ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
20-04-2024, 08:38
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ..เอาน้ำตาที่ร้องให้....ไปเพื่อผู้บริสุทธิ์ที่ชายแดนใต้มิดีกว่าเหรอ... 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
..เอาน้ำตาที่ร้องให้....ไปเพื่อผู้บริสุทธิ์ที่ชายแดนใต้มิดีกว่าเหรอ...  (อ่าน 717 ครั้ง)
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« เมื่อ: 06-03-2007, 23:10 »

....แค่เปลี่ยนมือ ...เค้าจะทำให้เป็นทีวีเสรีที่ถูกต้อง

แค่เปลี่ยนมือเจ้าของ  ไม่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างประเทศอื่น

ก็แค่นี้เอง ...ทุกอย่างมีทางออกทางเดิน  อย่าร้องให้

ไปเลยค่ะ  ลองนึกถึงผู้บริสุทธิ์ชายแดนใต้  ที่เค้าตาย

อย่างไม่มีความผิดอะไรเลยสิคะ ....ท่านเก็บน้ำตาไว้

ร้องให้กับผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตไปแบบไม่รู้ตัว ไม่ดี

กว่าหรือคะ ....


****************************************************


ดับคาจอ
 
 
 
 
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
 

 
 
 
  และแล้วในที่สุดรัฐบาลโดย คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ ท่านพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีก็ออกมาพูด “ความจริง” กับพนักงานไอทีวีเสียทีหลังจากปล่อยให้เหล่าพนักงานไอทีวี และเหล่าผู้จัดรายการ “ฝันกลางวัน” อยู่นานนับเดือน
       
        ไม่ใช่ว่าเมื่อเห็นจุดจบของไอทีวีแล้ว พวกเราเหล่าสื่อมวลชนในสายสิ่งพิมพ์จะใจร้ายใจดำจะแสดงความสะใจ สมใจกันไปเสียหมด พูดกันอย่างตรงไปตรงมาพวกเราทั้งหลายในฐานะของเพื่อนร่วมวิชาชีพต่างก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจ และสะทกสะท้อนกับชะตากรรมของเหล่าพนักงานของไอทีวีนับพันคน รวมถึงเหล่าพนักงานของบริษัทที่ได้รับจัดสรรเวลาให้ออกอากาศทางไอทีวีไม่น้อยเช่นกัน
       
        อย่างไรก็ตาม ในเมื่อบ้านเมืองมีขื่อมีแป มีกฎมีระเบียบ เรื่องของความเห็นอกเห็นใจกับเรื่องของความถูกต้อง ก็จำต้องแยกออกจากกันให้เด็ดขาด
       
       ...
       
        ก่อนหน้าที่ คณะรัฐมนตรีจะมีมติยึดสัมปทานคลื่นคืนมาแล้วให้กรมประชาสัมพันธ์เข้าไปบริหารงานแทน สิ่งหนึ่งที่ผมมิอาจยอมรับได้เลยก็คือ ตรรกะ วิธีคิดของคนหลายๆ กลุ่ม
       
        กลุ่มที่หนึ่ง - คนในรัฐบาลผู้มีวิธีคิดเกี่ยวกับไอทีวี และพนักงานไอทีวีว่า จะต้องออกอากาศต่อเนื่อง และพนักงานไอทีวีเดิมจะไม่ได้รับผลกระทบ ทั้งยังจะได้รับเงื่อนไขการจ้างงานเดิมต่อไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลสองคนคือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ ณ วันนี้ชิ่งหนีความรับผิดชอบด้วยการลาออกไปแล้ว และ นายจุลยุทธ หิรัณยะวสิต ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
       
        คนแรกแม้จะลาออกไปแล้ว แต่ก็เป็นการลาออกอย่างขี้ขลาดที่สุด เพราะในช่วงเกือบ 5 เดือนที่ผ่านมาที่เข้ารับตำแหน่งนอกจากจะไม่ได้สร้างคุณประโยชน์ หรือแก้ปัญหาอะไรให้กับประเทศชาติแล้ว ‘หม่อมอุ๋ย’ ยังทิ้งปัญหาค้างไว้อีกมากมาย ไม่ว่าจะในด้านเศรษฐกิจ เช่น ความผิดพลาดในมาตรการสำรองเงินทุนนำเข้าระยะสั้นร้อยละ 30 และการยกร่างแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ในด้านสังคม เช่น การดึงดันที่จะผ่าน พ.ร.บ.หวยบนดินให้ได้ รวมไปถึงกรณีล่าสุดการวางแผนเข้าจัดการกับคลื่นและพนักงานไอทีวี เป็นต้น
       
        การลาออกของ ‘หม่อมอุ๋ย’ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการแสดงสปิริตแต่อย่างใดเลย ทั้งยังมิอาจเทียบได้กับ พล.อ.สุรยุทธ์ ที่วันนี้แสดงความเป็นลูกผู้ชายออกมากล่าวขออภัยต่อสาธารณะ ต่อพนักงานไอทีวี จากกรณีที่ท่านเคยไปให้คำมั่นเอาไว้ว่าจะพยายามจัดการให้ไอทีวีสามารถออกอากาศไปได้อย่างต่อเนื่อง และพนักงานไอทีวีจะไม่ตกงาน ทั้งยังเทียบไม่ได้กับคุณหญิงทิพาวดีที่แม้จะเป็นสุภาพสตรีแต่ก็กล้ายืดอกสู้กับปัญหา รับฟังความคิดเห็น-คำทักท้วงของผู้อื่น และแก้ไขสิ่งผิดให้เป็นสิ่งถูกในที่สุด
       
        คนที่สอง นายจุลยุทธ หิรัณยะวสิต ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีผู้นี้ ออกมาให้สัมภาษณ์ย้ำหลายครั้งว่าตนเองไม่เห็นด้วยกับการที่ไอทีวีจะต้องหยุดออกอากาศ ทั้งยังแสดงภูมิรู้ของตนเองออกมาผ่านการเปรียบเทียบด้วยว่าไอทีวีก็เหมือนกับร้านอาหาร!
       
        ถ้าจำไม่ผิด ท่านบอกว่า กรณีปัญหาไอทีวีก็เหมือนกับปัญหาร้านอาหาร-ภัตตาคารที่มีลูกค้า มีกำไรแต่ผู้บริหารไม่อาจบริหารงานต่อได้แล้ว ในเมื่อร้านอาหารร้านนี้ยังมีศักยภาพในการดำเนินกิจการ ทำกำไร ก็ควรจะต้องปล่อยให้ดำเนินการต่อไป ทั้งนี้เมื่อถามถึงกรณีการรับพนักงานไอทีวีที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลประกาศว่าจะรับเข้าทำงานต่อทั้งหมด โดยให้บริษัท อสมท. เข้ามาบริหารงานแทนนั้น ท่านปลัดฯ ก็อวดภูมิด้วยการเปรียบเทียบว่า พนักงานไอทีวีก็เหมือนกับพ่อครัว-แม่ครัวของร้านอาหารที่มีความสามารถ เมื่อจะผู้บริหารร้านอาหารเจ้าใหม่เข้ามา ก็ต้องจ้างพ่อครัว-แม่ครัวที่มีความสามารถเข้ามาทำงานต่อ ...
       
        ไม่ว่าจะมองมุมไหน ผมก็ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ว่า ท่านปลัดฯ ใช้ตรรกะและวิธีคิดอะไรในการยกเอากรณีสถานีโทรทัศน์ไอทีวี และคลื่นความถี่โทรทัศน์ซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติของชาติมาเปรียบเทียบกับกิจการของร้านอาหารของเอกชนได้!?! น่าเสียดายจริงๆ ที่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาผมหลงคิดว่าท่านเป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีตงฉินที่เฉลียวฉลาด
       
        กลุ่มที่สอง - กลุ่มพนักงานไอทีวี สังเกตว่าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยถูกโค่นล้มลงไป พนักงานไอทีวีก็ประกาศตนว่าเป็น “ผู้ทรงคุณธรรมในจรรยาบรรณและซื่อตรงต่อวิชาชีพสื่อ” มากจนผิดสังเกต ทั้งๆ ที่ในช่วง 5 ปีระหว่างตระกูลชินวัตร-ดามาพงษ์ ครองประเทศอยู่ (รวมถึงเป็นเจ้านายของพนักงานไอทีวีด้วยนั้น) พนักงานไอทีวีไม่เคยมีความพยายามที่จะตรวจสอบการทุจริต คอร์รัปชัน ประพฤติมิชอบของเจ้านายตัวเองเลย
       
        จนในที่สุดเมื่อเกิดการรัฐประหารขึ้น “ต่อมคุณธรรม-ต่อมจริยธรรม” ของพนักงานไอทีวีจึงจะถูกกระตุ้นขึ้น ส่วนเจตนารมณ์ดั้งเดิมในการก่อตั้ง ‘ทีวีเสรี’ ก็ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เจตนารมณ์ของการเป็นทีวีเสรีที่นานมาแล้วพนักงานไอทีวีทุกคนเก็บซุกใส่ลิ้นชักซ่อนเอาไว้ และหลงลืมไปหลายปีแล้ว อย่างไรก็ตาม หากต่อมคุณธรรม-จริยธรรม ของคนไอทีวีที่เพิ่งถูกกระตุ้นขึ้นมาในช่วงหลังการรัฐประหารเป็นของจริง มาจากใจจริงก็คงไม่มีใครตั้งข้อสงสัย แต่ความพยายามของไอทีวีที่จะปกป้อง แก้ตัวให้กับความผิดที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทำเอาไว้ รวมไปถึงการออกหน้าแทน ผู้บริหารบริษัทไอทีวี ซึ่งเป็นผู้ทำผิดสัญญากับรัฐ และเบี้ยวค่าสัมปทาน ในการต่อรองลดค่าสัมปทานและปรับรวมกว่าแสนล้านบาทนั้นก็บ่งบอกให้เห็นถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการออกมาเคลื่อนไหวของพนักงานไอทีวีได้เป็นอย่างดี
       
        ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ ถึงบัดนี้นอกจากจะออกมาเคลื่อนไหวกดดันภาครัฐให้เข้าช่วยเหลือบริษัท และพนักงานไอทีวีแล้ว ผมยังไม่เห็นเลยว่า พนักงานไอทีวีจะเคยขอเรียกร้องอะไรต่อ ‘ชินคอร์ป’ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทไอทีวี ให้เข้ามารับผิดชอบอนาคตการงานของพนักงาน รวมไปถึงเรียกร้องให้ชินคอร์ปทำการจ่ายค่าสัมปทาน และค่าปรับให้กับรัฐ เพื่อให้ไอทีวีดำเนินการแพร่ภาพต่อไปได้ แม้สักน้อย
       
        ก็ทำตัวมีพิรุธ-สองมาตรฐานเสียอย่างนี้แล้วจะให้ใครมาอาลัยอาวรณ์กับการจากไปพวกคุณเล่า!
       
        กลุ่มที่สาม - กลุ่มเจ้าของบริษัทผู้เป็นคู่สัญญากับบริษัทไอทีวี โดยเฉพาะคุณไตรภพ ลิมปพัทธ์ เจ้าของบริษัทผลิตรายการยักษ์ใหญ่ที่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเข้าโอบอุ้มไอทีวีอย่างแข็งขัน เพื่อพวกตนจะได้ทำรายการในสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ต่อไปได้
       
        คุณไตรภพ พยายามชี้ให้รัฐและสังคมเห็นในประเด็นที่ว่า หากรัฐไม่ปล่อยให้ไอทีวีออกอากาศต่อไป พนักงานในบริษัทคู่สัญญา ผู้ผลิตรายการป้อนให้ไอทีวีนับเป็นหมื่นชีวิตจะได้รับผลกระทบ
       
        การกล่าวเช่นนั้นไม่ได้ผิดจากความเป็นจริงก็จริง กระนั้นคุณไตรภพกลับละเลยที่จะกล่าวถึงความเป็นจริงอีกครึ่งหนึ่งที่ว่า ก่อนหน้านี้คุณไตรภพเองนั่นแหละที่มีส่วนร่วมและได้ประโยชน์โดยตรงจากการที่บริษัทไอทีวีละเมิดสัญญากับภาครัฐ ในการปรับสัดส่วนของรายการสาระต่อรายการบันเทิง รวมถึงการนำเสนอรายการในช่วงไพรม์ไทม์ด้วย
       
        คุณไตรภพ และผู้จัดรายการอีกหลายคน พยายามเรียกร้องให้สังคมเห็นใจพวกตน แต่กลับไม่เคยพูดถึงว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริษัทของคุณกอบโกยผลประโยชน์จากการที่บริษัทไอทีวีทำผิดสัญญากับรัฐไปมากเท่าไหร่แล้ว
       
       ...
       
        ที่สำคัญต้องถามกลับด้วยว่า เพราะเหตุใดบริษัทผู้ผลิตรายการอย่างคุณจึงไม่ไปเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากชินคอร์ป ผู้ถือหุ้นใหญ่ในไอทีวี แต่กลับมาคาดคั้นเอาโน่นเอานี่จากภาครัฐ ภาครัฐที่เป็นผู้เสียหายจากกรณีนี้อย่างแท้จริง และก็ยังไม่รู้เลยว่าในอนาคตจะได้รับเงินค่าสัมปทาน และค่าปรับจากบริษัทไอทีวีหรือไม่อีกด้วย

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9500000026463

 
 
 
 
 
หลังเที่ยงคืน “ไอทีวี” จอดับไม่มีกำหนด-ส่งกฤษฎีกาเคลียร์ กม.ก่อน 
 
 

   
 
 
   
คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รมต.สำนักนายกฯ แถลงข่าวเลิกอุ้มไอทีวี
 

            หลังเที่ยงคืนนี้ “ไอทีวี” จอดับชั่วคราว รัฐบาลส่งให้กฤษฎีกาตีความข้อกฎหมายให้ชัดเจนก่อน ขณะเดียวกันเลิกอุ้มพนักงานปล่อยเป็นเรื่องของบริษัทกับพนักงาน หากไม่เป็นธรรม กระทรวงแรงงานจะเข้าไปดูแล พร้อมทั้งยกเลิกเช่าตึกชินวัตร 3 ด้วย
       
       วันนี้ (6 มี.ค.) คุณหญิงทิพาวดี เฆมสวรรค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ในการพิจารณาของครม.ตนและนายจุลยุทธ หิรัณยะวสิต ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้นำเสนอผลการดำเนินในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาต่อครม.โดยมี 4 ประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ1.เรื่องโครงสร้างที่มีข้อจำกัดที่มีข้อจำกัดในข้อกฎหมาย 2.เรื่องสัญญาที่มีสัญญาร่วมการงานฯ ที่จะต้องแจ้งยกเลิกสัญญา ซึ่งมีมูลค่าที่ทางบริษัทไอทีวีติดค้างอยู่จะต้องชำระกับให้ สปน.ประมาณกว่าหนึ่งแสนล้านบาท นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดที่ได้ตรวจสอบก็พบว่า ทรัพย์สินอุปกรณ์ต่างๆ ที่ในสัญญาเขียนไว้วา จะต้องตกเป็นของ สปน. เมื่อได้ตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่า มีมูลค่าไม่ตรงกัน เพราะมูลค่าที่ทาง สปน.มีอยู่ ยังมีการค้างอยู่อีกประมาณ 557.2 ล้านบาท ดังนั้นในแง่รายละเอียดของอุปกรณ์ที่ต้องตกเป็นของสปน.ก็ยังเป็นประเด็นที่ยังเป็นประเด็นทางกฎหมายที่ไม่ตรงกันอยู่
       
       นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดที่ไอทีวีทำสัญญาไว้กับบริษัทย่อยๆ ซึ่งในสัญญาที่ต้องดูแลถ้าจะมีการรับมอบกันมีสัญญามากถึง 446 สัญญา ส่วนบุคลากรของไอทีวีนั้นจากที่ได้ดูข้อกฎหมายถือว่าเป็นความรับผิดชอบของไอทีวี จากการประสานงานกับนายอภัย จันทนจุลกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ก็ได้ตรวจสอบข้อกฎหมายแล้ว เห็นว่ามีกฎหมาย 2 ฉบับ ที่จะดูแลพนักงานไอทีวี หลังจากที่หยุดกิจการ คือกฎหมายเกี่ยวกับแรงงาน และกฎหมายประกันสังคม คาดว่าไอทีวีคงจะดำเนินกับพนักงานให้เป็นไปตามข้อกฎหมายทุกประการ ซึ่งตนคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรกับพนักงานของไอวีที เพราะจะได้รับค่าชดเชยและการดูแลให้เป็นไปตามเงื่อนไขของกฎหมายแรงงานทุกประการ ถ้าหากสามารถดำเนินการได้ก็จะมีการว่าจ้างบุคลากรของไอทีวีก็จะดำเนินการว่าจ้างต่อไป แต่ตอนนี้ต้องตัดตอนออกจากไอทีวีเสียก่อน โดยเงื่อนไขในการว่าจ้างจะต้องอยู่ภายใต้การกำกับของกรมประชาสัมพันธ์
       
       เมื่อถามต่อว่าภายหลังที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความออกมาว่าสามารถดำเนินการต่อได้ พนักงานไอทีวีสามารถกลับมาทำงานใช่หรือไม่ คุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า ในการบริหารวิทยุโทรทัศน์มีสิ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญคือคลื่น อุปกรณ์ และบุคลากร ดังนั้นเมื่อรัฐบาลจำเป็นต้องแก้ปัญหาโดยการมอบให้กรมประชาสัมพันธ์เป็นผู้บริหาร ทางกรมประชาสัมพันธ์ก็จำเป็นต้องมีบุคลากร แต่ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ ดังนั้นแนวทางที่คณะทำงานจะดำเนินการต่อคือต้องพิจารณารายละเอียดของบุคลากร โดยหลักการคาดว่าจะมีการพิจารณาว่าจ้างพนักงานไอทีวีเก่าเข้ามาช่วยรับผิดชอบ เพราะถือเป็นเรื่องง่าย เนื่องจากพนักงานไอทีวีเป็นคนที่มีประสบการณ์อยู่แล้ว จึงสามารถเข้ามารับช่วง แต่ทุกอย่างทำในนามกรมประชาสัมพันธ์ แต่ไม่อยู่ในลักษณะข้าราชการ คาดว่าจะเป็นลูกจ้างตามสัญญาจ้าง ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะเปิดโอกาสให้บุคคลอื่นที่มีความสามารถนอกเหนือจากพนักงานไอทีวีเดิมเข้าไปสมัครได้ด้วย
       
       “วันนี้สิ่งที่ครม.ได้พิจารณาและอภิปรายกันอย่างรอบคอบแล้วเห็นว่าในเรื่องของรูปสัญญาและการปกป้องคุ้มครองพิทักษ์สิทธิอันเป็นประโยชน์ของทางราชการ ก็จำเป็นจะต้องดำเนินการทุกอย่างให้เป็นไปตามขั้นตอนทุกประการ โดยทางสำนักงานอัยการสูงสุด จะเป็นผู้ดำเนินการในส่วนนี้ ซึ่งจะมีรายละเอียดในการรักษารูปคดีเอาไว้ เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ทางราชการไว้ ดังนั้นถ้ามีการยกเลิกสัญญาก็จะต้องเข้าไปดำเนินการทางกฎหมาย ส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้น จำเป็นต้องเข้าไปตรวจสอบรายละเอียดที่มีเงื่อนเวลา และมีวิธีการทางกฎหมายที่จำเป็นต้องรักษาไว้ไม่ให้เสียรูปคดี”คุณหญิงทิพาวดี กล่าว
       
       คุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า ทั้งนี้มีการพิจารณาในประเด็นที่ว่าเมื่อคลื่นได้กลับมาภายใต้ความรับผิดชอบของ สปน.จะมอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์เข้าไปเป็นผู้บริหารคลื่นนี้ อย่างไรก็ตามเพื่อให้เกิดความรอบคอบในเชิงอำนาจหน้าที่ของ สปน.เพื่อไม่ให้มีประเด็นที่ผิดกฎหมายมาตรา 80 ตามพ.ร.บ.ประกอบกิจการคลื่นความถี่วิทยุและโทรทัศน์ ก็จะต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยตีความให้ถูกต้อง โดยคุณพรทิพย์ จาละ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาได้แจ้งว่าจะเร่งให้มีการประชุมเพื่อวินิจฉัยเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
       
       “คาดว่าวันศุกร์นี้จะได้รับคำตอบ ดังนั้นตั้งแต่วันที่ 7 มี.ค.จนถึงความชัดเจนในแง่ของกฎหมายที่จะให้กรมประชาสัมพันธ์เข้ามาบริหารคลื่นนี้แทน สปน.ก็คงจะมีการเว้นช่วง ดังนั้นจึงขอแจ้งต่อพนักงานไอทีวีและประชาชนทุกคนว่าในการดำเนินการต่างๆ ได้ยึดถือขั้นตอนของกฎหมายอย่างเคร่งครัด และได้คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน รวมทั้งได้พิจารณาถึงโอกาสและทางเลือกที่ประชาชนจะได้สาระข้อมูลทางทีวี คิดว่าความไม่สะดวกคงมีระยะเวลาไม่นาน” คุณหญิงทิพาวดีกล่าว
       
       คุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า นอกจากนี้ครม.ยังมีมติว่าในช่วงเวลาที่จะต้องทำคู่ขนานกันไปได้ขอให้คณะกรรมการกำกับกิจการสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบยูเอชเอฟที่ตนเป็นประธานไปพิจารณาแนวทางและอนาคตของคลื่นว่าจะบริหารต่อไปอย่างไร ดังนั้นภารกิจที่มอบหมายกำหนดเวลาให้ดำเนินการไม่เกิน 1 เดือน และต้องนำมารายงานให้ครม.ทราบอีกครั้ง
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่าตกลงมติครม.เป็นอย่างไร คุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า ครม.มีมติให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยให้สำนักงานอัยการสูงสุด หลังจากที่ สปน.แจ้งยกเลิกสัญญาก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมายทุกประการ
       
       “มันต้องปิดเป็นการชั่วคราว ต้องรอจนกว่าจะมีความชัดเจนในข้อกฎหมายที่คณะกรรมการกฤษฎีกา จะเป็นผู้ตอบคาดว่าวันศุกร์ที่ 9 มี.ค.นี้จะได้รับคำตอบที่ชัดเจน”คุณหญิงทิพาวดี กล่าว
       
       เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้เคยชี้แจงว่าจะมีการระงับการออกอากาศของไอทีวีเป็นเวลา 1 เดือน ยังยืนยันตามเดิมหรือไม่ คุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เคยประเมินเอาไว้ว่าคาดว่าอาจจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือนจริง แต่ตอนนี้เรามีทางออกแล้วงว่าถ้ามอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการได้ ดังนั้นช่วงที่จะมีการตรวจอุปกรณ์ก็สามารถเดินคู่ขนานไปได้ เมื่อถามย้ำว่านับจากวันที่ 7 มี.ค.เป็นต้นไป จะมีการออกอากาศหรือไม่ คุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า ไม่มี เพราะเมื่อมีการยกเลิกสัญญาแล้วคงไม่สามารถออกอากาศได้จนกว่าจะได้รับคำตอบจากกฤษฎีกา นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ติดขัดอีกคือ ขณะนี้สถานีโทรทัศน์ไอทีวีเช่าตึกชินวัตร 3 ดังนั้นเมื่อมีการยกเลิกสัญญาก็ต้องยกเลิกสัญญาการเช่าตึกด้วย ซึ่งอุปกรณ์ต่างๆ ก็จะถูกถ่ายโอนออกจากสำนักงานมาไว้ที่กรมประชาสัมพันธ์หรือสถานที่ที่ สปน.กำหนด ซึ่งจะมีช่วงเวลาที่ขลุกขลักประมาณ 3-4 วัน โดยตั้งแต่วันที่ 7 มี.ค.นี้จะมีการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ เพราะถือว่าเมื่อบอกเลิกสัญญาทุกอย่างต้องสิ้นสุดลง และกลับคืนมาเป็นสปน.
       
       เมื่อถามว่ากระบวนการต่อจากนี่กรมประชาสัมพันธ์สามารถว่าจ้าง บมจ.อสมท.มาทำรายการได้หรือไม่ คุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า เมื่อได้รับคำตอบจากกฤษฎีกาแล้ว หากตอบว่าสปน.ในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบคลื่นสามารถมอบให้กรมประชาสัมพันธ์ที่อยู่ในสังกัดสปน.และได้รับการยกเว้นให้เป็นบริหารสถานีวิทยุและโทรทัศน์ได้สามารถดำเนินการต่อไปได้ ก็จะออกอากาศได้ โดยทางกรมประชาสัมพันธ์จะต้องตั้งบริษัทลูกขึ้นมาเพื่อรับสมัครพนักงานเข้าทำงาน ซึ่งตรงนี้จะเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความสามารถจากภายนอกเข้ามาสมัครได้ด้วย
       
       “ส่วนเหตุผลที่ไม่ให้ อสมท.เข้ามาบริหารไอทีวี ทั้งที่เคยมีแนวคิดก่อนก่อนหน้านี้นั้น ต้องขอชี้แจงว่าตอนนี้เราเปลี่ยนแล้ว เพราะในเชิงเทคนิคกรมประชาสัมพันธ์สามารถเข้าไปรับช่วงได้ ซึ่งได้รับการยืนยันจากนายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์แล้ว แต่เพื่อให้เกิดความรอบคอบและเป็นไปตามพ.ร.บ.ประกอบคลื่นความถี่วิทยุและโทรทัศน์ในช่วงที่ยังไม่มี กสช.มีประเด็นว่าถ้า สปน.ยกเลิกคลื่นความถี่นี้แล้ว คลื่นจะกลับมาเป็นของ สปน.แต่สปน.ไม่มีใบอนุญาตในการประกอบกิจการจึงไม่สามารถบริหารสถานีได้ แต่ผู้ที่สามารถบริหารได้คือกรมประชาสัมพันธ์และ อสมท. แต่ขณะนี้มีความชัดเจนแล้วว่าจะให้กรมประชาสัมพันธ์เป็นผู้ดำเนินการเท่านั้น”คุณหญิงทิพาวดี กล่าว
       
       เมื่อถามว่ามติครม.เป็นไปตามข้อกฎหมายหรือแรงกดดันทางการเมือง คุณหญิงทิพาวดี กล่าวยืนยันว่า ทั้งหมดเป็นไปตามข้อกฎหมายและคณะกรรมการฯที่พิจารณาเรื่องนี้ก็มีตัวแทนจากคณะกรรมการกฤษฎีด้วย โดยผู้แทนจากกฤษฎีกาก็ไม่สามารถตอบประเด็นทางข้อกฎหมายแทนองค์คณะได้ อย่างไรก็ตามสำหรับโครงสร้างนั้นเราจะมีทางออกให้ โดยอยู่ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการชุดที่ตนเป็นประธาน
       
       เมื่อถามว่ากระบวนการต่อจากนี้จะให้เอกชนเข้ามาดำเนินกิจการได้เลยหรือไม่ คุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า ในช่วงระยะเวลาต่อจากนี้ ตนได้รับมอบหมายให้ทำงานคู่ขนานกันไป โดยในช่วง 1 เดือนจากนี้จะพิจารณาในภาพใหญ่ถึงอนาคตของคลื่นนี้ ดังนั้นภายใน 1 เดือนจะมีคำตอบและแนวทางในระยะยาวต่อไป
       
       เมื่อถามว่ายืนยันได้หรือไม่ว่ากระบวรการเปิดประมูลจะมีความโปร่งใส โดยไม่มีการล็อกสเปกให้เอกชนรายใดรายหนึ่ง คุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า ยังไม่มีการตัดสินใจให้เปิดประมูล เพราะในแง่ของกฎหมายยังทำไม่ได้ ต้องขอย้ำว่าในขณะนี้ตามเงื่อนไขของพ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุฯมาตรา 80 กำหนดไว้ว่าผู้ครอบครองคลื่นไม่สามารถไปจัดสรรต่อ หรือโอนให้ใครได้ ดังนั้นการประมูลจึงขัดข้องด้วยข้อกฎหมาย ดังนั้นเวลา 1 เดือน ที่ครม.มอบหมายให้ตนไปดำเนินการจะต้องมองภาพใหญ่ ซึ่งอาจจะนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายได้
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมตอนแรกรู้ว่า อสมท.ไม่สามารถทำได้ แต่ยังเลือก อสมท.มาบริหาร รัฐบาลหลงทางไหม คุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า ไม่ได้หลงทาง แต่เป็นทางเลือกในการพิจารณาดำเนินการซึ่งเรามีหลายทางเลือก การมอง อสมท.ก็เป็นทางเลือกหนึ่ง แต่เมื่อพิจารณาอีกครั้งว่าให้ทางกรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการน่าจะเหมาะสมกว่าในตอนนี้ แต่ทั้งหมดนี้เป็นการชั่วคราวเท่านั้น เมื่อถามว่า เป็นปัญหาทางข้อกฎหมายหรือปัญหาการเมือง คุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นบริษัทไอทีวีไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาร่วมการงาน ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องรับภาระนี้ทั้งที่ปัญหานี้เป็นปัญหาที่เอกชนสร้างขึ้นมา แนวทางแก้ไขที่รัฐบาลพยายามทำมาตลอดคือทำด้วยความระมัดระวัง เพราะสัญญามีมูลค่าถึงแสนกว่าล้านบาท และมีรายละเอียดขึ้นตอนเยอะมาก ฉะนั้นต้องทำด้วยความรอบครอบเพื่อประโยชน์ของรัฐ และในฐานะเจ้าหนี้เรามีข้อมูลที่จะต้องรักษารูปคดีไว้ด้วยขณะหนึ่ง จะต้องตัดตอนทุกอย่าง ตรงนี้เป็นคำแนะนำของอัยการ เนื่องจากจะต้องมีการฟ้องร้องกันอีกยาว และจะโยงไปอีก ซึ่งไม่อยากพูด ขอพูดแค่นี้
       
       เมื่อถามว่าผู้ผลิตรายการของไอทีวีที่ได้รับผลกระทบด้วยรัฐบาลจะทำอย่างไร คุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า วันนี้คณะทำงานต้องทำงานกันทั้งคืน เพื่อหารือในรายละเอียดกัน เมื่อถามว่ารัฐบาลจะส่งฟ้องต่อเมื่อไหร่ คุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า หลังจากแจ้งยกเลิกสัญญา ซึ่งจะต้องดำเนินการตามขั้นตอน เมื่อถามว่า แสดงว่าจะไม่มีการจ้าง อสมท.เข้าไปดำเนินการแล้ว คุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า ไม่มี และบอร์ด อสมท.ไม่จำเป็นต้องประชุมกันเรื่องนี้แล้ว เมื่อถามว่ารัฐบาลได้มีการประเมินถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นหรือไม่ คุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า เรียนตรงๆว่ารัฐบาลพยามเต็มที่แล้ว โดยพิจารณาขั้นตอนกฎหมายและความรู้สึกของประชาชนรวมถึงโอกาสที่ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสาร ยืนยันเราจำเป็นต้องดำเนินการอย่างนี้
       
       เมื่อถามว่า ทำไมรัฐบาลถึงไม่แม่นในข้อกฎหมายต้องส่งอัยการตีความทุกเรื่อง คุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า เราต้องการความรอบครอบไม่ได้โยนกฤษฎีกา และการที่เราต้องให้กรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการ เพราะหากไม่ทำเช่นนี้ก็จะมีปัญหาข้อกฎหมายมาตรา 80 พ.ร.บ.คลื่นความถี่ ซึ่งในระหว่างยังไม่มี กสช.และ กทช.ห้ามมีการจัดสรรคลื่นความถี่ใหม่หรือโอนไปให้คนอื่น สปน.ต้องบริหารคลื่นเอง แต่ สปน.ไม่มีสถานภาพในการบริหาร ฉะนั้นต้องให้กรมประชาสัมพันธ์ ที่สังกัด สปน.
       
       เมื่อถามถึงกรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ระบุในรายการยามเฝ้าแผ่นดินว่า คุณหญิงเกี่ยวพันกับเงิน 40 ล้านดอลล่าร์ คุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า ไม่มี ยังไม่รู้เลยว่าที่นายสนธิ พูดหมายถึงอะไร แต่โดยส่วนตัวเข้าใจว่าน่าจะหมายถึงโครงการเวิร์ลแบงค์ ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)รายงานว่าโครงการดังกล่าวใช้จ่ายไม่คุ้มค่า อย่างไรก็ตามการพูดดังกล่าวไม่น่าจะเกี่ยวกับการตัดสินใจกรณีไอทีวีของตนเอง
       
       เมื่อถามว่า หากกฤษฎีกาวินิจฉัยว่าทางกรมประชาสัมพันธ์สามารถดำเนินการได้รูปแบบผังรายการจะเป็นอย่างไร คุณหญิงทิพาวดี กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่น่ามีปัญหาขัดข้อง กรมประชาสัมพันธ์มีความพร้อมที่จะเดินหน้าออกอากาศ ซึ่งอาจจะนำเทปหรือรายการต่างๆมาออกอากาศได้ อย่างไรก็ตามการขอความชัดเจนกฤษฎีกาครั้งนี้เราไม่ได้ล๊อคเวลากฤษฎีกา แต่ทางเลขากฤษฎีกาบอกว่าการพิจารณาเร็วที่สุดน่าจะได้คำตอบวันศุกร์นี้
       
       “นายกฯได้ขอให้ยึดกฎหมายในการพิจารณาเป็นหลัก ซึ่งท่านเองก็เป็นห่วง เพราะเคยไปรับปากกับพนักงานไอทีวีไว้และใจจริงก็อยากดำเนินการให้เป็นไปตามที่รับปาก แต่เมื่อพบปัญหาติดขัดท่านก็พร้อมที่จะขอโทษพนักงาน ” คุณหญิงทิพาวดี กล่าวและว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีคำตอบมาก่อน แต่เมื่อนายคัมภีร์ แก้วเจริญ กรรมการชุดของตนเอง ได้ไปตรวจเช็คทรัพย์สิน อุปกรณ์ต่างๆ แจ้งว่าในแง่ของรูปคดีจำเป็นอย่างยิ่งต้องยกเลิกสัญญาการเช่าตึกชินวัตรและขนย้ายอุปกรณ์ออกทันที
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่มีคำตอบชัดเจน ปรากฏว่าพนักงานไอทีวีถึงกับน้ำตาไหลพราก กอดคอกันร้องไห้ด้วยความเสียใจ ขณะเดียวกันเพื่อนๆผู้สื่อข่าวจากสำนักอื่นก็รู้สึกเห็นใจถึงขนาดร้องไห้ตามไปด้วย โดยส่วนใหญ่ได้ให้กำลังใจและขอให้พนักงานไอทีวียืดหยัดสู้ต่อไป
       
       ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ระหว่างการแถลงข่าวของคุณหญิงทิพาวดี ผู้สื่อข่าวของไอทีวีพยายามตะโกนคำถามเพื่อขอความชัดเจนให้รัฐบาลรับรองอนาคตในหน้าที่การงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลก็ได้รับปากไว้จะดูแล นอกจากนี้พนักงานไอทีวียังตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบของรัฐบาลเกี่ยวกับผู้ร่วมผลิตรายการประมาณ 130 ราย ซึ่งคุณหญิงทิพาวดี ยืนกรานรัฐบาลยึดหลักถูกต้องของกฎหมายทุกอย่าง และโปร่งใสมาโดยตลอด
       
       ต่อมาคุณหญิงทิพาวดี ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาส่งผลการตีความมาให้รัฐบาลแล้วก็จะสามารถออกอากาศได้เลย แต่จะให้กรมประชาสัมพันธ์เป็นผู้ส่งสัญญาณ ซึ่งตนขอชี้แจงว่า แนวความคิดในการให้อสมท.เข้ามาบริหารไอทีวีนั้นไม่ใช่ความคิดของตน แต่เป็นแนวคิดของนายจุลยุทธ ที่ตนไม่ได้เกี่ยวข้อง
       
       ส่วนนายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ให้สัมภาษณ์เพียงสั้น ๆ ว่า ตนถูกขอร้องจากครม.ไม่ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นจึงไม่ขอพูดอะไร โดยจะให้ความชัดเจนได้ในวันพรุ่งนี้(7 มี.ค.)
       
       ด้าน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงขออภัยพนักงานไอทีวีที่ไม่สามารถให้ไอทีวีออกอากาศต่อเนื่องได้ เนื่องจากจะมีผลกระทบในด้านข้อกฎหมาย รัฐบาลจำเป็นต้องยืนอยู่บนความถูกต้อง และยืนยันว่ามติ ครม.ครั้งนี้ได้ยึดตามแนวทางของกฎหมายเป็นหลัก
       
       ขณะที่ คุณพรทิพย์ จาละ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ (6 มี.ค.) ว่า ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาข้อกฎหมายเกี่ยวกับสถานีโทรทัศน์ไอทีวี นานเท่าใด เพราะยังไม่ทราบว่าสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) จะตั้งคำถามอย่างไร คงต้องให้ สปน. ถามมาก่อน กรณีนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ฝากอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่บอกให้ทำเร็วหน่อยเท่านั้น
       
       “ดิฉันจะพยายามให้คำตอบเท่าที่จะทำได้ เพราะเข้าใจว่าเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าล่าช้าจะมีปัญหา หากถามมาภายในวันนี้ (6 มี.ค.) ก็จะเร่งให้เสร็จภายใน วันที่ 7 หรือ 8 มีนาคม เพราะต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบด้วย” คุณพรทิพย์ กล่าว และว่าปกติคณะกรรมการกฤษฎีกา จะประชุมเพียง 2 ครั้ง คือ ครั้งแรก จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาด้วย ถ้าได้ข้อยุติ การประชุมครั้งต่อไปก็จะตรวจดูบันทึกการประชุมเท่านั้น
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นแล้ว จะสามารถเปิดสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ได้เลยใช่หรือไม่ คุณพรทิพย์ กล่าวว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาเพียงข้อกฎหมาย คณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้ตัดสินใจ
 
 
 
 
 
 

***  คุณเปลว สีเงิน  อาจจะวิพากษ์แรงไปสักนิด

แต่ก็ให้แง่คิดในทางสร้างสรรค์ต่รัฐบาลได้ดีมาก

แต่เข้าใจว่า  รัฐบาลชุดนี้ ยึดหลัก การแก้ไขปัญหา

แบบสุขุม นุ่มลึก  ช้าๆได้พร้าเล่มงาม  คงแก้ไขปัญหานี้ได้

สำเร็จด้วยดีนะคะ


*****************************************************************


เปลวสีเงิน

คุณภาพรัฐมนตรีจากปัญหา ITV


6 มีนาคม 2550    กองบรรณาธิการ

ครม.สุรยุทธ์ ๑ มีจำนวนเท่าไหร่ ผมก็ขี้เกียจไปรื้อรายชื่อมานับ จำได้แต่ว่า ตอนตั้งใหม่ๆ ท่านนายกฯ "พลเอกสุรยุทธ์" ออกตัวแบบตลกๆ ว่า "นับอายุรวมกันแล้วเกือบ ๑,๐๐๐ ปี"


อายุมาก-อายุน้อย  ไม่ใช่สิ่งกำหนด "คุณสมบัติคน" หรอกครับ แต่จากที่เป็น "รัฐบาลขิงแก่" แต่แรกๆ ผ่านไป ๓-๔ เดือน อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี ก็ประเมินผลงานแล้วตีราคาให้

แค่ระดับ "ขิงอ่อน" เท่านั้นเอง!

แต่จะขิงอ่อน-ขิงแก่ก็ไม่ทราบแหละ  จำได้ว่าตอนประกาศชื่อ "คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์" ติดโผ ครม.ก็มีคนเปรยขึ้นมาลอยๆ ว่า

"คนนี้..ทำอะไรเป็นบ้างมั้ย?"

ผมฟังแล้วก็เฉยเพราะไม่ทราบอะไรเลย เนื่องจากไม่ได้สนใจการทำงานของสุภาพสตรีท่านนี้มาก่อน

ก็เพิ่งมีงานทดสอบกึ๋นเป็นรูปธรรมจาก "กรณี  ITV" นี่แหละ  คือพอต้องบริหารปัญหาช่วงหัวเลี้ยว-หัวต่อให้สมกับ "ภาวะปัญญา" ระดับรัฐมนตรี แต่ทุกอย่างค่อนข้างจะผิดหวัง

ไม่มีประสบการณ์ด้านกฎหมาย ก็ยกไว้

ไม่มีประสบการณ์ด้านบริหารธุรกิจ ก็ยกไว้

ไม่มีประสบการณ์เสริมวิสัยทัศน์ที่มองทะลุ ก็ยกไว้

แต่ที่สำคัญคือ...ไม่ประสาอะไรเลย!

ไม่พูดถึงด้าน "ชาติกำเนิด" ITV นะครับ และไม่พูดถึงว่า ต่อจากนี้ รัฐควรทำเอง หรือควรจะเปิดประมูลให้ผู้สนใจเข้ามารับสัมปทานทำในเงื่อนไขที่ควรเป็น

แต่ขอพูดตามแนวที่ "รัฐบาล โดย สปน." กำลังเดินอยู่แล้วขณะนี้ คือธุรกิจด้วยเดิมพันนับแสนล้านอย่าง ITV ไม่ควรทำแบบตั้ง "หม้อแป้ง" ตั้งไว้ข้างเตาเรียบร้อย

แล้วรอเพียงคุณหนูมานั่งละเลงเล่นให้เป็น "ขนมเบื้อง-ขนมครก" อย่างนั้นหรอกครับ

คุณหญิงก็เคยทำงานกับรัฐบาลทักษิณมาก่อนมิใช่หรือ  น่าจะเห็นเยี่ยงอย่างมาบ้างว่า ในแต่ละดีลทางการธุรกิจการค้านั้น "มืออาชีพ" เขาทำอย่างไรกัน?

ขั้นแรกที่ต้องมีคือ "ทีมงานพร้อมทุกด้าน" ทั้งฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายการเงิน ฝ่ายบริหาร  ฝ่ายแผนงาน ฝ่ายวิเคราะห์ ฝ่ายข้อมูล ฝ่ายเคลียร์ประเด็นปัญหา ฝ่ายบุคลากร ฯลฯ

นี่แค่ขั้นตอนบริหาร-จัดการ "จุดเปลี่ยนผ่าน" จาก  ITV ของเทมาเส็ก ก่อนจะมาเป็น TITV ของรัฐบาล โดย สปน.เป็นเจ้าภาพเท่านั้นนะครับ!

ยังไม่เกี่ยว "แผนการเงิน-แผนการบริหาร" ที่จะเข้ามาสานต่อในฐานะเมื่อเป็น TITV ของรัฐเต็มตัวแล้ว

และยังไม่เกี่ยวถึงการ "เก็บรายละเอียด" ถึงผลข้างเคียงต่อเนื่อง ซึ่งต้องมีตามมาแน่นอนบนความเป็น "ของหลวง-ของรัฐ" ที่ใครต่อใครอันมี "ผลได้-ผลเสีย" จะตั้งทัศนคติเป็นมุมมองว่า

"ธุรกิจหลวง-ล้วงได้ล้วงเอา"

แล้ว TITV ก็จะดำมืดไปด้วย..ฝูงเหลือบ!

ในเชิงธุรกิจนั้น  ๓-๖ เดือน ผมก็ว่าเร็วมากแล้วถ้าสำรวจตรวจสอบทุกด้านเบ็ดเสร็จ มาถึงขั้นตกลงกัน พร้อมเซ็นเอกสารส่งมอบครบถ้วน!

ด้วยเชิงธุรกิจนั้น  มันไม่ง่ายเหมือนอย่างที่แค่ให้เด็กเอาสีมาเขียนตัว T เติมเข้าไปข้างหน้า ITV แล้วก็หน้าบาน-คิกคักแถลงข่าวกันว่าเป็น TITV เรียบร้อยแล้ว!!

ผมบอกได้เลย การเล่นข้าวข้าว-ขายแกงของ สปน.นี้ จะเป็นการ "เพิ่มปัญหาในปัญหา" นอกจากหนี้เก่าตามเก็บให้รัฐได้ยากแล้ว  ของที่ยึดคืนมาจะขายสัมปทานต่อก็ยุ่งยากด้วย เพราะ สปน.มีและใช้แต่ "อำนาจรัฐ" ด้านเดียว โดยไม่มีความเข้าใจ-วิสัยทัศน์ด้านบริหารธุรกิจ  และการลงทุนในการเข้ามารับมือช่วงเปลี่ยนผ่านขณะนี้

ได้ ITV คืนมาโดยสิทธิรัฐ ก็ประหนึ่ง "ลิงได้แก้ว"!

เงินที่ต้องเอามาให้ได้ก่อน ๒ พันกว่าล้านตามสัญญา ยังไม่เกี่ยวค่าปรับอีกหลายหมื่นล้าน ดูเหมือน สปน.ลืมทิ้งไปเลย

มัวสนุกอยู่กับการได้ของเล่นใหม่  และลงท้าย ITV จะกลายเป็น "ผีไม่มีญาติ" เพราะเท่าที่สังเกต   แต่ละฝ่ายเอาแต่ "ประโยชน์ที่กูจะได้" พยายามตั้งศพ ITV เพื่อรุมแทะกันคนละหนุบ-คนละหนับ

สุดท้ายซี่โครงนี้   คือ "หนี้สูญ + หนี้โง่" ที่เพิ่มพูนเพราะความไร้เดียงสาของรัฐบาล ก็จะถูกผลักเข้าไปอยู่ใน "บัญชีประชาชน"

คุณหญิงทิพาวดีก็ดี  ปลัด สปน.ก็ดี  เมื่อจบเกม "ตาบอดคลำช้าง" นี้แล้ว ถึงวันนั้น...ก็กลับไปคลุมโปงนอนบ้าน "ไม่รู้-ไม่ชี้" สบายไป!

เหมือนกรณีผลาญเงินนอกงบประมาณนับแสนล้านที่รัฐบาลทักษิณล้วงไปละลายกับนโยบายประชานิยม เพื่อสะสมบารมีตน-คะแนนพรรค นั่นแหละ

วันนี้ก็กลายเป็น "หนี้ของประชาชน" ทั้งประเทศไปเรียบร้อยแล้ว  รัฐบาลต้องเบียดบังภาษีไปตั้งเป็น "งบล้างหนี้" เช่นเดียวกับยุควิกฤติเศรษฐกิจที่ตั้ง "กองทุนฟื้นฟู"

เอา "เงินชาวบ้าน" ไปล้างหนี้ให้กับพวกเศรษฐี "สถาบันการเงิน" ที่ล้มบนฟูก!

http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&post_date=6/Mar/2550&news_id=138893&cat_id=200

http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2007/03/06/entry-2
 
 
 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-03-2007, 23:14 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
ล้างโคตรทักษิณ
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 903



« ตอบ #1 เมื่อ: 06-03-2007, 23:45 »

คงเพราะ ชาวใต้ไม่ได้จ่ายเงือนเดือนให้มันมั้งครับ?

อย่างว่า พวกมันก็แค่คนหากินกับ สถานีโทรทัศน์
บันทึกการเข้า
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 07-03-2007, 08:45 »

คงเพราะ ชาวใต้ไม่ได้จ่ายเงือนเดือนให้มันมั้งครับ?

อย่างว่า พวกมันก็แค่คนหากินกับ สถานีโทรทัศน์


...ที่จริง  ชาวไอทีวีน่าจะสะท้อนความเป็นสื่อ...ด้วยการเน้นความชอบธรรม
เน้นความถูกต้องในการเป็นสื่อ...ให้สื่อช่องอื่นๆได้ชัดเจนในปัญหานี้
ในภาวะวิกฤตนี้  ที่จริงน่าจะฉกฉวยเอาวิกฤตให้เป็นโอกาส
นั่นคือ ...ตาสว่างในเรื่องการเป็นหน้าที่สื่อที่ถูกต้อง  ดีกว่ามาตีอกชกหัวตัวเอง
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
หน้า: [1]
    กระโดดไป: