เอาใจช่วยทีมเศรษฐกิจ [12 มี.ค. 50 - 18:25]
หนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงข่าวพร้อมๆกัน เมื่อวันวานนี้ว่า รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ คุณโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ จะเสนอตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจขึ้นชุดหนึ่ง
ตัวท่านรองโฆสิตเองจะเป็นประธานและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอี่ยมอ่อง ดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ เป็นรองประธาน
คณะกรรมการประกอบด้วย หน่วยงานประจำที่รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจของรัฐ เช่น สภาพัฒน์ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงบประมาณ ฯลฯ ร่วมกับสถาบันหลักภาคเอกชน และนักวิชาการที่มีชื่อเสียงจำนวนหนึ่ง
ถือเป็นการผนึกกำลังกันทำงานด้านเศรษฐกิจให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ระหว่างท่านรองโฆสิตกับท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เพราะกฎหมาย ป.ป.ช.ว่าด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนห้ามไว้ ไม่เพียงแต่ รมต.คลังเท่านั้น ที่จะไม่สามารถกลับไปทำงานในสถาบันการเงินได้ ภายใน 2 ปี ดังที่ท่านนายกฯแถลง
มีการตีความเอาไว้ด้วยว่ารองนายกรัฐมนตรี หรือใครก็ตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเป็นทางการ ให้กำกับดูแลรัฐมนตรีคลัง ก็จะไปทำงานสถาบันการเงินไม่ได้ใน 2 ปี เช่นเดียวกัน
รองนายกฯโฆสิต ซึ่งยังมีความปรารถนาที่จะกลับไปทำงานในสถาบันการเงินต่อ จึงเป็นรัฐมนตรีคลังไม่ได้ และกำกับรัฐมนตรีคลังไม่ได้ด้วยประการฉะนี้
อย่างว่าแหละครับ อยู่เมืองศรีธนญชัย ก็ต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีศรีธนญชัย
คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุดนี้ จึงเป็นชุดที่จะช่วยให้ท่านรองโฆสิต กับ ดร.ฉลองภพ มีโอกาสทำงานด้วยกัน กำหนดนโยบายเศรษฐกิจส่วนรวมให้ไปในทางเดียวกัน โดยไม่มีอะไรขัดแย้ง
ต่อเมื่อลงไปปฏิบัติ ดร.ฉลองภพ ค่อยแสดงเองในเรื่องที่ท่านรับผิดชอบ หรืออะไรที่เป็นอำนาจเหนือกว่ารัฐมนตรีคลัง ก็ให้ท่านนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้กำกับโดยตรงเป็นผู้แสดง
ผมเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวบุคคลมากกว่าระเบียบแบบแผน หรือลายลักษณ์อักษรใดๆทั้งสิ้นการตั้งกรรมการเพื่อทำงานในเรื่องต่างๆ นั้น หากประธานไม่เอาไหน กรรมการไม่เอาไหน คณะกรรมการนั้นๆ ก็ไปไม่รอด
แต่ถ้าประธานดี มีความสามารถก็จะสามารถใช้กรรมการที่ตั้งขึ้นขับเคลื่อนอะไรได้พอสมควร
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่ากรรมการชุดนี้จะตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์อันใดก็ตาม แต่เมื่อมีคุณโฆสิตเป็นประธาน ผมจึงเชื่อมั่นว่าจะมีประโยชน์ต่อประเทศชาติ แน่นอนไม่มากก็น้อย
น่าเสียดายที่ความคิดที่จะให้คุณโฆสิตเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ของนายกรัฐมนตรีสุรยุทธ์ เกิดขึ้นช้าไปถึง 5-6 เดือน
แต่ก็นั่นแหละ จะไปโทษท่านนายกฯ ก็ไม่ได้ เพราะในช่วงนั้นมีหม่อมอุ๋ยส่องประกายเจิดจ้าอยู่ด้วย
ในสายตาของสาธารณชน หม่อมอุ๋ย ดูจะมีรัศมีเปล่งปลั่งกว่า ท่านรองโฆสิต
แต่ในสายตาของคนที่เคยมีโอกาสทำงานกับทั้ง 2 ท่านมาพักใหญ่... ผมเห็นว่าในแง่ความเก่ง ในแง่ฝีมือ และความรอบรู้นั้น ใกล้เคียงกัน
ที่ท่านรองโฆสิตเหนือกว่าก็คือความสุขุม รอบคอบ
เอาเถอะถึงจะมาช้า...ก็ยังดีกว่าไม่มา...ขอให้ท่านรองโฆสิต และคณะจงใช้เวลาที่เหลือไม่มากนักนี้ สร้างผลงานให้แก่ประเทศชาติอย่างเต็มที่เถิด
ก็ดีเหมือนกันที่รัฐบาลชุดนี้ เริ่มต้นแบบสะเปะสะปะ ทำให้ถูกมองว่า ทำงานไม่เป็น
เพราะหากถ้ารัฐบาลนี้เริ่มต้นสวย ทำอะไรต่ออะไรได้ดีมาก คนก็จะติดใจ อยากได้รัฐบาลในลักษณะนี้อีก
แล้วเมื่อไร ระบอบประชาธิปไตย จะได้เกิดเต็มตัวเสียทีละครับ
การที่รัฐบาลนี้ซวดเซไปหลายยก ผมจึงแอบถอนใจโล่งอก เพราะอย่างน้อยก็เป็นการพิสูจน์ว่า ระบบเผด็จการ ยังไงๆก็มีจุดบกพร่องเหมือนกัน ไม่ได้วิเศษเลิศลํ้าไปเสียทั้งหมดอย่างที่คิดแต่ทีนี้เมื่อซวดเซมาพอสมควรแล้ว ก็ควรจะถึงเวลาที่จะต้องโชว์ฟอร์มเสียที เพราะเกิดพลาดพลั้งไปมากกว่านี้ ประเทศชาติพังลงไปจริงๆ มันจะยุ่งยิ่งกว่า
จึงขอให้กำลังใจ...ขอให้นายกฯสุรยุทธ์ ท่านรองโฆสิต และรัฐมนตรีทุกท่านต่อยเรียกคะแนนคืนกลับมาบ้าง ในห้วงเวลาที่เหลืออีก 6-7 เดือนเนี่ย...ต่อยให้ดีๆ ยังทำคะแนนได้อีกแยะนะครับจะบอกให้.
ซูม http://thairath.co.th/news.php?section=society02&content=39749