ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
24-04-2024, 20:38
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ชายคาพักใจ  |  สืบลับรหัสอัจฉริยะ 'เปมิกา' ผู้หญิงไม่ธรรมดา! 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
สืบลับรหัสอัจฉริยะ 'เปมิกา' ผู้หญิงไม่ธรรมดา!  (อ่าน 18710 ครั้ง)
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« เมื่อ: 09-03-2007, 15:58 »

สืบลับรหัสอัจฉริยะ 'เปมิกา' ผู้หญิงไม่ธรรมดา!
 
 
เปมิกา วีรชัชรักษิต
 
ภาวินี อินเทพ

กลายเป็นเรื่องจริงที่ยิ่งกว่านิยายไปอีกเรื่องหนึ่งแล้ว สำหรับกรณีของ หมอเผ่า-น.พ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ที่จากเดิมถูกมองว่าเป็นคนหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จมาตลอด ในฐานะติวเตอร์ และเจ้าของสถาบันกวดวิชาชื่อดังระดับประเทศ

แต่วันนี้ กลับต้องมารอคอยผลการชี้ขาดของศาล ว่าป่วย (ทางจิต) หรือไม่ โดยมี 9 มีนาคม 2550 เป็นวันชี้ชะตา

ไม่เพียงตัวหมอเผ่า (หรือชื่อเล่น 'หมอป๊อบ') เท่านั้น ที่ชีวิตจะต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล แต่รวมถึงตัวละครที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ย่อมได้รับผลกระทบถ้วนหน้า

โดยเฉพาะเพื่อนสาวคนสนิท น้องเป-เปมิกา วีรชัชรักษิต เด็กสาววัย 24 ปี

เพราะถ้าไม่มี 'น้องเป' แล้ว 'พี่หมอ' ก็อาจจะได้รับการรักษาตามกระบวนการของแพทย์ที่โรงพยาบาลศรีธัญญา ดังที่ครอบครัวกล่าวอ้าง แต่ทันทีที่น้องเป เปิดเผยตัว เรื่องราวต่างๆ ก็ปรากฏตามมาเป็นฉากๆ

โดยเฉพาะความสัมพันธ์ของพี่หมอ ติวเตอร์หนุ่ม ฐานะดี ลูกสอง วัย 37 และ น้องเป-เปมิกา นักศึกษาสาว วัย 24 จากคณะจิตวิทยา ปี 4 จุฬาฯ ที่ทำศัลยกรรมมาตั้งแต่อายุ 15 และเปลี่ยนชื่อมาแล้ว 3 รอบ

0 0 0

น้องเป-เปมิกา เปิดตัวครั้งแรก เมื่อเข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนท้องที่บางซื่อ ว่าพี่หมอถูกควบคุมตัวโดยมิชอบ ที่ รพ.ศรีธัญญา เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2550 กระทั่งนำความสอบสวนถึงศาลในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ และเป็นข่าวใหญ่ว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ ส่งผลให้ครอบครัวของพี่หมอ ได้ออกมาให้ข้อมูลโต้ตอบ ซึ่งนำโดย คุณแม่ พี่ชาย และภรรยาของพี่หมอ

ใจความหนึ่งระบุถึงสาเหตุที่หมอเผ่าเปลี่ยนไปว่า เริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน 2549 หลังจากรู้จักกับกลุ่มน้องเป ซึ่งอาการที่ว่านี้ก็คือ อาการหวาดระแวง สวมเสื้อเกราะ และพกปืนวันละสามกระบอก

นอกจากนี้ก็อาจจะพัวพันถึงเรื่องเงิน 30-40 ล้านบาท รวมถึงการทำพินัยกรรม และเตรียมหย่ากับเมียที่อยู่กันมา 13 ปี จนมีลูกด้วยกัน 2 คนด้วย

"หากคิดจะหลอกเงินหมอป๊อบ รู้จักกันมา 9 ปี ทำไมเพิ่งจะมาทำ"

น้องเปปฏิเสธอย่างฉะฉาน และเปิดเผยว่าเธอรู้จักพี่หมอจากการมากวดวิชาที่แอพพลายฟิสิคส์นี่แหละ ตั้งแต่อายุ 15 สมัยเรียนสายวิทย์-คณิต โรงเรียนบดินทรเดชา โดยลงเรียนกับพี่หมอในทุกคอร์สที่สอนถึง 3 ปี กระทั่งเอนทรานซ์ติดคณะจิตวิทยา จุฬาฯ ก็ยังติดต่อกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน จากที่เรียก หมอป๊อบ ก็เป็น 'พี่หมอ' แทน

ด้วยความเป็นกันเอง ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และ 'มีความชอบแบบเดียว' กันกับกลุ่มเพื่อนของน้องเป จึงเข้ากันได้ วันดีๆ ก็พากันไปเข้าวัดทำบุญด้วยกัน

วันร้ายๆ ก็โทรศัพท์คุยกัน หรือไม่ก็นัดปรึกษาปรับทุกข์กันต่อเนื่อง 'ทุกเรื่อง' น้องเป และเพื่อนในกลุ่มก็จะช่วยให้กำลังใจ และคิดหาทางออกให้อยู่บ่อยครั้ง

น้องเปจึงรู้ปัญหาของพี่หมอค่อนข้างลึก เรื่องใหญ่ก็คือ ปัญหาครอบครัว ที่ต้องแบกรับตำแหน่งผู้นำครอบครัว และดูแลสถาบันกวดวิชาที่มีผลประโยชน์ร้อยล้านอยู่คนเดียว

อีกทั้งในเรื่องความเชื่อทางศาสนา พี่หมอได้ศึกษาธรรมะกับศิษย์สายหลวงพ่อฤๅษีลิงดำคนหนึ่ง นับถือ สมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี เป็นอย่างมาก และชอบเดินสายทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหารมาตลอด ต่อมาก็ชักชวนเธอไปนั่งสมาธิวิปัสสนาด้วยกันด้วย

เพื่อนสนิทวัย 24 คนนี้ ยังรู้ถึงความป่วยไข้ไม่สบายของพี่หมอด้วยว่า นอกจากเป็นโรคภูมิแพ้และมีปัญหาทางเดินปัสสาวะ จนหมอห้ามมีเพศสัมพันธ์ หากฝืนมีก็จะหลั่งออกมาเป็นเลือด และมีอาการเจ็บปวดได้อีกต่างหาก

น้องเป สนิทสนมกับพี่หมอกระทั่ง (ยอม) เปลี่ยนชื่อใหม่ (เป็นครั้งที่สาม) ตามที่พี่หมอตั้งให้ ก็คือ เปมิกา อันแปลว่า 'หญิงอันเป็นที่รัก'

ซึ่งก่อนหน้านี้เปลี่ยนไปแล้วสองครั้ง จากชื่อสกุลเดิม คือ ศิวพร เหลืองเรณูกุล มาเป็น ชิศา เมื่อ 21 มกราคม 2546 จากนั้น 11 มีนาคม ปีเดียวกัน ก็กลับไปใช้ชื่อศิวพร อีก ก่อนจะกลายมาเป็น เปมิกา เมื่อตุลาคม 2549 (ช่วงเดียวกับที่ครอบครัวโอนสถาบันกวดวิชาฯ ให้กับหมอเผ่าทั้งหมด)

สำหรับเหตุผลที่เปลี่ยนเป็นเรื่องส่วนตัว "ไม่ขอบอกได้ไหมคะ" น้องเปกล่าว

ส่วนเรื่องหย่านั้น น้องเป เพิ่งทราบเมื่อต้นปีไม่กี่วันที่จะเกิดเรื่องเท่านั้นเอง และยังจดจำถ้อยคำ (สุดแสนสุภาพบุรุษ) ของพี่หมอที่ว่า "หย่าแล้วจะยกทุกอย่างให้ภรรยาและลูก ขอเพียงอิสระกลับคืนมาก็พอ"

น้องเปดูจะเข้าใจดีว่าสิ่งที่พี่หมอต้องการก็คืออิสรภาพ แต่กำลังจะนัดเซ็นใบหย่าอยู่ดีๆ เหตุการณ์ก็กลับตาลปัตร เมื่อครอบครัวพี่หมอนำส่งศรีธัญญาเสียก่อน ที่สุดเธอจึงถือว่าเป็นหน้าที่ของเธอ ที่จะต้องเรียกร้องสิทธิและอิสรภาพให้กับพี่หมอ

"ถ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง ถึงจะตายก็ตายอย่างมีเกียรติ"

น้องเปกล่าวถึงคำสอนของพ่อแม่ ที่เธอได้ใช้นำทางในภารกิจแห่งชีวิตครั้งนี้

อย่างไรก็ดี ทางครอบครัวหมอเผ่าได้ยืนยันหลายเรื่อง เช่นว่า หมอเผ่าเป็นคนสนใจเรื่องวัดวาและการสร้างพระจริง เมื่อมีกลุ่มศิษย์เก่ามาชักชวนไป ก็จึงไม่ติดขัด ทางภรรยาก็สนับสนุน ไม่ติดใจ เพราะเห็นเป็นเรื่องที่หมอชอบอยู่แล้ว ส่วนเรื่องการแบกรับภาระโรงเรียนกวดวิชานั้น ก็เป็นเรื่องจริง โดยหมอเผ่าเป็นผู้กอบกู้วิกฤติสถาบันที่มีหนี้สินหลายล้านบาท จนคืนสู่สภาพเดิมได้สำเร็จ พอมีรายได้ก็เข้าระบบกงสี แต่ทางครอบครัวก็ได้ยกแอพพลายฟิสิกส์ให้กับหมอเผ่าหมดแล้ว เมื่อเดือนตุลาคม 2549 ซึ่งระหว่างนั้นหมอเองก็เริ่มมีอาการเปลี่ยนไปแล้ว

เรื่องคาใจก็เห็นจะเป็น ตัวเลข 9 ปีที่เปมิกาอ้าง ทางครอบครัวได้ตรวจสอบแล้วพบว่าเพิ่งมีการลงทะเบียนเรียนเมื่อ 2546 หรือ 4 ปีที่แล้วนี่เอง แต่เป็นชื่ออื่น ซึ่งก่อนหน้านี้ที่เปมิกา (ในชื่ออื่น) ก็เคยไปที่บ้านในฐานะนักเรียนคนหนึ่ง โดยอ้างว่ามีปัญหา หมอเผ่าใจดีก็ให้ไป จากนั้นก็หายไปพักหนึ่งกระทั่งกลับมาอีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว พร้อมกลุ่มเพื่อน จนหมอเผ่ามีอาการเปลี่ยนไป

ขณะที่เปมิกายืนยันว่ามิได้สะกดจิตหมอเผ่า แต่หมอเผ่าต่างหากที่เป็นคนให้เธอและเพื่อนๆ ในกลุ่มรู้จักการนั่งสมาธิ อีกทั้งตัวเองเรียนด้านจิตวิทยาบริหารองค์กร และจิตวิทยาพัฒนาการเด็ก ไม่ใช่จิตวิทยาคลินิก จึงไม่ทราบเรื่องการรักษาทางจิตวิทยาเลย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปสะกดจิตหมอเผ่า

ที่ผ่านมา ไม่เคยรู้เรื่องการย้ายเงินหรือพินัยกรรมของพี่หมอเลย เรื่องการสร้างพระเองก็ไม่ได้ฝากเฉพาะเธอดูแล แต่รวมถึงเพื่อนทุกคนในกลุ่มด้วย แต่ไม่เคยยุ่งเรื่องเงิน มีแต่ไปเที่ยวและทานข้าวด้วยกันเท่านั้น สิ่งที่ทำไปทั้งหมดเพียงเพื่อต้องการทำตามพี่หมอสั่งให้ช่วย ไม่ได้คิดว่าจะกระทบกับครอบครัวของหมอเลย

"ดิฉันไม่ใช่มือที่สาม ที่ทำให้ครอบครัวหมอแตกร้าว แต่มักได้ยินเรื่องครอบครัวจากปากหมอ ดิฉันทำหน้าที่แทนเพื่อนสนิทคนหนึ่ง"

 0 0 0

สำหรับหมอเผ่านั้น มีคำนำหน้าหมอเพราะร่ำเรียนจบจากโรงพยาบาลศิริราช เมื่อปี 2535 และทำงานที่สำนักงานอนามัย กทม. ได้ 2 ปี ก่อนมาเป็นครูสอนฟิสิกส์ที่โรงเรียนกวดวิชาของพ่อ

โด่งดังเป็นที่รู้จัก และเป็นที่ยอมรับในสังคมสุดๆ ราวปี 2545 โดยเฉพาะ ฐานะลูกชายของบ้านที่กอบกู้ธุรกิจของพ่อจนกลับมาโด่งดังได้ภายในเวลา 5 ปี ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นครู และไม่เคยคิดเป็นครูมาก่อนด้วยซ้ำ แต่ก็สามารถขยายแอพพลายส์ฟิสิกส์ไปทั่วประเทศ แถมยังเป็นสุดยอดติวเตอร์รุ่นใหม่ขวัญใจลูกศิษย์อีกต่างหาก

แต่บางทีความสำเร็จอาจจะไม่ได้หมายถึงความสุขเสมอไป เพราะตั้งแต่เด็กนั้น เขามุ่งมั่นเป็นสองอย่างคือ ไม่แพทย์ ก็นักร้อง

"คนอย่างผมจะทำอะไรก็แล้วแต่ ไม่ศูนย์ ก็ต้องถึงร้อย

หมอเผ่าบอกถึงเป้าหมายชีวิตที่ตั้งมั่น แม้สายงานจะเปลี่ยน

"ที่สำคัญผมจะพยายามบอกตัวเองอยู่เสมอว่า ชีวิตเราเลือกได้ เป็นอะไรก็ได้ มันประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน อยู่ที่ว่าเราตั้งใจหรือเปล่า"

ภาพลักษณ์คนหนุ่มที่ทำอะไรก็สำเร็จไปหมด จึงเป็นของหมอเผ่าเต็มๆ ปี 2545 จึงมีหลายรางวัลเข้ามาในชีวิต อาทิ โล่เกียรติยศ จากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ดร.สิริกร มณีรินทร์ ยกย่องในฐานะที่ทำคุณประโยชน์แก่สังคม โดยเผยแพร่ความรู้ทางสื่อโทรทัศน์ นิตยสารเปรียว มอบตำแหน่งเปรียวอะวอร์ด 2545 ให้เป็น 'บุคคลต้นแบบของสังคม' ในฐานะ 'พ่อพิมพ์ของชาติ' ตามมาด้วยบทสัมภาษณ์ในนิตยสารหลายเล่ม ที่ล้วนแล้วชื่นชมความสำเร็จของหนุ่มวัย 32 ในเวลานั้นมากมาย ทั้ง จีเอ็ม, ไลฟ์แอนด์แฟมิลี, ดิฉัน ฯลฯ

แม้กระทั่งหลังสุดกับ โพสต์ทูเดย์ โต๊ะแมกกาซีนที่ไปบันทึกความทรงจำครั้งท้ายสุดของหมอเผ่ามาฝากได้โดยไม่คาดฝัน เมื่อราวต้นปีที่ผ่านมานี้เอง ก็บุกบ้านไปคุยถึงของโปรดและวิถีคนดังแห่งยุคเช่นกัน

ในฉบับวันที่ 4 มีนาคม 2550 ได้เปิดเผยว่า วิถีชีวิตของหมอเผ่านั้น สุดแสนเรียบง่าย ตื่นตีสอง สวดมนต์ไหว้พระถึงตีสี่ครึ่ง ออกบ้านตีห้ากว่า ไปทำงาน  กลับมาบ้านทานข้าว อาบน้ำเสร็จขึ้นไปไหว้พระ หัวถึงหมอนตอนสองทุ่มเป๊ะทุกวัน

นอกจากนี้ เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ไม่เที่ยวกลางคืน และทานมังสวิรัติทุกวันจันทร์อีกต่างหาก

ชีวิตไม่อยู่ที่ทางโลกคือที่ แอพพลายฟิสิกส์ ก็ทางธรรมคือ วัดวาต่างๆ

โดยเฉพาะทางธรรมนั้น ให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ ถึงขั้นสร้างพระประธานเลยทีเดียว โดยเน้นวัดในถิ่นทุรกันดารเป็นหลัก

หมอเผ่าเริ่มสนใจธรรมะมาตั้งแต่วัย 17-18 ปีแล้ว แต่จริงจังเมื่อไม่กี่ปีนี่เอง โดยมีหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน โสนันโท (พระครูวิหารกิจจานุการ) เขียนโดย หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เป็นเล่มที่เปลี่ยนชีวิต  ซึ่งหมอเผ่าได้จาก 'เพื่อนคนหนึ่ง' อ่านแล้วถึงกับวางไม่ลง ทั้งที่จากเดิมหนังสือพระกับหมอเผ่า ไม่ถูกกันเลย

"พออ่านเล่มนี้แล้ว สนุก ตื่นเต้นเร้าใจ กินข้าวยังไม่อยากจะกินเลย มันสร้างความศรัทธา อยากจะพิสูจน์ในสิ่งที่ท่านเขียนว่าจริงไหม"

ที่สุดปลายปีที่แล้ว ก็เลยไปบวชยังวัดหลวงพ่อฤๅษีลิงดำเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม จากนั้นด้วยความเป็นคนขี้สงสัย ก็เลยมานั่งสมาธิเพื่อหาคำตอบแทน

เมื่อหัวหน้าครอบครัวเป็นคนชอบทำบุญอย่างนี้แล้ว ลูกบ้านก็ไม่ต่างกัน หมอเผ่าขอเป็น 'ต้นแบบ' ด้วยตัวเอง ในบ้านย่านพุทธมณฑลมูลค่าหลายสิบล้านบาทของเขา จึงไม่มีสิ่งไม่ดี เช่น อบายมุข หนังสือโป๊ หรืออะไรที่ไม่เหมาะสม ล้วนแล้วไม่ปรากฏในบ้านทั้งสิ้น

จะมีก็เพียงสิ่งดี ๆ เช่น พระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธรูป ครูบาอาจารย์ต่างๆ ตั้งอยู่ยังห้องพระ บนชั้นสามของบ้านเท่านั้น

ต้นแบบอีกอย่างหนึ่งก็คือ รักลูกรักเมีย ทำตามที่เคยขอไว้ก่อนแต่งงาน ก็คือ 'ไม่มีเมียน้อย' หมอเผ่าก็รับรองว่าไม่ต้องห่วง เพราะเป็นคนตื่นเช้ามาก ต้องเข้านอนเร็วอยู่แล้ว ปัญหานี้ลืมไปได้เลย

อย่างไรก็ดี ในบทสัมภาษณ์ดังกล่าว หมอเผ่าเกริ่นก่อนเริ่มเล่าชีวิตของเขาด้วยว่า "สิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็น"

ภาพการแบ่งชีวิตสองโลกดังกล่าวนั้น น่าจะเป็นตัวอธิบายได้ประการหนึ่ง

นอกจากนี้ยังพบว่า หมอเผ่าเป็นคนที่ชอบ 'ความท้าทาย' และ 'ความเป็นที่หนึ่ง' อยู่เป็นนิจ

เป็นคนขับรถเร็วอยู่ที่ประมาณ 160-170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เจาะจงเฉพาะ 'เบนซ์สีดำ' เท่านั้น

"เพราะความรู้สึกส่วนตัวที่สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจและความสุขที่ได้นั่งอยู่ในรถ" หมอเผ่าเปิดเผย อีกทั้งทะเบียนรถ 'ทุกคัน' ก็ต้องมีหมายเลขพิเศษ (เหมือนกันหมด) คือ 9999 (ซึ่งตอนหลังน้องเปก็มีโตโยต้าคัมรี่ ทะเบียนเดียวกันนี้ด้วย)

ทุกวันแม้จะสวดมนต์ไหว้พระเช้า-เย็น แต่ก็พกปืนวันละ 3 กระบอก ติดตัวหนึ่ง และติดไว้ในรถอีกสอง ซึ่งเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยเป็นหมอแล้ว นี่ยังไม่นับที่สะสมไว้อีก 50 กระบอก

"มันเป็นหน้าที่ ต้องปกป้องคนที่เรารัก"

หมอเผ่าเองก็ยอมรับว่าเป็นภาพที่ขัดแย้งพอดู แต่เรื่องพกปืนทั้งวันนี้ เป็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว รู้สึก 'ปลอดภัยดี' เพราะสมัยหนึ่งที่อยู่บ้านเก่าแถวนนทบุรี มีคนปีนขึ้นบ้าน เขาจึงไม่อยากให้มีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับคนที่เขารัก นอกจากปืนแล้ว ก็ชอบใส่รองเท้าคอมแบตด้วย หาคำตอบยังไม่ได้ แต่ใส่มาร่วม 20 ปีแล้ว

 0 0 0

ในสายตาคนอื่นอาจรับไม่ได้ แต่สำหรับน้องเปและเพื่อนๆ แล้ว กลับไม่เห็นว่า การพกปืนสามกระบอกของพี่หมอนั้น เป็นเรื่องบ้า หรือ 'ผิดปกติ' ไปจากคนทั่วไปทำกัน เพราะเป็นสิทธิที่จะดูแลชีวิตและทรัพย์สินของคนๆ หนึ่ง

รวมไปถึงการใส่เสื้อเกราะด้วย ก็ถือว่าเป็นการ 'ป้องกันตัว' ไว้ก่อน

"เพราะหมอป๊อบรู้ว่ามีคนที่เสียประโยชน์คิดจะปองร้าย จึงป้องกันตัวไว้ก่อน แต่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน"

น้องเปตอบอย่างเข้าอกเข้าใจพี่หมอ ซึ่งในวันที่มีการส่งตัวหมอเผ่าเข้า รพ.ศรีธัญญานั้น หมอเผ่าก็มีครบ ทั้งเสื้อเกราะ และปืนด้วย

การมีวัตถุมงคลในตัวอย่าง การใส่เบี้ย, เครื่องรางที่เอว หรือห้อยพระเก้าองค์นั้น ก็ไม่เป็นเรื่องแปลกเช่นกัน โดยน้องเป ย้อนถามด้วยว่า ต่างจากคนที่นับถือพระเกจิอาจารย์ดังคนอื่นๆ ตรงไหนเล่า ถ้าบอกว่าแบบนี้-บ้า ก็คงมีคนบ้าค่อนประเทศแล้ว

ที่สำคัญ เธอบอกด้วยว่า พี่หมอนั้นอาจแตกต่างจากผู้ชายทั่วไปที่นับถือและเลื่อมใสพุทธศาสนามาก และอาจจะแสดงออกมากกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง

ส่วนเปลือกหอยที่ผูกเอวของหมอเผ่านั้น น้องเปก็เป็นคนใส่ให้เอง ก่อนที่จะไปหย่ากับภรรยาที่อำเภอ เพื่อเป็นเคล็ดในการป้องกันสิ่งชั่วร้าย

"ไม่ได้ถือว่าบ้า"

น้องเปยืนยัน พร้อมบอกด้วยว่า ที่ผ่านมาเธอและกลุ่มเพื่อนนั้นไม่เห็นอาการหวาดระแวงใดๆ ของพี่หมอเลย เห็นเพียงรอยยิ้ม คุยเป็นปกติดี

ต่อกรณีอาการเจ็บป่วยทางจิตชนิดหวาดระแวงนั้น ทางการแพทย์ถือว่ามีทั้งกลุ่มที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ซึ่งกลุ่มหลังนี้เองที่อาจมีอาการหูแว่ว ฝันกลางวัน อาจจะเป็นอันตรายทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นได้ จำเป็นต้องได้รับการรักษา

สำหรับอาการของหมอเผ่า มีการวินิจฉัยมาแล้วสองครั้ง และวันที่ 9 มีนาคมนี้ จะเป็นครั้งที่ 3 ว่าจะต้องได้รับการรักษาต่อหรือไม่

แต่ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ตาม วันนี้พันธะสัญญาแห่งความเป็นครอบครัวของหมอประกิตเผ่า ได้ถูกทำลายลงเรียบร้อยแล้ว ส่วนใครจะมาเป็นผู้กอบกู้ความแข็งแกร่งให้กลับคืนมานั้น ต้องรอดูต่อไป

ที่แน่ๆ คงไม่ใช่ เปมิกา-ผู้หญิงไม่ธรรมดาคนนั้นเป็นแน่แท้!!


http://www.nationweekend.com/2007/03/09/NO10_104_news.php?newsid=503
 

mms://broadcast.manager.co.th/11news1

http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2007/03/09/entry-3



ลองฟังความคิดเห็นของผู้คนจากเวบบอร์ดบ้างนะคะ



.........................................................................

ผมเป็นคนวงในที่รู้จักที่มาที่ไปของเรื่องนี้ ซึ่งที่จริงแล้วถือว่าไม่ได้มากมายอะไร แต่อยากจะให้ผู้ที่เข้ามาอ่านทราบไว้ในบางเรื่องซึ่งผมยืนยันว่าเป็นความจริงอย่างแน่นอนครับ คุณเปมิกา คือคนที่ได้พา น.พ. ประกิตเผ่า ไปทำสมาธิที่วัดต่างๆ โดยตอนแรกได้อ้างว่ามีแฟนอยู่แล้วซึ่งนายแพทย์ประกิตเผ่าเองก็ชอบการทำสมาธิอยู่แต่ก่อนเดิม ทางด้านภรรยาจึงไม่ได้วิตกระแวงอะไร (ไม่ทราบว่าเค้าพูดอะไรกันนะครับ แต่คงเป็นการโกหก ภรรยา เพราะว่าการไปต่างจังหวัดทำสมาธิกับนักศึกษาคณะจิตวิทยา(คุณเปมิกา)นั้น เป็นเรื่องที่น่าสงสัยว่าจะมีอะไรอยู่ไม่ใช่น้อย ประวัติของคุณเป นั้นแต่ก่อนไม่ได้ชื่อ เป ครับ รู้สึกว่าจะชื่ออุ๋ย เป็นนักเรียนคณะวิทยาศาสตร์ แล้วได้ซิ่วมาพร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อ และ นามสกุลด้วย อีกทั้งจะเป็นเด็กที่ค่อนข้างโกหกเก่ง เคยมีเลือดอาบตัวแล้วบอกอาจารย์ที่กำลังคุมสอบว่า มีคนกำลังตามฆ่า ไม่ว่าจะมีการสอบทีไรนั้น คุณอุ๋ยคนนี้จะอ้างว่าไม่สบายหรือว่าไปผ่าตัดตลอด และจะสอบทีหลังเพื่อนทุกที) หลังจากทำสมาธิกันบ่อยๆนั้นคนสองคนก็เริ่มที่จะสนิทกัน โดยฝ่ายหญิงทำทีเป็นสลบแล้วบอกทาง น.พ. ประกิตเผ่าว่าตนเองนั้นสามารถถอดจิตได้ โดยพื้นฐานแล้ว น.พ.ประกิตเผ่าเองเชื่อเรื่องนี้อยู่พอควร แต่สิ่งที่ทำให้เชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตานั้น ทางด้าน ร.พ. ศรีธัญญาได้ตรวจปัสสาวะและพบว่ามีสารที่เป็นส่วนผสมของยาบ้า มากกว่าผู้อื่นถึง200 เท่า จึงเป็นไปได้อย่างมากว่า อาจารย์จะโดยยาหลอนประสาทก็เป้นได้ ทำให้เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ถึงขั้นงมงาย พื้นฐานคุณเปเป็นคนที่ไม่ค่อยมีฐานะเท่าไรนัก (ได้สอบถามอาจารย์ที่รู้จักคุณเป และบอกผมอีกด้วยว่าแต่ก่อนไม่ได้ชื่อเป ชื่อคุณอุ๋ย อายุประมาณ 25 ปี แล้ว อยู่ปีสี่ คณะจิตวิทยา มหาลัยชื่อดังตั้งอยู่ข้างๆสยาม ครับ) เท่าที่ทราบนั้นตอนนี้ได้รับเงินจากอาจารย์ประกิตเผ่าไม่ต่ำกว่ายี่สิบล้านบาทแล้ว ผู้คนที่ไม่เชื่อว่าคุณเปมีฐานะไม่ดีนั้น ก็ขอให้รู้ว่าเค้าได้รับเงินจากอาจารย์ประกิตเผ่านั่นเอง ที่ร้ายแรงที่สุดคือ พินัยกรรมตอนนี้ได้เขียนยกให้คุณเปทั้งหมด นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทางบ้านอาจารย์ซึ่งมีความเป็นห่วงลูกอยู่เป็นเดิมทุน รวมทั้งทรัพย์สมบัติที่ต้องให้กับผู้อื่นโดยไม่ได้รู้จักนั้น เป็นเรื่องที่รับไม่ได้ รวมทั้งลูกอาจารย์ประกิตเผ่าอีกหละ จึงได้พาอาจารย์ประกิตเผ่าเข้าโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบสภาพทางจิต ซึ่งก็ได้ผลยืนยันจากแพทย์ถึงสองท่านว่ามีอาการทางจิตจริง ทางด้านคุณเป เมื่อเห็นท่าไม่ดีกลัวว่าอาจารย์ประกิตเผ่าจะฟื้นจากความงมงานลุ่มหลง ก็ได้พยายามทุกวิถีทางทั้งแจ้งความที่ สน บางซื่อ รวมทั้งเดินไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขอพบท่านเสรีพิศุทย์ (โชคดีที่ท่านไม่ให้พบ) เพื่อที่จะนำนายแพทย์ประกิตเผ่าออกมาให้ได้ โดยตำรวจใน สน นี้ ในส่วนตัวผมคิดว่าน่าจะรู้จักคุณเปเป็นการส่วนตัว ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ที่น่ารังเกียจเช่นนี้
ผมอยากขอเตือนทุกคนที่ได้อ่านว่า การทำอย่างคุณเปเค้าทำเป็นขบวนการเพื่อที่หวังผลทางทรัพย์สมบัติ และสุดท้ายนี้ขอให้อาจารย์ประกิตเผ่าที่ผมนับถือ หายจากอาการจิตหลอนและกลับมาให้สัมภาษณ์ ในตอนที่หายดีแล้วครับ ไม่ใช่โดยคำเรียกร้องของคุณเป ที่จะให้มาออกสัมภาษณ์ตอนนี้ โดยที่ยังไม่ปกติ
อั้ม 
 28 กุมภาพันธ์ 50 3:07 





http://www.manager.co.th/mwebboard/listComment.aspx?QNumber=224566&Mbrowse=11
 


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2007, 16:17 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 09-03-2007, 16:52 »

 Very Happy Very Happy Very Happy.. เปรมิกา  เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้อยู่ในสายตาของคนเสรีไทยรึไง
อ่านแล้วเงียบ ...อ่านแล้วเงียบ ...ใครอ่านแล้วไม่ตอบขอให้......

 Mr. Green Mr. Green Mr. Green
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
อมพระมาพูด
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 918


สนิมเกิดแต่เนื้อในตน


« ตอบ #2 เมื่อ: 09-03-2007, 18:11 »

 

โถ คุณรวงข้าว นู๋เป เธอเล่นศัลยกรรมหน้ามาซะขนาดนี้ รู้สึกจะมีเจตนาแอบแฝง ผมว่านะควรส่งเธอไปหาหมอจิตเวชด้วย !!
บันทึกการเข้า

พึงทำความเพียรในวันนี้ ใครเล่าจะรู้วันตายในวันพรุ่ง
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 09-03-2007, 18:44 »



โถ คุณรวงข้าว นู๋เป เธอเล่นศัลยกรรมหน้ามาซะขนาดนี้ รู้สึกจะมีเจตนาแอบแฝง ผมว่านะควรส่งเธอไปหาหมอจิตเวชด้วย !!


    เห็นด้วยมากกกเลยนะคะ
เมื่อกี้ดูข่าวจากช่อง สาม  เค้าไปให้การที่ศาล  เห็นเดินยิ้ม
เฉ่ง  ไม่สะทกสะท้านเลยสักนิดเดียว  ดูมันทะแม่งๆ
แปลกๆอยู่หน่ะ
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
อธิฏฐาน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,912


รักษาประเทศชาติ เป็นหน้าที่ของชาวไทยทุกคน


« ตอบ #4 เมื่อ: 09-03-2007, 21:33 »


รู้สึกว่าเขาจะเก่งผิดปกติ แปลงโฉมไม่ว่า ทำไมต้องแปลงทั้งชื่อตัว และชื่อสกุลด้วย


บันทึกการเข้า

หยุด...สัมปทานอุทยานแห่งชาติ
http://www.oknation.net/blog/sandstone
อธิฏฐาน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,912


รักษาประเทศชาติ เป็นหน้าที่ของชาวไทยทุกคน


« ตอบ #5 เมื่อ: 09-03-2007, 21:48 »




บันทึกการเข้า

หยุด...สัมปทานอุทยานแห่งชาติ
http://www.oknation.net/blog/sandstone
ลูกหินฮะ๛
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,099


เสียเข็มขัด อย่าเสียกุงเกง


« ตอบ #6 เมื่อ: 09-03-2007, 21:53 »


รู้สึกว่าเขาจะเก่งผิดปกติ แปลงโฉมไม่ว่า ทำไมต้องแปลงทั้งชื่อตัว และชื่อสกุลด้วย

อยากรู้ บอกให้ก็ได้ฮะ

http://stonekid.com/name.html

 เอาชื่อเก่า ใส่เข้าไป เปรียบเทียบกับชื่อจริงดูสิฮะ


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ลูกหิน ไม่ค่อยเห็นด๊วย ที่จะมา ลงความเห็นสองทาง ตามล่าว่า ผู้หญิงคนไหน? ใครถูกใครผิด?

ทำไมไม่ ดูที่ตัวพี่หมอป๊อบบ้าง? ว่า พี่หมอป๊อบนี่แหละตัวดี!!!

อิอิ...อุอุ....
คงจะจริงฮะ.. สมัยนี้ "กรรม" ติดจรวดเร็วมาก
พี่หมอป๊อบ ของลูกหิน สมควรโดนก่อน.คนแรก เร๊ยย..
 หุหุ..หึหึ


ศีลข้อ 3
การประพฤติผิดในกามด้วยการผิดลูกผิดเมียของผู้อื่น
การนอกใจภรรยา หรือ สามีของตน เป็นการเบียดเบียน
กระทำให้ผู้อื่นให้ได้รับความทุกข์เจ็บช้ำน้ำใจ
นำไปสู่ความโกรธแค้นพยาบาท และความไม่สงบสุขในสังคม
(เป็นมุมมองของ ลูกหิน..ในฐานะเป็นเด็กนักเรียน ท่องบทสวดมนทุกวันศุกร์)

น้ำเชี่ยว..อย่าเพิ่งเอาเรือไปขวาง..
น้ำเชื่อมไม่หวาน..ก็อย่าเอาเกลือไปเคี่ยว
อย่าเอาน้ำเต้าเจี้ยว..มาทำน้ำเต้าหู้
อย่าเอาน้ำส้มสายชู..มาตำน้ำพริก
อย่าเอาปลาดิบ..มาทำปลาท่องโก๋
อย่าเอา เบนโล..มากินแก้ไข้
อย่าเอาคนใช้..มาเป็นเมียน้อย
อย่าเอาแบ้งค์ร๊อย..มาทำพวงมาลัย
อย่าหลงเชื่อใจ..กับคนวิปริต
อย่าเอาหมอโรคจิต..มารักษาโรคหัวใจ


..... เสียทองเท่าหัว .. ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร....
ไม่เสียทั้งทอง ไม่เสียทั้งผัว...เอาทองปิดทั่วตัว...ซ่อนใต้บันได

.........รักวัวให้ผูก...รักลูกให้ตี...
รักทั้งวัวรักทั้งลูก...เอาไปผูก..แล้วช่วยกันตี!!

บันทึกการเข้า

  ... ... ... 
หน้า: [1]
    กระโดดไป: