ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
29-03-2024, 14:13
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ชายคาพักใจ  |  เรื่องของหมอ ประกิต-- เป็นคำถามคาใจว่า ภัยผู้ชายกับภัยผู้หญิงอันไหนร้ายกว่ากัน 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
เรื่องของหมอ ประกิต-- เป็นคำถามคาใจว่า ภัยผู้ชายกับภัยผู้หญิงอันไหนร้ายกว่ากัน  (อ่าน 2147 ครั้ง)
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« เมื่อ: 02-03-2007, 11:01 »

--  คดีนี้เป็นเรื่องที่น่าติดตาม  และสืบค้นหาข้อเท็จจริงว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
ข้อเท็จจริงคืออะไรกันแน่  ------ หนังสือพิมพ์ สื่อไม่ค่อยกล้าที่จะลงข่าวมากนัก
เพราะเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือน ต่อสถาบันครอบครัว  โดยเฉพาะครอบครัว
ของคุณหมอ  และในขณะเดียวกัน  ปมของเรื่องนี้ คือคุณ เปร ---ก็อาจจะ
ไปกระทบกับสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงของประเทศได้เช่นกัน

--แต่ทว่า  เรื่องราว และมูลเหตุ เป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าติดตาม
และที่สำคัญคือเป็นอุทาหรณ์  สอนใจ และเป็นประโยชน์เกี่ยวกับคนมาก
โดยเฉพาะ  ตัวยาสารอีเฟดรีน  ตัวนี้ จะทำให้คนอีกหลายคน
ได้เข้าใจถึงคุณและโทษของตัวยานี้อย่างดี  และจะได้ระมัดระวังตัวเองได้ถูกต้อง




สารอีเฟดรีนใช้ฉีดเท่านั้นหมอชี้พบ200เท่าได้รับในครั้งเดียว

เพื่อนสาวคนสนิทสงสัยแหล่งที่มาสารอีเฟดรีนที่ตรวจพบในตัว "หมอประกิตเผ่า" ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ รพ.รามาฯ ระบุ สารอีเฟดรีน ไม่ตกค้างในร่างกายมนุษย์แม้รับสารต่อเนื่องเป็นเวลานาน หากตรวจพบในปริมาณมากเกิดจากการรับสารปริมาณมากในครั้งเดียว

ด้านเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญวัตถุเสพติด อย. ระบุ ในประเทศไทยเลิกผลิตเป็นชนิดเม็ดมากว่า 30 ปี เหลือใช้เฉพาะชนิดฉีดเข้าเส้นเลือดรักษาโรคภูมิแพ้รุนแรง ชี้ผู้ป่วยโรคจิตไม่น่าจะสามารถนำเข้าร่างกายได้เอง  ขณะที่ ผอ.รพ.ศรีธัญญาเซ็นคำสั่งตั้งคณะแพทย์รักษาอาการเจ้าของสถาบันกวดวิชาเป็นกรณีพิเศษ ด้าน ผบก.น.2 สั่งปิดปากพนักงานสอบสวนหวั่นกระทบชื่อเสียงองค์กร

 หลังจากแพทย์ผู้รักษาอาการป่วยของ น.พ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์  เจ้าของสถาบันแอพพลาด์ฟิสิกส์ ออกมายืนยันว่า น.พ.ประกิตเผ่าป่วยด้วยอาการทางจิตไปแล้วนั้น แต่ น.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต เพื่อนสาวคนสนิทที่ได้รับการขอร้องจาก น.พ.ประกิตเผ่า ให้ช่วยเหลือนำตัวออกจากโรงพยาบาลศรีธัญญา  ก็ยังคงเคลือบแคลงสงสัยอยู่ โดยล่าสุด น.ส.เปมิกา ได้ตั้งข้อสังเกตถึงที่มาของสาร "อีเฟดรีน"  ซึ่งแพทย์โรงพยาบาลศรีธัญญา ระบุว่าตรวจพบในปัสสาวะของ น.พ.ประกิตเผ่า ในวันที่รับเข้ารักษาตัว ว่าสารดังกล่าวอยู่ในร่างกายของ น.พ.ประกิตเผ่า ได้อย่างไร

 น.ส.เปมิกา ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว "คม ชัด ลึก" เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ว่า ขณะนี้กำลังรอการไต่สวนในชั้นศาล ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 2 มีนาคม ซึ่งหากผลออกมาอย่างไรจึงจะทบทวนอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ  ทั้งนี้ตนยืนยันว่าที่ออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ก็เพราะได้รับการร้องขอจาก น.พ.ประกิตเผ่า

 น.ส.เปมิกา กล่าวว่า ตนไม่สามารถรับรู้เรื่องราวทั้งหมดได้เลยหาก น.พ.ประกิตเผ่า ไม่เล่าให้ฟัง และอยากให้สังคมลองพิจารณาดู ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ น.พ.ประกิตเผ่า ไปพบปลัดอำเภอพุทธมณฑล จ.นครปฐม เพื่อขอจดทะเบียนหย่า แต่ไม่ได้นำทะเบียนสมรสไป จึงกลับไปที่บ้านพักซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่ว่าการอำเภอพุทธมณฑลมากนัก ทั้งที่ น.พ.ประกิตเผ่า ไม่ได้กลับไปพักที่บ้านหลังนี้มาระยะหนึ่งแล้ว

 น.ส.เปมิกา กล่าวต่อว่า หลังจาก น.พ.ประกิตเผ่า  กลับบ้านพักเพื่อไปเอาทะเบียนสมรส ก็ไม่ได้กลับออกมาอีกทั้งที่นายธวัชชัย แก้วคงคา ปลัดอำเภอพุทธมณฑล รออยู่ แต่ รศ.เพลินจิต ทมทิตชงค์ มารดาของ น.พ.ประกิตเผ่า กลับเดินทางไปพบนายธวัชชัยแทน  และแจ้งให้นายธวัชชัย ทราบว่า ได้พูดคุยตกลงกับ น.พ.ประกิตเผ่า เรียบร้อยแล้ว แต่ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นาน น.พ.ประกิตเผ่ากลับถูกนำตัวไปที่โรงพยาบาลศรีธัญญา และต่อมาก็มีการตรวจพบสารอีเฟดรีนในร่างกายหมอมากมายได้

 สำหรับข้อสงสัยการตรวจพบสารอีเฟดรีนในปัสสาวะของ น.พ.ประกิตเผ่า ที่แพทย์โรงพยาบาลศรีธัญญาระบุว่าพบสารดังกล่าวมากกว่าคนปกติถึง 200 เท่านั้น ซึ่งเป็นชนวนที่ทำให้ น.ส.เปมิกา สงสัยแหล่งที่มาของสารดังกล่าว โดยน.ส.เปมิกา ระบุว่า ที่ผ่านมา น.พ.ประกิตเผ่า ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ และรับประทานยารักษาอาการอยู่เป็นประจำ

  ผู้สื่อข่าว "คม ชัด ลึก" ได้สอบถาม ผศ.น.พ.กิตติ โตเต็มโชคชัยการ  ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ หน่วยโรคภูมิแพ้ ภาควิชาอายุรกรรมศาสตร์  คณะแพทยศาสตร์  โรงพยาบาลรามาธิบดี  ถึงข้อสงสัยดังกล่าว โดย ผศ.น.พ.กิตติ ได้ให้ความเห็นว่าปกติแล้วแม้ว่าผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จะรับประทานยารักษาอาการอย่างต่อเนื่องและเป็นเวลายาวนานก็ไม่น่าจะมีสารตกค้างอยู่ในร่างกาย   หากตับและไตของผู้ป่วยไม่มีปัญหา  อีกทั้งถึงแม้ว่าตับและไตของผู้ป่วยจะมีปัญหา ก็ไม่น่าจะมีสารตกค้างอยู่ในร่างกายในปริมาณมาก

 ผศ.น.พ.กิตติ กล่าวต่อว่า ในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ที่มีอาการหืดหอบรวมอยู่ด้วย แพทย์จะให้ยาขยายหลอดลม หรือยาพ่น ลดอาการอักเสบของหลอดลม และจะให้ยาลดอาการบวมของหลอดลม และยาฉีดรักษาอาการเกี่ยวกับสารที่ผู้ป่วยแพ้ เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดความเคยชิน

 ผศ.น.พ.กิตติ กล่าวด้วยว่า ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มักได้รับยาลดน้ำมูกที่มีส่วนผสมของสารอีเฟดรีนและสารแอนตี้อีสตามีน เพื่อลดอาการบวมของเยื่อบุโพรงจมูกและหลอดลม ทั้งนี้ผู้ป่วยต้องรับประทานยาต่อเนื่องกันวันละ 3-4 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งยาจะออกฤทธิ์อยู่ในร่างกายประมาณ 4-6 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะถูกตับและไตขับออกมาจนหมด โดยผู้ป่วยอาจมีอาการง่วงซึมอยู่ประมาณ 1-2 วัน

 "สารดังกล่าวจะถูกตับและไตขับออกมาจนหมด  น้อยมากที่จะมีการตกค้างอยู่ในร่างกาย แม้ว่าผู้ป่วยจะรับประทานยาที่มีส่วนผสมของสารอีเฟดรีนอย่างต่อเนื่องและยาวนานก็ตาม  ทั้งนี้สารดังกล่าวอาจส่งผลให้มือสั่น ใจสั่น เพราะมีฤทธิ์กระตุ้นหัวใจ" ผศ.น.พ.กิตติ กล่าว

 ผู้เชี่ยวชาญโรคภูมิแพ้ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวต่อว่า ปริมาณสารอีเฟดรีน ที่มีอยู่ในร่างกายมากกว่าคนปกติถึง 200 เท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดจากการตกค้างในร่างกาย  แต่น่าจะเป็นเพราะรับยามาในเวลาเดียวกันในปริมาณมาก โดยอาจจะรับเข้าไปโดยการกินทีเดียวพร้อมกันประมาณ 10-30 เม็ด หรือรับด้วยวิธีการฉีดเข้าร่างกาย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่อันตราย หัวใจอาจจะล้มเหลวเสียชีวิตได้

 ขณะที่เภสัชกรผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุเสพติด  สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รายหนึ่ง เปิดเผยกับ  "คม ชัด ลึก" ว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเลิกผลิตสารอีเฟดรีน เป็นแบบชนิดเม็ด เพื่อรักษาอาการโรคภูมิแพ้มานานกว่า 30 ปีแล้ว แต่ในต่างประเทศยังคงผลิตเป็นชนิดเม็ดใช้อยู่  ปัจจุบันในประเทศไทยใช้สารอีเฟดรีนในรูปแบบของยาฉีดเข้าเส้นเลือดเพื่อรักษาอาการผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ชนิดรุนแรง  ที่มีอาการช็อกหมดสติ ซึ่งทันทีที่ผู้ป่วยได้รับสารดังกล่าวเข้าไปก็จะทำให้ฟื้นสติ  ทั้งนี้จะไม่ใช้ยาดังกล่าวต่อเนื่อง จะใช้เฉพาะกรณีที่ผู้ป่วยช็อกหมดสติเท่านั้น โดยสารดังกล่าวจะมีฤทธิ์อยู่ในร่างกายผู้ป่วยประมาณ 4-6 ชั่วโมง หลังจากนั้นจะถูกขับออกจากร่างกายโดยไม่ตกค้าง

 เภสัชกรรายเดิม กล่าวด้วยว่า สารอีเฟดรีน เป็นสารควบคุม ในประเทศไทยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเพียงรายเดียว โดยโรงพยาบาลทุกแห่งจะต้องซื้อสารดังกล่าวเพื่อรักษาผู้ป่วยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเท่านั้น  อีกทั้งต้องทำบัญชีการใช้สารดังกล่าวอย่างเข้มงวดและต้องทำรายงานการใช้ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยารับทราบทุกเดือน   

 "กรณีของหมอประกิตเผ่า ที่ตรวจพบสารอีเฟดรีนในร่างกายในปริมาณมากกว่าคนปกติ 200 เท่านั้น ทำให้ผมแปลกใจมาก และเชื่อว่าเป็นการตั้งใจรับเข้าร่างกาย  ไม่ใช่เกิดจากการตกค้าง เพราะสารชนิดนี้ร่างกายจากขับออกได้หมด อีกทั้งสารอีเฟดรีน จะไม่ใช้ต่อเนื่อง มีไว้เพื่อฉีดเข้าเส้นเลือดของผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ที่มีอาการรุนแรงถึงขั้นช็อกหมดสติเท่านั้น และทันทีที่ผู้ป่วยฟื้นก็จะหยุดใช้ทันที" เภสัชกรผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุเสพติด ระบุ

 เภสัชกรรายเดิมยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ผู้ป่วยที่มีอาการทางจิต หรือบุคคลที่อยู่ในอาการคลุ้มคลั่ง ไม่น่าจะฉีดสารอีเฟดรีนเข้าเส้นเลือดได้เอง เพราะต้องฉีดเข้าเส้นเลือดโดยตรง  ผู้ที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ไม่น่าจะทำได้  อีกทั้งสารอีเฟดรีน เมื่อนำเข้าสู่ร่างกายเกินขนาดก็จะทำให้ผู้รับฟั่นเฟือน มีอาการซึม และหวาดระแวง จนกลายเป็นบุคคลที่มีปัญหาทางจิตได้  อีกทั้งหากรับสารเข้าร่างกายจำนวนมากก็อาจทำให้หัวใจล้มเหลวเสียชีวิตได้

 วันเดียวกัน น.พ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีธัญญา เปิดเผยถึงความคืบหน้าการรักษาอาการของ น.พ.ประกิตเผ่า ว่า ได้ประสานไปยัง ศ.พ.ญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ ประธานราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย เพื่อขอให้จัดตั้งทีมจิตแพทย์ให้ความเห็นเกี่ยวกับการวินิจฉัยอาการของ น.พ.ประกิตเผ่าแล้ว และยังได้ตั้งกรรมการแพทย์ในลักษณะทีมสหวิชาชีพ ถือเป็นการตั้งทีมแพทย์เป็นกรณีพิเศษ  จากเดิมที่คนไข้จะมีแพทย์ 1 คนดูแล ส่วน น.พ.ประกิตเผ่า จะเดินทางไปศาลตามนัดได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของทีมแพทย์

 ขณะที่ ศ.พ.ญ.นงพงา กล่าวว่า ได้ส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 3 คน ได้แก่ รศ.น.พ.ณรงค์ สุภัทรพันธุ์ จิตแพทย์จากโรงพยาบาลรามาธิบดี พ.อ.พ.ญ.นวพร หิรัญวิรัตน์กุล จิตแพทย์จากโรงพยาบาลพระมุงกุฎเกล้า และ น.พ.เกษม ตันติผลาชีวะ จากโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา  ไปร่วมตรวจสอบอาการ โดยแพทย์ทั้ง 3 คน ได้ร่วมวินิจฉัย และสรุปความเห็นส่งให้ น.พ.เกียตริภูมิ เพื่อประกอบการไปให้ปากคำที่ศาลในวันที่ 2 มีนาคม 2550 แล้ว ส่วนรายละเอียดไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะเป็นเรื่องของคนไข้

 “ขอยืนยันว่าไม่มีจิตแพทย์คนไหนที่จะบอกว่าคนธรรมดาเป็นคนป่วย เพราะการพูดเช่นนั้นถือว่าบาปกรรมมาก และเป็นการเพิ่มภาระให้แก่แพทย์ เพราะปัจจุบันแพทย์ต้องรับภาระหนักอยู่แล้ว  ดิฉันยืนยันว่าเมืองไทยคงไม่มีหรอกจะมีก็คงในต่างประเทศเป็นสมัยก่อน เช่น ที่รัสเซีย ที่มีเรื่องของการเมืองและต้องการกำจัดคู่ต่อสู้ทางการเมืองจึงเอาเรื่องนี้ไปเกี่ยวข้อง  เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องตั้งแต่สมัยโบราณการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ในตอนนี้ถือว่าแย่มาก ทำให้ผู้ป่วยหวาดระแวงที่จะเข้ารับการรักษา” ศ.พ.ญ.นงพงา กล่าวและย้ำว่า จิตแพทย์ไม่ต้องการให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นแม้แต่คนเดียว  อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาก็มีคนที่มีปัญหาทางจิตหลายคนไม่ยอมรับว่าตนเองมีปัญหา

 ศ.พ.ญ.นงพงา กล่าวว่า การที่ราชวิทยาลัยได้ส่งจิตแพทย์ 3 ท่านไปร่วมตรวจวินิจฉัยซ้ำ เป็นการตรวจยืนยันครั้งที่ 2 เพื่อให้สังคมหายข้องใจ ไม่ใช่ว่าโรงพยาบาลศรีธัญญาตรวจวินิจฉัยเองไม่ได้ เพราะแพทย์ที่โรพยาบาลนี้มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว

 ศ.พ.ญ.นงพงา กล่าวด้วยว่า การตรวจวินิจฉัยว่าใครเป็นโรคจิตหรือไม่นั้น  สามารถทราบผลได้ภายในชั่วโมงเดียว และทุกประเทศก็มีวิธีการตรวจสอบเหมือนกัน  ทั้งนี้ การตรวจวินิจฉัยโรคจะดูอาการแสดง 3 ประการ คือ ความผิดปกติทางความคิด ความผิดปกติทางอารมณ์ และความผิดปกติทางพฤติกรรม  ซึ่งจิตแพทย์เพียงคนเดียวก็สามารถทำได้  ไม่จำเป็นต้องทำเป็นคณะแพทย์ แต่ถ้าเกิดความไม่ไว้วางใจอย่างกรณี น.พ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ก็ต้องตั้งขึ้นมาเป็นคณะแพทย์ขึ้นมา

 ศ.พ.ญ.นงพงา กล่าวต่อว่า คำถามที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคจะเป็นคำถามเฉพาะ  ซึ่งจิตแพทย์ทุกคนจะได้รับการเรียนการสอนมาเฉพาะทาง  โดยเฉพาะอย่างการตรวจสอบความผิดปกติทางความคิด  ซึ่งจะแสดงออกมาให้เห็นได้ยากกว่าความผิดปกติทางพฤติกรรมและอารมณ์ เช่น บางคนนั่งสวดมนต์ภาวนาคนเดียว โรยข้าวสาวไว้บนเตียง หรือเอามะนาวมาเรียงต่อๆ กันรอบเตียง  เหล่านี้คนส่วนใหญ่จะมองเห็นได้ชัด  ความผิดปกติทางอารมณ์ก็เหมือนกัน บางคนคึกคักเป็นพิเศษ หัวเราะคนเดียว บางคนเศร้า เก็บตัวเงียบ ร้องไห้

 "แต่สำหรับความผิดปกติทางความคิดจะเห็นได้ยาก จะต้องพูดคุยถึงจะรู้  และต้องพูดคุยให้ถูกจุดด้วย ไม่ใช่พูดทั่วๆ ไปก็จะมองไม่ออก เหมือนกับคนทั่วไปไม่มีอะไรผิดปกติ  แต่ต้องพูดถึงสิ่งที่เขากำลังคิดหรือวิตกกังวลอยู่ แล้วสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ก็จะออกมา" ศ.พ.ญ.นงพงา กล่าว

 ประธานราชวิทยาลัยจิตแพทย์ บอกด้วยว่า กรณีตรวจพบสารอีเฟดรีนในตัว น.พ.ประกิตเผ่า มากกว่าคนปกติถึง 200 เท่านั้น มีผลต่อการวินิจฉัยโรคด้วยเช่นเดียวกัน  ทางการแพทย์เรียกว่า การวินิจฉัยแยกโรค หมายถึง ความผิดปกติที่เกิดขึ้นอาจจะมาจากสาเหตุนี้ก็ได้  เหมือนกับตำรวจที่มักตั้งประเด็นต่างๆ เอาไว้มากกว่าหนึ่งประเด็น อย่างไรก็ตาม  ศ.พ.ญ.นงพงา ยอมรับว่า สารอีเฟดรีนมีส่วนในการกระตุ้นระบบประสาท แต่จำไม่ได้ว่าจะต้องใช้เวลาเท่าไรร่างกายถึงจะขับออกหมด เพราะคนทั่วไปไม่มีใครใช้สารอีเฟดรีนโดยตรงมาก่อน

 นอกจากนี้ ศ.พ.ญ.นงพงา ยังให้สัมภาษณ์ในคำถามที่ว่า มีจิตแพทย์เคยทำให้คนบ้าหรือไม่ว่า  เกิดขึ้นได้ยาก เพราะต้องจับคนไข้มัดและจะเกิดความวุ่นวาย  ไม่มีใครเขาทำกัน แต่เคยมีในต่างประเทศที่นักการเมืองบังคับให้จิตแพทย์วินิจฉัยคู่แข่งว่ามีอาการทางจิต  แต่สมัยนี้คงทำไม่ได้แล้ว เนื่องจากขณะตรวจวินิจฉัยโรค ไม่ได้กระทำกันตามลำพัง

 ด้าน น.พ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์ว่า คณะจิตแพทย์จากราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ได้วินิจฉัยอาการ น.พ.ประกิตเผ่า แล้ว มีผลสรุปสอดคล้องกับโรงพยาบาลศรีธัญญา ซึ่งกรมสุขภาพจิตคงไม่ดำเนินการใดๆ กับพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ที่อาจทำให้ภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลศรีธัญญา และกรมสุขภาพจิตเสียหาย แต่คิดว่า บิดามารดา พี่ชาย และภรรยาของ น.พ.ประกิตเผ่า คงจะดำเนินการในเรื่องนี้อยู่แล้ว

 ขณะที่ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ผบก.น. 2  กล่าวว่า  ได้สั่งห้ามไม่ให้พนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ให้ข่าวเกี่ยวกับเรื่อง น.พ.ประกิตเผ่า อีก เนื่องจากเรื่องเข้าสู่ขั้นตอนการไต่สวนพิจารณาในชั้นศาลแล้ว  ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องการจะปิดกั้นไม่ให้พนักงานสอบสวนพูด  แต่การพูดจะกระทบกับหลายองค์กร หลายสถาบัน ทั้งครอบครัวของ น.พ.ประกิตเผ่า รวมถึง รพ.ศรีธัญญา ซึ่งเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงและมีศักดิ์ศรีขององค์กร  การที่ผู้ปฏิบัติจะสามารถให้ข่าวได้ก็ต้องได้รับอนุมัติจากตนในฐานะผู้บังคับบัญชา  ถ้าเป็นระดับพนักงานสอบสวนก็ต้องได้รับอนุญาตจากหัวหน้าสถานี

 "การพูดบางครั้งอาจทำให้กระทบกระทั่งกันและอาจสร้างความเสียหายได้ เพราะทุกองค์กรต่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี ซึ่งผมในฐานะผู้บังคับบัญชาก็ต้องดูแล  สำหรับพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีนั้นผมไม่ได้สั่งให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเอาผิดแต่อย่างไร  แต่ได้มีขั้นตอนการตรวจสอบว่าการที่พนักงานสอบสวนทำไปถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่ ถ้าทำถูกต้องก็ต้องชมเชย  ถ้าไม่ถูกต้องก็ต้องว่ากล่าวตักเตือน " พล.ต.ต.อำนวย กล่าว

 ส่วนบรรยากาศที่อาคารประสาทวิทยา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ น.พ.ประกิตเผ่า รักษาตัวอยู่นั้น  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชายฉกรรจ์ 4 คน ใช้วิทยุสื่อสารในการติดต่อกัน เฝ้าประตูทางเข้าออกอย่างเข้มงวด โดยไม่อนุญาตให้บุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าไปภายในอาคารอย่างเด็ดขาด


-------------------------------------------------------------------------




อธิบดียัน หมอประกิตเผ่า จิตไม่ปกติ [2 มี.ค. 50 - 03:22]
 
กรณี น.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต อายุ 24 ปี นิสิตชั้นปี 4 คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตลูกศิษย์ และเพื่อนสาวคนสนิทของ นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ อาจารย์และผู้บริหารสถาบันกวดวิชาชื่อดัง “แอพพลายด์ ฟิสิกส์” เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ อ้างว่าได้รับโทรศัพท์จาก นพ.ประกิตเผ่า ขอความช่วยเหลือ เนื่องจากถูกกักตัวอยู่ใน รพ.ศรีธัญญา และมีตำรวจเฝ้าโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อไปตรวจสอบทราบว่า รศ.เพลินจิต ทมทิตชงค์ และ รศ.นพ.ประกิตพันธ์ ทมทิตชงค์ แม่และพี่ชายเป็นผู้นำตัว นพ.ประกิตเผ่า ไปรักษา ระบุว่ามีอาการหวาดระแวง กลัวคนจะมาทำร้าย ไม่ไว้ใจคนรอบข้าง อีกทั้งพกปืน 3 กระบอกติดตัว และสวมเสื้อเกราะตลอดเวลา แต่พบเงื่อนงำบางอย่าง จึงยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ มีคำสั่งให้ รพ.ศรีธัญญา ปล่อยตัว นพ.ประกิตเผ่า เนื่องจากไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลนัดสองฝ่ายไต่สวนวันที่ 2 มี.ค.นี้ ต่อมา นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ผอ.รพ.ศรีธัญญา แถลงยืนยันว่า นพ.ประกิตเผ่ามีอาการป่วยทางจิต และพบสารเอฟริดีน มีฤทธิ์ต่อจิตประสาทในปัสสาวะมากกว่าปรกติถึง 200 เท่า ต้องได้รับการรักษาอย่างใกล้ชิด สอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของ นพ.ไพฑูรย์ สมุทรสินธุ์ รอง ผอ.ฝ่ายการแพทย์ รพ.ศรีธัญญา ในฐานะแพทย์เจ้าของไข้ ก่อนที่ราชแพทย์วิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย จะเข้าตรวจคนไข้อีกครั้ง 

ความคืบหน้าเมื่อวานนี้ (1 มี.ค.)  นพ.หม่อมหลวงสมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า คณะแพทย์จากราชแพทย์วิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ได้สรุปผลการตรวจสภาพจิตของคนไข้แล้ว ผลสอดคล้องกับการตรวจของแพทย์ รพ.ศรีธัญญา ก่อนหน้านี้ โดยรายงานผลการตรวจฉบับดังกล่าวจะใช้ในการไต่สวนต่อไป 

พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ผบก.น.2 กล่าวว่า เรื่อง ทั้งหมดอยู่ในอำนาจของศาล ตำรวจไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายการทำงานของศาล ที่ผ่านมาได้กำชับให้ พ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น สว.สส.สน.บางซื่อ ให้ระมัดระวังการให้ข่าวต่อสื่อมวลชน เพราะอาจกระทบทั้ง รพ.ศรีธัญญา และครอบครัวของ นพ.ประกิตเผ่า โดยเฉพาะ รพ.ศรีธัญญา ก่อตั้งมานาน มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี วันนี้ตนได้เรียก พ.ต.ท.ฐิติเดชเข้ารายงานตัว พร้อมทั้งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวโดยมี พ.ต.อ.วิชัย สังข์ประไพ รอง ผบก.น.2 เป็นประธาน สำหรับประเด็นการสอบสวนครั้งนี้ จะตรวจสอบว่า พ.ต.ท.ฐิติเดชเข้าไป เกี่ยวข้องได้อย่างไร และตรวจสอบการให้ ข่าวว่ามีลักษณะพาดพิงใครให้เสียหายหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หากผลการสอบสวนข้อเท็จจริงพบว่า พ.ต.ท.ฐิติเดช ทำไปอย่างถูกต้อง คงพิจารณาให้ความดีความชอบต่อไป ส่วนการไต่สวนของศาลในวันศุกร์นี้ หาก รพ.ไม่สามารถนำตัว นพ.ประกิตเผ่าไปศาลได้ คงไม่เกี่ยวกับตำรวจ ศาลจะเป็นผู้พิจารณาต่อไป 

ส่วนความเคลื่อนไหวการเปิดไต่สวนฉุกเฉิน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลอาญาได้เตรียมห้องพิจารณาที่ 601 ชั้น 6 อาคารศาลอาญา เปิดไต่สวนกรณีดังกล่าว โดยนางจิราวรรณ สุญาณวนิชกุล อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ได้จ่ายสำนวนให้รองอธิบดีศาลอาญา และผู้พิพากษาระดับหัวหน้าคณะในศาลอาญา ทำการไต่สวนคำร้อง 

ต่อมาเวลา 16.30 น. วันเดียวกัน ที่ห้องประชุมโรงพยาบาลศรีธัญญา นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ผอ.รพ. ศรีธัญญา เปิดแถลงข่าวความคืบหน้าความพร้อมการเข้าเบิกความต่อศาล ถึงอาการป่วยของ นพ.ประกิตเผ่า ในวันศุกร์ที่ 2 มี.ค. ว่า ตนจะเดินทางไปตามศาลนัดแน่นอน ตนแข็งแรงดี มีสติสัมปชัญญะดี สมบูรณ์ทุกอย่าง ส่วนผู้ป่วยคงต้องรอให้ นพ.ไพฑูรย์ สมุทรสินธุ์ เจ้าของไข้ และคณะกรรมการแพทย์เข้าประเมินสภาพจิตอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจว่าจะสามารถเดินทางไปศาลได้หรือไม่ จากหมายเรียกก็บอกอยู่แล้วว่า หากขัดข้องประการใดให้แจ้งให้ทราบ นอกจากนี้ ทางราชแพทย์วิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ส่งแพทย์อาวุโสมาตรวจสอบให้ความเห็นที่ 2 ว่า สอดคล้องกับการวินิจฉัยของ รพ.ศรีธัญญาหรือไม่ ในต่างประเทศมีการใช้ความเห็นที่ 2 มานานแล้ว แต่ในประเทศไทยไม่มีมาก่อน กรณีนี้คงเป็นกรณีแรก ปกติแพทย์ 1 คน จะดูแลคนไข้หลายคน แต่กรณีนี้แพทย์หลายคนจะดูแลคนไข้คนเดียว 

ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจในการเข้าไต่สวนครั้งนี้หรือไม่ ผอ.รพ.ศรีธัญญากล่าวว่า ตนมั่นใจในแพทย์ผู้ดูแลรักษา เพราะเป็นแพทย์ระดับ 9 มีความเชี่ยวชาญด้านเวชกรรม มีความรู้ด้านวิชาการอย่างดี บวกกับคณะกรรมการแพทย์น่าจะเป็นการดูแลผู้ป่วยที่สมบูรณ์มาก ต่อข้อถามว่า จะดำเนินคดีกับผู้ที่ให้ข่าวให้โรงพยาบาลเสียชื่อหรือไม่ นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า คงต้องพิจารณาและปรึกษากับผู้บังคับบัญชา ถ้าพูดหรือทำเกินกว่าเหตุคงต้องดำเนินการ ทุกวันนี้สังคมมองว่า รพ.ศรีธัญญา ปิดบังข้อมูลหรือมีอะไรไม่ชัดเจน อยากให้สังคมใช้ วิจารณญาณไตร่ตรองกับเรื่องนี้ ต่อข้อถามว่า ถ้าผลการตรวจครั้งสุดท้ายพบว่าคนไข้ไม่สามารถไปศาลได้ จะทำอย่างไร นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า ศาลมีขั้นตอนการเดินเผชิญสืบ ถ้าหลักฐานหรือบุคคลไปศาลไม่ได้ ก็จะออกมาดูถึงที่ 

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้ไปยังคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อขอสัมภาษณ์ น.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต นิสิตชั้นปีที่ 4 ของคณะดังกล่าว แต่ปรากฏว่า น.ส.เปมิกา ซึ่งเพื่อนๆเรียกชื่อเล่นว่า “อุ๋ย” ไม่ได้เข้ามาที่คณะ เนื่องจากได้สอบไล่ปิดภาคเรียนเสร็จสิ้นแล้ว ต่อมา รศ.ดร.สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตนไม่รู้จัก น.ส.เปมิกาเป็นการส่วนตัว เพราะ น.ส.เปมิกาไม่ค่อยเข้ามาที่คณะเท่าไหร่ เว้นแต่วันที่มีเรียนที่คณะเท่านั้น อย่างไร ก็ตาม น.ส.เปมิกาเป็นเด็กที่เรียนอยู่ในเกณฑ์ดี เข้าเรียนได้ตามเกณฑ์ของคณะ ไม่เคยเห็นว่ามีปัญหากับใคร 

ต่อมาเวลา 20.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ผอ.รพ.ศรีธัญญา นพ.ไพฑูรย์ สมุทรสินธุ์ รอง ผอ.ฝ่ายการแพทย์ รพ.ศรีธัญญา ในฐานะแพทย์เจ้าของไข้ ได้นัดสื่อมวลชนแจ้งผลการตรวจร่างกาย นพ.ประกิตเผ่าครั้งสุดท้าย ว่าสามารถนำตัวไปไต่สวนที่ศาลอาญาได้หรือไม่ ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลานัด นายแพทย์ ทั้ง 2 คน ได้ปิดโทรศัพท์มือถือ ไม่สามารถติดต่อได้
 

---------------------------------------------------------------------------------

พี่ชาย ประกิตเผ่า ขู่ดำเนินคดีขบวนการทำให้ครอบครัวเสียหาย 
09:16 น. 
นายแพทย์ประกิตพันธ์ ทมทิตชงค์ พี่ชายนายแพทย์ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ กล่าวถึงกรณีที่พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา ขอให้ปล่อยตัวนายแพทย์ประกิตเผ่า จากการควบคุมของโรงพยาบาลศรีธัญญา ตามการแจ้งความของ น.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย ป.วิ อาญา มาตรา 90 ซึ่งยืนยันว่า คงต้องให้ศาลเป็นผู้พิจารณา เพราะเป็นเรื่องผิดปกติที่เกิดขึ้นในครอบครัวที่ได้รับความเสียหาย และความยุ่งเหยิงอย่างมาก โดยมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องจากพฤติการณ์ของกลุ่มที่แจ้งดำเนินการ ซึ่งรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามาดำเนินคดี เนื่องจากพฤติกรรมของน้องชายเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จนในที่สุดครอบครัวต้องตัดสินใจนำตัวน้องชายเข้ารักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญา และวันนี้ก็จะไม่ให้น้องชายไปให้การในชั้นศาลด้วย โดยพร้อมจะดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องและร่วมขบวนการทั้งหมด ซึ่งหากคนในขบวนการกลับใจและให้หลักฐานที่เป็นประโยชน์กับคดี ก็พร้อมที่จะกันตัวเป็นพยานทันที ขณะที่การไต่สวนฉุกเฉินของศาลวันนี้ เวลา 09.00 น. ฝ่ายนางอลิสา ทมทิตชงค์ ภรรยาของนายแพทย์ประกิตเผ่า ได้ร้องคัดค้านคำร้องฝ่ายพนักงานสอบสวนด้วย
 

 

 


  พี่ชาย "หมอประกิตเผ่า" ประกาศดำเนินคดีกับผู้ร่วมขบวนการทำร้ายครอบครัว "ทมทิตชงค์" ชี้หากคนในขบวนการกลับใจและให้หลักฐานที่เป็นประโยชน์กับคดี ก็พร้อมที่จะกันตัวเป็นพยานทันที ยืนยันไม่นำน้องชายไปให้การที่ศาลวันนี้
       
       จากกรณีที่พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา ขอให้ปล่อยตัวนายแพทย์ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ จากการควบคุมของโรงพยาบาลศรีธัญญา ตามการแจ้งความของ น.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย ป.วิ อาญา มาตรา 90 โดยศาลได้นัิดพิจารณาในวันนี้(2 มี.ค.) นั้น นายแพทย์ประกิตพันธ์ ทมทิตชงค์ พี่ชายนายแพทย์ประกิตเผ่ากล่าวว่า คงต้องให้ศาลเป็นผู้พิจารณา เพราะเป็นเรื่องผิดปกติที่เกิดขึ้นในครอบครัวที่ได้รับความเสียหาย และความยุ่งเหยิงอย่างมาก โดยมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องจากพฤติการณ์ของกลุ่มที่แจ้งดำเนินการ ซึ่งรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้ามาดำเนินคดี เนื่องจากพฤติกรรมของน้องชายเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จนในที่สุดครอบครัวต้องตัดสินใจนำตัวน้องชายเข้ารักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญา และวันนี้ก็จะไม่ให้น้องชายไปให้การในชั้นศาลด้วย
       
       ทั้งนี้ ตนเองพร้อมจะดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องและร่วมขบวนการทั้งหมด ซึ่งหากคนในขบวนการกลับใจและให้หลักฐานที่เป็นประโยชน์กับคดี ก็พร้อมที่จะกันตัวเป็นพยานทันที
       
       ขณะที่การไต่สวนฉุกเฉินของศาลวันนี้ เวลา 09.00 น. ฝ่ายนางอลิสา ทมทิตชงค์ ภรรยาของนายแพทย์ประกิตเผ่า ได้ร้องคัดค้านคำร้องฝ่ายพนักงานสอบสวนด้วย
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เช้าวันนี้ (2 มี.ค.) ทีมจิตแพทย์จำนวน 3 คน ที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ได้เข้าทำการวินิจฉัยอาการของนายแพทย์ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ เจ้าของสถาบันแอพพลายด์ฟิสิกส์ ซึ่งเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศรีธัญญาว่าป่วยมีอาการทางจิตหรือไม่ รวมถึงการพิจารณาว่าจะอนุญาตให้เดินทางไปไต่สวนที่ศาลอาญา ตามที่พนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ร้องขอให้โรงพยาบาลศรีธัญญาปล่อยตัวนายแพทย์ประกิตเผ่า หรือไม่ โดยการวินิจฉัยในครั้งนี้หากผลการสรุปออกมาว่านายแพทย์ประกิตเผ่ามีอาการป่วยทางจิต อาจมีการเลื่อนการไต่สวนออกไป โดยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีธัญญา จะเป็นผู้เดินทางไปให้การต่อศาล
       
       ส่วนบรรยากาศที่อาคารประสาทวิทยา ซึ่งเป็นสถานที่ที่นายแพทย์ประกิตเผ่ารักษาตัวนั้น ได้มีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเฝ้าอย่างเข้มงวด ไม่อนุญาตให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าภายในอาคารเด็ดขาด และยืนยันด้วยว่า หากวันนี้มีการนำตัวนายแพทย์ประกิตเผ่า เดินทางไปศาล จะไม่มีการนำตัวออกจากบริเวณด้านหน้าของโรงพยาบาล แต่จะรับตัวผู้ป่วยจากในอาคารขึ้นรถของโรงพยาบาลเดินทางไปศาลแทน


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


.....ข่าวล่าสุด  เมื่อกี้นี้จากช่อง เก้า อสมท


ศาลลงเผชิญสืบ"หมอประกิตเผ่า"ที่รพ.ศรีธัญญา 
 

 
  ศาลอาญาไต่สวนฉุกเฉินคำร้องขอปล่อยตัว “หมอประกิตเผ่า”โดย ผอ.ศรีธัญญา ยืนยันหมอประกิตเผ่า ไม่สามารถมาศาลได้ ขณะที่ศาล ขอความร่วมมือ ผอ.โรงพยาบาล ทำการเดินเผชิญสืบที่ศรีธัญญา เพื่อประกอบการไต่สวน
       
       
       วันนี้(2 มี.ค.)เวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีธัญญา เดินทางมาที่ศาลอาญา ตามหมายเรียกเพื่อไต่สวนคำร้องฉุกเฉินขอให้ปล่อยตัว นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงศ์ อาจารย์และผู้บริหารสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์ ตามที่ น.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต เพื่อนสาวคนสนิทเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ โดยมีรองศาสตราจารย์เพลินจิต ทมทิตชงศ์ มารดา นพ.ประกิตเผ่า เดินทางมาพร้อมภรรยาและทนายความ
       
       รศ.เพลินจิต ยืนยันว่าบุตรชายป่วยทางจิตจริงตามที่คณะแพทย์กลางวินิจฉัย หากเชื่อถือไม่ได้กรมสุขภาพจิต และโรงพยาบาลทั่วประเทศคงล้มทั้งระบบ เรื่องที่เกิดขึ้นจะยื่นฟ้องกลับ น.ส.เปมิกา เพื่อนสาวคนสนิท ที่เป็นต้นเหตุ
       
       ขณะที่ น.ส.เปมิกา กล่าวว่า ไม่กลัวที่จะถูกฟ้องเพราะทำในสิ่งที่ถูกต้อง ยืนยันตลอดเวลาที่ นพ.ประกิตเผ่า อยู่ในกลุ่มเพื่อนไม่เคยแสดงอาการหวาดระแวง
       
       อย่างไรก็ตาม การไต่สวนในวันนี้ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ผู้อำนวยการตำรวจนครบาล 2 ( ผบก.น.2) เดินทางมารับฟังการไต่สวนด้วย พร้อมกำชับให้ พ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น พนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ไม่ให้ข่าวใด ๆ กับสื่อมวลชน เพราะจะกระทบความสัมพันธ์ของสถาบันครอบครัว
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังศาลขึ้นนั่งบัลลังก์ ศาลได้อ่านคำร้องขอปล่อยตัว นพ.ประกิตเผ่า ขณะที่ทางด้านภรรยาของนพ.ประกิตเผ่า ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการปล่อยตัว แต่ศาลเห็นว่า ภรรยาของนพ.ประกิตเผ่า ไม่ใช่ผู้ควบคุมตัวตามกฎหมาย เนื่องจากคดีนี้ เป็นเรื่องระหว่าง รพ.ศรีธัญญา ซึ่งเป็นผู้ถูกร้อง และ พนักงานสอบสวน ซึ่งเป็นผู้ร้อง ศาลจึงไม่รับคำคัดค้านดังกล่าว
       
       จากนั้น ศาลได้สอบถามแพทย์เจ้าของไข้ โดยได้ซักถามอาการ ตรวจสอบประวัติ และผลการตรวจห้องแลป ขณะที่ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ผอ.โรงพยาบาลศรีธัญญา แถลงต่อศาลว่า ทาง รพ.ศรีธัญญา ได้ส่งจดหทายจำนวน 2 ฉบับ มาที่ ผู้อำนวยการสำนักงานประจำศาลอาญา ลงวันที่ 28 ก.พ.และวันที่ 1 มี.ค.โดยแจ้งว่า จากการที่ให้ทีมแพทย์และแพทย์เจ้าของไข้ทำการตรวจอาการของ นพ.ประกิตเผ่า แพทย์ได้ลงความเห็นว่า ไม่สามารถมาศาลได้ อีกทั้ง ล่าสุดเมื่อเช้าที่ผ่านมา คณะแพทย์ได้ตรวจซ้ำอีกครั้ง และมีความเห็นเดิม คือไม่สามารถมาศาลได้ เนื่องจากเกรงจะได้รับอันตรายทางด้านจิตใจมากขึ้น
       
       หลังศาลได้ตรวจสอบคำแถลงของ ผอ.รพ.ศรีธัญญา แล้ว ศาลได้แจ้งต่อ ผอ.รพ.ศรีธัญญา ว่า ศาลจะเดินเผชิญสืบ นพ.ประกิตเผ่า ที่รพ.ศรีธัญญา พร้อมกับได้ขอความร่วมมือ ผอ.ว่าอยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องแจ้งให้ ทางโรงพยาบาลทราบ และไม่ต้องต้อนรับ โดยศาลจะไปเดินสำรวจดู และจะกลับมาไต่สวนต่อไป

 
 
 
 
 
 




http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2007/03/02/entry-1



ศาลลงพื้นที่สืบคดีหมอประกิตเผ่าที่รพ.ศรีธัญญา
 
2 มีนาคม พ.ศ. 2550 10:33:00
 
(Update)ศาลนัดไต่สวนคดีนพ.ประกิตเผ่า ยังไม่ชี้ขาดพิจารณาคำร้องในช่วงเช้า ลงพื้นที่สืบข้อเท็จจริงที่รพ.ศรีธัญญา ประกอบพิจารณา

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ในเช้าวันนี้ ที่ศาลอาญา ศาลนัดไต่สวนคดีที่ พ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น พนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ ได้ยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 เพื่อพิจารณาการควบคุม หรือขังโดยผิดกฎหมาย กรณีที่ นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ เจ้าของสถาบันกวดวิชาแอพพลายส์ฟิสิกส์ ถูกมารดาและพี่ชายส่งตัวเข้ารักษาอาการทางจิตที่โรงพยาบาลศรีธัญญาโดยไม่ชอบ จึงขอให้ศาลออกหมายเรียก นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีธัญญาและ นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ มาไต่สวนเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยตัวจากโรงพยาบาล

หลังศาลออกนั่งบัลลังค์แล้วไต่สวนผอ.รพ.ศรีธัญญา แล้ว ได้มีคำสั่งลงเผชิญสืบในพื้นที่ รพ.ศรีธัญญา เพื่อตรวจสอบดูสภาพแวดล้อม และสภาพจิต นพ.ประกิตเผ่า เพื่อประกอบการพิจารณาคำร้องขอปล่อยตัว และคำร้องคัดค้านในคดีนี้

จากนั้นเมื่อเวลา 10.30 น. นายวิชัย ช้างหัวหน้า รองผู้พิพาษศาลอาญา พร้อมด้วยนายพิทักษ์ เริ่มก่อกุล ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลอาญา เจ้าของสำนวนที่พ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น พนักงานสอบสวนสน.บางซื่อ ยื่นคำร้องขอให้ศาลปล่อยตัวนพ.ประกิตเผ่า  ทมทิตชงศ์ เจ้าของสถาบันแอพพลาต์ฟิสิกส์ ที่ถูกครอบครัวระบุมีอาการป่วยทางจิต  ได้เดินทางมายังโรงพยาบาลศรีธัญญา จ.นนทบุรี เพื่อเผชิญสืบนพ.ประกิจเผ่า ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ที่อาคารประกายสุข อาคารผู้ป่วยจิตเวช เพื่อสอบถามและตรวจดูอาการรวมทั้งสภาพแวดล้อมผู้ป่วยในการพิจารณาประกอบคำร้องขอปล่อยตัวดังกล่าว

สำหรับการสอบถามผู้ป่วยครั้งนี้ ผู้พิพากษาทั้ง 2 คนได้เข้าไปโดยลำพัง โดยพ.ต.ท.ฐิติเดชและทีมสอบสวนรออยู่นอกห้อง ขณะที่มารดาและนพ.ประกิตพงศ์ น้องชาย ได้เดินทางมารออยู่ตึกด้านหน้า โดยมิได้เข้าไปยังตึกผู้ป่วยแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากใช้เวลาในการสอบถามนานประมาณ 1 ชั่งโมง ผู้พิพากษาและคณะพนักงานสอบสวนรวมทั้งญาติ  ได้เดินทางไปยังศาลอาญาเพื่อดำเนินการไต่สวนคำร้องดังกล่าต่อไป

ด้านพ.ต.ท.ฐิติเดช กล่าวว่า สาเหตุที่พนักงานสอบสวนไม่ได้เข้าร่วมฟังการสอบถาม เนื่องจากได้สวมเครื่องแบบตำรวจ เกรงว่าผู้ป่วยอาจเกิดอาการหวาดระแวงและวิตกกังวลจนไม่สามารถตอบคำถามและพูดคุยกับผู้พิพากษาได้ การเผชิญสื่บในพื้นที่ได้เสร็จสิ้นแล้ว คงจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสืบในพื้นที่อีก
 
 

 
 
 
   
 
 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-03-2007, 12:39 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 02-03-2007, 11:59 »

อีเฟรดีน ??


......ยา/สารเสพติดที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน




สารกระตุ้นประสาท (Stimulants)
- แอมเฟทตามีน เมทแอมเฟทตามีน โคเคน
- อีเฟรดีน ซูโดอีเฟรดีน
- เฟนิลโปรปานอลลามีน (PPA)
- MDMA (ยาอี : Ecstasy)
- MDA (ยา Love)
- คาเฟอีน
- นิโคติน (ยาสูบ)
- สารระเหยปริมาณน้อยๆ


     มียาอื่นซึ่งมีคุณสมบัติกระตุ้นระบบประสาท และการใช้คล้ายยาบ้า ยาอี และยาเค เช่น ยา Love (MDA) ซึ่งได้ชื่อมาจาก ผลของยาที่ทำให้ ผู้ใช้มีความขวยเขิน และความอับอายลดลง รู้สึกอยากพูดคุย ปฏิสันถานกับคนอื่น

 อีเฟรดีน โคเคน คาเฟอีน ส่วนยาและสาร ที่ทำให้เกิดภาวะ ประสาทหลอน คล้ายยาเค ได้แก่ PCP, LSD สารในเห็ดขี้ควาย กัญชา ยาเสพติด ที่เริ่มเป็นปัญหา ของสังคมอึกตัวคือ โคเคน ซึ่งสะกัดแยก มาจากใบของต้นโคคา มีฤทธิ์และผลต่อร่างกาย และจิตใจคล้ายยาบ้ามาก แต่ก็มีข้อแตกต่าง อยู่บ้างบางประการ ประการแรก โคเคนมีผลอยู่ได้สั้น เพียงประมาน 30 นาที หลังจากใช้ยา ขณะที่ยาบ้า มีผลอยู่ได้นานถึง 4-6 ชั่วโมง ซึ่งคุณสมบัตินี้ ทำให้ในต่างประเทศ นิยมใช้โคเคน ในหมู่นักกีฬาอาชีพ และดารา เนื่องจากสามารถ เลือกใช้ผลยาตามเวลา ที่ต้องการได้ ประการที่สอง โคเคนเกิดการชินยา (Tolerance) ได้ช้า ซึ่งทำให้ไม่จำเป็นต้อง เพิ่มปริมาณยาที่เสพย์ มากขึ้นทุกครั้ง ในการใช้ยา ขณะที่ยาบ้า เกิดการชินยาได้เร็ว ทำให้ต้องเพิ่มปริมาณยา มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ผลกระตุ้น ระบบประสาท และจิตอารมณ์เหมือนเดิม ในบางครั้งต้องใช้ยา มากกว่าครั้งแรก 5-10 เท่า ซึ่งทำให้เสี่ยง ต่อพิษของยามากขึ้น ประการที่สาม โคเคนนั้นมีทางเลือก ในการเสพ มากกว่ายาบ้า สามารถเสพโดยการสูด หรือการนัตถุ์ยาได้ และประการสุดท้าย โคเคนมีราคาแพง มากกว่ายาบ้า

http://www.geocities.com/kamoltip/vija02.htm



มียาอื่นซึ่งมีคุณสมบัติ และการใช้คล้ายยาบ้า ยาอี และยาเคหรือไม่ ถ้ามีคือยาอะไรบ้าง?


มียาและสารหลายตัว ที่มีคุณสมบัต กระตุ้นระบบประสาท คล้ายกับยาบ้าและยาอี ตัวอย่าง เช่น ยา Love (MDA) ซึ่งได้ชื่อมาจาก ผลของยาที่ทำให้ ผู้ใช้มีความขวยเขิน และความอับอายลดลง รู้สึกอยากพูดคุย ปฏิสันถานกับคนอื่น

 อีเฟรดีน โคเคน คาเฟอีน ส่วนยาและสาร ที่ทำให้เกิดภาวะ ประสาทหลอน คล้ายยาเค ได้แก่ PCP, LSD สารในเห็ดขี้ควาย กัญชา

ยาเสพย์ติด ที่เริ่มเป็นปัญหา ของสังคมอึกตัวคือ โคเคน ซึ่งสะกัดแยก มาจากใบของต้นโคคา มีฤทธิ์และผลต่อร่างกาย และจิตใจคล้ายยาบ้ามาก แต่ก็มีข้อแตกต่าง อยู่บ้างบางประการ ประการแรก โคเคนมีผลอยู่ได้สั้น เพียงประมาน 30 นาที หลังจากใช้ยา ขณะที่ยาบ้า มีผลอยู่ได้นานถึง 4-6 ชั่วโมง ซึ่งคุณสมบัตินี้ ทำให้ในต่างประเทศ นิยมใช้โคเคน ในหมู่นักกีฬาอาชีพ และดารา เนื่องจากสามารถ เลือกใช้ผลยาตามเวลา ที่ต้องการได้ ประการที่สอง โคเคนเกิดการชินยา (Tolerance) ได้ช้า ซึ่งทำให้ไม่จำเป็นต้อง เพิ่มปริมาณยาที่เสพย์ มากขึ้นทุกครั้ง ในการใช้ยา ขณะที่ยาบ้า เกิดการชินยาได้เร็ว ทำให้ต้องเพิ่มปริมาณยา มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ผลกระตุ้น ระบบประสาท และจิตอารมณ์เหมือนเดิม ในบางครั้งต้องใช้ยา มากกว่าครั้งแรก 5-10 เท่า ซึ่งทำให้เสี่ยง ต่อพิษของยามากขึ้น ประการที่สาม โคเคนนั้นมีทางเลือก ในการเสพย์ มากกว่ายาบ้า สามารถเสพโดยการสูด หรือการนัตถุ์ยาได้ และประการสุดท้าย โคเคนมีราคาแพง มากกว่ายาบ้า

เราจะช่วยกันแก้ปัญหาการใช้ยาบ้า ยาอี และยาเค ในสังคมไทยได้อย่างไร?


 การติดยา เป็นปัญหาหนัก ของสังคมปัจจุบัน บรรดาผู้ติดยาเหล่านี้ ในครั้งแรกอาจใช้ จากสาเหตุหลายอย่าง เช่น เพื่อนชักชวน การอยากลอง อยากมีประสบการณ์แปลกๆ รักสนุก หรือปัญหาครอบครัว เป็นต้น เมื่อตกอยู่ภายใต้อิทธิพล ของสารเสพย์ติดเหล่านี้ ผู้ใช้จะมีความรู้สึก เคลิบเคลิ้มเหมือนว่า อยู่ในอีกโลกหนึ่ง ที่แตกต่างจากโลกที่เคยพบ สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่ ความรู้สึกชั่วคราว ที่เกิดจากฤทธิ์ของยา ซึ่งจะหายไป เมื่อยาหมดฤทธิ์ ดังนั้นในขณะที่ใช้ยา จึงมักขาดสติ เหตุผล และความยั้งคิด และอาจก่อเรื่อง ที่จะต้องเสียใจในภายหลัง หรือแม้กระทั่งเรื่อง ที่ไม่มีโอกาสเสียใจอีกเลย ผู้ที่ติดยาจึงเปรียบเหมือน ระเบิดเวลา ที่อาจจะระเบิดออกมา เมื่อไรก็ได้ เมื่อระเบิดแล้วก็ก่อปัญหา ทั้งต่อตัวเองและสังคม
 การใช้ยาเสพย์ติด ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพล มาจากวัฒนธรรม และสังคมต่างประเทศ โดยเฉพาะ ในกรณีของยาอี และยาเค ดังนั้นครอบครัว จึงเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะปลูกฝัง ภูมิคุ้มกันยาเสพย์ติด ให้แก่เยาวชนของชาติ หมั่นสอดส่องดูแล ให้ความเข้าใจ และความอบอุ่น แก่บุตรหลานของท่าน เสียแต่วันนี้ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียใจ และต้องสอดส่องดูแล บุตรหลานของท่าน ภายใต้มาตรการ ของกฎหมายในวันหน้า
 ในส่วนของตัวเยาวชนเอง ต้องรู้จักการยับยั้งชั่งใจ รู้จักปฏิเสธ หรือพูดคำว่า “ไม่” เมื่อถูกชักชวน ให้ทดลองเสพย์ยา และต้องไม่หลงไหลได้ปลื้ม ไปกับวัฒนธรรม ของคนต่างชาติ ซึ่งมีแนวความคิด ขนบธรรมเนียม และประเพณี แตกต่างจากคนไทย การใช้เวลาว่างให้ถูกต้อง โดยการเล่นกีฬา ดนตรี หรือแสวงหา ความรู้เพิ่มเติมนั้น ดีกว่าการเที่ยวรักสนุก หรือการไฝ่หาทดลอง ประสบการณ์แปลกๆ จิตใจที่เข้มแข็งมั่นคง เป็นเหมือนเกราะป้องกัน การแทรกซึม จากภัยของยาเสพย์ติด
 การประชาสัมพันธ์ และเผยแพร่ความรู้ เรื่องพิษภัยของยาเสพย์ติด คงจะเป็น อีกมาตรการหนึ่ง ที่ช่วยสร้างความเข้าใจ ที่ถูกต้องแก่เยาวชนได้ การจัดค่ายอบรม เรื่องยาเสพย์ติด การจัดรายการประจำ ทางสื่อวิทยุโทรทัศน์ และคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ นิตยสารและสิ่งพิมพ์ต่างๆ ตลอดจน การให้ความรู้ ทางสื่ออื่นๆ น่าจะเป็นวิถีทาง ที่เร่งเร้าจิตสำนึก ของคนไทยให้ช่วยกัน ขจัดปัญหายาเสพย์ติด อีกประการที่สำคัญ คือผู้รับผิดชอบกำกับดูแล มาตรการทางกฎหมายและสังคม คงจะต้องทำหน้าที่ อย่างเคร่งครัด และมีประสิทธิภาพ และต้องยอมรับกันว่า การแก้ปัญหา ที่ปลายเหตุคือผู้เสพย์ยา แต่เพียงอย่างเดียว ไม่น่าเป็นหนทางแก้ปัญหา ที่มีประสิทธิภาพ การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ซึ่งได้แก่การลักลอบผลิต และจำหน่าย จะช่วยส่งเสริมให้ การแก้ปัญหา ได้ผลอย่างถาวร การร่วมมือร่วมใจ ระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย คงจะเป็นนิมิตรหมายอันดี ที่นำไปสู่การแก้ปัญหา อย่างมีประสิทธิภาพ การปัดปัญหา ออกจากตัว หรือการเอาแต่ ตำหนิซึ่งกันและกัน รังแต่จะชะลอปัญหา ให้คั่งค้างหมักหมม จนหนักหนาสาหัส เกินแก้ไขในที่สุด


http://www.pharm.chula.ac.th/Surachai/Academic/CNS-Drgs/Radio01.htm#มียาอื่นซึ่งมีคุณสมบัติและการใช้คล้ายยาบ้า%20ยาอี%20และยาเคหรือไม
 

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-03-2007, 12:01 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
หน้า: [1]
    กระโดดไป: