ "แก่น" จากฝรั่ง    ของไทยเราเรียนรู้แต่ MTV แฟชั่น ESPN มันก็สูญเปล่า
.... เกาหลีก็มีเผด็จการปาร์กจุงฮีมันมีซัมซุง แอลจี ฮันเด ฯลฯ กลายเป็นประเทศนักต่อเรือเดินสมุทรชั้นนำของโลก มีบริษัทค้าโลหะของโลก ก็เพราะคนๆนี้  พื้นที่ป่าไม้ของเกาหลีมีถึง 60% ทั้งๆที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ
.... เจียงไคเช็คล้มเหลวจากการปกครองแผ่นดินใหญ่ แต่พอมาไต้หวันมันปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ พัฒนาการศึกษา และพัฒนาการเกษตร จนไต้หวันเวลานี้มั่งคั่ง เวลานี้ไต้หวันเกาะเล็กนิดเดียว เล็กกว่าไทยตั้งกี่เท่า แต่ก้าวหน้าด้านการเกษตร ผลไม้พันธุ์อร่อยๆทั้งนั้น  ใครเคยไปไต้หวันจะรู้ว่ามันใช้ที่ดินโคตรจะคุ้มค่าเลย ข้างๆตึกยังปลูกผัก ปลูกผลไม้กินได้
.... เวียดนามเวลานี้มาฟอร์มเดียวกัน แต่มันเพิ่งเริ่ม

ของไทย เป็นประชาธิปไตยก็กลายเป็นโกงแสนล้านแทบสิ้นชาติ โกงเสร็จปฏิวัติมา เผด็จการกับเขาเหมือนกัน แต่เสือกปล่อยให้มาเถียงกันเรื่อง หวยงี้  แต่งตั้งส.ใส่แว่นงี้  กม.สุรางี้ อุ้มคนทำผิดกฎหมายงี้ แค่นี้ก็เห็นแววแล้วว่า ย่ำแย่แน่ๆ



เรื่องอื่นเกียร์ว่าเรื่อง ไอทีวี กับ เรื่องเมกะโปรเจค เร่งรัดขนานใหญ่
ตกลงเข้ามาทำไม

megaproject ไม่เสียหาย ถ้าใช้เป็นโอกาสในการเรียนรู้จากต่างชาติเพื่อพึ่งตนเอง จีนเวลานี้สามารถสร้างอุโมงค์ลอดเขา ไฮเวย์มาตรฐานยุโรป สะพานยักษ์ รถไฟหรู ได้เองทุกอย่าง และด้วยเครื่องไม้เครื่องมือของจีนด้วย  เห็นมันเชิญต่างชาติมาลงทุนโครมๆนี่ ไม่ได้โง่ปล่อยให้ถูกสูบเดียวอย่างไทยนะ


เมืองไทย ถ้ายังไม่ปลูกฝังทัศนคติเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง (ให้พึ่งตัวเองได้ในด้านสำคัญๆ) ที่แก่น ไม่ใช่มีนักปฏิบัติธรรมออกมาท่อง "รัฐบาลนี้จะใช้เศรษฐกิจพอเพียง โปร่งใส เป็นธรรม" แต่เสือกอุ้มคนโกง  อนาคตตายลูกเดียว   ทุกวันนี้มี ด๊อกเตอร์ จบ ivy league, oxbridge อเมริกา อังกฤษ top 20 เต็มประเทศ แต่เอามาทำเ_ี้ยอะไรไม่ได้เลย  ถ้าไม่ไปทำบริษัทต่างชาติไปช่วยเขาสร้างประสิทธิภาพ ก็ออกมาช่วยกันโกง !!!  ส่วนชาวสลัม ชาวนา ก็บ้าหวย เป็นหนี้เป็นสินกันต่อไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-03-2007, 19:47 โดย wake up to reality » บันทึกการเข้า

buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #7 เมื่อ: 14-03-2007, 09:55 »

เข้าใจครับ ว่าเมกะโปรเจค จำเป็น แต่การเข้ามาบริหารของท่าน เข้ามาโดยการปฏิวัติ มันต้องเรียงลำดับความสำคัญให้ถูก

ขั้นแรก ต้องทำให้ประชาชนเข้าใจก่อน ว่า ปฏิวัติทำไม มีอำนาจที่จะทำได้ ก็ต้องเร่งทำ เพื่อปฏิรูปประเทศไทยก่อน

ในเรื่องเศรษฐกิจนั้น ก็เพียงแต่ดูโครงการที่จำเป็น กระตุ้นการลงทุนบ้าง ไม่เสียหายหรอกครับแค่ปีเดียว คนเก่งๆ เยอะให้เลือกใช้

นี่อะไร ทั้ง สั่งซื้อเครื่องบิน เร่งรัดโครงการใหญ่ๆ ยุ่งเรื่องหวย ยุ่งเรื่องเหล้า ดันสมคิด อุ้มพนักงานไอทีวี

ส่วนเรื่อง ภาคใต้ และ ปราบทุจริต คอรัปชั่น ตอนนี้เริ่ม จะเกียร์ว่าง

และสิ่งที่ผมเห็นด้วยกับ สนธิ มากๆ คือ การให้ ปัญญาประชาชน ทำไมรัฐบาล ชุดนี้ เน้น สมานฉันท์ โดย ที่พูดอย่างเดียว สมานฉันท์สิ แต่ไม่ได้ ให้ ความรู้ ให้ปัญญากับ เค้าเลย ว่า สมานฉันท์ กับอะไร ทำไมต้องสมานฉันท์

แล้วสิ่งที่รัฐบาลทำเนี๊ยะ สมานฉันท์ยังไงบ้าง

เข้ามากอบโกยบ้าง แล้วก็ไปโดนที่ทิ้ง ขี้ไว้ให้ประชาชนรับกรรมอีกหน่ะเหรอ ใครต้องรับผิดชอบกับขี้นี้บ้าง

ผมมองไม่เห็นอนาคต ของประเทศไทย และ รัฐบาลชุดนี้เลย ถ้า ยังทำตัว แบบนี้
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 14-03-2007, 10:20 »

แล้วสิ่งที่รัฐบาลทำเนี๊ยะ สมานฉันท์ยังไงบ้าง
เข้ามากอบโกยบ้าง แล้วก็ไปโดนที่ทิ้ง ขี้ไว้ให้ประชาชนรับกรรมอีกหน่ะเหรอ ใครต้องรับผิดชอบกับขี้นี้บ้าง
ผมมองไม่เห็นอนาคต ของประเทศไทย และ รัฐบาลชุดนี้เลย ถ้า ยังทำตัว แบบนี้


ก็ "นักปฏิบัติธรรม" สมานฉันท์กับ "ตะกวด" ไปเรียบร้อยแล้วครับ  .... กาแฟฯ แกก็บอกใบ้ไปตั้งแต่เมื่อวานว่า ตะกวดย่อมไม่ทำอะไรตะกวด .... ส่วนนักจัดรายการคุยเสียงดัง จ-ศ ก็เปรยว่า อัปรีย์ไป จั***มา
บันทึกการเข้า

eAT
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,066



« ตอบ #9 เมื่อ: 14-03-2007, 10:29 »

ขนาดเหลี่ยมเข้ามา 5 ปี ยังไม่เห็นทำอะไรตรงนี้ให้เห็น
มีแต่เอาเวลาไปเดินเร่ ขายดาวเทียม กับโทรศัพท์มือถือ
ที่ใช้เทคโนโลยี่คนอื่นเขาไปทั่ว อะไรที่ไม่ใช่บริษัทตัว
เอง ไม่เห็นมันเหลียวมอง

เห็นอย่างเดียว โปรโมต "นาโน" แต่ก็ไม่เห็นไปถึงไหน
ถ้ามันทำจริง 5 ปี ก็น่าจะมีคนไทย ได้โนเบล สาขา
วิทยาศาสตร์ บ้างดิ

ส่วนรัฐบาลนี้ เป็นที่รู้กัน มาชั่วคราว ก็เลยไม่สนใจอะไร
วันๆ ก็เอาแต่นั่งๆ นอนๆ ทำตัวสมกับเป็นข้าราชการ
เช้าชาม เย็นชาม
บันทึกการเข้า
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #10 เมื่อ: 14-03-2007, 10:32 »

ญาติผู้อาวุโสที่อพยพมาจากซัวเถาเมื่อประมาณ 6-70 ปีที่แล้วท่านหนึ่ง ชื่นชมอดีตท่านประธานเหมา และ อดีตนายกฯ โจวเอินไหล ว่า ทั้งสองท่าน "เสียสละ" เพื่อชาติจริง ๆ หลังจากอสัญกรรมแล้ว พบว่า ทั้งสองท่านรวมทั้งอีกหลาย ๆ ท่านแทบไม่มีสมบัติติดตัว แม้อดีตประธานเหมาอาจจะผิดพลาดกับ "การปฏิวัติวัฒนธรรม" ที่คร่าและทำลายชีวิตของปัญญาชนชั้นแนวหน้าของจีนไปไม่น้อย สาเหตุน่าจะเป็นเพราะท่านใจร้อนเกินไป การเข้ามามีบทบาทมากขึ้นของ "แก๊งสี่คน" ฯลฯ

เมื่อมาถึงยุคสมัยของสุดยอดผู้นำอีกท่าน "เติ้งเสี่ยวผิง" ผู้นำแมว 9 ชีวิต ที่ริเริ่มนโยบาย "สี่ทันสมัย" ผลกระทบด้านลบที่ตามมาตั้งแต่เมื่อสิบยีสิบปีก่อน คือ คอรัปชั่น อาชีพที่สังคมไม่ค่อยยอมรับ เช่น โสเภณี ฯลฯ ก็เริ่มผุดโผล่มากขึ้น ญาติผู้อาวุโสท่านนี้จึงบ่นพร้อมส่ายหน้าด้วยความกลุ้มใจและกังวล

แต่จีนก็สามารถสร้าง "ผู้นำ" ที่มีฝีมือ สามารถประคับประคองและนำพาประเทศเจริญก้าวหน้ามาได้อย่างน่าทึ่ง และอย่างไม่น่าเชื่อ 

ปล. มีข้อสังเกตนิดนึง พอดีได้ยินอาตั่วเฮียที่บ้านพูดเปรย ๆ มานานแล้วว่า ผู้นำหลายท่านของจีนในยุคนี้ ตั้งแต่อดีตนายกฯ จูหรงจี และภริยา ประธานาธิบดีหูจิ่นเทา และอีกหลายท่าน มีพื้นฐานการศึกษาจบด้านวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-03-2007, 10:37 โดย aiwen^mei » บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #11 เมื่อ: 14-03-2007, 21:55 »

เมื่อจีนผงาด : ไทยจะอยู่ได้อย่างไร

คอลัมน์ ดุลยภาพดุลยพินิจ

โดย มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด สถาบันวิจัยสังคม ม.เชียงใหม่


วิกฤตการณ์ตลาดหุ้นที่เซี่ยงไฮ้ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นอกจากจะแสดงถึงฤทธานุภาพของโลกาภิวัตน์ ที่แม้แต่สหรัฐอเมริกาก็ยังต้านทานไม่ได้ ยังแสดงถึงความสำคัญของจีนในระบบเศรษฐกิจโลก ซึ่งเวลานี้มีขนาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกไปแล้ว

ความสำคัญของจีนเป็นที่ยอมรับกันมาระยะหนึ่งแล้ว ในด้านความสำคัญที่ช่วยลดอัตราเงินเฟ้อของประเทศคู่ค้า การระบาดของสินค้าจีนในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้ว ช่วยชะลอเงินเฟ้อ และช่วยลดค่าครองชีพให้ผู้บริโภค

แต่ในขณะเดียวกันคู่แข่งของจีนก็ต้องประสบปัญหาของการปิดโรงงาน ย้ายฐานการผลิต การลดการจ้างงาน แม้แต่ประเทศไทยที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมเซรามิคลำปางลุกขึ้นมาให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ถึงความสาหัสสากรรจ์ของการแข่งขันกับจีน นิตยสารเศรษฐกิจชื่อดังของโลก The Economist ถึงกับยอมรับว่าชะตาของการลงทุน ตลาด กลยุทธ์ของบริษัทและคนงานในนานาประเทศไม่ได้ถูกตัดสินที่วอชิงตันอีกต่อไป แต่ค่อยๆ เปลี่ยนไปอยู่ที่ปักกิ่งแทน! (The Economist July 30 - August 5, 2005)

บทบาทของจีนในวงการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมทำให้นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกต้องย้อนมาพิจารณากลยุทธ์การพัฒนาใหม่

กลยุทธ์การพัฒนาประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่อาศัยการส่งเสริมแรงงานให้ออกจากภาคเกษตรกรรมเข้าสู่อุตสาหกรรม หรือเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรม กลยุทธ์นี้มีที่มาจากงานเขียนของ 2 นักเศรษฐศาสตร์สำคัญก็คือ Hans Singer และ Raul Prebisch เมื่อต้นทศวรรษที่ 1950 ซึ่งได้อธิบายว่าราคาเปรียบเทียบของสินค้าเกษตรกับสินค้าอุตสาหกรรมนับวันจะลดลงไปเรื่อยๆ ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มลดลงไม่ว่าจะด้วยการขยายตัวของอุปทานก็ดี การปรับปรุงพันธุ์ก็ดี การใช้ปุ๋ยก็ดี ช่วยให้ผลผลิตสินค้ามีมากขึ้น เมื่ออุปทานเพิ่มขึ้น ราคาก็ลดลง

เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ราคาสินค้าเกษตรลดลงเกิดจากการที่ความต้องการสินค้าเกษตรจะลดลงเมื่อรายได้มากขึ้น

พูดง่ายๆ ว่า พอรวยขึ้นผู้บริโภคก็จะใช้เงินในการซื้อสินค้าที่ไม่ใช่สินค้าเกษตรมากขึ้น เช่น ยังคงกินข้าวเท่าเดิม แต่ใช้รายได้ที่เพิ่มขึ้นไปซื้อมือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้า และรถยนต์ เป็นต้น

Singer และ Prebisch เรียกการขยายตัวหรือความเจริญเติบโตเช่นนี้ว่าเป็นความเจริญที่สร้างความระทมทุกข์ (Immiserizing Growth)


แนวความคิดของ Singer และ Prebisch เป็นที่มาของกลยุทธ์สู่อุตสาหกรรมมากว่าครึ่งศตวรรษ แต่เมื่อจีนเข้าสู่ตลาดโลก ปรากฏการณ์นี้ก็เริ่มไม่เป็นจริงอีกต่อไป

รูปที่ 1 แสดงถึงราคาเปรียบเทียบระหว่างสินค้าอุตสาหกรรมกับสินค้าเกษตรกรรม แนวความคิดของ Singer และ Prebisch ดูเหมือนจะเป็นจริงในช่วง ค.ศ.1960-1975 ดังจะเห็นได้ว่าราคาสินค้าอุตสาหกรรมเมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าเกษตรกรรมแล้วมีทิศทางที่เพิ่มขึ้น แต่หลังจากนั้นก็มีแนวโน้มลดลงโดยตลอด

ปรากฏการณ์ที่ราคาสินค้าอุตสาหกรรมลดลงเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการลดลงของอัตราเงินเฟ้อ ช่วงสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่แล้วนับว่าเป็นช่วงเวลาของเฟ้อ แต่พอเริ่มสหัสวรรษใหม่ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคอุตสาหกรรมก็ค่อยๆ ลดลง

การศึกษาของนักวิชาการอังกฤษโดยพิจารณาสินค้า 151 ชนิดที่สหภาพยุโรปนำเข้าพบว่า กลุ่มสินค้าที่อียูนำเข้าจากจีนจะเป็นกลุ่มสินค้าที่มีราคาลดลงมากที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นกลุ่มของสินค้าที่จีนแข่งขันกับประเทศกำลังพัฒนาด้วยกันคือสินค้าที่ใช้แรงงานมาก ในขณะเดียวกันราคาสินค้าโภคภัณฑ์หรือสินค้าที่เป็นวัตถุดิบ เช่น เหล็ก แร่ธาตุ ถ่านหิน ต่างพากันสูงขึ้น เพราะจีนมีความต้องการสูงมาก

กล่าวโดยสรุปได้ว่า จีนมีฤทธานุภาพที่เปลี่ยนแปลงราคาในตลาดโลกได้ เป็นอานุภาพของประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่เคยมีประเทศไหนทำได้มาก่อนและเป็นฤทธานุภาพแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน!!!

นี่ยังไม่นับเจ้ามังกรน้อยคือประเทศเวียดนามที่กำลังไล่ตามหลังจีน ในค่าแรงต่ำที่ใกล้เคียงกับมณฑลที่ไม่ติดทะเลของจีน แต่มีความได้เปรียบที่มีฝั่งทะเล ก็คือช่องทางส่งออกที่ดีกว่า

แล้วประเทศไทยจะอยู่ต่อไปอย่างไร?

การต่อสู้กับจีนในตลาดที่ราคาสินค้าลดลงตลอดเวลาก็คือ การเชือดเนื้อเฉือนหนังเราลงไปทุกวัน

กลยุทธ์ที่จะใช้ได้ในโลกาภิวัตน์ที่ไทยต้องแข่งขันกับมังกรใหญ่มังกรน้อยก็มีอยู่ 2-3 ทางเลือก

กลยุทธ์แรก เป็นทางเลือกของการสร้างนวัตกรรมใหม่ ความคิดใหม่ๆ ดีไซน์ใหม่ จะมีความสัมฤทธิผลในด้านนี้อย่างไร ก็ต้องไปดูผลเชิงพาณิชย์ของโครงการวิจัยประเภทนวัตกรรมของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่วนโครงการด้านดีไซน์ เช่น บางกอกเมืองแฟชั่น ซึ่งเป็นโครงการที่พับฐานไปแล้ว เหตุผลคงไม่ใช่ที่ว่าเป็นความคิดที่ไม่ดี แต่น่าจะเป็นวิธีการจัดการที่ไม่คุ้มทุนมากกว่า

กลยุทธ์ต่อไปก็คงต้องพยายามเข้าไปในห่วงโซ่การผลิตของจีนหรือกลยุทธ์ทะยานไปกับมังกร แต่เป็นกลยุทธ์ที่ไม่ง่ายนัก และมักจะใช้ได้กับบางอุตสาหกรรมเท่านั้น เช่น ยานยนต์

อีกกลยุทธ์หนึ่งก็ต้องหาอุตสาหกรรมที่เรามีศักยภาพที่คนอื่นไม่มี (ที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า มีศักยภาพในการสร้างค่าเช่าทางเศรษฐกิจ) ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ การท่องเที่ยว ซึ่งแต่ละประเทศต่างก็มีดีของตน

ที่สำคัญก็คือ การทะยานไปกับมังกร เราจะมีแค่กลยุทธ์อุตสาหกรรม กลยุทธ์ด้านการค้า การท่องเที่ยวอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องมีบุคลากรที่เข้าใจจีน

สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ควรจะต้องมีการให้ทุนอาจารย์และนักศึกษาไทยไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ก็ต้องเริ่มมีแผนงานวิจัยเกี่ยวกับจีน เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย

ส่วนราชการก็ต้องมี China Team เราจะทำตัวเป็นมนุษย์ประเภทมิเห็นโลงศพมิหลั่งน้ำตาต่อไปอีกไม่ได้ ที่จริงสถานการณ์ตอนนี้ของเรา สัปเหร่อก็มาเคาะฝาโลงเรียกอยู่แล้ว

หรือว่าเราจะยอมแพ้จีนไปโดยปริยายแล้ว...


หน้า 6<

http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act01140350&day=2007/03/14&sectionid=0130
บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 14-03-2007, 22:09 »

ไม่ได้ยอมแพ้จีนหรอก แต่ว่า....

ถ้าเจอแต่รัฐบาลโกงแสนล้าน เปิดการค้าเสรี โกยเงินเข้ากระเป๋าไอ้ขี้โกง โกงทั้งโคตร
แล้วก็มาเจอรัฐบาลซื่อบื้อ เข้ามาแล้วเกียร์ว่าง ไม่ทำอะไร สร้างแต่เรื่องวุ่นวาย แถมไปสมานฉันท์กับตะกวดขี้โกง ไม่เหลียวแลความยุติธรรม อุ้มทีวีของไอ แต่ปลาตายชาวบ้านตาดำๆเดือดร้อน ไม่เหลียวแล

ประเทศนี้คงจะได้ไปไหนนะครับ มีแต่จะถลำลึกลงไปทุกทีๆ

ตอนนี้ฝึกภาษาจีนอีกผลหนึ่งคือ  เผื่อประเทศสาระขันเป็นอะไรไป เมื่อย้ายก้นไปอยู่บ้านเมืองอื่น จะได้มีหนทางหากินเอาตัวรอดกว้างขึ้นหน่อย

แค่ดัชนีคอรับชั่นของ Perks ก็บ่งชี้แล้วครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-03-2007, 22:16 โดย wake up to reality » บันทึกการเข้า

northstar
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 635


« ตอบ #13 เมื่อ: 15-03-2007, 01:20 »

เข้ามาเห็นด้วยครับ... แต่ทีแปลกใจก็คือ...สมัยโคดพ่อ-โคดแม่กี้ยังอยู่แดกตั้ง5ปี... มันไม่ยอมคิดจะทำมั่ง...หรือว่ารอซื้ออย่างเดียว...เพราะเปอร์เซ็นต์มันสูง...

แต่การที่จะทำจริงๆ...มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะครับ... แต่ผมก็ยอมรับว่า...มันจะต้องเริ่มต้นที่จุดหนึ่ง... การสร้างเครื่องบินไม่เหมือนการสร้างรถนะครับ...  ค่าใช้จ่ายมันสูง... คุณรู้ไหมว่า..ในประเทศจีน..มีนักเรียนจบมหาลัยกี่คนในแต่ละปี... ประเทศจีนรู้ทีจะฉวยโอกาสไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนรู้และการนำเข้าของเทคโนโลยี...แถมยังดัดแปลงไปใช้อีกต่างหาก  แต่คุณอย่ามองข้ามประเทศอินเดียสิครับ...เติบโตรวดเร็วกว่าจีนซะอีก...

จีนมีจำนวนประชากรอันดับหนึ่งของโลก-อินเดียอันดับสอง(ถ้าจำไม่ผิด) ยุคนี้เป็ยุค OUTSOURCING และจีนกับอินเดียก็ได้รับผลประโยชน์จากสถานะการณ์นี้มากที่สุด...เพราะค่าแรงที่ถูก-และมีแรงงานมาก เทคโนโลยีจึงไหลเข้าทั้งสองประเทศเหมือนเทน้ำ-เทท่า... ถ้าจะคุยจริงๆมันยาวก๊าบบบบบบบ... 

เอาเป็นว่าเห็นด้วย...แต่ก็ไม่ใช่ว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันควรจะถูกตำหนิ... ควรจะเป็นรัฐบาลชุดไอ้กี้ต่างหากหล่ะที่คุณควรจะตำหนิ...เพราะเห็นบอกว่าเศรษฐกิจดีไม่ใช่เหรอ...แต่ทำไมมันไม่ยอมฉวยโอกาสนั้นหล่ะ...หรือฉวยโอกาสแบบอื่น


บันทึกการเข้า
อังศนา
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,860


Can't fight the moonlight!


เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 15-03-2007, 07:09 »

เห็นด้วยกับคุณ northstar สุดๆ ค่ะ 

บันทึกการเข้า

แม้ผืนฟ้า มืดดับ เดือนลับละลาย 
ดาวยังพราย ศรัทธา เย้ยฟ้าดิน (จิตร ภูมิศักดิ์)
หน้า: [1]
    กระโดดไป: