ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
25-04-2024, 08:09
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ชายคาพักใจ  |  บุคคลผู้นี้ เวบบอร์ดไม่ต้อนรับ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
บุคคลผู้นี้ เวบบอร์ดไม่ต้อนรับ  (อ่าน 5861 ครั้ง)
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« เมื่อ: 04-03-2007, 14:33 »

เสรี หอมมาก
บุรุษผู้แทบไม่เคยใส่เสื้อเลย ตลอดชีวิต
แต่ไม่สำคัญเท่ากับว่า
แทบไม่เคย พูดคำ "สุภาพ" หรือคำปกติที่มนุษย์โลกเขาพูดกัน ตลอดชีวิต

คำพูดทุก ๆ ประโยค ต้องมีคำว่า "***"..."**"..."****"..."*"
(แหะ ๆ ไม่กล้าพิมพ์ พิมพ์ไป ก็คงไม่ผ่านโปรแกรมกรองคำอยู่ดี)

บุคคลผู้นี้ มาเล่นเวบบอร์ดเสรีไทยหรือเวบบอร์ดไหน ๆ ไม่ได้แน่
จะต้องโดนเพื่อนสมาชิกประณาม ฐานใช้คำหยาบ
(ส่วนคุณสะโนว คงไม่ทันได้ประณาม เพราะเป็นลมไปก่อน)
และจะถูกเวบมาสเตอร์ แบน ภายในเวลาไม่เกิน 5 นาที


แต่...ชีวิตที่เต็มไปด้วย "คำหยาบช้า" ของเขา
มีอะไรน่าสนใจ จนรายการ "คนค้นฅน" ต้องไปถ่ายทำมาเผยแพร่
และน่าจะเป็น "คนถูกค้น" คนแรก ที่เราจะได้ยินเสียงเซนเซอร์ "ตุ๊ด...ตุ๊ด...ตุ๊ด" จนฟังแทบไม่รู้เรื่อง ว่าเขาพูดอะไร

ในนิตยสาร ฅ.คน ฉบับเดือนมีนาคม
ทำสกู๊ปเรื่องนี้ไว้ ค่อนข้างละเอียด (และไม่เซนเซอร์)
ผมเห็นว่าน่าสนใจ อ่านแล้ว "โคตรมันส์" มาก
จะเอามาลงให้อ่านทั้งหมด


แต่ต้องขอเวลาสักนิดนะครับ
เพราะออฟฟิศ ฅ.คน ปิด 3 วัน ยังเข้าไปก็อปต้นฉบับ text file และรูปไม่ได้
และได้ text file มาแล้ว ผมก็ต้องมา edit คำ เพื่อให้ "ไม่หยาบเกินไป" และผ่านโปรแกรมกรองคำ
อดใจรอสักติ๊ด

ถ้าใจร้อนอยากอ่านเร็ว ๆ หาซื้อนิตยสาร ฅ.คน ฉบับเดือนมีนาคม ตามแผง มาอ่านก่อนได้ (อิ อิ โฆษณาแฝง)

ชมรูป และ โปรยเรื่อง ข้างล่างนี้ เป็นน้ำจิ้ม รอไปก่อนนะครับ
บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #1 เมื่อ: 04-03-2007, 14:43 »

บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #2 เมื่อ: 04-03-2007, 14:47 »

บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 04-03-2007, 16:15 »

เหอ เหอ...

 
บันทึกการเข้า

ลูกหินฮะ๛
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,099


เสียเข็มขัด อย่าเสียกุงเกง


« ตอบ #4 เมื่อ: 04-03-2007, 17:13 »

 
บันทึกการเข้า

  ... ... ... 
คนเจียงใหม่
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 297


« ตอบ #5 เมื่อ: 04-03-2007, 17:28 »

 Coolเอ่อนะ ถ้าผลิตคนประเภทนี้ไว้ได้มากๆ
สังคมไทยคงเปลี่ยนไปเยอะนะ
บันทึกการเข้า
see - u
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,370


.......... I'm not Supergirl


« ตอบ #6 เมื่อ: 04-03-2007, 23:43 »

* คำพูดหยาบคาย ..... ของคนหนึ่งคน

   อาจมีความหมาย ... มากกว่าคำพูด ..  ดัดจริต  ของคนบางคน

   
   ไอ้คำพูด  มรึง  - กรู  ... ถามจริงๆ เหอะ  ในชีวิตนี้

   ต่อให้คุณเรียนสูงแค่ไหน .. มันไม่มีหลุดออกมาจากปากบ้างเลยรึไง .. ในชีวิตจริง

   คนเรามักตัดสินคน .. แค่ภาพลวงตาภายนอก
   
   มักจะชื่นชมคำพูดสวยงาม ............. แต่  มองข้ามอะไรบางอย่างที่เขามี

   จะวัดคน ... มันต้องวัดจากอะไรหลายๆ อย่าง ... มากกว่าคำพูด

   
   เอาว่ะ .. เอ้ ว่า ... คนบ้าบางคนดูดีกว่า .. คนแสร้งสร้างภาพทำเป็นคนดีอีกหลายๆ คน นะ

   แทงกิ้วว ... ที่เอาคำสัมภาษณ์ ของพี่ คนบ้าชั้นสูงไม่ใช่ชั้นต่ำ  555   มาแนะนำให้อ่าน .. เพ่  ( ชอบง่ะ .. เข้าใจพูด ) 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2007, 01:45 โดย see - u » บันทึกการเข้า

    " I  will  unforgive  you  to  do  the  bad  thing  like  this. "   

                           

                        The  fox  changes  his  skin  but  not  his  habits.   *

                 Superman ( It's Not Easy )   >>  http://www.ijigg.com/songs/V2B7G4GPD
    
    
   "  กฏหมายต้องเดินหน้าเอาผิดต่อคนไม่ดี  ........  ไม่ใช่ปล่อยให้คนไม่ดีมากล่าวเอาโทษกฏหมาย  "

                                     
                                          
RiDKuN
Administrator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,015



เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 05-03-2007, 04:41 »

แต่ก็ไม่อยากให้มองว่า คนที่พูดสุภาพเรียบร้อย คือคนดัดจริตแต่เพียงอย่างเดียว
มารยาทที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมา ถือว่ามีคุณค่ากับการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างปกติสุข
อย่างไรเสียทำดี แถมพูดดีมีมารยาท ย่อมดีกว่าทำดีแต่พูดจาสุนัขไม่รับประทาน
แต่บางคนเขาเป็นของเขาอย่างนั้นโดยธรรมชาติก็ไม่ว่ากัน
บันทึกการเข้า

คนไม่มี "อุดมคติ" ไม่ใช่ "นักการเมือง"
ลูกหินฮะ๛
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,099


เสียเข็มขัด อย่าเสียกุงเกง


« ตอบ #8 เมื่อ: 05-03-2007, 04:44 »

แต่ก็ไม่อยากให้มองว่า คนที่พูดสุภาพเรียบร้อย คือคนดัดจริตแต่เพียงอย่างเดียว
มารยาทที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมา ถือว่ามีคุณค่ากับการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างปกติสุข
อย่างไรเสียทำดี แถมพูดดีมีมารยาท ย่อมดีกว่าทำดีแต่พูดจาสุนัขไม่รับประทาน
แต่บางคนเขาเป็นของเขาอย่างนั้นโดยธรรมชาติก็ไม่ว่ากัน


   ขอบพระคุณฮะ..



.
..
..
....
..


   ลูกหินหลงตัวเอง หุหุ
บันทึกการเข้า

  ... ... ... 
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #9 เมื่อ: 05-03-2007, 04:50 »

นานาจิตตัง ก็ว่ากันไปตามรสนิยมเฉพาะตัว ไม่แสร้งทำและจริงใจเท่านั้นก็พอ
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ใบไม้ทะเล
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,321


In politics stupidity is not a handicap


« ตอบ #10 เมื่อ: 05-03-2007, 08:39 »

งั้นคนที่มีตำแหน่งครูบาร์อาจารย์ ละค่ะ.......

บางทีที่เราไม่อยากใช้คำพูดไม่เพราะความจำเป็นก็มีค่ะ ใช้บ่อยๆๆเด๋วเผลอไปใช้กับอาจารย์ผู้ใหญ่ หรือลูกศิษย์เข้าไปไม่เดี้ยงไปเลยเหรอ เหอๆๆ

สนับสนุนคุณริดกุนค่ะ ขนาดคนใกล้ตัวดิฉันยังต้องขอร้อง เพราะบอกว่าคนเราไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะเติบโตมากับคุณหญิงย่า  (แบบในละครนะ) แต่อย่างน้อยขอแบบกลางๆๆเถอะค่ะ สาธุ 

อย่างน้อย พูดดีก็น่าจะรื่นรมณ์กับคนฟังเป็นส่วนมาก  ถึงจะมีเจตนาจริงใจไม่จริงใจ แต่สุภาพไว้ก่อนถือว่าโอเคค่ะ สำหรับดิฉันถ้าคิดว่าเขาพูดดีกับเราแล้วไม่จริงใจก็ ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า เลี่ยงได้ก็เลี่ยงค่ะ
 

ปล. ในกลุ่มเพื่อน แต่ก่อนดิฉันก็ใช้ภาษาพ่อขุนเหมือนกัน แต่ตอนนี้ทุกคนเพลาๆๆการใช้ภาษานี้ เพราะหน้าที่การงานมันบังคับ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2007, 08:48 โดย ใบไม้ทะเล » บันทึกการเข้า

立てばしゃくやく、座ればぼたん、歩く姿はゆりの花
อังศนา
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,860


Can't fight the moonlight!


เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 05-03-2007, 09:29 »

ถ้าหากเลือกได้.. ขอเจอประเภทจิตใจก็ดีวาจาก็ดีดีกว่าเนอะ 
คนที่ปะทะสังสันท์ด้วยจะได้สบายทั้งกาย(หู) สบายทั้งใจ

บันทึกการเข้า

แม้ผืนฟ้า มืดดับ เดือนลับละลาย 
ดาวยังพราย ศรัทธา เย้ยฟ้าดิน (จิตร ภูมิศักดิ์)
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #12 เมื่อ: 05-03-2007, 09:55 »

ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า ตาลุงคนนี้ แก "ไม่ค่อยเต็ม" นัก
การใช้จริยธรรม-วัฒนธรรม ไปจับ โดยยึดหลักของวิญญูชน อาจวัดอะไรไม่ได้

ชีวิตจริง ๆ แกก็ไม่ได้ครองตนเป็น "พระเจ้า-เหนือโลก" (อย่างที่แก "น่าจะ" อยากเป็น)
ถูกคนทำร้ายหลายครั้ง เพราะความ ป.ม. ของตัวแกเอง
คนที่เกลียดแก ก็มีเหมือนกัน

- ถ้าวิเคราะห์โดยอาศัยหลักวิชาแอดเวอร์ไทซิ่ง+ทะลึ่ง ผมอาจจะมองว่า นี่คือการสร้าง Brand ให้ตัวเองอย่างหนึ่ง เหมือนที่หลวงพ่อคูณ, อาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์, สุจิตต์ วงศ์เทศ หรือคนดัง ๆ อีกหลายคน ที่ "เลือก" ใช้การสื่อสารกับบุคคลอื่นแบบ "หยาบ" ซึ่งเราแน่ใจหรือว่า นั่นคือ nature จริง ๆ ของเขา 100%

ยังไง รออ่านบทสัมภาษณ์ของเขา อาจจะเข้าใจ "ตัวตน" ของเขา มากกว่านี้ครับ

ปล. ผมไม่เคยรู้สึกอยากพูดคำหยาบเลย ตอนมาอยู่กรุงเทพฯใหม่ ๆ ได้ยินพวก "เด็ก'เทพ" พูดไอ้เหี้- ไอ้สัตว์ ผมรับไม่ได้ แทบจะเดินหนีทุกครั้ง ซึ่งเพื่อน ๆ ก็พยายามสอนว่า ถ้ามรึงอยากเป็นคนกรุงเทพฯ มรึงต้องพูดไอ้เหี้- ไอ้สัตว์ ให้คล่องปาก ถึงตอนนี้ก็พอพูดได้บ้าง แต่ยังไม่คล่อง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2007, 10:09 โดย cameronDZ » บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #13 เมื่อ: 05-03-2007, 10:34 »

ความสุภาพ - หยาบคาย กับความจริงใจ – เสแสร้ง นั้น
เป็นคนละคุณสมบัติกัน ไม่จำเป็นต้องไปทิศทางเดียวกัน

ใครที่เข้าใจว่าไปด้วยกัน คือ หยาบมาก จริงใจมาก
หรือ สุภาพมาก เสแสร้งมาก
คงจะเข้าใจผิด

หรือโดนหลอกจากคนพวกที่หลอกตัวเองไม่พอ คิดหลอกผู้อื่นด้วยว่า
ความหยาบคายที่นิยมแสดงออกเป็นนิสัย (ทั้งๆ ที่สามารถจะสุภาพได้ แต่เลือกที่จะ
ไม่ทำ) นั้น คือความจริงใจสุดๆ ที่ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้เป็นมาตรฐานในสังคม

เข้าทำนอง “หมาหางด้วน” หรือเปล่า เชิญผู้เชี่ยวชาญสำนวนไทยพิจารณา
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #14 เมื่อ: 05-03-2007, 11:31 »

ผมดูโฆษณาในทีวี ที่พูดไป..ตุ๊ด..ไป แล้วฮามาก 
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
แอ่นแอ๊น
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,591


"Angela Gheorghiu" My goddess


เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 05-03-2007, 11:45 »

มันเป็นเรื่อง จริต ของคน
แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ เจตนา

 

ไปแระ หิวข้าว ล๊อคอินเข้าๆ ออกๆ สามรอบแล้วเนี่ย
บันทึกการเข้า

       

"เมื่อเจตนาเบี่ยงเบนไปจากความจริง การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง บางทีก็เป็นเพียงภาษาสุภาพสำหรับการพูดเท็จนั่นเอง" : วิถีแห่งปราชญ์ พิมพ์ครั้งที่ ๗ หน้า ๒๐๖
see - u
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,370


.......... I'm not Supergirl


« ตอบ #16 เมื่อ: 05-03-2007, 18:57 »

แต่ก็ไม่อยากให้มองว่า คนที่พูดสุภาพเรียบร้อย คือคนดัดจริตแต่เพียงอย่างเดียว
มารยาทที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมา ถือว่ามีคุณค่ากับการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างปกติสุข
อย่างไรเสียทำดี แถมพูดดีมีมารยาท ย่อมดีกว่าทำดีแต่พูดจาสุนัขไม่รับประทาน
แต่บางคนเขาเป็นของเขาอย่างนั้นโดยธรรมชาติก็ไม่ว่ากัน

*   ที่พูดมาก้ถูก.. 

    ก็ไม่ได้มีใครเขาไปพูดว่า.. ต้องหยาบคายทุก อนูขุมขน..

    หรือ  หายใจเข้า - ออก  ต้องพูดแต่คำหยาบนี่

    คนพูดเพราะ ... ยังไงมันก็ฟัง ระรื่น หูมากกว่าอยู่แร่ววว

    และ คนที่พูดห้วนเกินไป .. ก็ใช่ว่าจะไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน

    แต่ .. คำพูดที่สวยงาม มันไม่สามารถวัดความจริงใจของคนได้หรอก

    ประเภท  ปากอย่างใจอย่าง .. หรือ  ปากปราศัยน้ำใจเชือดคอ .. ก้มีให้เห็นอยู่บ่อยไป

    ถาม  WM  ดีกว่าว่าในชีวิตนี้ ... เคยพูด  มรึง  - กรู  มั้ย
   
บันทึกการเข้า

    " I  will  unforgive  you  to  do  the  bad  thing  like  this. "   

                           

                        The  fox  changes  his  skin  but  not  his  habits.   *

                 Superman ( It's Not Easy )   >>  http://www.ijigg.com/songs/V2B7G4GPD
    
    
   "  กฏหมายต้องเดินหน้าเอาผิดต่อคนไม่ดี  ........  ไม่ใช่ปล่อยให้คนไม่ดีมากล่าวเอาโทษกฏหมาย  "

                                     
                                          
see - u
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,370


.......... I'm not Supergirl


« ตอบ #17 เมื่อ: 05-03-2007, 19:12 »

ใครที่เข้าใจว่าไปด้วยกัน คือ หยาบมาก จริงใจมาก
หรือ สุภาพมาก เสแสร้งมาก
คงจะเข้าใจผิด


หรือโดนหลอกจากคนพวกที่หลอกตัวเองไม่พอ คิดหลอกผู้อื่นด้วยว่า
ความหยาบคายที่นิยมแสดงออกเป็นนิสัย (ทั้งๆ ที่สามารถจะสุภาพได้ แต่เลือกที่จะ
ไม่ทำ) นั้น คือความจริงใจสุดๆ ที่ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้เป็นมาตรฐานในสังคม


เข้าทำนอง “หมาหางด้วน” หรือเปล่า เชิญผู้เชี่ยวชาญสำนวนไทยพิจารณา

* หือออ ... มาถาม หิมะ ว่า

  มีใครเหรอ.... ที่เข้าใจผิด หรือ แยกไม่ออกเรื่อง

  หยายคายมาก = จริงใจ .. สุภาพมาก =  เสแสร้ง  ว่ามันคนละเรื่องเดียวกัน 

  ช่วยยกตัวอย่างมาให้ดูหน่อยสิ .. ว่าเป็นไผ กันจ๊ะ  ???

  มันก็แค่เรื่องของภาษา ... ที่ใช้กันเท่านั้น

  ถาม หิมะ  เหมือนถาม  WM   ด้วยดีกว่าว่า ..  ในชีวิตนี้ ... เคยพูด  มรึง  - กรู  บ้างมั้ย ????

  ปล. นอกเรื่องนิดนึงเนาะ ...

  เอ้ .. ว่าเว็บบอร์ดนี้  เอ้ ยังมองไม่เห็นว่าใครสุภาพสุดๆ เลย

  คำพูดประชดประชัน .. หรือ เสียดสีคนตลอดเวลา ... แบบนี้ถือว่า สุภาพ  อ่ะป่าวว ???


 

   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2007, 19:13 โดย see - u » บันทึกการเข้า

    " I  will  unforgive  you  to  do  the  bad  thing  like  this. "   

                           

                        The  fox  changes  his  skin  but  not  his  habits.   *

                 Superman ( It's Not Easy )   >>  http://www.ijigg.com/songs/V2B7G4GPD
    
    
   "  กฏหมายต้องเดินหน้าเอาผิดต่อคนไม่ดี  ........  ไม่ใช่ปล่อยให้คนไม่ดีมากล่าวเอาโทษกฏหมาย  "

                                     
                                          
see - u
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,370


.......... I'm not Supergirl


« ตอบ #18 เมื่อ: 05-03-2007, 21:37 »

* เห็นพูดถึงเรื่องของ .. ภาษา .. กันจัง

   เมื่อกี้เพิ่งอ่านงานเขียน   " ไม่มีเหตุผลที่เราจะทำร้ายกันอีก " 

   ของ ..  มุฮัมมัด  ส่าเล็ม ...  อยากรู้ว่าคนที่..  ซีเครียด กันจัง กะ ตัวหนังสือ

   อ่นแล้วคิดแบบไหน ... ??


  .........................................................

   เส้นตายของสันติภาพ

   นานหลายศตวรรษแล้ว .. พวกอมนุษย์ .. วางแผนฆาตกรรมสันติภาพ

   เริ่มตั้งแต่พวกมัน .. สั่งสมอาวุธ .. ผลิตวิธีฆ่าแบบใหม่ ๆ ออกมา

   โอ้อวดกัน .. ระลอกแล้วระลอกเล่า

   ผู้มีแสนยานุภาพ .. คือ ผู้ที่ฆ่าคนได้มากกว่า .. ครั้งแล้วครั้งเล่า

   
   พวกอมุษย์ .. ประกาศการค้นพบ .. วิธีการฆ่าฟันแบบใหม่ ๆ

   มาโฆษณาค้าขาย .. เพื่อประสิทธิภาพของการฆ่าฟัน .. บนหน้าแผ่นดิน

   พวกอมุษย์ .. แบกอาวุธเป็นทิวแถว .. ปากร้องเพลงสันติภาพ

   ตะโกนกู่ไปสุดขอบฟ้า .. ทำให้ผุ้คนลืมเสียสิ้นว่า .. อาวุธแอ่นเต็มหลังพวกมัน

   
   เมื่ออาวุธมากเกินพอ.. ความกระหายอำนาจก้มาล้นคอ

   พวกอมุษย์ .. ขีดเส้นตายให้สันติภาพ .. เพียงสะดุดต้นหญ้าเล็ก ๆ
 
   สงครามก็ระเบิดขึ้น .. เพราะอาวุธ .. หนักอยุ่เต็มหลังพวกมัน

   หมากัดกันริมถนน.. เจ็บเหนื่อยก็เลิกลากัน .. โจรปล้นเพราะความหิวโหย

   คนฆ่ากันเพราะความโกรธ .. แต่นี่ .. ไม่เคยพบหน้ากัน .. ฆ่าฟันกันตายเป็นเบือ

   ไอ้พวกสัตว์ .. ฆ่าแล้วทำไมไม่เอาไปแกงกิน

   

   ในที่สุด .. พวกมันก็กำหนดเส้นตาย .. ให้สันติภาพ

   ยัดเยียดความตาย ... ให้ผู้คนที่บริสุทธิ์ .. นับหมื่น นับแสน

   ฆ่าพ่อแม่ของเด็ก .. พรากลูกไปจากแม่ .. พรากคนรักไปจากทรวงอก

   ฝากแผลไว้กับดวงใจทุกดวง ..

   หน้าด้านที่สุด .. พวกอมุษย์ .. พวกสัตว์ร้าย

   แหกปากประกาศอีกว่า .. ฆ่าฟันเพื่อสันติภาพ


............................................

  เชิญ  วิพากษ์ ... ค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2007, 21:41 โดย see - u » บันทึกการเข้า

    " I  will  unforgive  you  to  do  the  bad  thing  like  this. "   

                           

                        The  fox  changes  his  skin  but  not  his  habits.   *

                 Superman ( It's Not Easy )   >>  http://www.ijigg.com/songs/V2B7G4GPD
    
    
   "  กฏหมายต้องเดินหน้าเอาผิดต่อคนไม่ดี  ........  ไม่ใช่ปล่อยให้คนไม่ดีมากล่าวเอาโทษกฏหมาย  "

                                     
                                          
ไทมุง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,543



« ตอบ #19 เมื่อ: 05-03-2007, 23:05 »

แต่ก็ไม่อยากให้มองว่า คนที่พูดสุภาพเรียบร้อย คือคนดัดจริตแต่เพียงอย่างเดียว
มารยาทที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมา ถือว่ามีคุณค่ากับการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างปกติสุข
อย่างไรเสียทำดี แถมพูดดีมีมารยาท ย่อมดีกว่าทำดีแต่พูดจาสุนัขไม่รับประทาน
แต่บางคนเขาเป็นของเขาอย่างนั้นโดยธรรมชาติก็ไม่ว่ากัน

*   ที่พูดมาก้ถูก.. 

    ก็ไม่ได้มีใครเขาไปพูดว่า.. ต้องหยาบคายทุก อนูขุมขน..

    หรือ  หายใจเข้า - ออก  ต้องพูดแต่คำหยาบนี่

   
   

ครือ....เรื่องนี้ค่อนข้างจะซีเครียดอ่ะนะ

แต่พออ่านที่คุณเอ้บอก "หยาบคายทุกอณูขุมขน" แล้วขำกร๊ากเลย

เป็นวลียอดเยี่ยมประจำเดือนมีนาคม 2550
บันทึกการเข้า
ไทมุง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,543



« ตอบ #20 เมื่อ: 05-03-2007, 23:11 »


ปล. ผมไม่เคยรู้สึกอยากพูดคำหยาบเลย ตอนมาอยู่กรุงเทพฯใหม่ ๆ ได้ยินพวก "เด็ก'เทพ" พูดไอ้เหี้- ไอ้สัตว์ ผมรับไม่ได้ แทบจะเดินหนีทุกครั้ง ซึ่งเพื่อน ๆ ก็พยายามสอนว่า ถ้ามรึงอยากเป็นคนกรุงเทพฯ มรึงต้องพูดไอ้เหี้- ไอ้สัตว์ ให้คล่องปาก ถึงตอนนี้ก็พอพูดได้บ้าง แต่ยังไม่คล่อง

             
บันทึกการเข้า
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #21 เมื่อ: 06-03-2007, 00:52 »


ปล. ผมไม่เคยรู้สึกอยากพูดคำหยาบเลย ตอนมาอยู่กรุงเทพฯใหม่ ๆ ได้ยินพวก "เด็ก'เทพ" พูดไอ้เหี้- ไอ้สัตว์ ผมรับไม่ได้ แทบจะเดินหนีทุกครั้ง ซึ่งเพื่อน ๆ ก็พยายามสอนว่า ถ้ามรึงอยากเป็นคนกรุงเทพฯ มรึงต้องพูดไอ้เหี้- ไอ้สัตว์ ให้คล่องปาก ถึงตอนนี้ก็พอพูดได้บ้าง แต่ยังไม่คล่อง

             

ง่ะ...ไม่มี emoticon อันไหน แสดงอารมณ์ "ชื่นชม" เลย
บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
ไทมุง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,543



« ตอบ #22 เมื่อ: 06-03-2007, 02:28 »


ปล. ผมไม่เคยรู้สึกอยากพูดคำหยาบเลย ตอนมาอยู่กรุงเทพฯใหม่ ๆ ได้ยินพวก "เด็ก'เทพ" พูดไอ้เหี้- ไอ้สัตว์ ผมรับไม่ได้ แทบจะเดินหนีทุกครั้ง ซึ่งเพื่อน ๆ ก็พยายามสอนว่า ถ้ามรึงอยากเป็นคนกรุงเทพฯ มรึงต้องพูดไอ้เหี้- ไอ้สัตว์ ให้คล่องปาก ถึงตอนนี้ก็พอพูดได้บ้าง แต่ยังไม่คล่อง

             

ง่ะ...ไม่มี emoticon อันไหน แสดงอารมณ์ "ชื่นชม" เลย
บันทึกการเข้า
นายเกตุ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,289



« ตอบ #23 เมื่อ: 06-03-2007, 09:11 »

สวัสดียามเช้าทุกๆคน...นะฮ้า
บันทึกการเข้า
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #24 เมื่อ: 06-03-2007, 22:17 »

ช่อง 9 กำลังดูดเสียงตู๊ดๆๆๆ ดูกันได้เลยตอนนี้

ไม่ดัดจริดเหมือนลิเกช่องไอทีวี
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
ไทมุง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,543



« ตอบ #25 เมื่อ: 06-03-2007, 22:18 »

  ดูอยู่  พูดเพราะก็ดี พูดไม่เพราะก็น่ารักไปอีกแบบ 
บันทึกการเข้า
see - u
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,370


.......... I'm not Supergirl


« ตอบ #26 เมื่อ: 06-03-2007, 22:24 »

*  กำลังนั่งดูอยู่เหมือนกัน ...

    5555  ... ลุงแก  โ ค ต ร .. จริงใจจริง ๆ
บันทึกการเข้า

    " I  will  unforgive  you  to  do  the  bad  thing  like  this. "   

                           

                        The  fox  changes  his  skin  but  not  his  habits.   *

                 Superman ( It's Not Easy )   >>  http://www.ijigg.com/songs/V2B7G4GPD
    
    
   "  กฏหมายต้องเดินหน้าเอาผิดต่อคนไม่ดี  ........  ไม่ใช่ปล่อยให้คนไม่ดีมากล่าวเอาโทษกฏหมาย  "

                                     
                                          
ไทมุง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,543



« ตอบ #27 เมื่อ: 06-03-2007, 22:39 »

*  กำลังนั่งดูอยู่เหมือนกัน ...

    5555  ... ลุงแก  โ ค ต ร .. จริงใจจริง ๆ


โลกนี้ยังหมุนได้ เพราะมีความแตกต่าง ที่ มิใช่แตกแยก

คุณลุงแม้จะพูดไม่เพราะ แต่ไม่ได้ยะโส เป็นความแปลกที่น่านิยม
บันทึกการเข้า
see - u
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,370


.......... I'm not Supergirl


« ตอบ #28 เมื่อ: 06-03-2007, 22:43 »

* ป่าว ... คุณไทมุง

   เพียงแต่ .. คุณลุงเสรี .. แกมีเสน่ห์ให้ เอ้ สนใจลุงแก

   มากกว่า  ITV  ในตอนนี้ ... ในวินาทีนี้

   มากกว่าใครอีกหลายคน ........ ที่ แมร่ง .. น่าจะเป็นคนดีที่เก่ง  โค ต  ร  .. ก็เท่านั้น !!!

