เก็บอาการหน่อยก็จะดีสำหรับพนักงานไอทีวีทั้งหลาย เพราะพวกท่านคุยนักคุยหนาว่า จะทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีจนถึงวินาทีสุดท้าย แต่เท่าที่เห็น..พวกท่านกำลังใช้โอกาสในการเป็นสื่อสารมวลชนทำเพื่อตัวเอง พูดเพื่อตัวเอง และกล่าวหาคนอื่นๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับตนเองทั้งสิ้น
นี่ไม่ใช่วิญญาณของสื่อ แต่เป็นวิญญาณของผีกระสือมากกว่ามองดูตัวเองบ้างหรือเปล่าครับ หรือ พวกไอทีวีมีกระจกไว้สะท้อนภาพของสังคมเท่านั้น ไม่มีกระจกสะท้อนภาพของตัวเองไปแล้ว
วีรบุรุษของไอทีวี น่าจะเป็น 23กบฎ ที่ออกมาเรียกร้องไม่ให้นักธุรกิจการเมืองแทรกแซงการทำงานของสื่อจนทำให้ตัวเองถูกไล่ออกยกคณะ และสามารถต่อสู้กับระบบนายทุนจนศาลพิพากษาให้เป็นผู้ชนะ
อย่างนี้สิ..
สื่อมวลชนที่มีจิตวิญญาณจริงๆเมื่อคืนฟังข้อความแก้ตัวและยกย่องตัวเองของแต่ละคนแล้ว ค่อนข้างผิดหวังกับกระจกเงาบานนี้มากๆ..เช่น
คุณมนตรีบอกว่า "ตลอดระยะเวลาของการทำงานอันยาวนานของไอทีวี ใช้เวลาออกอากาศเพื่อสาระประโยชน์ของประชาชนมาโดยตลอด แม้ในช่วงที่ไอทีวีมีปัญหา ก็ไม่เคยนำเรื่องของตัวเองมาเรียกร้องความเห็นใจ แก้ตัวต่อสังคมผ่านหน้าจอแห่งนี้เลย"ก็ไม่รู้ว่านายคนนี้ดูไอทีวีหรือเปล่า หรือเป็นพนักงานแต่ไปดูช่องอื่นก็ไม่รู้ได้ เพราะตลอดระยะเวลาที่เกิดวิกฤติการณ์ไอทีวี ไอทีวีเสนอข่าวของตัวเองมากและบ่อยครั้ง นานกว่าข่าวสารอื่นๆ เสียอีก ทั้งแถลงการณ์ของพนักงานไอทีวีเองก็นำมาประกาศผ่านรายการข่าวหลายต่อหลายครั้ง อีกทั้งผู้บริหารไอทีวีอย่างคุณนิวัติธำรง ก็ได้รับเชิญมาออกอากาศสดๆ เรียกร้องความเห็นใจจากสังคม กินเวลาชั่วโมงข่าวฮอตนิวส์ของนายกิตติไปเป็นสิบนาที
ต้องถามนายมนตรีว่า นี่ทำเพื่อประโยชน์ของใคร? มีการเบียดบังเวลาของสถานีมาออกอากาศเพื่อตัวเองหรือเปล่า? เป็นสื่อมวลชนจริงๆ ต้องคิดเองได้นะครับ
คุณกิตติบอกว่า.."อุปกรณ์และสายสัญญาณบางชนิดไม่สามารถขนย้ายได้โดยไม่ให้เกิดความเสียหาย และอาจต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 4 เดือนกว่าจะแล้วเสร็จ"อ้าว..ตรงนี้ขัดแย้งกับข้อมูลที่ได้รับจากสื่ออื่นๆ ที่ก่อนหน้าที่จะมีมติครม. ไอทีวีเองก็ได้เสนอข่าวว่า การเคลื่อนย้ายสามารถกระทำได้ทันทีโดยไม่ต้องหยุดออกอากาศไปเป็นเดือน แค่ 4-5 วันก็แล้วเสร็จได้ แต่พอมีมติครม.ออกมาให้งดออกอากาศ อะไรๆ ก็ขนย้ายกันลำบากขึ้นมาในทันที ก่อนหน้านี้ ไม่เห็นนายกิตติแย้งข้อนี้นี่นา
คุณจอมบอกว่า.."รัฐคำนึงถึงกฎหมายที่จะเซฟตัวเองมากกว่าผลประโยชน์ของประชาชนในการรับรู้ข่าวสาร สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเองมากกว่าประชาชน"นี่เป็นการกล่าวหาคนอื่นโดยยกผลประโยชน์ของประชาชนมาต่อรองแทนตนหรือเปล่า?
คุณจอมน่าจะทราบดีว่า นอกจากไอทีวีแล้ว ก็ยังมีสื่อสารมวลชนช่องอื่นๆ มากมายทั้งฟรีทีวีและเคเบิลทีวี นำเสนอข่าวสารได้ไม่ขาดตกบกพร่องเช่นกัน แล้วขาดไอทีวีไป ประชาชนจูนรับสัญญาณช่องอื่นไม่ได้เลยหรือไง? หรือ ไอทีวีเสนอข่าวสารที่ตรงกับข้อเท็จจริงมากกว่าช่องอื่น? ก็เปล่าทั้งเพ
ตามตัวบทกฎหมาย รัฐต้องยึดประโยชน์แห่งเป็นสำคัญนั้นถูกต้องแล้ว จะให้รัฐยึดประโยชน์ของพนักงานไอทีวีหรือ ชินคอร์ปได้อย่างไร? ผมยังงง
ความเสียหายที่เกิดแก่รัฐ เมื่อถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากเอกชนคู่สัญญาว่ารัฐก็ทำผิดสัญญาเช่นกัน ถามว่า หากรัฐแพ้คดี เงินที่ต้องจ่ายค่าปรับนั้น เป็นเงินของ นายกสุรยุทธ์ ของคุณหญิงทิพภาวดี หรือคนใดคนหนึ่งในครม.ช่วยกันลงขันหรืออย่างไร? มันก็เงินจากงบประมาณทั้งนั้น
พนักงานไอทีวี กำลังเอาผลประโยชน์ของตนเองมากำหนดอยู่เหนือผลประโยชน์ของชาติหรือเปล่า?
คุณกิตติ.."ก่อนหน้านี้ไอทีวีได้พยายามทุกวิถีทางที่จะขอความเป็นธรรมจากสังคมและขบวนการยุติธรรม เสนอแนวทางแก้ไขหลายวิธีการ รวมทั้งขอให้ศาลคุ้มครองชั่วคราวเพื่อให้ออกอากาศได้แต่ก็ไม่เคยได้รับความเมตตาเลย"ตกลงว่าไงกันแน่ ไอทีวีไม่ได้ทำผิดสัญญาหรือครับ ศาลเลยไม่ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม
ไม่ทราบนายกิตติคิดหรือเปล่าว่า เอาแค่ค่าสัมปทานรายปี ๆ ละไม่ถึงพันล้านบาท ตรงนี้ยังไม่สามารถหาเงินมาจ่ายให้รัฐได้เลย แสดงว่า ในรอบปี หลายปีที่ผ่านมา พวกท่านออกอากาศกันฟรีๆ เอาเวลาและคลื่นไปขายหารายได้เข้ามา หายไปไหนหมดครับ? ช่องอื่นๆ สัมปทานถูกกว่า ปีหนึ่งก็ยังต้องจ่าย 300 ล้านบาท แต่ไอทีวีไม่จ่ายเลยติดต่อกันหลายปี เอาเงินไปไว้ไหนหมดไม่ทราบ
ผลการดำเนินงานปีที่ผ่านมา แม้จะตัดค่าสัมปทานค้างจ่ายออกไปนอกงบ ไอทีวีก็ขาดทุนอยู่ดีน่ะแหละ แสดงว่า บริหารจัดการแบบ
เอาเงินใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่นหรือเปล่าครับ
ตอนที่ไอทีวีขายหุ้นให้กับประชาชนในราคาไอพีโอหุ้นละ 6 บาท(ราคาพาร์ 1 บาท) มูลค่าตามบัญชีแค่บาทกว่า แถมยังมีขาดทุนสะสมและค่าสัมปทานค้างจ่ายอยู่ในบัญชีด้วย
กำไรจากค่าหุ้นอย่างเดียว ฟาดไปเหนาะๆ หลายพันล้านบาท มีเงินสดหมุนเวียนเข้ามามากมายมหาศาล แล้วไอทีวีเอาไปใช้ทำอะไรจนหมดตัว จ่ายคืนสัมปทานแค่จิ๊บจ๊อย
เงินหายไปไหนมิทราบอย่าให้พูดเลยนะว่า พนักงานและผู้บริหารไอทีวีเองก็ได้รับประโยชน์จากส่วนเกินมูลค่าหุ้น และการเข้ามาครอบงำกิจการ เปลี่ยนผังรายการตามใจฉันของนายทุน ทำให้พากันปิดปากเงียบสนิท
ตอน(เงิน)ทับไม่ร้อง แต่พอท้อง(แท้ง)แล้วให้รับ ใช้ไม่ได้ครับ
ทำไมพนักงานไอทีวีที่คุยว่า ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพไม่นำเสนอข่าวความไม่ชอบมาพากลของตัวเองตรงนี้ ทำสกุ๊ปออกมาตรงๆ เลยว่า เอาเงินไปใช้ทำอะไรบ้าง?
พนักงานไอทีวีอื่นๆ แทบทุกคนกล่าวว่า.."ที่ผ่านมาไอทีวีได้ทำหน้าสื่อมวลชนที่ดี นำเสนอข่าวทุกแง่ทุกมุมในสังคมมาตลอดระยะเวลาสิบปี"แน่ใจนะ เห็นพูดกันจัง ชมตัวเองเกินไปหรือเปล่า?
ที่แน่ๆ ข่าวเรื่องกบฎ 23 คนของไอทีวี ไม่มีการนำเสนอผ่านจอภาพเลยนะ ทั้งตอนที่พวกเขาถูกไล่ออก และตอนที่ศาลตัดสินให้ไอทีวีแพ้คดี ต้องจ่ายชดเชยให้พวกเขา ทำไมไอทีวีไม่นำเสนอข่าวสารนี้ล่ะครับ ในขณะที่ทุกช่องลงเป็นข่าวใหญ่ทั้งนั้น น่าจะละอายใจกันบ้าง
เอาเฉพาะเมื่อคืนนี้ พวกท่านขโมยเวลาของสถานีมาออกอากาศเพื่อตัวเองไปกี่นาที กี่ชั่วโมงครับ ส่วนนี้เพื่อประชาชนจริงหรือ? ไหนบอกจะทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีจนถึงวินาทีสุดท้ายไง แต่ผังรายการถูกขยับเปลี่ยนหมดเพื่อให้พนักงานไอทีวีสามารถนำหน้าจอแก้ตัวให้ไอทีวี และด่ามติของครม.
(คืนนี้ถ้าหากได้ออกอากาศเป็นคืนสุดท้าย สงสัย ได้ทำหน้าที่สื่อมวลชนเพื่อตัวเองกันทั้งวันทั้งคืนแน่นอน กลายเป็นสถานีโทรทัศน์เพื่อพนักงานไอทีวีไปเสียแล้ว
)
********************************
ร้องไห้กระจองอแงมากเกินไปหรือเปล่า ไอทีวีไม่ได้หายไปตลอดกาล อาจแค่หยุดออกอากาศชั่วคราว เดือนหน้าก็อาจได้กลับมาเสนอหน้าทำข่าวกันอีกแล้ว เพราะนโยบายของรัฐชัดเจนว่า ต้องทำต่อ เพียงแต่ต้องทำให้ถูกกฎหมายเสียก่อน ไม่งั้นอุปกรณ์ทั้งหลายมูลค่ากว่า 4 พันล้านบาทจะให้เอาไปทิ้งไหน?
พูดและร้องยังกับเขาไล่ออกแล้วตกงานไปตลอดงั้นแหละ ดูแล้วไม่น่าสงสารเลยสักนิด นี่ผมยังแคลงใจว่า เวลาที่หยุดออกอากาศไปนี้ รัฐต้องจ่ายเงินเดือนให้พนักงานที่ไม่ต้องทำงานหรือเปล่า? จริงๆ รัฐมีสิทธิ์ไม่จ่ายก็ได้ แต่รับรองว่า พนักงานไอทีวีคงไม่ยอมหรอกครับ ยังไงก็ต้องบี้ให้รัฐออกมาอุ้มพวกตนให้ได้ โดยใช้ความเป็นสื่อมวลชนทีดีของพวกเขา ออกแถลงการณ์ต่างๆ เพื่อให้บรรลุจุดมุงหมาย นั่นคือ เงิน
ผมว่า ช่วงเวลานี้ ตัดสินใจกันเองดีกว่า..
1) ไปสมัครงานกับกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งเขารับเข้าทำงานแน่นอน 100%
2) ไปสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มอำนาจเก่า ทำหน้าที่คลื่นใต้น้ำเพื่อล้มรัฐบาลนี้ แล้วนำนายทุนคนที่เคยฮุบไอทีวีเมื่อ 6 ปีที่แล้วกลับมาปกครองตนเอง