   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-03-2007, 22:45 โดย see - u » บันทึกการเข้า

    " I  will  unforgive  you  to  do  the  bad  thing  like  this. "   

                           

                        The  fox  changes  his  skin  but  not  his  habits.   *

                 Superman ( It's Not Easy )   >>  http://www.ijigg.com/songs/V2B7G4GPD
    
    
   "  กฏหมายต้องเดินหน้าเอาผิดต่อคนไม่ดี  ........  ไม่ใช่ปล่อยให้คนไม่ดีมากล่าวเอาโทษกฏหมาย  "

                                     
                                          
ไทมุง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,543



« ตอบ #29 เมื่อ: 06-03-2007, 22:47 »

* ป่าว ... คุณไทมุง

   เพียงแต่ .. คุณลุงเสรี .. แกมีเสน่ห์ให้ เอ้ สนใจลุงแก

   มากกว่า  ITV  ในตอนนี้ ... ในวินาทีนี้ ก็เท่านั้น !!!

   

ใช่แล้ว น่าดูกว่าไอทีวีเป็นไหนๆ คุณลุงไม่เห็นพร่ำเพ้อเพรียกหาความเป็นธรรม ความยุติธรรม ความเสมอภาคในการเสพข่าวสาร

ความ...ความ...ความ บลา บลา บลา....พนักงานไอทีวีควรดูไว้เป็นแบบอย่าง

ว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มิใช่อยู่ที่การเรียกร้อง แต่ต้องสร้างขึ้นมาเอง...ด้วยตัวเองเท่านั้น 
บันทึกการเข้า
ภารโรงวัยดึก
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 123


« ตอบ #30 เมื่อ: 06-03-2007, 22:51 »

ต้องเรียกว่ามันเป็นจริตของลุงเค้าไปแล้ว มันแก้ไม่ได้ ถ้าแก้ก็จะเป็นการดัดจริต



บันทึกการเข้า
see - u
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,370


.......... I'm not Supergirl


« ตอบ #31 เมื่อ: 06-03-2007, 22:53 »

*  หืออ .. มันหมายถึงว่า

    คน  แมร่ง  ดัดจริต .. ไง

    คน  แมร่ง .. สร้างภาพ

    คน  แมร่ง .. ต้องเป็น  คนดี

    คน  แมร่ง .. ต้องอยู่ในกรอบ

    คน  แมร่ง .. คนที่เหมือนคนบ้า .. แต่ จิตใจดีกว่า .. คนที่เราเรียกว่า .. คน  ปกติ   55555
บันทึกการเข้า

    " I  will  unforgive  you  to  do  the  bad  thing  like  this. "   

                           

                        The  fox  changes  his  skin  but  not  his  habits.   *

                 Superman ( It's Not Easy )   >>  http://www.ijigg.com/songs/V2B7G4GPD
    
    
   "  กฏหมายต้องเดินหน้าเอาผิดต่อคนไม่ดี  ........  ไม่ใช่ปล่อยให้คนไม่ดีมากล่าวเอาโทษกฏหมาย  "

                                     
                                          
ไทมุง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,543



« ตอบ #32 เมื่อ: 06-03-2007, 22:56 »

*  หืออ .. มันหมายถึงว่า

    คน  แมร่ง  ดัดจริต .. ไง

    คน  แมร่ง .. สร้างภาพ

    คน  แมร่ง .. ต้องเป็น  คนดี

    คน  แมร่ง .. ต้องอยู่ในกรอบ

    คน  แมร่ง .. คนที่เหมือนคนบ้า .. แต่ จิตใจดีกว่า .. คนที่เราเรียกว่า .. คน  ปกติ   55555


 
บันทึกการเข้า
ภารโรงวัยดึก
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 123


« ตอบ #33 เมื่อ: 06-03-2007, 23:01 »

ลองนึกภาพดูว่า ถ้าวันหนึ่งลุงแกลุกขึ้นมาพูดจาภาษาดอกไม้ มันจะแปลกไหม ในเมื่อครึ่งค่อนชีวิตแกพูดจาภาษาดอกอะไรก็ไม่รู้ทุกวี่วัน

ถึงบอกว่า จริตของคน มันแก้ไม่ได้หรอก ถ้าแก้ไปแล้ว มันก็เป็นการดัดจริต คนเกิดมามีจริตแบบไหน มันก็เป็นไปแบบนั้น

จะปกติ ดี บ้า ห่า เหว อะไรนั่น มันก็เกิดจากจริตที่มีอยู่ คนสติดี ทำตัวบ้าบอ มันก็ไม่ใช่คนบ้า มันก็คือคนดี แต่มันทำดัดจริต

คนปากหวาน จะให้พูดหยาบก็คงไม่ได้ ส่วนคนปาก*** จะให้เจรจาภาษาใสๆ มันก็คงไม่ใช่ จริตมันจึงเหมือนยี่ห้อของคน

ถ้าเปลี่ยนไป มันก็ไม่ใช่คนๆนั้น
บันทึกการเข้า
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #34 เมื่อ: 07-03-2007, 00:29 »

ดูแล้วคำหยาบไม่เท่าไหร่
แต่ลุงแก.. กวน*ตู๊ดดด**เหลือเกิน
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #35 เมื่อ: 08-03-2007, 18:25 »

สวด. (สวัสดี)
ททท. (ทุก ๆ ท่าน)
จขกท. (จับไข่กะเทย)
ปทจวกบมพก. (ไปเที่ยวจังหวัดกระบี่มาเพิ่งกลับ)

โอ๊ย...ขี้เกียจย่อแล้ว
คือจะบอกว่า ผม หนีข่าวคราวเฮงซวยต่าง ๆ นานาในเมืองหลวง ไปปิดหูปิดตา ตากอากาศชายทะเลที่กระบี่
เพิ่งกลับมาฮับ

ถ้าไม่เหนื่อยเกินไป คืนนี้ จะทยอยลงสกู๊ปลุงเสรี คนพูดเพราะ ให้ได้อ่านกัน
พร้อมภาพประกอบ

ไปแระ ไปหัดพูดเพราะแบบลุงแกก่อน
บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #36 เมื่อ: 08-03-2007, 22:25 »

เรื่องราวของคนบุญผู้หยาบช้า
คนบ้าผู้น่านับถือ

เสรี หอมมาก
(เนื้อหา/รูปภาพ ทั้งหมด ได้รับความอนุเคราะห์จากคุณเวียง-วชิระ บัวสนธ์
และคุณเช็ค-สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ขอขอบพระคูณมา ณ ที่นี้)


มนุษย์หลุดโลก

          “ทุกวันนี้ถ้าให้ใส่เสื้ออีกทียังลำบาก ติดกระดุมไม่ค่อยถูก มันไม่ชิน”
          เสรี หอมมาก หรือที่ชาวบ้านอำเภอบ้านโป่งเรียกขานกันกันอย่างติดปากว่า ‘พี่ทิด’ บอกเล่าเต็มเนื้อเสียงถึงความยากเข็ญ และเหตุผลของการที่จะใส่เสื้อให้เหมือนกับชาวบ้านชาวช่อง
          สำหรับปุถุชน คนบนโลกอันบูดๆ เบี้ยวๆ ยังต้องสวมเสื้อเพื่อห่มคลุมร่างกาย ไม่ว่าจะร้อนจนเหงื่อแฉะหรือหนาวจนขนลุก ก็เพราะมันคือธรรมเนียมปฏิบัติอันดีของการเป็นสมาชิกในสังคม แต่ทว่าสำหรับชายผิวคล้ำวัย 64 ปี ผู้นี้ การใส่เสื้อมีความหมายก็เพื่อปกปิดร่างกายในวาระที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น
          “กูถอดเสื้อแบบนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 นานๆ ทีอย่างถ้ามีงานทำบุญที่ต่างจังหวัดไกลๆ นั่นแหละถึงจะใส่ ไม่รู้จะใส่แม่-งทำเหี้-อะไรให้เกะกะ เมื่อก่อนตอนไปโรงเรียนก็ยังใส่เสื้ออยู่ แต่พอพ่อไม่ให้เรียนต่อ กูก็ถอดแม่-งตั้งแต่ตอนนั้น”
          เสรีหยุดการศึกษาชั้นสูงสุดในชีวิตไว้ที่ชั้น ป.3  หลังจากเรียนซ้ำชั้นอยู่หลายปี ครั้นเมื่อผู้เป็นพ่อเล็งเห็นว่าการศึกษาไม่น่าจะทำให้ชีวิตของลูกชายดีขึ้นไปกว่านี้แล้ว จึงให้ออกมาช่วยกิจการเรือเครื่องข้ามฟากของทางบ้าน
          เมื่อไม่ต้องไปเรียนรู้การเข้าสังคมในโรงเรียน หันมาใช้ชีวิตไปวันๆ กับการทำมาหากิน ไม่ต้องผูกติดอยู่กับความหรูหรา ทะเยอทะยาน ส่งผลให้เด็กชายเสรีกลายเป็นคนเรียบๆ ง่ายๆ จนไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป ดังเช่นเสื้อที่เขาเปลื้องมันออกเมื่อพ่อไม่ให้เรียนต่อ และกางเกงในก็ถูกลืมทิ้งไปเมื่อต้องทำงานมากๆ และต้อง ‘เยี่ยว’ ถี่
          “ชีวิตกูเอาง่ายๆ เข้าว่า อะไรที่ยากๆ ไม่รู้จะเอามาทำไม อย่างกางเกงในกูก็ไม่นุ่ง นุ่งแล้วจะเยี่ยว จะแก้ผ้าอาบน้ำทีก็ลำบาก
          “เวลาอาบน้ำ สบู่กูก็ไม่ฟอก ฟอกแล้วมันเหนียวตัวเหนอะหนะ ราดน้ำแล้วเอาสก๊อตไบรต์ถูขี้ไคลก็พอแล้ว ส่วนผมนี่กูไม่เคยสระมานานแล้ว
          “คนอย่างกูมันยังไงก็ได้ ถ้าอยากอาบน้ำเมื่อไหร่เจอแม่น้ำลำคลองที่ไหนก็โดดลงได้เลย”
          ชายคนดังแห่งบ้านโป่งบอกถึงความเป็นตัวของตัวเองด้วยท่าทีภูมิใจ ประหนึ่งว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความสามารถพิเศษที่ไม่มีผู้ใดลอกเลียนแบบได้
          รูปลักษณ์ภายนอก และการรักษาความสะอาดร่างกายดังที่เขาร่ายให้ฟัง เป็นเพียงรูปธรรมที่เห็นกันอย่างชัดแจ้ง แต่คงไม่ใช่เรื่องเท่านี้ที่จะทำให้มนุษย์หลุดโลกอย่างเขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเล็กๆ ที่ไม่มีใครรังเกียจ หนำซ้ำยังยอมรับและยกย่องเสียด้วยซ้ำไป รากความคิดของเขานั้นน่าจะมาจากศรัทธาในพุทธศาสนา และความเกื้อกูลกันในสังคมสงบของคนพุทธแท้ๆ ที่ทั้งเรียบง่าย สมถะ พอใจเท่าที่มีอยู่
          คนทั่วไปไม่ว่าเศรษฐีหรือยาจก เงินเป็นสิ่งที่ใครก็อยากได้ ยิ่งมากยิ่งดี วันนี้ใช้ไม่หมด ก็คิดเผื่อเอาไว้ใช้วันหน้า ชั่วลูกชั่วหลานว่านเครือของตัวเอง แต่กับชายผู้ที่อาบน้ำไม่ยอมสระผมคนนี้ อำนาจเงินไม่เคยแผ่บารมีเหนือหัวใจของเขา 
          “ในประเทศไทยนี่ไม่มีใครรวยไปกว่ากูหรอก เศรษฐีที่ไหนมีเงินแม่-งก็ต้องเอาไปใช้ แต่ของกูนี่มีเอาไว้ดูเล่นโว้ย กูเอาฝากแม่กูไว้ แต่เป็นแม่ธรณีนะ วันไหนอยากเอาออกมาดูกูก็ขุดขึ้นมา วันไหนได้เงินมาเพิ่มก็เอาใส่ไหฝังลงไป กูไม่ฝากแม่-งหรอกไอ้ธนาคารส้นตีนอะไรทั้งหลายแหล่น่ะ จะรู้ได้ยังไงว่ามันมั่นคง พอแม่-งล้มละลายเงินที่ฝากไว้ก็หมดกฉิบหายได้เหมือนกัน
          “ทุกวันนี้ถ้าไม่ได้ฝังดิน กูก็จะเก็บเอาไว้ใช้ บางทีก็เอาไว้ซื้อของเลี้ยงพระ แล้วก็เลี้ยงคนที่เขาทำงานให้ส่วนรวม เพราะคนพวกนี้มันเป็นคนดี
          “สำหรับกู... คนดีไม่ต้องมีเหี้-อะไรมาก แค่ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมก็พอแล้ว”
          ชายแก่ร่ายยาวถึงสิ่งนอกกายที่หลายคนบูชาเป็นพระเจ้า ก่อนจะโยงไปถึงทัศนะในการมองคนอย่างเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน
          หากสิ่งที่หล่นถ้อยความคิดออกมาเป็นความจริง ชายวัยหกสิบสี่เสื้อแสงไม่ใส่คนนี้ ก็น่าจะเป็นหนึ่งในคนดีอย่างไม่ต้องสงสัย 
          ภาพของมนุษย์หลุดโลกที่เข็นรถคู่ชีพออกไปทั่วบ้านร้านตลาดเพื่อเรี่ยไรให้ชาวบ้านช่วยกันทำบุญนั้น คนทั้งบางก็พิสูจน์มาแล้วว่า ได้เท่าไหร่ ถึงวัดหมด ไม่แม้แต่จะแอบเม้มเอาไว้กินเองบ้าง
          เพียงแต่ความเป็นคนดีของเสรีอาจรับรู้ได้ยากสักหน่อย เนื่องจากมันมองไม่เห็นด้วยสายตา หากแต่ต้องใช้หัวใจ และความรู้สึกสัมผัสลงไป และต้องใช้เวลานานพอดูทีเดียว
          เพราะสิ่งเหล่านั้นซ่อนอยู่หลังวาจาที่พ่นออกมาจากขุมนรก

ปากร้ายใจดี

          ความพิเศษของชายชื่อเสรีมิได้อยู่ที่การแต่งกาย การไม่ยอมรักษาความสะอาด การใช้เงินหรือรายละเอียดปลีกย่อยอีกร้อยแปดพันประการในชีวิต
          สิ่งเหล่านั้นแทบจะไร้ความพิเศษโดดเด่นไปในทันทีเมื่อเทียบกับฝีปากอันทรงพลัง
          วาจาของชายวัย 64 ปีไม่บาดลึก ไม่คมคาย แต่หยาบคาย กระด้าง และเผ็ดหู ชนิดที่ว่าถ้าไม่รู้จักกันมาก่อน อาจถึงขั้นลงไม้ลงมือกันได้เพียงแค่เริ่มทักทาย
          หากเทียบน้ำหนักกันแบบปากต่อปาก ปอนด์ต่อปอนด์ แม่ค้าปากตลาดที่ว่าแน่ๆ อาจต้องร้องไห้ถ้าได้ปะทะคารมกับผู้ชายอย่างเขา
          คำพูดเพราะๆ ดีๆ จำพวกกระผม ท่าน ฉัน เธอ ครับ ฯลฯ ไม่เคยหลุดออกจากปากดำๆ ของเสรี หากจะมีก็แต่ไอ้ อี เหี้- ห่า และสารพัดสัตว์ในตระกูลเลื้อยๆ รวมไปถึงอะไรก็ตามที่แสลงปากคนอย่างเราๆ
          ชายผู้เต็มไปด้วยความดิบห่ามอย่างเขา ปากจะพูดออกมาตามที่ใจตัวเองคิด โดยไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น
          เสรีไม่เคยแยแสแม้แต่น้อยว่าผู้ที่ได้รับฟังจะมองเขาว่าอย่างไร มันเป็นความมั่นใจในตัวเองอย่างสูงที่แฝงเร้นอยู่ในรูปลักษณ์ภายนอกอันต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
          “กูไม่รู้จะพูดเพราะไปทำเหี้-อะไร พูดไปก็ไม่เห็นได้อะไรขึ้นมา คนเราจะพูดเพราะมันต้องดัดจริตพูด อย่างไอ้คำว่า ‘ครับ’ ที่คนเขาพูดกันเนี่ย แม่-งยังต้องควบกล้ำ กูถามจริงๆ เถอะว่ามันพูดชัดเท่าคำว่า ‘เหี้-’ ไหม
          “กูไม่สนใจหรอกว่าใครจะมองกูยังไง ขนาดคนใหญ่คนโตยังมีคนไม่ชอบหน้ามันเลย แล้วกูเป็นใคร เป็นแค่ไอ้เสรี ทำไมจะต้องไปสนใจมันด้วย”
          น้ำเสียงปกติของเขาในยามนั่งคุยกันธรรมดา ผ่านวันเวลาที่ช่วยบ่มมิตรภาพจนสุกงอมเต็มที่แล้วก็ยังฟังดูเหมือนการตะคอกข่มขู่เสียมากกว่า 
          ความมั่นใจของเสรีหากมองกันอย่างผิวเผินก็อาจเป็นความเชื่อผิดๆ ของชายผู้ด้อยการศึกษา ห่างหนังสือสมบัติผู้ดี ทว่าในมุมกลับกัน หากวิเคราะห์ให้ลึกลงไป เราอาจมองเห็นได้ถึงการเลือกที่จะปักหลักอยู่บนจุดยืนของตัวเองอย่างมั่นคง โดยไม่ยอมไหวเอนต่อกระแสลมแห่งความรู้สึกที่โบกสะบัดอย่างรุนแรงอยู่รอบข้าง
          ซึ่งสิ่งเหล่านี้นับว่าหาได้ยากยิ่งเหลือเกินในตัวของมนุษย์ปกติ
          บนโลกที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงชั่งตวงคุณค่าของความเป็นมนุษย์จากรูปลักษณ์ภายนอก รวมทั้งลมปากที่หอมหวานมากกว่าการกระทำ คนหลุดกรอบอย่างเสรีกลับยอมที่จะเดินแตกแถวเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของตนเอง
          ความเชื่อมั่นที่ว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด
          “คนที่เขามองคนเป็น เขาต้องมองในสิ่งที่กูทำ ไม่ใช่สิ่งที่กูพูด” เสรียืนยันหนักแน่น
          “อย่างถ้ากูด่าพระ เขาก็ต้องมองว่าไอ้พระองค์นั้นมันเหี้-อย่างที่กูพูดจริงหรือเปล่า ไม่ใช่มาสรุปเอาเองว่ากูไม่ดี อย่างถ้าพระองค์ไหนมันผิดคำพูด เวลากูไปนัดมาเอาของแล้วไม่มา กูก็ด่าแม่-งเหมือนกัน
          “กูด่ามาหมดแล้วไอ้พระพวกนี้ ถือศีลตั้ง 227 ข้อ แต่เสือกเชื่อถือไม่ได้ แม่-งถือกันแต่ศีลแต่เสือกไม่ถือสัตย์”
          พูดแล้วอารมณ์อันเกรี้ยวกราดที่ไม่อาจควบคุมได้ก็โหมกระพือขึ้นมาอีก ตอกย้ำภาพของคนเถื่อนถ่***ที่แม้กระทั่งพระสงฆ์องค์เจ้าก็ยังไม่ละเว้น 
          เสรียินดีที่จะเป็นคนซื่อผู้หยาบช้ามากกว่าผิดคำสัญญาแล้วถูกยกย่อง
          อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นมนุษย์ที่มีวาจาจัดจ้านร้อนแรงราวกับปากพ่นไฟได้ก็มิปาน แต่สิ่งที่เห็นก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปทั้งหมด เพราะในม่านหมอกของความเลวร้าย เสรีกลับซ่อนเร้นความงดงามเอาไว้อย่างมิดชิด
          ซึ่งความงดงามเหล่านั้นคือ การทำแต่สิ่งดีๆ เพื่อส่วนรวม และผู้อื่นทั้งสิ้น
          “บ้านไหน วัดไหน มีงานส้นตีนอะไรให้กูไปได้ กูก็ไป ไปแม่-งทั้งชุดแบบนี้แหละ แล้วคนอย่างไอ้เสรีไปเอง ไม่ต้องเสือกมาแจกการ์ดให้เปลือง
          “กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้ที่กูต้องไปช่วยงาน ขอของบริจาคทำบุญให้วัดโน้นวัดนี้มันเป็นเวรเป็นกรรมหรือเป็นเหี้-อะไร มันอาจจะเป็นความเสือกของกูเองก็ได้ คืออยากเสือกไปช่วยเขาเอง
          “ในบ้านโป่งกูก็เสือกแม่-งแทบทุกวัด ยกเว้นไอ้วัดที่เจ้าอาวาสมันไม่ชอบขี้หน้ากันกับกู กูก็ไม่เสือกให้วัดมัน”
          แม้จะเลือกไม่เกื้อกูลกับผู้ที่บาดหมางกันเป็นการส่วนตัว แต่เสรีก็ไม่ใช่มนุษย์ที่จะนิ่งดูดายในการทำความดี มิเพียงแต่สถาบันทางศาสนาอย่างวัดเท่านั้นที่เขาให้ความสำคัญ แต่หากรู้ว่าใครกำลังเดือดร้อน ชายปากร้ายก็พร้อมที่จะเสียสละแรงกายแรงใจ เดินตระเวนเรี่ยไรบุญจากชาวบ้าน เพื่อให้ได้ข้าวของเครื่องใช้มาช่วยเหลือทันที
          “ไม่ต้องเป็นวัดหรอก กับคนอื่นถ้ารู้ว่ากำลังเดือดร้อนแกก็ช่วย” หญิงแก่รุ่นราวคราวเดียวกันกับเสรีว่า
          “สมมติว่าฉันจะบวชลูกชาย แล้วไม่มีเงิน ไม่มีข้าวของเครื่องใช้ที่จะจัดงาน ถ้าแกรู้ แกจะไปเรี่ยไรให้ทันที แล้วของที่ได้มานี่เยอะกว่าที่ต้องการอีก
          “แกช่วยทุกงาน ถ้างานไหนแกไม่ได้ไปขอของมาช่วย อย่างน้อยก็ต้องไปล้างถ้วยล้างจาน ปากแกร้ายไปอย่างนั้นเอง แต่จริงๆ แล้วแกเป็นคนดีมาก” หญิงชราคนดังกล่าวยืนยัน
          ว่ากันว่าในชีวิตของคนเรามันประกอบขึ้นจากมิติที่ซับซ้อนเสียจนเข้าใจยาก บางอย่างลึกๆ ข้างในตรงข้ามกับสิ่งที่ปรากฏภายนอกอย่างสิ้นเชิง สำหรับเสรี ภายใต้วาจาอันหยาบร้าย และเนื้อตัวที่เหนียวเหนอะหนะแลดูสกปรกโสมม เขากลับยึดมั่นในคำสัตย์และความดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เขามีจิตใจสะอาดสะอ้านอย่างเหลือเชื่อ
          หากคำว่า ‘เสือก’ ในพจนานุกรมชีวิตของคนนอกรีตอย่างเสรี หมายถึงการปฏิบัติตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นจนกลายเป็นความเคยชิน ตัวของเขาเองก็คงเป็น ‘ตัวเสือก’ ระดับ ‘เวิลด์คลาส’ อย่างไม่ต้องสงสัย
          เพราะในโลกยุคปัจจุบันที่มนุษย์แห้งแล้งความงามของหัวใจ
          เราหาคนที่ ‘เสือก’ ในเรื่องแบบนี้ได้น้อยนิดเหลือเกิน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2007, 17:05 โดย cameronDZ » บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #37 เมื่อ: 08-03-2007, 22:28 »

บนเส้นทางสายบุญ

          “กูทำอย่างนี้ครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 ตอนนั้นที่วัดปลักแรต เขามีงานเหี้-อะไรสักอย่างจำไม่ได้ รู้แต่ว่าเขาต้องการกระเทียม พระเขาก็มาขอเรี่ยไรแต่เสือกไม่มีใครให้ กูก็เลยต้องลงมาเสือกด้วยตัวเอง ปรากฏว่าพอลงมาแล้วได้ผล จากนั้นก็เลยทำมาเรื่อย”
          ชายผู้เป็นเทพบุตรในร่างซาตานเล่าย้อนถึงก้าวแรกบนเส้นทางสายคนบุญของตัวเอง
          นับจากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 40 ปีแล้วที่เขาตระเวนเข็นรถขอสิ่งของบริจาค เพื่อนำไปช่วยเหลืองานบุญของทางวัดและผู้อื่นอยู่ไม่เคยขาด
          ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นงานเพียงอย่างเดียวของเสรีในปัจจุบัน
          มันเป็นงานที่ใช้ความน่าเชื่อถือเป็นทักษะ เอาความดีเป็นต้นทุน โดยได้ผลบุญเป็นเงินเดือน และมีความศรัทธาจากคนรอบข้างเป็นโบนัส
          ทุกๆ วันเสรีจะต้องเปิดปฏิทินซึ่งเป็นตารางการทำงานประจำตัวออกดูว่าแต่ละวันมีโปรแกรมต้องไปช่วยเหลือใครที่ไหนบ้าง
          “กูเปิดปฏิทินดูทุกวันแหละ ว่าวันนี้มีคิวจะต้องไปเสือกให้วัดไหนหรืองานใครบ้าง อย่างนี่อีก 2 วันมีงานเผาศพอีห่านี่ เดี๋ยวกูก็ต้องไปเสือกล้างถ้วยล้างจานให้มัน” เขาพูดด้วยใบหน้าถมึงทึง พลางชี้ให้ดูใบปฏิทินที่ถูกลงเวลานัดหมายด้วยลายมืออันบิดเบี้ยว แน่นอนว่าตารางงานแผ่นนั้นยากนักที่จะมีคนเข้าใจ นอกเสียจากผู้เป็นเจ้าของ
          โดยปกติการเป็นตัวกลางในการเรี่ยไรสิ่งของใดๆ ก็แล้วแต่ มักจะทำกันด้วยความสุภาพเรียบร้อย รวมทั้งขึ้นอยู่กับผู้ให้เป็นสำคัญ
          แต่สำหรับเสรี ความเป็นตัวของตัวเองแบบสุดขั้วทำให้วัฒนธรรมอันดีเช่นนี้ ไม่เคยมีอยู่ในสารระบบ
          รูปแบบการบอกบุญของ ‘วายร้ายแห่งบ้านโป่ง’ ไม่มีการพูดจาที่หวานหู ไม่แม้แต่จะโอนอ่อนผ่อนให้ผู้บริจาคเป็นผู้ตัดสินใจ หากใครก็ตามที่เขาเลือกหยุดรถตรงหน้าแล้วมีท่าทีปฏิเสธที่จะทำบุญ ผู้นั้นก็จะโดนกระหน่ำด้วยพายุแห่งการด่าทอจนขี้หูเต้นระบำ
          “ใครไม่ทำบุญกับกู กูด่าโคตรพ่อโคตรแม่แม่-งหมดแหละ กูถือว่ากูอุตส่าห์มาบอกบุญถึงที่ บุญอยู่ตรงหน้าแม่-งแท้ๆ แต่ยังเสือกไม่ทำกัน 
          “ทำบุญน่ะมันต้องขึ้นอยู่ที่คนบอกโว้ย ไม่ได้อยู่ที่คนให้ ถ้าอยู่ที่คนให้ อีนั่นอยากให้ อีนี่ไม่อยากให้ แล้วเมื่อไหร่มันจะได้บุญได้ของกัน
          “ไอ้บุญนี่มันดีกว่าบาปหรือเปล่ากูไม่รู้หรอก แต่กูก็อยากให้มันทำกันทุกคน”
          นักบุญในคราบคนบาปบอกเล่าถึงสไตล์การทำงานที่ไม่ซ้ำแบบใคร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นเอกลักษณ์ของเอกบุรุษอย่างแท้จริง
          บนเส้นทางสายบุญที่ยาวนานร่วม 40 ปี การที่คนคนหนึ่งซึ่งมีวิถีทางและความเป็นอยู่แตกต่างจากผู้คนทั่วไปแบบขาวกับดำ จะได้รับความร่วมมือและไว้เนื้อเชื่อใจจากชาวบ้านในการบริจาคทรัพย์ปัจจัยต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ย่อมไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นง่ายๆ
          เสรีเองยอมรับว่า ทุกอย่างต้องใช้เวลาในการสั่งสมเครดิตอยู่พอสมควรกว่าที่จะมีวันนี้
          “ตอนแรกๆ คนเขาก็ให้ แต่เขาไม่ได้ให้เยอะเหมือนทุกวันนี้หรอก มาใหม่ๆ ใครเขาจะมาให้มึงที 2-3 คันรถ บางคนอยากให้เขาก็ให้ บางคนมันไม่ไว้ใจมันก็ไม่ให้
          “แต่ความจริงมันเป็นสิ่งไม่ตาย คนไหนที่เขาสงสัยเขาก็ไปถามจากพระจากเจ้าอาวาส ว่าไอ้เหี้-นี่มันเอาของไปทำบุญ ไปถวายวัดจริงหรือเปล่า หลวงพ่อ หลวงพี่เขาก็บอกความจริงกับพวกมัน พอแม่-งหายสงสัยก็ถึงได้มาทำบุญกับกูกันมากขึ้นจนถึงวันนี้”
          ก้าวแรกบนเส้นทางอันยาวไกลไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยสิ่งดีๆ เสมอ เนื่องจากมันไม่ได้ผ่านการพิสูจน์ว่าก้อนกระดำกระด่างก้อนนี้มันคือทองคำแท้ๆ ไม่ใช่ทองก้อน   
          สำหรับเสรี ก้าวแรกบนเส้นทางสายบุญของเขา อาจเริ่มต้นด้วยความสงสัยเคลือบแคลง
          แต่สิ่งเหล่านั้นก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนจนกลายเป็นความเชื่อมั่น และไว้วางใจในที่สุด
          ที่สำคัญ… ความไว้เนื้อเชื่อใจนี้ยังคงงอกงามดีอยู่บนรากแห่งความดีจนถึงปัจจุบัน


         
บ้าหกสลึง

          หากความบ้าคือการใช้ชีวิตไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ของสังคม รวมทั้งการมุ่งมั่น เอาจริงเอาจัง ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเกินปกติ เสรีย่อมเป็นคนบ้าอย่างไม่ต้องสงสัย
          เพียงแต่คนอย่างเขาเป็นพวกบ้าชั้นดาวดึงส์
          “คนอย่างกูถึงจะบ้า แต่กูก็บ้าหกสลึง กูบ้าชั้นสูงโว้ย กูไม่ได้บ้าชั้นต่ำ” ชายผู้มีแนวทางเป็นของตัวเองคำรามออกมาเสียงดัง
          การเป็นคนบ้าชั้นสูงของเสรีสามารถพิสูจน์ได้จากสิ่งที่เขาทำอยู่ไม่เคยขาดในปัจจุบัน
          ชายวัย 64 ปี บ้าบุญ บ้าในการช่วยเหลือผู้อื่น เขาบ้าแทบทุกอย่างที่เป็นความดี รวมทั้งใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ โดยมิได้คิดที่จะอยู่นิ่ง
          นอกเหนือไปจากเงินที่เก็บไว้เพื่อดูเล่น เสรียังมีของสะสมด้วยกันทั้งหมดอีก 5 อย่าง ได้แก่ ฝาขวด ทองเหลือง ทองแดง เศษเทียน และที่เปิดกระป๋องน้ำอัดลม
          “ฝานี่กูเก็บไว้ให้วัดเขาเอาไว้ปิดขวดน้ำมัน ส่วนทองเหลืองกับทองแดงกูเก็บไว้ให้เขาหล่อพระพุทธรูป ที่เปิดกระป๋องนี่ก็เหมือนกันกูสะสมไว้ให้เอาไปใช้ทำขาเทียม ส่วนไอ้เศษเทียนนี่กูเอาไว้ใส่กะละมังต้มรวมกัน แล้วเอาไปให้วัด เวลาเข้าพรรษาหรือมีงานบุญอะไร เขาจะได้เอาไว้ใช้ ไม่ต้องเสียตังค์ไปซื้อ
          “เศษเทียนพวกนี้กูเก็บเอามาหรือไม่ก็ขอซื้อเขาจากตามศาลเจ้า เวลาว่างๆ ไม่มีงานที่ไหน กูก็นั่งต้มแม่-งไปเรื่อยของกูคนเดียว”
          ว่ากันว่าคุณค่าของความเป็นมนุษย์ไม่จำเป็นต้องประเมินด้วยสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เสรีอาจไม่ใช่คนที่กู้ชาติบ้านเมือง หรือพาประเทศไทยไปบอลโลก แต่กระนั้นความดีที่หมั่นทำอย่างไม่เคยว่างเว้น ก็ส่งผลให้ผู้ชายตัวดำๆอย่างเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยแสงสว่างในตัวเองอยู่เสมอ
          มันเป็นแสงสว่างที่ทำให้เขากลายเป็นคนบ้าชั้นสูง รวมทั้งมีคนยอมรับ แม้จะไม่ร่วมภาคภูมิใจไปในความบ้าของเขาก็ตามที
          “คนเรามันต้องภาคภูมิใจในตัวเอง อย่างกู กูก็พอใจในความเหี้- ความบ้าแบบเหนือชั้นของกู คิดดูเอาเองว่ามันเหนือชั้นหรือเปล่า ขนาดกูด่าชาวบ้านทั้งอำเภอ แต่แม่-งก็ยังเสือกมาทำบุญกับกู เสือกมาให้กูด่าอยู่เรื่อยๆ”
          เสรีเอ่ยถึงความเป็นคนบ้าหกสลึงของตัวเองด้วยแววตาที่ฉาบทาไปด้วยความพึงพอใจอยู่ลึกๆ
          ภายใต้ความเหนือชั้นของการงานที่ดูเหมือนเป็นการออกปล้นมากกว่าการบอกบุญ โดยมีคำพูดอันหยาบคายเป็นอาวุธแทนปืนผาหน้าไม้ อีกมิติหนึ่งเราอาจมองเห็นการยินยอมพร้อมใจให้ความร่วมมืออย่างแปลกประหลาด
          เหตุใดเหล่าคนที่ถูกเขาผรุสวาท ด่าทอเอา กลับยิ้มด้วยความยินดี พร้อมทั้งให้สิ่งของบริจาคด้วยความเต็มใจ
          หรือแท้จริงแล้ว ในม่านแห่งความหยาบร้าย พวกเขาล้วนมองเห็นคนคนเดียวกัน
          ...นักบุญที่ใส่แค่กางเกงนักเรียนเก่าๆ ตัวเดียว กับรองเท้ายางอีกหนึ่งคู่



เสรีคนดีแห่งบ้านโป่ง

          หากคุณค่าความยิ่งใหญ่ของคนดูกันที่ผลของงาน ความยิ่งใหญ่ของชายอย่างเสรีก็คงดูได้จากทุกวันที่เขาเข็นรถไปเรี่ยไรทำบุญ
          ชาวบ้านร้านตลาดต่างยินดีฝากปัจจัย และสิ่งของบริจาคมากมายลงในรถเข็นเก่าๆ ของเขา เหตุผลย่อมไม่ใช่เพราะว่ากลัวถูกด่าแน่นอน แต่เป็นเพราะว่าคนบ้านโป่งโดยมากรู้ดี และเชื่อสนิทใจว่าทำบุญกับเสรีไปถึงพระแน่นอน
          ทุกครั้งที่ออกปฏิบัติการ เสรีต้องเดินเท้าเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร โดยใช้เวลาในการออกเรี่ยไรเพียง 2-3 ชั่วโมง ทั้งของสด ของคาว ของหวาน อาหารแห้ง ปัจจัย ของกินของใช้ทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ จะถูกนำลำเลียงใส่รถเข็นอย่างไม่ขาดสาย มากมายจนรถเข็นไม่พอขน ต้องเอารถกระบะมาถ่าย   
          โดยไม่ต้องให้เจ้าตัวยืนยัน ก็บอกได้ว่านี่คือความสามารถเฉพาะตัวที่ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้
          “เอาไหม... มึงลองเข็นไอ้รถนี่ออกไปแล้วไปขอชาวบ้านเขาดู หรือไม่ก็เดินไปบอกอีห่านี่ให้ลองทำอย่างกูดูก็ได้”
          คนบุญผิวเข้มสำรากจนนมกระเพื่อม พลางวาดนิ้วชี้ไปยังหญิงชราที่เดินอยู่บนถนน ก่อนสาวเท้าเดินออกไปท้าประลอง ซึ่งหญิงคนดังกล่าวได้แต่พูดหยอกล้อแล้วรีบเดินจากไป
          “ปัทโธ่!.. แม่-งก็ไม่กล้า มันไม่มีใครทำได้อย่างกูหรอก ถ้าแม่-งทำแล้วคนเขาให้ เขาไม่ด่ามันให้มากระทืบหน้ากูได้เลย”
          สิ่งที่เสรีพูดออกมาอาจฟังดูเหมือนเป็นการอวดเบ่ง แต่โดยแท้แล้วมันเป็นเรื่องจริงล้วนๆ เพราะอย่าว่าแต่ชาวบ้านธรรมดา ต่อให้เป็นพระสงฆ์องค์เจ้าสักหนึ่งคณะใหญ่ๆ ก็เป็นเรื่องยากที่จะเรี่ยไรจตุปัจจัยได้ในปริมาณเทียบเท่ากับเขาภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
          คงเป็นเพราะการทำบุญอย่างแท้จริง ไม่เคยคิดที่จะยักยอกสิ่งของเพื่อนำไปทำประโยชน์ให้แก่ตนเอง จึงทำให้เสรีเป็นที่ไว้วางใจสนิทของผู้คนทั้งบ้านโป่ง
          ซึ่งความชื่นชอบตรงนี้มีมากถึงขนาดที่ว่า เจ้าตัวสามารถนั่งกินข้าวได้แทบทุกร้านโดยไม่ต้องจ่ายสตางค์สักแดง ถือเป็นลูกค้าวีไอพีเพียงคนเดียวที่ได้รับเกียรติจากร้านอาหารเกือบทั้งอำเภอ
          “แถวนี้ถ้าวันไหนกูหิว กูเดินไปยัดห่าได้ทุกร้าน กูเดินไปนั่งเฉยๆ บอกจะทำส้นตีนอะไรมาให้กูก็ทำ เดี๋ยวแม่-งก็ทำมาให้กูยัดห่าเอง พอยัดห่าเสร็จกูก็เดินออกไป แม่-งก็ไม่เห็นมีใครว่าเหี้-อะไรสักคำ แต่กูไม่ค่อยไปยัดห่าอย่างนี้บ่อยหรอก ส่วนใหญ่ก็หาเอาตามวัด ตามงาน ที่ไหนมีให้ยัดห่าก็ไป”
          ถึงแม้จะเป็นขวัญใจของคนทั้งอำเภอ จนสามารถทำอะไรบางอย่างได้โดยที่ไม่มีใครหาความ แต่เสรีก็ไม่ได้คิดที่จะตักตวงอภิสิทธิ์ดังกล่าวจนเกินงาม
          บ่อยครั้งที่มนุษย์สุดโต่งอย่างเขาเลือกที่จะพาตัวเองไปตกอยู่ในภาวะหนี้สิน เพียงเพราะไม่อยากรบกวนของของใครฟรีๆ
          มันเป็นความรับผิดชอบของคนเป็นลูกหนี้ โดยที่บางครั้งคนเป็นเจ้าหนี้ยังไม่รู้เรื่อง
          “เมื่อก่อนกูเคยติดเงินร้านค้าในบ้านโป่งไว้หลายร้านเหมือนกัน ติดมั่วไปหมด เยอะสุดก็ประมาณ 2-3 หมื่น ตอนนี้ปลดหมดแล้ว
          “ไอ้เหี้-เจ้าหนี้พวกนี้มันไม่สนใจกูหรอก กูต้องเสือกไปตระเวนใช้มันเอง ก็กูไปถามแม่-งว่าติดอยู่เท่าไหร่ มันยังบอกไม่รู้แล้วแต่พี่ทิด บางทีกูแกล้งกวนส้นตีนบอกมันว่างั้นไม่ใช้นะ แม่-งยังเสือกบอกไม่เป็นไร ไม่ใช้ก็ไม่ใช้
          “กูเลยต้องโยนเงินให้เอง แล้วบอกให้นับดูก่อนจะได้หมดๆ กันไป ไอ้ชิบหายแม่-งก็ยังเสือกไม่นับ”
          สาเหตุจริงๆ ในการตกเป็นหนี้เป็นสินของ ‘พี่ทิด’ แห่งบ้านโป่ง ไม่ใช่เรื่องของตัวเองแม้แต่น้อย เพียงแต่เขาแค่ต้องการนำอุปกรณ์ใหม่ๆ ดีๆ จำพวกเครื่องไฟ เครื่องบวช ให้วัด เพื่อคนอื่นจะได้ใช้จัดงาน ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานแต่งงาน งานศพ ฯลฯ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เขายอมเอาตัวเองเข้าแลก แม้จะต้องมีภาระเพิ่มขึ้นมาโดยไม่จำเป็น
          เจ้าหนี้ส่วนใหญ่มิได้มีความกระตือรือร้นอยากจะได้เงินจากลูกหนี้อย่างเสรี ก็แน่นอนว่าไม่ใช่ไม่กล้าทวงเพราะกลัวถูกด่า แต่เนื่องจากพวกเขารู้ถึงเหตุผลและที่มาที่ไปเป็นอย่างดีว่า เพราะเหตุใดชายใจบุญคนนี้ถึงต้องมาเป็นหนี้พวกเขา
          มิเพียงไม่สนใจทวงหนี้คืน เหล่าเจ้าหนี้ก็คงรู้สึกชื่นชมคนบ้าวัย 64 ปีผู้นี้เช่นเดียวกับชาวบ้านโป่งอีกหลายๆคนนั่นเอง
          คนอะไรกล้าที่จะเอาความเดือดร้อนมาใส่ตัวเอง เพื่อแลกกับการได้มาซึ่งความสุขของผู้อื่น
          การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างของ เสรี หอมมาก ช่างเป็นเรื่องให้น่าขบคิดเหลือเกินว่า แท้จริงแล้วระหว่างรูปกายภายนอก รวมทั้งคำพูดอันแสนหยาบคาย กับหัวใจ และสิ่งที่เขาทำลงไปนั้น 
          ...มนุษย์เราควรให้ความสำคัญในสิ่งใดมากกว่ากัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2007, 17:14 โดย cameronDZ » บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #38 เมื่อ: 08-03-2007, 22:37 »

ดิบๆ ดี ๆ กับเสรี หอมมาก
(บทสัมภาษณ์อันแสนกวนโอ๊ย และสร้างความปวดประสาทให้กับผู้ไปสัมภาษณ์ที่สุด ตั้งแต่ทำรายการคนค้นฅน Mr. Green)



พูดจาอย่างนี้มาตั้งแต่อายุกี่ขวบ
          ไม่รู้ กูจำไม่ได้ ใครจะไปเสือกจำได้วะว่าพูดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ กูจำไม่ได้หรอก
แล้วทำไมถึงเลือกที่จะพูดจาแบบนี้ล่ะ
          ก็โบราณเขาสอนไว้ว่าปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ส่วนความดีเป็นตราประทับไว้กับโลก กูก็ต้องเอาไอ้ที่มันเอกที่สุด เอาที่มันเป็นที่หนึ่งสิวะ จะไปเอาอันที่เป็นที่สอง ที่สาม ทำเหี้-อะไร
แต่พูดจาเพราะๆ ก็เป็นเอกได้นี่นา ไม่เห็นต้องหยาบเลย
          พูดเพราะๆ มันจะเป็นเอกส้นตีนอะไรได้ กูถามหน่อยซิ อย่างถ้ากูพูดเพราะๆ รายการมึง หนังสือมึงจะมาถ่ายทำชีวิตกูหรือเปล่า มึงก็ไม่มาทำ ปัทโธ่... แล้วจะมาให้กูพูดจาดีๆ ทำเหี้-อะไร
คนอื่นเขาจะได้รักได้ชอบไง
          จะรักหรือไม่รัก ชอบหรือไม่ชอบ ก็ช่างแม่-งปะไร ทำไมกูต้องสนใจ ถ้าคนเขาจะชอบกูเขาต้องชอบที่กูพูดความจริง ไม่ใช่เพราะพูดจาเพราะ
พูดถึงรักๆ ชอบๆ ตอนนี้มีลูกมีเมียกี่คน
          ลูกก็ไม่มี เมียก็ไม่มี จะให้มีได้ไง ขนาดไปเที่ยวกะหรี่ กะหรี่แม่-งยังแอบหนีกูเลย
แล้วเคยจีบใครไหม
          จีบมันคืออะไร ยังไง แบบไหน กูไม่เข้าใจ ไหนมึงช่วยอธิบายที (ทำหน้าสงสัย)
ก็แบบว่าทำให้คนที่เรารักมารักเราไง
          นั่นแหละ แล้วมันทำยังไง ทำแบบไหน
ก็ต้องพูดจาดีๆ ชวนไปกินข้าว ดูหนัง หรือไม่ก็บอกรักหวานๆ
          ถุย... ถ้าต้องทำแบบมึง  กูเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ทำไมกูจะต้องพูดดีๆ ด้วย มึงไปพูดดีๆ พอมึงฟันเขาได้  มึงก็ทิ้งเขา มันก็เท่ากับมึงโกหก ตอแหล แล้วทำไมกูจะต้องไปทำอย่างนั้นด้วย โกหกไปแล้วได้ส้นตีนอะไรขึ้นมา คนอย่างกูไม่นิยมความตอแหล เพราะความตอแหลมันลวงโลก มันผิดศีลข้อ 4
แล้วถ้าอย่างนั้นจะหาเมียยังไง
          ก็บอกแม่-งไปเลยว่ามาเป็นเมียกูเถอะ มาอยู่ด้วยกัน กูบอกอย่างนี้ไปหลายคนแล้ว แต่ไม่เห็นมีใครมาสักคน
ไม่มีลูก ไม่มีเมีย ถ้าอย่างนั้นตอนนี้รักใครมากที่สุด
          รักหลานตัวเล็กๆ เพราะมันเป็นสายเลือดเดียวกับกู แล้วก็รักหมาเพราะมันฟังกู มันยังฟังภาษาคนรู้เรื่อง ไม่ตอแหล ไม่โกหก แต่ถ้าเป็นคนต่อให้พระ เถร เณร ชี แม่-งก็เชื่อถือลำบาก
ถือศีลบ้างรึเปล่า
          ศีลกับสัตย์มึงเลือกเอาอันไหน คนอย่างกูไม่ถือศีล แต่กูถือสัตย์โว้ย บอกกับคนอื่นไว้ยังไง นัดเขาไว้เวลาไหน ต้องทำให้ได้อย่างที่พูด ถ้าทำไม่ได้อย่างที่พูด คนอื่นเขาก็หมดความเชื่อถือ
          อย่างพ่อกูนี่ถึงตายเลย เพราะเสือกไปเสียสัตย์กับเพื่อนที่เป็นหมอเอาไว้ว่าจะไม่กินเหล้า พอไปกินอีกทีก็ตายห่า หมอเขาดูแล้วว่าสุขภาพไม่ดี กินอีกทีมีสิทธิ์ตาย แม่-งก็ไม่เชื่อเขา ยังเสือกแดกเข้าไป
ขอโทษนะ ดูเหมือนว่าไม่ได้เสียใจที่พ่อเสียเลย
          จะเสียใจไปทำไม  ร้องไห้แล้วได้อะไร เขาจะฟื้นขึ้นมาไหม มันต้องแยกแยะให้ออก รักก็ส่วนรัก เสียใจก็ส่วนเสียใจ ใครจะตายมันก็เป็นเวรเป็นกรรมของแต่ละคน กูไปห้ามไม่ได้
ชีวิตนี้เคยหัวเราะหรือร้องไห้บ้างหรือเปล่า หรือหน้าตาเป็นแบบนี้ตลอด
          แบบนี้มันแบบไหน ยังไง
ก็ที่หล่อๆ แบบที่เป็นอยู่นี่ไง
          แล้วมันหล่อยังไง หล่อแบบไหน มึงบอกกูทีซิ ว่าไอ้แบบไหนที่เขาเรียกกันว่าหล่อ
แบบไหนก็ช่าง เอาเป็นว่าเคยหัวเราะหรือร้องไห้หรือเปล่า (ยกมือปาดเหงื่อ)
          ตอนเด็กๆ อาจจะเคย แต่โตขึ้นมาแล้วหัวเราะก็ไม่เคย ขนาดดูตลกแล้วก็ยังเฉยๆ ร้องไห้ก็ไม่เคย ไม่รู้จะทำหาส้นตีนอะไร ทำไมถ้าหัวเราะแล้วหมายความว่าต้องมีความสุขเสมอไปเหรอ หรือว่าถ้าทุกข์ใจแล้วต้องร้องไห้อย่างเดียว ทำเหี้-อะไรอย่างอื่นไม่ได้เลย
เคยบวชหรือเปล่า
          กูบวชตอนปี พ.ศ. 2507 ทีแรกกะว่าจะบวชตลอดชีวิต แต่บวชไปไม่เต็ม 2 พรรษาดี เสือกมีเรื่องให้สึกเสียก่อน ก็ไอ้พระเหี้-นั่นเจ้าภาพเขาเชิญให้ไปสวดศพแม่-งเสือกไม่มา แต่พอเขาถวายปัจจัยเสร็จ เขาให้รูปละ 20 บาท มันจะมาเอาเงินที่กู มันบอกว่ามันไม่ได้เงิน ก็มันจะได้เงินได้ยังไง เจ้าภาพเขาก็ต้องให้แต่พระที่มาสวดให้ ไอ้เหี้-นี่แม่-งจะมาชุบมือเปิบ กูก็เลยด่าแม่-งยับ ตอนหลังหลวงพ่อเขาเลยจับสึก
ปกติมีเรื่องกับคนอื่นบ่อยไหม
          ก็มีส่วนใหญ่กับพวกวัยรุ่น มันเคยรุมกูทีเป็นสิบๆ คน ก็แม่-งมาแซวกู กูก็เลยด่ามัน พอกูด่ามันมันเสือกต่อยกู กูก็เลยสู้ พอคนอื่นเห็น เขาก็แจ้งตำรวจมาจัดการ แต่ไม่รู้แม่-งเป็นเหี้-อะไรถึงไม่ติดคุก
          นอกนั้นก็มีอีห่าชื่ออะไรแล้วกูจำไม่ได้ เมื่อก่อนตอนปี พ.ศ. 2500 กูขายขนม มันแดกขนมกูแล้วติดไว้ไม่จ่าย เวลาเจอหน้าก็ทำเป็นเฉย ทำเป็นจำไม่ได้ สุดท้ายตอนปี พ.ศ. 2532 กูเจอแม่-งอีกทีในตลาด ก็เลยวิ่งราวแม่-งเลย ได้มา 1,000 บาท มันแจ้งตำรวจ ตำรวจเสือกเอาไปคืนมัน แต่กูเอาไปฝังดิน มันเลยได้คืนแค่ห้าร้อย
เป็นคนบุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ ว่าอย่างนั้น
          ยุงกัดกูยังตบ แล้วกับไอ้เหี้-พวกนี้กูจะเอาไว้ทำส้นตีนอะไร
ก็ไม่ให้อภัยเขาไปเล่า ผ่านมา 32 ปี จะแค้นอะไรกันนักหนา
          คนอย่างกูไม่มีคำว่าให้อภัยโว้ย กูไม่รู้จัก ให้อภัยมันเป็นยังไง รูปร่างหน้าตามันเป็นแบบไหน มึงอย่ามาสอนกูให้ยากเลย ปัทโธ่!!
          กูถามจริงๆ อย่างถ้ากูเอาน้ำต้มเทียนทั้งกะละมังนี่สาดหน้ามึง มึงจะอภัยให้กูไหม มึงจะลองดูก็ได้นะ เอาไหมๆ  (ทำท่าจะยกกะละมัง)
ถ้าวันไหนไม่ได้ด่าใครนี่ จะนอนไม่หลับหรือเปล่า
          กูจะไปรู้ได้ไง รู้แต่ว่ากูด่ามันทุกวัน กูด่าคนอื่นมันก็เป็นรสชาติของชีวิตกู ใครจะว่ายังไงก็ช่างแม่มัน
ด่าครบทั้งบ้านโป่งแล้ว
          ไม่ครบ คนดีๆ กูจะไปด่าเขาทำเหี้-อะไร กูก็เลือกด่าแต่คนที่มันเลวๆ หรือที่มันด่าได้สิ อย่างพระก็เหมือนกัน รูปไหนดีๆ กูจะไปด่าเขาทำไม
ได้ข่าวว่าเพิ่งกลับจากงานพืชสวนโลกมา ไปที่นั่นใส่เสื้อหรือเปล่า
          ใส่
ทำไมไม่ถอด แสดงว่าไม่แน่จริงน่ะสิ
          มึงจะให้กูแน่ไปไหน เข้าเมืองตาหลิ่ว มันก็ต้องหลิ่วตาตามสิ จะเด่นมันทำอะไรนักหนา อีกอย่างเชียงใหม่อากาศหนาวจะตายห่า กูก็กลัวปอดบวมของกู ทำไมมึงคิดว่าเป็นปอดบวมแล้วสบายใจเหรอ ถามโง่ๆ
(หัวเราะ) ทุกวันนี้ซ่อนเงินไว้ตรงไหนบ้าง
          ใต้แม่ธรณีอย่างเดียว มึงอยากรู้มึงก็ถามเอาว่าอยู่ตรงไหน
ถามแล้วแม่ธรณีไม่บอก
          ถามเหี้-อะไร กูยังไม่เห็นมึงพูดสักคำ
ถามในใจไง พาไปดูหน่อยได้ไหมว่าซ่อนไว้ตรงไหน
          พาไปดูก็เสียโง่มึงสิ ตอนกลางคืนกูหลับ มึงได้พาพวกมาขโมยของกูไปหมด
ไม่ดูก็ได้ งั้นคำถามสุดท้าย อยากรู้ว่าจะช่วยเหลือวัดแล้วก็คนอื่นอย่างนี้ไปตลอดจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตเลยหรือเปล่า
          กูจะไปรู้อนาคตได้ไง หรือมึงรู้ ถ้ามึงรู้ มึงช่วยบอกกูทีซิ ว่าต่อไปกูจะมีเมียกับเขาหรือเปล่า 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2007, 17:15 โดย cameronDZ » บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #39 เมื่อ: 08-03-2007, 22:40 »

จาก ‘คนบ้านโป่ง’
ถึง (ไอ้) พี่ทิด
 

หลวงตาบุญธรรม เกตุแก้ว
          ‘วัดปลักแรต’ ที่ตั้งอยู่ตรงเชิงสะพานค่ายหลวงกลางเมืองบ้านโป่ง ถือเป็นวัดแรกๆ ที่เสรี หรือพี่ทิดของชาวบ้าน เอาแรงกายแรงใจช่วยงานมาอย่างสม่ำเสมอ
           “เรียกใช้สอยมันได้ มีอะไรขาดเหลือก็เรียกหา มันไม่เคยปฏิเสธ”
          หลวงตาบุญธรรม เกตุแก้ว ภิกษุชราวัยกว่า 80 ปีผู้มีศักดิ์เป็นอาแท้ๆ ของเสรี กล่าวถึงภูมิหลังของหลานชายว่า เป็นคนโผงผาง ตรงไปตรงมา พูดจาหมาไม่แดกมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยแล้ว
           “ตั้งแต่จำความได้ พฤติกรรมมันเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร พูดจาไม่เกรงใจหมา กูๆ มึงๆ กับทุกคน ไม่เว้นกับพระกับเจ้า แต่ไม่มีใครถือสามันหรอก”
          อย่างไรก็ตาม ความดีความงามในจิตใจของเสรีเป็นที่ประจักษ์ตั้งแต่วัยรุ่น เข้าวัดเข้าวาคอยวิ่งบริการรับใช้พระทุกอย่าง มีงานบุญที่ไหน เสรีจะเป็นคนแรกๆ ที่จะเข้ามาเสนอตัวเข้าช่วย
          ไม่เฉพาะวัดปลักแรตละแวกบ้านเท่านั้น ทุกวัดในอำเภอบ้านโป่งและจังหวัดใกล้เคียง เสรียังให้ความช่วยเหลือตามประสาอย่างทั่วถึง
           “มันใจบุญ ช่วยเขาไปทั่ว ทุกวัดในบ้านโป่งมันเข้าออกเหมือนบ้าน ตั้งแต่เด็กวัดยันสมภารมันรู้จักเขาหมด”
          หลวงตาเองก็ไม่แน่ใจนักว่า คนที่เคยบวชเรียนอย่างเสรีนั้น ยึดมั่นในธรรมหรือสวดมนต์ไหว้พระกับเขาหรือเปล่า
          เนิ่นนานหลายสิบปี ตั้งแต่คอยรับใช้พระ ทำความสะอาดวัด ล้างถ้วยล้างชามตามงานต่างๆ ไปจนถึงวิ่งเต้นหาข้าวของเข้าโรงครัว
           “ทุกวันนี้ทางวัดขาดเหลืออะไร ก็จะเรียกหามัน ให้เงินมันติดมือไปบ้าง ไม่ให้บ้าง มันก็ไปหามาได้จนสำเร็จ ชาวบ้านชาวช่องในตลาดเห็นก็เชื่อใจมัน มันได้ของกลับมาเป็นคันๆ รถเข็น บางครั้งต้องเอารถกระบะของวัดไปถ่ายของมา”
          ภาพอันเจนตาของชาวบ้าน ชายคนนี้ดูเหมือนคนไร้สติ ดิบเถื่อนถ่*** ใส่กางเกงเก่าๆ ตัวเดียว เสื้อแสงไม่ใส่ เดินตากแดดตัวดำมะเมื่อม 
          แต่ทุกคนในวัดปลักแรตก็รู้แน่ชัดว่า โดยเนื้อแล้ว ‘มันเป็นคนดี’
           “มีคนทั้งรักทั้งชังมัน แต่ไม่มีใครถึงขั้นอาฆาตจองเวรมันหรอก มันกระทำแสดงออกเพียงกิริยาเท่านั้น ทุกคนไม่ได้คิดว่ามันบ้า แต่คิดว่ามันเป็นคนพิเศษ เป็นคนสำคัญของบ้านโป่ง” 

เจ๊สั้น-ธนพร หอมขจร
          ธนพร หอมขจร หรือ ‘เจ๊สั้น’ หญิงร่างเล็กวัย 42 ปี แม่ค้าขายอาหารตามสั่งริมถนนเลียบริมน้ำแม่กลอง ยังจดจำได้ไม่มีวันลืมถึงความอารีที่เคยได้รับ
          เจ๊สั้นเป็นเด็กกำพร้า ยากจนแทบไม่มีจะกิน อาศัยข้าววัดประทังชีวิต
           “ตอนเด็กเรียนโรงเรียนวัดปลักแรต ชั้น ป.1 ก็จำได้แล้วว่าเสรีเขาอยู่วัด ช่วยดูแลรับใช้พระ อายุเราห่างกับเขาประมาณ 17-18 ปี น้องชายเขาเป็นเพื่อนกับเราด้วย” น้องชายคนที่ว่านี้ ภายหลังเสรีได้ส่งเสียจนเรียนจบ ปัจจุบันเป็นทนายความอยู่ในกรุงเทพฯ
          เด็กหญิงสั้นได้เงินไปโรงเรียนวันละ 1 สลึง น้องชายของเสรีซึ่งเป็นเพื่อนกับเธอ ได้เงินถึง 3 บาท
           “เสรีเขารักน้องคนนี้มาก ไปรับไปส่งที่โรงเรียนทุกวัน หาขนมหาข้าวปลาให้น้องกิน แล้วพอมาเห็นเราตัวเล็กๆ บางๆ มอมแมม เสรีก็บอกน้องชายเขาว่า ‘เฮ้ย มึงเลี้ยงอีนี่บ้างนะ ซื้อให้มันแดกบ้าง’ ”
          ในยามที่วัดมีงานบุญ เด็กวัดเด็กบ้านที่หิวโหยวิ่งแจ้นมาหาของกิน เจ้าของงานหรือผู้ถือศีลเคร่งครัดกลัวว่า เด็กจะมารบกวน จึงออกปากไล่เหมือนหมูเหมือนหมา ทิดเสรีในขณะนั้นเห็นเหตุการณ์ก็เข้ามาปกป้องเด็กๆ อย่างไม่ไว้หน้าใคร
           “แกไม่สนใจใคร เดินปรี่เข้ามากวักมือเรียก ‘เฮ้ย พวกมึงเข้ามา’ เขาก็ไปยกขนมถ้วย ขนมฝรั่ง มาเต็มถาด บอก ‘มึงนั่งแดกตรงนี้แหละ แดกซะ เดี๋ยวจะได้ไปเรียนหนังสือ’ ” เจ๊สั้นเล่าให้ฟัง ถึงเรื่องที่ไม่เคยลืม ในฐานะที่ร่วม   ‘นั่งแดก’ กับเขาด้วยในหนนั้น
           “สำหรับเจ๊ บุญคุณคนตอนไม่มีจะกินมันลืมไม่ได้หรอก”
          ทุกวันนี้เจ๊สั้นมีครอบครัวที่อบอุ่น หาเลี้ยงชีพอย่างสุจริต และไม่อดอยากแร้นแค้นเหมือนอดีต เธอยังพบปะกับเสรีทั้งในตลาด วัด และงานบุญต่างๆอยู่เสมอ
           “พี่ทิดแกไม่อดอยากหรอก ไปช่วยงานไหนก็ได้กินฟรี ช่วยวัด พระก็เอาของให้กิน บางงานเขาให้เงินก็มาก”
          เจ๊สั้นกระซิบว่า เสรีก็อยากจะมีเมียกับเขาเหมือนกัน แต่ก็หาไม่ได้ อยู่คนเดียวอย่างนี้มาตลอด
           “ใครจะกล้าไปเอาแก เคยหยอกแกว่า จะหาเมียให้คนหนึ่งเอาไหม แกสวนมาเลย ‘มึงไม่ต้องมาเสือกกะกู อีเหี้-’ “ จากนั้นมาเจ๊ก็เลิกพูดเรื่องเมียกับเขาอีก
          ส่วนในเรื่องของความหยาบคาย เจ๊สั้นหน้าเบ้ ได้แต่พึมพำว่า ชินเสียแล้ว
          “แกหยาบอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ชาวบ้านเขารู้ดี ใครไม่ดีกับแก แกด่าหมด ไม่ว่าใหญ่โตมาจากไหน ถึงจะหยาบ แต่ภายในใจแกมีแต่จะให้ แกเอาเวลาไปดูแลตัวเองที่ไหน เอาเวลาไปช่วยคนอื่นเสียหมด”
          ทั้งที่อยากจะตอบแทนบุญคุณใจแทบขาด ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เจ๊สั้นจึงทำได้แค่ชักชวนกินข้าวยามเสรีเดินผ่านหน้าร้าน แต่สุดท้ายก็ไม่เคยสมใจแม้สักครั้ง
          “เห็นแกเดินมาเหงื่อแตกท่าทางเหนื่อย ก็เรียกแก ถาม เฮ้ย ตาทิด กินข้าวยัง แกตอบมาคำเดียว ‘มึงไม่ต้องมาเสือกห่วงกู อีเหี้-’ เท่านี้เราก็เงียบ
          “ตอนนี้สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือ บอกลูกบอกหลานว่า อย่าไปถือสาแกนะ แกเป็นคนอย่างนี้ จำไว้ ถ้าใครไปรังแกหรือทำร้ายแก มึงต้องช่วยแกนะ” เจ๊สั้นกล่าวถึงคนมีบุญคุณคนนี้ด้วยความซาบซึ้ง

เจ๊เต็น- สมจิตต์ ฤกษ์ทวีสุข
          เจ้าของร้านขายของชำกลางตลาดเทศบาลบ้านโป่ง รายนี้ทำบุญกับเสรีมาครบ 20 ปีเต็ม
          สมจิตต์ ฤกษ์ทวีสุข หรือ ‘เจ๊เต็น’ เป็นหญิงร่างท้วม แต่คล่องแคล่ว ท่าทางใจดี ใบหน้ามีรอยยิ้มตลอดเวลา
          ตั้งแต่เปิดร้านขายของมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 เธอบอกว่า เสรีไม่เคยเปลี่ยน
          “20 ปีที่แล้วเสรีเป็นยังไง วันนี้เสรีก็ยังเป็นอย่างนั้น สภาพเหมือนเดิม ไม่เคยแก่เลย แข็งแรง พูดจาไม่เพราะสม่ำเสมอ และยังคงความใจบุญอยู่เหมือนเดิม”
          ทุกเช้ามืด ไม่ว่าหน้าร้อนหรือหนาว เสรีถอดเสื้อ ใส่กางเกงตัวเดิม รองเท้าบู๊ตดำคู่เก่ง ลากรถเข็นมาเรียกให้พ่อค้าแม่ค้าทำบุญ   
          “วัดไหนขาดอะไร พระก็จะมาบอกเสรี วัดไหนมีงานก็จะมาให้เสรีหาของเข้าวัดทำบุญ ทุกครั้งมาก็จะตะโกนถาม เฮ้ย ใครมีอะไรเลี้ยงพระเลี้ยงเณรมั่งวะ วันไหนวัดไหนขาดอะไรก็จะบอก เฮ้ย วันนี้ขอหมู ผักสด พริก กระเทียม น้ำมันพืช ทุกอย่างที่ขาดเหลือ”
          จากความเคยชิน เสรีจะรู้ว่าร้านไหนทำบุญ ไม่ทำบุญ ก็จะไปที่ร้านนั้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่แทบทั้งหมดไม่มีใครไม่ทำบุญกับเขา
          “บางคนไม่ทำแล้วเสือกพูดมาก แกก็ด่าเข้าให้เหมือนกัน”
          อะไรที่มีแล้วครบแล้ว เสรีจะไม่ร้องขออีก บางทีกำเงินมาบ้างก็จะซื้อเอา แต่ได้ของกลับมามากกว่าราคาขายเสียอีก!!
          “บางวันกำเงินมาพัน สองพัน แต่ได้ของกลับไปเต็มรถ ราคารวมเกือบหมื่น”
          ในรถเข็น เสรีจะมีกระบุงใส่เงินแยกไว้เพื่อถวายวัด
          “แกจะโยนซองให้ แล้วก็ไป แกบอก มึงอยากทำบุญ มึงไปให้ที่วัดเอง เพราะไม่ใช่หน้าที่แก”
          พ่อค้าแม่ค้าทุกตลาด ชาวบ้านทั้งบ้านโป่ง เชื่อใจแกสนิทว่าทำบุญกับเสรีถึงวัดแน่นอน
          “ของวัดก็คือของวัด ไม่มีเข้าเนื้อ
          “ทุกคนเชื่อใจแกอยู่แล้ว บางทีไม่มีเงินแกยังไปเป็นหนี้เขาเลย มีเงินค่อยไปใช้ บางทีเจ้าของลืมก็มี เครดิตมันดี มันไม่หลอกใครหรอก ตาเสรีน่ะ แกใจบุญ แกทำอย่างนี้มานานแล้ว ช่วยวัดมาเป็นสิบๆ ปี คนบ้านโป่งถึงได้ไว้ใจแกทั้งอำเภอ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2007, 17:17 โดย cameronDZ » บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #40 เมื่อ: 09-03-2007, 10:21 »

ดิบๆ ดี ๆ กับเสรี หอมมาก
(บทสัมภาษณ์อันแสนกวนโอ๊ย และสร้างความปวดประสาทให้กับผู้ไปสัมภาษณ์ที่สุด ตั้งแต่ทำรายการคนค้นฅน Mr. Green)

พูดจาอย่างนี้มาตั้งแต่อายุกี่ขวบ
          ไม่รู้ กูจำไม่ได้ ใครจะไปเสือกจำได้วะว่าพูดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ กูจำไม่ได้หรอก
แล้วทำไมถึงเลือกที่จะพูดจาแบบนี้ล่ะ
          ก็โบราณเขาสอนไว้ว่าปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ส่วนความดีเป็นตราประทับไว้กับโลก กูก็ต้องเอาไอ้ที่มันเอกที่สุด เอาที่มันเป็นที่หนึ่งสิวะ จะไปเอาอันที่เป็นที่สอง ที่สาม ทำเหี้-อะไร
แต่พูดจาเพราะๆ ก็เป็นเอกได้นี่นา ไม่เห็นต้องหยาบเลย
          พูดเพราะๆ มันจะเป็นเอกส้นตีนอะไรได้ กูถามหน่อยซิ อย่างถ้ากูพูดเพราะๆ รายการมึง หนังสือมึงจะมาถ่ายทำชีวิตกูหรือเปล่า มึงก็ไม่มาทำ ปัทโธ่... แล้วจะมาให้กูพูดจาดีๆ ทำเหี้-อะไร
คนอื่นเขาจะได้รักได้ชอบไง
          จะรักหรือไม่รัก ชอบหรือไม่ชอบ ก็ช่างแม่-งปะไร ทำไมกูต้องสนใจ ถ้าคนเขาจะชอบกูเขาต้องชอบที่กูพูดความจริง ไม่ใช่เพราะพูดจาเพราะ
พูดถึงรักๆ ชอบๆ ตอนนี้มีลูกมีเมียกี่คน
          ลูกก็ไม่มี เมียก็ไม่มี จะให้มีได้ไง ขนาดไปเที่ยวกะหรี่ กะหรี่แม่-งยังแอบหนีกูเลย
แล้วเคยจีบใครไหม
          จีบมันคืออะไร ยังไง แบบไหน กูไม่เข้าใจ ไหนมึงช่วยอธิบายที (ทำหน้าสงสัย)
ก็แบบว่าทำให้คนที่เรารักมารักเราไง
          นั่นแหละ แล้วมันทำยังไง ทำแบบไหน
ก็ต้องพูดจาดีๆ ชวนไปกินข้าว ดูหนัง หรือไม่ก็บอกรักหวานๆ
          ถุย... ถ้าต้องทำแบบมึง  กูเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ทำไมกูจะต้องพูดดีๆ ด้วย มึงไปพูดดีๆ พอมึงฟันเขาได้  มึงก็ทิ้งเขา มันก็เท่ากับมึงโกหก ตอแหล แล้วทำไมกูจะต้องไปทำอย่างนั้นด้วย โกหกไปแล้วได้ส้นตีนอะไรขึ้นมา คนอย่างกูไม่นิยมความตอแหล เพราะความตอแหลมันลวงโลก มันผิดศีลข้อ 4
แล้วถ้าอย่างนั้นจะหาเมียยังไง
          ก็บอกแม่-งไปเลยว่ามาเป็นเมียกูเถอะ มาอยู่ด้วยกัน กูบอกอย่างนี้ไปหลายคนแล้ว แต่ไม่เห็นมีใครมาสักคน
ไม่มีลูก ไม่มีเมีย ถ้าอย่างนั้นตอนนี้รักใครมากที่สุด
          รักหลานตัวเล็กๆ เพราะมันเป็นสายเลือดเดียวกับกู แล้วก็รักหมาเพราะมันฟังกู มันยังฟังภาษาคนรู้เรื่อง ไม่ตอแหล ไม่โกหก แต่ถ้าเป็นคนต่อให้พระ เถร เณร ชี แม่-งก็เชื่อถือลำบาก
ถือศีลบ้างรึเปล่า
          ศีลกับสัตย์มึงเลือกเอาอันไหน คนอย่างกูไม่ถือศีล แต่กูถือสัตย์โว้ย บอกกับคนอื่นไว้ยังไง นัดเขาไว้เวลาไหน ต้องทำให้ได้อย่างที่พูด ถ้าทำไม่ได้อย่างที่พูด คนอื่นเขาก็หมดความเชื่อถือ
          อย่างพ่อกูนี่ถึงตายเลย เพราะเสือกไปเสียสัตย์กับเพื่อนที่เป็นหมอเอาไว้ว่าจะไม่กินเหล้า พอไปกินอีกทีก็ตายห่า หมอเขาดูแล้วว่าสุขภาพไม่ดี กินอีกทีมีสิทธิ์ตาย แม่-งก็ไม่เชื่อเขา ยังเสือกแดกเข้าไป
ขอโทษนะ ดูเหมือนว่าไม่ได้เสียใจที่พ่อเสียเลย
          จะเสียใจไปทำไม  ร้องไห้แล้วได้อะไร เขาจะฟื้นขึ้นมาไหม มันต้องแยกแยะให้ออก รักก็ส่วนรัก เสียใจก็ส่วนเสียใจ ใครจะตายมันก็เป็นเวรเป็นกรรมของแต่ละคน กูไปห้ามไม่ได้
ชีวิตนี้เคยหัวเราะหรือร้องไห้บ้างหรือเปล่า หรือหน้าตาเป็นแบบนี้ตลอด
          แบบนี้มันแบบไหน ยังไง
ก็ที่หล่อๆ แบบที่เป็นอยู่นี่ไง
          แล้วมันหล่อยังไง หล่อแบบไหน มึงบอกกูทีซิ ว่าไอ้แบบไหนที่เขาเรียกกันว่าหล่อ
แบบไหนก็ช่าง เอาเป็นว่าเคยหัวเราะหรือร้องไห้หรือเปล่า (ยกมือปาดเหงื่อ)
          ตอนเด็กๆ อาจจะเคย แต่โตขึ้นมาแล้วหัวเราะก็ไม่เคย ขนาดดูตลกแล้วก็ยังเฉยๆ ร้องไห้ก็ไม่เคย ไม่รู้จะทำหาส้นตีนอะไร ทำไมถ้าหัวเราะแล้วหมายความว่าต้องมีความสุขเสมอไปเหรอ หรือว่าถ้าทุกข์ใจแล้วต้องร้องไห้อย่างเดียว ทำเหี้-อะไรอย่างอื่นไม่ได้เลย
เคยบวชหรือเปล่า
          กูบวชตอนปี พ.ศ. 2507 ทีแรกกะว่าจะบวชตลอดชีวิต แต่บวชไปไม่เต็ม 2 พรรษาดี เสือกมีเรื่องให้สึกเสียก่อน ก็ไอ้พระเหี้-นั่นเจ้าภาพเขาเชิญให้ไปสวดศพแม่-งเสือกไม่มา แต่พอเขาถวายปัจจัยเสร็จ เขาให้รูปละ 20 บาท มันจะมาเอาเงินที่กู มันบอกว่ามันไม่ได้เงิน ก็มันจะได้เงินได้ยังไง เจ้าภาพเขาก็ต้องให้แต่พระที่มาสวดให้ ไอ้เหี้-นี่แม่-งจะมาชุบมือเปิบ กูก็เลยด่าแม่-งยับ ตอนหลังหลวงพ่อเขาเลยจับสึก
ปกติมีเรื่องกับคนอื่นบ่อยไหม
          ก็มีส่วนใหญ่กับพวกวัยรุ่น มันเคยรุมกูทีเป็นสิบๆ คน ก็แม่-งมาแซวกู กูก็เลยด่ามัน พอกูด่ามันมันเสือกต่อยกู กูก็เลยสู้ พอคนอื่นเห็น เขาก็แจ้งตำรวจมาจัดการ แต่ไม่รู้แม่-งเป็นเหี้-อะไรถึงไม่ติดคุก
          นอกนั้นก็มีอีห่าชื่ออะไรแล้วกูจำไม่ได้ เมื่อก่อนตอนปี พ.ศ. 2500 กูขายขนม มันแดกขนมกูแล้วติดไว้ไม่จ่าย เวลาเจอหน้าก็ทำเป็นเฉย ทำเป็นจำไม่ได้ สุดท้ายตอนปี พ.ศ. 2532 กูเจอแม่-งอีกทีในตลาด ก็เลยวิ่งราวแม่-งเลย ได้มา 1,000 บาท มันแจ้งตำรวจ ตำรวจเสือกเอาไปคืนมัน แต่กูเอาไปฝังดิน มันเลยได้คืนแค่ห้าร้อย
เป็นคนบุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ ว่าอย่างนั้น
          ยุงกัดกูยังตบ แล้วกับไอ้เหี้-พวกนี้กูจะเอาไว้ทำส้นตีนอะไร
ก็ไม่ให้อภัยเขาไปเล่า ผ่านมา 32 ปี จะแค้นอะไรกันนักหนา
          คนอย่างกูไม่มีคำว่าให้อภัยโว้ย กูไม่รู้จัก ให้อภัยมันเป็นยังไง รูปร่างหน้าตามันเป็นแบบไหน มึงอย่ามาสอนกูให้ยากเลย ปัทโธ่!!
          กูถามจริงๆ อย่างถ้ากูเอาน้ำต้มเทียนทั้งกะละมังนี่สาดหน้ามึง มึงจะอภัยให้กูไหม มึงจะลองดูก็ได้นะ เอาไหมๆ  (ทำท่าจะยกกะละมัง)
ถ้าวันไหนไม่ได้ด่าใครนี่ จะนอนไม่หลับหรือเปล่า
          กูจะไปรู้ได้ไง รู้แต่ว่ากูด่ามันทุกวัน กูด่าคนอื่นมันก็เป็นรสชาติของชีวิตกู ใครจะว่ายังไงก็ช่างแม่มัน
ด่าครบทั้งบ้านโป่งแล้ว
          ไม่ครบ คนดีๆ กูจะไปด่าเขาทำเหี้-อะไร กูก็เลือกด่าแต่คนที่มันเลวๆ หรือที่มันด่าได้สิ อย่างพระก็เหมือนกัน รูปไหนดีๆ กูจะไปด่าเขาทำไม
ได้ข่าวว่าเพิ่งกลับจากงานพืชสวนโลกมา ไปที่นั่นใส่เสื้อหรือเปล่า
          ใส่
ทำไมไม่ถอด แสดงว่าไม่แน่จริงน่ะสิ
          มึงจะให้กูแน่ไปไหน เข้าเมืองตาหลิ่ว มันก็ต้องหลิ่วตาตามสิ จะเด่นมันทำอะไรนักหนา อีกอย่างเชียงใหม่อากาศหนาวจะตายห่า กูก็กลัวปอดบวมของกู ทำไมมึงคิดว่าเป็นปอดบวมแล้วสบายใจเหรอ ถามโง่ๆ
(หัวเราะ) ทุกวันนี้ซ่อนเงินไว้ตรงไหนบ้าง
          ใต้แม่ธรณีอย่างเดียว มึงอยากรู้มึงก็ถามเอาว่าอยู่ตรงไหน
ถามแล้วแม่ธรณีไม่บอก
          ถามเหี้-อะไร กูยังไม่เห็นมึงพูดสักคำ
ถามในใจไง พาไปดูหน่อยได้ไหมว่าซ่อนไว้ตรงไหน
          พาไปดูก็เสียโง่มึงสิ ตอนกลางคืนกูหลับ มึงได้พาพวกมาขโมยของกูไปหมด
ไม่ดูก็ได้ งั้นคำถามสุดท้าย อยากรู้ว่าจะช่วยเหลือวัดแล้วก็คนอื่นอย่างนี้ไปตลอดจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตเลยหรือเปล่า
          กูจะไปรู้อนาคตได้ไง หรือมึงรู้ ถ้ามึงรู้ มึงช่วยบอกกูทีซิ ว่าต่อไปกูจะมีเมียกับเขาหรือเปล่า 



โอ้ยยยยยย ขำชิปหาย โดยเฉพาะท่อนนี้

ก็ต้องพูดจาดีๆ ชวนไปกินข้าว ดูหนัง หรือไม่ก็บอกรักหวานๆ
          ถุย... ถ้าต้องทำแบบมึง  กูเอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ทำไมกูจะต้องพูดดีๆ ด้วย มึงไปพูดดีๆ พอมึงฟันเขาได้  มึงก็ทิ้งเขา มันก็เท่ากับมึงโกหก ตอแหล แล้วทำไมกูจะต้องไปทำอย่างนั้นด้วย โกหกไปแล้วได้ส้นตีนอะไรขึ้นมา คนอย่างกูไม่นิยมความตอแหล เพราะความตอแหลมันลวงโลก มันผิดศีลข้อ 4
แล้วถ้าอย่างนั้นจะหาเมียยังไง
          ก็บอกแม่-งไปเลยว่ามาเป็นเมียกูเถอะ มาอยู่ด้วยกัน กูบอกอย่างนี้ไปหลายคนแล้ว แต่ไม่เห็นมีใครมาสักคน 



ขำก๊ากเลย

ปล.พี่คาเมะ ท่าทางจะชอบคนไม่ใส่เสื้อผ้าจริงๆ เลยนะครับ 
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #41 เมื่อ: 09-03-2007, 17:20 »



แหะ ๆ อย่าหวังว่าชาตินี้จะได้ยินคำพูดในรูปนั่น

ขอบคุณ คุณเวียง และ คุณเช็ค 2 กัลยาณมิตร แห่งทีวีบูรพาอีกครั้งหนึ่งครับ
ที่เอื้อเฟื้อเรื่องราวดีๆ (เพี้ยนๆ) ของลุงเสรี มาแบ่งปัน
บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
อมพระมาพูด
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 918


สนิมเกิดแต่เนื้อในตน


« ตอบ #42 เมื่อ: 09-03-2007, 18:06 »

 

หุ หุ ผมดูในทีวี แล้วชอบมากเลย คำพูดพี่ทิดจริงใจ เจงๆ โดนตู๊ดๆ ทุกประโยค เอี้ย ห่า สารพัดสัตว์ ออกมาเป็นแถว
บันทึกการเข้า

พึงทำความเพียรในวันนี้ ใครเล่าจะรู้วันตายในวันพรุ่ง
nick
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 82


« ตอบ #43 เมื่อ: 24-04-2007, 19:26 »


นายอำเภอ....กำนันๆ ทำไมลูกบ้านของกำนันพูดหยาบๆกันจังเลย
กำนัน..........อย่าว่าแต่กับมรึงเลยนายอำเภอ ขนาดกับกรูที่เป็นกำนัน
                 พวกมันยังพูดหมาไม่แดร๊กเลย
บันทึกการเข้า
aoporadio
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 404


« ตอบ #44 เมื่อ: 26-04-2007, 17:03 »

กระทู้นี้ CODE ฮา
บันทึกการเข้า
visitna
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 209



« ตอบ #45 เมื่อ: 10-05-2007, 05:02 »

หยาบแต่ไม่หลอกลวง โกหก
คนโกหกผิดศิลข้อ 4 ตายแล้วตกนรกไปอยู่ขุมไหน?
พาลูกเมียไปครบเลยนะ น่าอนาจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-05-2007, 05:19 โดย visitna » บันทึกการเข้า
morning star
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,119


don't let them make up your mind


« ตอบ #46 เมื่อ: 10-05-2007, 06:18 »


คำว่าคนดี ไม่สำคัญหรอกว่าบุคลิกมันจะเป็นยังไง อาจจะชอบสูบบุหรี่ กินเหล้า ...เที่ยวโสเภณี...ขี้อำ..ไม่ชอบอาบน้ำ..พูดจาหยาบคาย...หรือดูดกัญชาเป็นสรณะ

ถ้าบอกว่า ไม่อาบน้ำผิดตรงไหน ในเมื่อกูเป็นคนดี...ก็ต้องตอบว่า เอ่อ...มึงไม่ผิดหรอกครับ แต่มึงช่วยอาบน้ำนิดนึงคงจะเป็นคนดีที่น่าคบมาก ๆ เลย
บันทึกการเข้า

อย่าเดินตามใคร เพราะเรามีจุดมุ่งหมายของเราเอง
(ก้อนหิน) ละเมอ
Moderator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,041



เว็บไซต์
« ตอบ #47 เมื่อ: 10-05-2007, 06:59 »

ถ้าไม่พูดหยาบ คนเค้าจะฟังลุงเค้าหรือครับ
^
^
เค้าเคยพูดไว้อ่ะ
บันทึกการเข้า

zoonkeang
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 55



« ตอบ #48 เมื่อ: 04-06-2007, 01:36 »

แนวมากๆ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: