ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
24-11-2024, 16:35
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ถึงคราว คตส ตกเป็นจำเลยสังคม 0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ถึงคราว คตส ตกเป็นจำเลยสังคม  (อ่าน 3506 ครั้ง)
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« เมื่อ: 01-03-2007, 21:03 »

ถามหาความโปร่งใสก่อนต่ออายุ ผลงาน คตส.คดีรถดับเพลิงกทม.
เดลินิวส์ - 26 กพ 2550

เป็นประเด็นที่น่าคิดพิจารณาอย่างยิ่งเมื่อ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กำลัง รวบรวมรายชื่อของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อขอแก้ไขประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 30 เพื่อให้ต่ออายุคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความ เสียหายแก่รัฐ (คตส.) ออกไปอีก เพราะเกรงว่าจะไม่สามารถสะสาง คดีทุจริตที่เหลือให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 1 ปี
 
พล.ต.จำลอง คงพยายามตอกย้ำให้ประชาชนเห็นถึงความชอบธรรมในการรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะมีปัญหาทุจริตอยู่มากมาย โดยจะต้องพิสูจน์ให้เห็นกันตามกระบวนการของยุติธรรม ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร แถม ก่อนหน้านี้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช. เคยระบุว่า ยังมีคดีทุจริตที่รอขึ้นเขียงของ คตส. 52 เรื่อง
 
ถือว่าเป็นภารกิจที่หนักหนาพอสมควร
 
แต่เมื่อพิจารณาผลงานระยะ 4 เดือนเศษ ของ คตส. ได้มีมติรับพิจารณาเรื่องทุจริตทั้งสิ้น 13 คดี ผ่านกระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริงและชี้มูลเพื่อไต่สวนแล้ว 5 เรื่อง ประกอบด้วย เรื่องการโอนหุ้นชินฯ ระหว่างคุณหญิงพจมาน ชินวัตร กับนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ โดยไม่มีการชำระภาษี 546 ล้านบาท เรื่องการประมูลท่อร้อยสายไฟฟ้าในสนามบินสุวรรณภูมิ เรื่องการจัดซื้อเครื่องตรวจระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 เรื่องการซื้อที่ดินย่านรัชดาจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 700 ล้านบาท และเรื่องการประมูลกล้ายางพารา และในวันที่ 26 ก.พ.นี้ อนุกรรมการ คตส. จะชี้มูลอีก 2 เรื่อง คือ เรื่องการขายหุ้นชินฯ ให้กับบริษัทแอมเพิลริช ก่อนจะไปขายให้เทมาเส็กอีกทอดหนึ่ง และเรื่องการจัดซื้อรถดับเพลิง กทม. 6,687 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมค่าภาษี
 
ในจำนวนคดีทั้งหมดนี้ดูเหมือนคดีการโอนหุ้นชินฯ ระหว่างคุณหญิงพจมาน และนายบรรณพจน์ จะมีความคืบหน้ามาก ที่สุด เนื่องจากเป็นคดีที่ส่งถึงสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อให้พิจารณา สำนวนส่งฟ้องต่อศาลเป็นลำดับต่อไป
 
คตส.ชุดนี้ตั้งขึ้นมาเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2549 มีอำนาจใช้กฎหมายสำคัญ ๆ 3 ฉบับ คือ กฎหมาย ปปง. กฎหมาย ป.ป.ช. และกฎหมาย สตง. หากเทียบกับองค์กรอิสระ เช่น ป.ป.ช. แล้ว ถือว่า คตส. มีอำนาจไม่ธรรมดา
 
ประเด็นที่น่าพิจารณาจริง ๆ ก็คือ ควรจะให้ คตส. ต่อ อายุหรือเปลี่ยนสถานะเป็นองค์กรอิสระอีกแห่งหนึ่งหรือไม่
 
ประการแรก คตส. เป็นองค์กรเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นมาจากผลพวงของการรัฐประหาร จึงเปราะบางต่อข้อครหาที่ว่า เป็นเครื่อง มือในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม หรือเป็นเครื่องมือของ คมช. ในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับบริวารนั่นเอง เพราะต้นทางของ คตส. มาจากประกาศของ คปค. ที่ให้ตรวจสอบทุจริตเฉพาะที่เกิดขึ้นในยุคของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น ดังนั้นผู้ที่ถูกกล่าวหาจึงล้วนแต่เป็นผู้ที่เคยรับใช้ใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ เสียเป็นส่วนใหญ่
 
คำครหาอาจจะวิจารณ์เลยเถิดไปถึงเรื่องสร้างปราการป้องกัน คมช. ภายหลังที่ลงจากอำนาจไปแล้ว จึงต้องบดขยี้ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และบริวารไม่สามารถกลับคืนสู่อำนาจได้ในการเลือก ตั้งครั้งหน้า
 
ประการต่อมา คตส. เป็นองค์กรที่พึ่งพิงอำนาจจาก  คมช. หากมีการเลือกตั้งจริงในปลายปี 2550 คมช. ก็จะหมดสภาพไปโดยปริยาย คำถามที่ตามมาก็คือ คตส. จะพึ่งพิงอำนาจของใคร เพราะกฎหมาย ป.ป.ช. ก็มี ป.ป.ช. เป็นผู้ใช้กฎหมายอยู่แล้ว ส่วนกฎหมาย ปปง. ที่เกี่ยวกับการฟอกเงินก็มี ปปง. เป็นผู้ดำเนินการ
 
คตส. ยิ่งจะทำงานด้วยความยากลำบาก เพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยราชการยิ่งกว่าในปัจจุบัน
 
ประการสุดท้าย ฝ่ายที่ยังนิยม พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ตั้งข้อสงสัยที่ว่า คตส. ทำงานด้วยความเที่ยงธรรมจริงหรือไม่
 
โดยเฉพาะกรณีคดีการจัดซื้อรถดับเพลิงของ กทม. มูลค่า 6,687 ล้านบาท เพราะนายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. ได้เปิดเผยผลสรุปเบื้องต้นของคณะอนุกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่มี นายประเสริฐ บุญศรี เป็นประธานว่า มีการชี้มูลไต่สวน นักการเมือง 3 คน และข้าราชการ กทม. อีก 2 คน
 
ก่อนหน้านี้มีข่าวเล็ดลอดมาจากที่ประชุมคณะอนุกรรมการว่า จะสรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริงตั้งแต่วันที่ 12 ก.พ. แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากที่ประชุมเสียงแตก อนุกรรมการบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการชี้มูลเฉพาะนักการเมืองซีกที่ถือหาง พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจากคดีจัดซื้อรถดับเพลิงมีนักการเมืองเกี่ยวข้องทั้ง 2 ฝ่าย
 
หากเลือกที่จะดำเนินคดีเพียงฝ่ายเดียว ก็อาจจะถูกฝ่ายนั้นซึ่งมีคนที่มีความรู้ด้านกฎหมายยื่นฟ้อง เนื่องจากกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่กำหนดไว้ว่า “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
 
ความเห็นที่ขัดแย้งภายในอนุกรรมการทำให้ต้องเลื่อนมา ชี้มูลในวันที่ 19 ก.พ. แต่พอถึงวันดังกล่าวก็เลื่อนอีก เพราะตกลง กันไม่ได้ ท้ายสุดต้องมาประชุมกันครั้งสุดท้ายในวันที่ 23 ก.พ. เพื่อลงมติและนำผลการชี้มูลไปแถลงในวันที่ 26 ก.พ.
 
หากข้อมูลที่นายนามเปิดเผยมาเป็นความจริง นั่นคือ มีนักการเมืองถูกชี้มูล 3 คน ไม่ใช่ 4 คนดังที่สาธารณชนรับทราบมาตั้งแต่ต้น ก็จะทำให้เกิดข้อกังขาว่า คตส. เลือกปฏิบัติหรือไม่
 
ถ้าเปรียบกับคดีการวางระเบิดแล้ว คนซื้อดินระเบิด คนประกอบระเบิด คนดูต้นทาง ถูกดำเนินคดีหมด แต่สำหรับ คนจุดชนวนระเบิด ซึ่งทำให้กระบวนการวางระเบิดสมบูรณ์ครบถ้วน กลับไม่ถูกดำเนินคดี
 
ทั้ง ๆ ที่คนจุดชนวนระเบิดรู้อยู่แล้วว่านั่นคือระเบิด หรือ เล็งเห็นผลว่าการสับสวิตช์ ให้ไฟฟ้าไปสั่งชนวนเชื้อปะทุทำงานก็จะทำให้ดินระเบิดเกิดการระเบิดตามมา เมื่อระเบิดแล้วย่อมทำให้ มีผู้เสียชีวิต
 
การตั้งคณะกรรมการ คตส. ก็มีข้อครหามาตั้งแต่ต้นแล้วว่า กรรมการหลายคนเคยเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ
 
อีกทั้งเหตุผลการยึดอำนาจของคณะรัฐประหาร ก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ประพฤติลุแก่อำนาจ ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับคนในสังคม จึงต้องขับไล่โค่นล้ม
 
ฉะนั้น คตส. จะต้องยึดความเป็นธรรมให้ถึงที่สุด แม้แต่ผู้ที่จะต้องถูกจับไปประหารชีวิตเพราะผลการสอบสวนของ คตส. ก็ต้องยอมรับโดยดุษณี
 
คตส. กล้าปฏิเสธหรือไม่ว่า ก่อนหน้านั้น 1 ใน กรรมการ คตส. หรือก่อนที่จะมาเป็น คตส. เคยให้คำปรึกษากับผู้ที่ถูก กล่าวหาในคดีรถดับเพลิง โดยไปนัดเจอกันในสำนักงานของกรรมการ คตส. คนนั้น
 
ถ้าไม่เอาความเป็นธรรมเป็นที่ตั้ง การล้างแค้นก็จะไม่จบไม่สิ้น เพราะไม่มีใครยอมเป็นสุนัขจนตรอก ท้ายสุด คมช. ก็อาจเป็นผู้ได้รับผลกระทบ โดยไม่สามารถลงจากหลังเสือได้อย่างสง่างาม
 
การต่ออายุ คตส. ไม่ได้เป็นหลักประกันใด ๆ มากกว่าการจัดการบริหารบ้านเมืองด้วยความโปร่งใสและยุติธรรม ซึ่งแปล ได้ว่า ธรรมอันเป็นที่ยุติ

http://www.dailynews.co.th/dailynews/pages/front_th/popup_news/Default.aspx?Newsid=119049&NewsType=1&Template=2
บันทึกการเข้า
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #1 เมื่อ: 01-03-2007, 21:07 »

เปิดหลักฐานเด็ดรถดับเพลิง พิสูจน์ความโปร่งใส คตส.
เดลินิวส์ - 28 กพ 2550

น่าสงสัยและน่าเคลือบแคลงเป็นอย่างยิ่ง เมื่อ คตส. มีมติให้ชี้มูลความผิดผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อรถดับเพลิง กทม. มูลค่า 6,687 ล้านบาท เพียงแค่ 5 คน ประกอบด้วย 1. นายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย 2. นายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย 3. นายสมศักดิ์ คุณเงิน อดีตผู้ช่วยเลขานุการ รมว.มหาดไทย 4. นายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าฯ กทม. และ 5. พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีต ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม.
 
แต่ไม่มีรายชื่อของ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. คนปัจจุบันรวมอยู่ด้วย
 
นายสัก กอแสงเรือง โฆษก คตส.ชี้แจงว่า เหตุที่ไม่รวมนายอภิรักษ์เข้าไปด้วย ก็เพราะว่า นายอภิรักษ์เข้ามาเกี่ยวข้องภายหลัง อีกทั้งการเปิดแอลซี นั้นก็เพราะต้องการทำตามสัญญาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และ ยังถูกกระทรวงมหาดไทยมีหนังสือสั่งให้เร่งดำเนินการ จึงทำให้เกิดคำถามว่า คตส. ได้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับนายอภิรักษ์และบุคคล อื่น ๆ โดยครบถ้วนแล้วหรือยัง
 
คำตอบก็คือ อาจจะตรวจแล้วไม่ได้นำเข้ามาไว้ในสำนวน หรือ ไว้ในสำนวนแต่ไม่เห็นว่าเป็นการกระทำผิด หรือตรวจพบหลักฐานการเปิด แอลซี ที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องทั้งหมด
 
ตามสัญญาการซื้อขายรถดับเพลิงที่นายสมัคร สุนทรเวช ลงนามกับฝ่ายออสเตรีย ได้ระบุว่า สัญญาจะไม่มีผลบังคับจนกว่าจะมีการเปิดแอลซี ดังนั้นเมื่อนายอภิรักษ์ มาเปิดแอลซี จึงทำให้สัญญาซื้อขายเกิดความสมบูรณ์
 
แอลซี คืออะไร จริง ๆ แล้ว แอลซี คือ หนังสือหรือตราสาร รับรองการชำระเงินที่ออกโดยธนาคาร
 
ตามขั้นตอนการซื้อขายระหว่างประเทศ จะไม่มีการจ่ายเงินสด แต่ เพื่อความมั่นใจไม่ให้ถูกเบี้ยวเงิน กทม. จะต้องเอาเงินสดไปวางค้ำประกัน หรือมีวงเงินเครดิตรองรับ กับธนาคารกรุงไทย จากนั้นธนาคารกรุงไทย ก็จะเปิดแอลซีไปยังธนาคารของออสเตรีย เสร็จแล้วธนาคารออสเตรีย จะส่ง แอลซี ไปยังบริษัทสไตเออร์ เพื่อผลิตรถดับเพลิงตามที่กำหนดไว้ในแอลซี
 
เมื่อบริษัทสไตเออร์ ผลิตสินค้าได้ตามสเปกที่กำหนดในแอลซี ก็จะนำสินค้าไปส่งที่ท่าเรือ เพื่อให้ศุลกากรตรวจปล่อย จากนั้นบริษัทเรือที่รับขนส่งรถดับเพลิงก็จะออกหนังสือรับมอบสินค้ามาให้บริษัทสไตเออร์ เสร็จแล้วบริษัทสไตเออร์ ก็จะเอาเอกสารของบริษัทเรือและอื่น ๆ ส่งไปยังธนาคาร ออสเตรียเพื่อขอรับเงิน
 
หลังจากธนาคารออสเตรียจ่ายเงินให้กับบริษัทสไตเออร์ไปแล้วก็จะมาเรียกเก็บกับธนาคารกรุงไทย และธนาคารกรุงไทย ก็จะมาเรียกเก็บ จาก กทม. อีกทอดหนึ่ง
 
ขั้นตอนทั้งหมดมีเพียงแค่นี้
 
ปรากฏว่า มติ ครม. กำหนดให้ กทม. ซื้อรถและเรือดับเพลิงจาก บริษัทสไตเออร์ด้วยวิธีพิเศษ ซึ่งไม่มีการประมูล ด้วยเหตุผลที่ว่า อุปกรณ์เหล่านี้ไม่สามารถผลิตได้ภายในประเทศไทย จึงต้องซื้อจากต่างประเทศ ความ ปรากฏในลำดับต่อมาว่า ทั้งรถและเรือผลิตขึ้นภายในประเทศไทย โดยรถปิกอัพเป็นของยี่ห้อมิตซูบิชิสตราดา ราคาคันละ 7.4 แสนบาท แต่เอามาขายให้ กทม. รวมภาษีแล้วตกคันละ 6.8 ล้านบาท
 
ส่วนเรือดับเพลิง 30 ลำ ก็ผลิตที่ บริษัทซีทโบ๊ท แถวพัทยา ตรงนี้ เองเป็นเงื่อนงำสำคัญที่จะชี้ให้เห็นว่า นายอภิรักษ์ เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อรถดับเพลิงหรือไม่ และอย่างไร
 
เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2547 นายสมัคร สุนทรเวช ขณะที่ยังเป็น   ผู้ว่าฯ กทม. ได้ลงนามในหนังสือ กท.1800/4322 ส่งถึงกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย จำกัด มหาชน เพื่อขอเปิดแอลซี ซึ่งระบุให้ ส่งมอบสินค้า ได้ที่ท่าเรือในยุโรป หรือสนามบินยุโรป หรือสถานที่ใด ๆ ในประเทศไทย
 
ต่อมาพอนายอภิรักษ์เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. ก็มีหนังสือขอยกเลิกแอลซี เนื่องจากนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์  ในขณะนั้นได้ยื่นร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. จึงนำเรื่องการจัดซื้อรถดับเพลิงมา ทบทวนใหม่ และท้ายสุดนายอภิรักษ์ ก็ตัดสินใจจัดซื้อต่อไป โดยมีหนังสือเลขที่ กท 0200/77 ลงวันที่ 10 ม.ค. 2548 ถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย เพื่อขอเปิดแอลซี
 
แต่แอลซีของนายอภิรักษ์ได้ระบุให้ ส่งมอบสินค้าที่ท่าเรือหรือสนามบินในยุโรปเท่านั้น ไม่ได้ระบุว่า สถานที่ใด ๆ ในประเทศไทยเหมือนกับของนายสมัคร สุนทรเวช
 
ต่อมาในวันที่ 21 ม.ค. 2548 หรือหลังจากเปิดแอลซีไปแล้ว 11 วัน นายอภิรักษ์ ได้ขอแก้ไขแอลซี ในหัวข้อที่ 79 อนุญาตให้มีการส่งมอบสินค้าได้ ณ สถานที่ใด ๆ ในประเทศไทย
 
ประเด็นที่ คตส. ควรจะพิจารณาเป็นพิเศษก็คือ ใครเป็นคนไปสั่งให้นายอภิรักษ์แก้แอลซี หากไม่มีใครสั่ง นายอภิรักษ์แก้แอลซี ในประเด็นนี้ทำไม
 
ถ้านายอภิรักษ์อ้างว่า จำเป็นต้องเปิดแอลซี ซื้อรถดับเพลิงในวันที่ 10 ม.ค. 2548 เพราะกระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งบังคับ แต่ในข้อเท็จจริงกระทรวงมหาดไทยไม่ได้มีคำสั่งให้นายอภิรักษ์ แก้ไขแอลซี เปลี่ยนสถานที่ส่งมอบสินค้าจากท่าเรือยุโรปมาที่ท่าเรือประเทศไทยแต่อย่างใด
 
หากนายอภิรักษ์บอกว่า แก้ไขเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับออสเตรีย นายอภิรักษ์ก็น่าจะรู้ว่า บริษัทสไตเออร์ เป็นของสหรัฐ ไม่ใช่ของออสเตรีย แล้วจะไปรักษาสัมพันธ์กันได้อย่างไร
 
เงื่อนงำในการแก้ไขแอลซี ครั้งนี้ ทำให้บริษัทสไตเออร์ได้ประโยชน์ มหาศาล เพราะตามแอลซี เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2548 บริษัทสไตเออร์ จะต้องนำเรือจากบริษัท ซีทโบ๊ท 30 ลำ วิ่งกลับไปที่ยุโรป เพื่อทำพิธีศุลกากร  ที่นั่น เพื่อเอาเอกสารไปขึ้นเงินกับธนาคารออสเตรีย เสร็จแล้วก็นำเรือวิ่งกลับมายังประเทศไทย ผ่านพิธีศุลกากรที่แหลมฉบังหรือท่าเรือคลองเตย
 
การแก้ไขแอลซี ให้บริษัทสไตเออร์ส่งมอบสินค้าที่ใด ๆ ในประเทศไทย ทำให้ประหยัดค่าขนส่งที่จะย้อมเรือดับเพลิงไทยให้เป็นเรือดับเพลิงออสเตรีย และทำให้การส่งมอบสามารถทำได้โดยสะดวกไม่มีปัญหาเรื่องถิ่นกำเนิดของสินค้า
 
นายอภิรักษ์ ตอบได้หรือไม่ว่า ไปแก้แอลซีทำไม พร้อม ๆ กับ คตส. ต้องตอบได้ว่า ทำไมไม่ค้นหาข้อเท็จจริงตรงประเด็นนี้
 
นี่ยังไม่รวมไปถึงการตรวจสอบเพื่อลงนามรับมอบรถดับเพลิงต้นแบบ ที่บริษัทสไตเออร์ไปจ้างให้บริษัทโซมาติที่เบลเยียม ซึ่งนำขบวนโดยนายวัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯ กทม. และเห็นว่า เป็นรถมิตซูบิชิผลิตในประเทศไทย
 
นายวัลลภ ทำไมไม่ห้ามการรับรถต้นแบบ และทำไมไม่มาราย งานความผิดปกติประการนี้ต่อนายอภิรักษ์ เพื่อดำเนินการแก้ไข
 
ถ้ารถดับเพลิงดังกล่าวเป็นยี่ห้อเบนซ์ หรือโฟล์คสวาเก้น ซึ่งหน่วยดับเพลิงออสเตรียใช้ยี่ห้อนี้อยู่ ก็พอจะอธิบายได้ว่า จำเป็นต้องซื้อแพงถึงคันละ 6.8 ล้านบาท แต่นี่เป็นรถมิตซูบิชิผลิตในประเทศไทย
 
คตส. ต้องถามตัวเองว่า มีความเอนเอียงหรือไม่ ความสุจริตหรือ  ไม่ และได้กระทำหน้าที่ตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 30 ลงวันที่ 30 ก.ย. 2549 เพื่อจับทุจริตที่ก่อให้เกิดความเสียหายในทุก ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์
 
หรือทำหน้าที่เพียงแค่ทำลายล้างฝ่ายหนึ่ง และอุ้มอีกฝ่ายหนึ่ง

http://www.dailynews.co.th/dailynews/pages/front_th/popup_news/Default.aspx?Newsid=119234&NewsType=1&Template=2
บันทึกการเข้า
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #2 เมื่อ: 01-03-2007, 21:09 »

ตอนที่มีข่าวว่าใครหาหลักฐานได้มีรางวัลให้ ก็รู้แล้วว่าราคาคุยไม่มีหลักฐานตามที่โม้แต่แรกในมือหรอก
อย่ากลัวเสียฟอร์มกันเลย หม่อมอุ๋ยทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว จะชิ่งยังไง อยู่จนจบอาจไม่รอดนะ ไปก่อน
รอดก่อน
บันทึกการเข้า
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #3 เมื่อ: 01-03-2007, 21:13 »

เขาไม่เรียกนายศิธามาสอบบ้างหรือคะ    หรือนายสมัคร นายโภคิน นายประชา เรียกไปแบ๊วกระโหลกหนาๆแล้ว   
บันทึกการเข้า
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #4 เมื่อ: 01-03-2007, 21:14 »

ตาชั่งเอียง
ไทยรัฐ -[1 มี.ค. 50 - 16:11]
 
เริ่มจะมีเสียงทักท้วงในการทำหน้าที่ของ คตส. โดยเฉพาะในด้านของ ความเป็นธรรม มีมาตรฐานแค่ไหน ยกตัวอย่างเรื่องการวินิจฉัยกรณี รถและเรือดับเพลิง กทม. ที่ผมเคยเกริ่นไปแล้วว่ามีลับลมคมในกันอย่างไรบ้าง ซึ่งกรณีนี้การสืบสวนสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษมีความเห็นว่าผู้ที่อยู่ในข่ายความผิดมี 7 คน ด้วยกัน ในจำนวนนี้ มี คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน และ คุณวัฒนา เมืองสุข รวมอยู่ด้วย

ปรากฏว่าการชี้มูลความผิดของ คตส.ที่ออกมามีพลิกโผ คุณอภิรักษ์ และคุณวัฒนาหลุดร่างแหไปได้ โดยอ้างว่า ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของ รมช.มหาดไทยในขณะนั้นคือ คุณประชา มาลีนนท์

ทั้งที่คุณอภิรักษ์เป็นผู้อนุมัติแอลซีด้วยซ้ำ

ซึ่งถ้าจะระบุว่าคุณประชาเข้าข่ายความผิดในฐานะเป็นผู้สั่ง แต่ผู้ว่าฯ กทม.รู้อยู่แล้วว่าโครงการนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยังได้ปฏิบัติตามโดยไม่มีการคัดค้านหรือทบทวน ก็ย่อมปฏิเสธความรับผิดชอบไปไม่ได้

นี่กลายเป็นว่าเป็นความผิดของคุณประชาไปแต่เพียงผู้เดียว ก็แปลกที่คำวินิจฉัยออกมาพิลึกเช่นนี้ และผมอยากจะตั้งข้อสังเกตต่อไปด้วยตั้งแต่ โครงการยักษ์ 16 โครงการของ กทม. โครงการป้ายจราจรอัจฉริยะ มีแววว่าจะทำความผิดมีการทุจริตกันอย่างมโหฬาร แต่องค์กรตรวจสอบกลับมองข้ามไปฉิบ

หรือคนข้างหนึ่งทำอะไรก็ไม่ผิด

ถ้าเป็นเช่นนี้ก็แปลว่า ตาชั่งเอียง ความบริสุทธิ์ยุติธรรมถูกบิดเบือน สังคมไร้มาตรฐาน ลองคิดดูจะอยู่กันได้ไหม เมื่อที่พึ่งแห่งความยุติธรรมสูงสุดหมดความเชื่อถือซะแล้วอะไรจะเกิดขึ้น

ต่อไปบ้านเมืองก็ลุกเป็นไฟ

เช่นเดียวกับ กกต. ผมได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการวินิจฉัยการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง โดยเฉพาะการเลือกตั้งท้องถิ่นส.ก.-ส.ข. ที่พบว่ามีการกระทำผิดกฎหมายกันหลายเขต ที่มีคำสั่งให้เลือกตั้งใหม่แล้วก็หลายเขต

และที่จะเข้าสู่การพิจารณาของ ที่ประชุมใหญ่ กกต. ประมาณกลางเดือนนี้อีกประมาณ 10 กว่าเขต ผมอยากจะดักคอเอาไว้ก่อนว่า ต้องทำให้โปร่งใส และบริสุทธิ์ยุติธรรม

ไม่ใช่มีข้อยกเว้นส่วนตัว

บางรายมีการกระทำผิดชัดเจน มีพยานบุคคลและภาพถ่ายทนโท่ ขบวนการโกงเริ่มตั้งแต่การเก็บป้าย ทำลายป้าย ซื้อเสียง นับคะแนน บัตรดีบัตรเสียผมไม่ต้องจาระไนว่าพรรคไหนคุมกทม.อยู่ในเวลานี้

อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ ถ้าขบวนการตรวจสอบยังปล่อยปละ ละเลย ยังคิดจะช่วยอุ้มกันอยู่ ความโกลาหลจะเกิดขึ้น ทั้งที่บางรายบางเขตน่าจะได้ใบแดงด้วยซ้ำไป

ระวังจะเกิดกลียุค

http://www.thairath.co.th/news.php?section=society06&content=38522
บันทึกการเข้า
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #5 เมื่อ: 01-03-2007, 21:33 »

กังขา 'อภิรักษ์' เปิดแอลซีใหม่ซื้อรถดับเพลิงฉาว
เดลินิวส์ - 28 กพ 2550

ต่ออายุไม่หวั่นโดนค้าน
ด้านความคืบหน้า คตส.ชี้มูลความผิดฐานจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม. 5 ราย นายประเสริฐ บุญศรี ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบโครงการฯ คตส.กล่าวว่า ได้รับการ ทาบทามจาก นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. ให้ทำหน้าที่ประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนต่อ ส่วนตัวไม่ขัดข้องและไม่กลัวการคัดค้านจากผู้ถูกกล่าวหา ขณะนี้วางตัวทีมงานไว้แล้ว 7 คน ส่วนการทำหนังสือแจ้งหน่วยงานที่เสียหายร้องทุกข์กล่าวโทษก่อนตั้งอนุกรรมการไต่สวนนั้น เป็นหน้าที่ของ กทม.ผู้เสียหายโดยตรง แม้ที่ประชุมใหญ่ คตส.สรุปว่ากระทรวงมหาดไทยเสียหายก็ตาม คงให้ 2 หน่วยงานร้องทุกข์
 
นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้าจะเสนอให้ที่ประชุม คตส.เพื่อตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีการจัดซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิงของ กทม.ให้ นายประเสริฐ บุญศรี ประธานอนุกรรมการตรวจสอบคนเดิมทำงานต่อไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องนับหนึ่งใหม่

"เสี่ยโจ้" วอนเลิกโครงการ
 ที่รัฐสภาวันเดียวกัน นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงกรณี คตส.สรุปผลสอบสวนโครงการซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม.ว่ามีผู้กระทำผิด 5 ราย ล้วนเป็นอดีตนักการเมือง การลงนามซื้อขายโครงการนี้เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ประกาศข้อบัญญัติ กทม. และมติ ครม. มีการซื้อสินค้าราคาสูงเกินจริง สร้างความเสียหายประมาณ 1,900 ล้านบาท ขอเรียกร้อง กทม.และกระทรวงมหาดไทย ยกเลิกโครงการเพื่อหยุดความเสียหายต่อประเทศชาติ หากดำเนินการต่อไปจะทำให้รัฐเสียหายเพิ่มอีก 3,300 ล้านบาท จากการจ่ายภาษีศุลกากรและภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะนำเอกสารไปมอบให้เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เอกอัครราชทูตออสเตรียประจำประเทศไทยเพื่อตรวจ สอบกระบวนการทุจริตในครั้งนี้ เนื่องจากบริษัทคู่ค้าอยู่ใน 2 ประเทศดังกล่าว

กังขาอภิรักษ์ฝืนมติพรรค
 น.ต.ศิธา ทิวารี รักษาการโฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงการชี้มูลความผิดของ คตส.ว่า ก่อนหน้านี้ ดีเอสไอ สรุปมีผู้เกี่ยวข้องถึง 7 คน แต่ทำไมเหลือแค่ 5 คน ตรงนี้ต้องอธิบายให้ชัดเจน โดยเฉพาะ นายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย เคยทำหนังสือขอชี้แจงกับ คตส.หลายครั้งกลับถูกปฏิเสธและกรณี คตส. ระบุว่า นายอภิรักษ์ จำเป็นต้องเปิดแอลซีใหม่ เพราะสัญญาบังคับ ถามว่าก่อนเปิดแอลซี สัญญา ที่เป็นมติ ครม.กำหนดให้เปิดแอลซีภายใน 30 วัน แต่ นายอภิรักษ์ สั่งระงับและใช้เวลาตรวจสอบ 4 เดือน เท่ากับว่ามติ ครม.หมดอายุ ไม่เข้าใจว่าทำไมก่อนเปิดแอลซี นายอภิรักษ์ ไม่ส่งหนังสือขอให้ ครม.ทบทวนมติใหม่หรือสั่งยกเลิก ที่สำคัญมติพรรคประชาธิปัตย์ห้ามผู้ว่าฯ กทม.ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเปิดแอลซี สงสัยว่าทำไม นายอภิรักษ์ กล้าฝ่าฝืนมติพรรค เมื่อ คตส.ชี้มูลว่ามีความผิดแล้ว ก็ควรยกเลิกสัญญา หากคู่สัญญาคือออสเตรียไม่ยอมก็ไปต่อสู้ในชั้นศาล เท่าที่ทราบในปี 48 ผู้บริหาร กทม.บางคนบินไปสิงคโปร์รับเงิน 500 ล้านบาท และเงินไม่ได้อยู่กับ 5 คนที่ถูกกล่าวหา

สัญญาทุจริตเป็นโมฆะได้
 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค กรรมการ บริหารและประธานคณะกรรมการพิจารณากฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การจัดซื้อสินค้า วิธีการและราคาไว้ล่วงหน้าเพื่อเอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอกชน ทำให้จัดซื้อราคาสูงเกินจริง สร้างความเสียหายแก่รัฐ 1,900 ล้านบาท กรณีนี้เป็นไปตามที่ศาลฎีกาวางหลักไว้ในการพิจารณาคดีทางด่วนที่ทำสัญญาทุจริตมีผลเป็นโมฆะ เป็นผลให้ทุกอย่างกลับสู่สถานะเดิม รถดับเพลิงและเรือดับเพลิงก็เช่นกัน คตส.สรุปว่าทุจริตในการทำสัญญา จึงทำให้สัญญาระหว่าง กทม.กับบริษัทเป็นโมฆะ และกทม.ต้องไล่เบี้ยค่าเสียหายคืนด้วย สิ่งที่ ผู้ว่าฯ กทม.ต้องทำด่วนคือตั้งคณะกรรมการสอบสวนความเสียหายและเอาผิดตามกฎหมายทั้งแพ่งและอาญา ไม่เช่นนั้นจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ กทม.ควรไปตรวจสอบอัตราค่าโดยสารระหว่างรถไฟฟ้าบีทีเอสกับ กทม.ว่าถูกต้องและสุจริตหรือไม่ เพราะการแก้ไขสัญญาทำให้บริษัทขึ้นราคาค่าโดยสารได้ อาจทำให้ประชาชนเดือดร้อน

http://www.dailynews.co.th/dailynews/pages/front_th/popup_news/Default.aspx?Newsid=119187&NewsType=1&Template=2
บันทึกการเข้า
Dont cry for me:Thailand
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 74


« ตอบ #6 เมื่อ: 02-03-2007, 00:09 »

องค์กรเถื่อน มารหัวขน แบบนี้ ใครบ้าจี้ไปกับมันก็ เสียคนละครับ
หรือว่ามันเสียจนไม่มีอะไรจะเสียแล้วก็ไม่ทราบ

อยากรู้ว่า พวกที่เสนอหน้าอยู่ใน องค์กรเถื่อน นี้ มันจะดำรงชีวิตที่เหลือของพวกมันต่อไปได้อย่างไรกัน
บันทึกการเข้า
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #7 เมื่อ: 05-03-2007, 09:10 »

คดีกล้ายาง "อุดม" จี้ คตส. ชี้แจงชื่อบิ๊กซีพีหาย
เดลินิวส์ - 5 มีนาคม 2550

คดีทุจริตกล้ายาง90ล.ต้น งง!หลักฐานชัดหลุดได้ไง...ชื่อบิ๊กซีพี หลุดคดีกล้ายาง "อุดม เฟื่องฟุ้ง" ลั่นเป็นไปไม่ได้เตรียมจี้ถามที่ประชุม คตส.อังคารนี้ ด้านอดีตอนุฯตรวจสอบกล้ายาง บี้ คตส.ทบทวน ระบุไม่ชอบมาพากลแน่นอน เผยมีข้อมูลชัด ซีพีเอี่ยวฮั้วประมูล หวั่นสังคมกังขา คตส.ไม่เป็นธรรม ด้าน "พล.ต. จำลอง" ขอหารือกับเพื่อน สนช.กรณีต่ออายุ คตส. ส่วน ปชป.ยันไม่เคยครอบงำ ผู้ว่าฯ รวมทั้งผู้บริหาร กทม.ในการตัดสินใจ

การทำงานของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส.ยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างต่อเนื่อง ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 4 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ "เดลินิวส์" ได้นำเสนอบทความเรื่อง "คตส.หรือแค้นต้องสะสาง ความกังขารถดับเพลิงถึงกล้ายาง" โดยมีการระบุว่า นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคณะกรรมการ คตส. ได้มีหนังสือถึง ผอ.สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) ให้เข้าร้องทุกข์ต่อ คตส. เพื่อดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง 7 กลุ่ม โดยมีกลุ่มซีพีรวมอยู่ด้วย แต่ปรากฏว่าในคำสั่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนผู้เกี่ยวข้องกับคดีกล้ายาง พารา กลับไม่มีการระบุให้เอาผิดกับผู้บริหารซีพี โดยเฉพาะหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจในการดำเนินธุรกิจของนิติบุคคลนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายอุดม เฟื่องฟุ้ง กรรมการ คตส. ในฐานะอนุกรรมการไต่สวนการจัดซื้อพันธุ์กล้ายางพารา 90 ล้านต้น ของกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ไม่ทราบว่าเขาแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลที่เกี่ยวข้องครบหรือไม่ ส่วนตัวก็จำชื่อบุคคลที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาไม่ได้หมด เพราะมีการแจ้งข้อกล่าวหาบุคคลเป็นจำนวนมาก และข้อมูลทั้งหมดอยู่ที่นายบรรเจิด สิงคะเนติ กรรมการ คตส. ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการ และเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ทำหน้าที่เป็นเลขานุการของคณะอนุกรรมการไต่สวน

"ยืนยันได้ว่าไม่มีการขอมาว่าให้อนุกรรมการฯ ยกเว้นไม่แจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลที่เกี่ยวข้อง และเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีรายชื่อดังกล่าว เพราะกฎหมายกำหนดอยู่ โดยเฉพาะความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อรัฐ เมื่อกฎหมายบังคับก็ต้องแจ้งไป ที่สำคัญกฎหมายไม่รู้จักคน ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองอยู่ไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้ในการประชุม คตส.วันอังคารที่ 6 มี.ค. จะต้องมีการสอบถามกัน โดยเลขานุการอนุกรรมการฯ คงจะเป็นผู้ชี้แจง เพราะช่วงนี้นายบรรเจิด ติดภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ" นายอุดม กล่าว

ด้านนายดนัย อนันติโย อุปนายกฝ่ายกิจการพิเศษ สภาทนายความ ในฐานะอนุกรรมการตรวจสอบการจัดซื้อพันธุ์กล้ายางฯ กล่าวว่า ตนไม่ได้ร่วมเป็นอนุกรรมการไต่สวนด้วย และไม่ทราบเรื่องที่รายชื่อผู้บริหารซีพีหลุดหายไปในขั้นตอนการแจ้งข้อกล่าวหา แต่ในการทำงานชั้นตรวจสอบรวบรวมข้อมูลในเรื่องดังกล่าวยืนยันว่าการจัดซื้อพันธุ์กล้ายางมีมูลในการทุจริต และคณะอนุกรรมการตรวจสอบฯ ได้สรุปเสนอต่อที่ประชุม คตส.ไปแล้ว รวมถึงประเด็นเรื่องการฮั้วประมูลด้วย ซึ่งข้อหาในการฮั้วประมูลมี 3 บริษัทร่วมมือกัน ถ้ามีบริษัทไหนหลุดไปจะเข้าข่ายฮั้วได้อย่างไร

"ถ้ารายชื่อผู้บริหารซีพี หลุดไปจริงก็ถือว่าไม่ถูกต้อง คงจะเป็นเรื่องตลก ไม่ชอบมาพากล อาจจะเกิดจากความพลั้งเผลอ หรือจงใจก็ได้ แต่ถ้าไม่มีชื่อผู้บริหารซีพีอยู่ในกลุ่มผู้ถูกกล่าวหา ผมก็อยากจะขอให้ คตส.ทบทวนใหม่ และ คตส.ต้องออกมาชี้แจงถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน เพราะไม่อย่างนั้นสังคมจะเกิดความกังขาในการทำงานของ คตส." อดีตอนุกรรมการตรวจสอบการจัดซื้อพันธุ์กล้ายางพาราฯ กล่าว

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงความคืบหน้าการเสนอต่ออายุการทำงานของคณะกรรมการ คตส.ว่า เรื่องนี้คงต้องมีการหารือกันอีกครั้ง เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ หลังจากก่อนหน้านี้ได้รวบรวมรายชื่อ สนช.ได้กว่า 60 คนแล้ว อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่าไม่ได้มีการหารือกับ คตส. หรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) มาก่อน โดยเราคาดการณ์เอาเองว่า คตส. จะตรวจสอบเรื่องต่าง ๆ เสร็จไม่ทัน จึงอยากให้มีการยืดอายุทำต่อซึ่งเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะเห็นอย่างไร

ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ รองโฆษกพรรค กล่าวตอบโต้การที่ น.ต.ศิธา ทิวารี รักษาการโฆษกพรรคไทยรักไทย ระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้อนุญาตให้นาย อภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม. เปิดหนังสือรับรองทางการเงินสำหรับการนำเข้าหรือส่งออกสินค้า (แอล/ซี) ในการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม. ว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีอำนาจหน้าที่ ที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตเรื่องใด ๆ ในการบริหารกิจการ กทม. และพรรคไม่เคยเข้าไปบงการ หรือครอบงำการบริหารงานใด ๆ ของนายอภิรักษ์ และคณะผู้บริหารของ กทม. แต่บทบาทของพรรคที่ผ่านมา คือ การผลักดัน ตรวจสอบการดำเนินงานให้เป็นไปตามนโยบายที่ให้ไว้เป็นสัญญา ประชาคมในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง.

http://www.dailynews.co.th/dailynews/pages/front_th/popup_news/Default.aspx?Newsid=119767&NewsType=1&Template=1
บันทึกการเข้า
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #8 เมื่อ: 05-03-2007, 09:23 »

คตส. แค้นต้องสะสาง ความกังขารถดับเพลิงถึงกล้ายาง

เดลินิวส์ - 4 มีนาคม 2550
   
หากรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกกล่าวหาว่าเล่นพรรคเล่นพวก ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่ให้ความเป็นธรรม จนทำให้บ้านเมืองแตกแยก อันเป็นเหตุผลหนึ่งที่นำมาอ้างเพื่อทหารก่อรัฐประหารยึดอำนาจ
 
ก็ต้องมีคำถามขึ้นมาอีกคำถามหนึ่งว่า แล้ว คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ที่คณะรัฐประหารตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่สอบสวนผู้กระทำผิด ได้ทำหน้าที่ให้ความเป็นธรรม ไม่เล่นพรรคเล่นพวกอันจะเป็นเหตุทำให้เกิดความแตกแยกหรือไม่
 
เมื่อบุคคลใน คตส. สมัครใจมาทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบ ก็ต้องยอมรับกติกาประการหนึ่งว่า คตส. ก็จะต้องถูกคนในสังคมตรวจสอบไปพร้อมกันด้วย
 
เพราะไม่ต้องการให้ใครต่อใครนำไปพูดเสียดสีว่า คตส. ย่อมาจาก “แค้นต้องสะสาง”
 
เรื่องราวที่ คตส. สร้างความกังขาให้กับผู้คนอยู่ในขณะนี้ก็คือ การชี้มูลคดีการจัดซื้อรถดับเพลิง กทม. จากบริษัทสไตเออร์ ประเทศออสเตรีย โดยมติให้ไต่สวนดำเนินคดีกับ 5 คน คือ 1.นายโภคิน พลกุล 2.นายประชา มาลีนนท์ 3.นายสมศักดิ์ คุณเงิน 4.นายสมัคร สุนทรเวช 5.พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ แต่กลับไม่มีชื่อของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม.คนปัจจุบัน
 
ถ้านำข้อเท็จจริงมาเรียงลำดับก็จะทำให้ผู้คนมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของ คตส. ได้กระจ่างขึ้น
 
1. สัญญาข้อ 9.1 ระบุว่า “ข้อตกลงนี้จะมีผลใช้บังคับเมื่อผู้ซื้อได้เปิดแอลซี และผู้ขายได้ตอบรับแอลซี ดังกล่าวแล้ว” นั่นหมายความว่า การเซ็นสัญญาโดยนายสมัคร สุนทรเวช จะไม่เกิดผลใด ๆ ถ้านายอภิรักษ์ ไม่เปิดแอลซี และ กทม. ก็ไม่ต้องซื้อรถดับเพลิงที่แพงกว่าความเป็นจริง 1,900 ล้านบาท
 
นายสมัคร สุนทรเวช มอบอำนาจให้ พล.ต.ต.อธิลักษณ์ ไปเปิดแอลซี ในวันที่ 30 ส.ค. 2547 ต่อมาเมื่อนายอภิรักษ์ เข้ามาเป็นผู้ว่าฯ กทม. ก็ได้สั่งยกเลิกแอลซี ในวันที่ 27 ก.ย. 2547 ทำให้สัญญาไม่มีผลบังคับ เพราะบริษัทสไตเออร์ ผู้ขายยังไม่ได้ตอบรับ
 
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2548 นายอภิรักษ์ ได้มีหนังสือถึงธนาคารกรุงไทย ขอให้เปิดแอลซี ในประเด็นนี้ คตส. แก้ต่างแทนนายอภิรักษ์ว่า ถูกกระทรวงมหาดไทยสั่งจึงต้องทำตาม แต่นายอภิรักษ์ สามารถปฏิเสธคำสั่งดังกล่าวได้หากเห็นว่าเป็นเรื่องทุจริต
 
นอกจากนี้ยังสามารถนำข้อตกลงความเข้าใจที่มีการลงนามระหว่าง รมว.มหาดไทยกับทูตออสเตรีย ซึ่งในข้อ 4 ระบุว่า ภายหลังเซ็นสัญญารัฐบาลไทยจะต้องเปิดแอลซี ภายใน 30 วัน และนายสมัครได้สั่งเปิดแอลซีแล้วแต่นายอภิรักษ์ ได้สั่งยกเลิกภายหลัง ซึ่งเท่ากับว่า ไม่ได้มีการเปิดแอลซี จากนั้นก็ทิ้งช่วงมาประมาณ 5 เดือนซึ่งเกินระยะ 30 วัน สามารถบอกเลิกสัญญาได้ ทำไมไม่ดำเนินการ ในทางตรงกันข้ามกลับไปเปิดแอลซีอีกครั้ง
 
3. คตส. มีเอกสารหลักฐานที่เป็นการสั่งเปิดแอลซี ของนายอภิรักษ์ ลงนามวันที่ 10 ม.ค. 2548 ซึ่งระบุให้ส่งสินค้ามาจากยุโรปเท่านั้น แต่ไม่ทราบมีอะไรเป็นแรงบันดาลใจทำให้นายอภิรักษ์ต้องทำหนังสือถึงธนาคารกรุงไทย ลงวันที่ 20 ม.ค. 2548 ขอแก้ไขแอลซี โดยเพิ่มคำว่า ให้ส่งสินค้าจากท่าเรือประเทศไทยได้
 
คตส. ก็เป็นคนไทย น่าจะมีความรู้สึกคล้าย ๆ คนไทยที่กำลังรู้สึกว่าโง่ เพราะเป็นผู้เสียภาษีไปซื้อรถดับเพลิงจากยุโรปในราคาแพง แต่กลับได้รถดับเพลิงที่ผลิตในประเทศไทย คตส. ไม่คิดจะสอบถามนายอภิรักษ์บ้างเลยหรือว่า มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจถึงต้องไปแก้ไขแอลซี ให้บริษัทสไตเออร์สามารถส่งสินค้าจากประเทศไทยไปยังประเทศไทย หรือซื้อสินค้าไทยมาขายคนไทยในราคาของยุโรป
 
นายอภิรักษ์ ได้ให้สัมภาษณ์ปฏิเสธว่า ไม่ได้สั่งแก้แอลซี แต่หลักฐานที่เป็นเอกสารขอแก้ไขแอลซี “Application for Amend ment to Letter of Credit” เลขที่ AL551005 ลงวันที่ 20 ม.ค. 2548 ส่งถึงธนาคารกรุงไทย มีลายเซ็นของนายอภิรักษ์ ปรากฏอยู่
 
นายอภิรักษ์ ต้องอธิบายมาว่า ลายเซ็นไปปรากฏในเอกสารขอแก้ไขแอลซี ได้อย่างไร เมื่อตัวเองบอกว่า ไม่เคยขอแก้ไขแอลซี
 
หากนายอภิรักษ์ เห็นมาตั้งแต่ต้นว่า การจัดซื้อรถดับเพลิง ไม่ชอบมาพากล แต่ถูกกระทรวงมหาดไทยบังคับเปิดแอลซี และนายอภิรักษ์ก็ได้ระบุให้ส่งสินค้าจากยุโรป หากในวันนี้ กทม. ได้รับมอบรถดับเพลิงที่ทำจากรถยุโรป ก็คงไม่เป็นคดีอื้อฉาวในทุกวันนี้
 
ก็น่าแปลกใจ คตส. เรียกนายอภิรักษ์ ไปชี้แจงอยู่คนเดียว 10 ชั่วโมง แต่กลับไม่สงสัยในประเด็นเหล่านี้
 
เพราะอย่างน้อยก็น่าจะถามว่า อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้นายอภิรักษ์ไปแก้แอลซี จนบริษัทสไตเออร์ สามารถซื้อสินค้าไทยมาขายคนไทยในราคาแพง
 
นอกจากเรื่องรถดับเพลิงแล้ว คตส.ยังสร้างความกังขาอีก 1 คดี นั่นคือ การชี้มูลคดีกล้ายางพารา
 
เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2550 นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส.ได้มีหนังสือเลขที่ ตผ.(คตส.) 04/144 ถึง ผอ.สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) ว่า คตส. ได้มีมติให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องเรื่องกล้ายางทั้งหมด 7 กลุ่ม อันได้แก่ 1.กลุ่มกระทรวงเกษตรฯ 2.กลุ่มคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเข้า ครม. 3.กลุ่ม ครม.ที่อนุมัติโครงการ 4.กลุ่มคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) 5.กลุ่มคณะกรรมการบริหารโครงการปลูกสวนยางเพื่อยกระดับรายได้และความมั่นคงให้เกษตรกร 6.กลุ่มคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา และ 7.กลุ่มซีพี
 
ทาง สกย. เมื่อได้รับหนังสือแจ้งจาก คตส. แล้ว ก็รีบไปประชุมคณะกรรมการ และมีมติให้นายนพดล สวนประเสริฐ ผอ.สกย.เป็นผู้ไปยื่นคำร้องทุกข์กล่าวโทษบุคคลทั้ง 7 กลุ่ม
 
ปรากฏว่าได้เกิดเรื่องประหลาดพิสดารขึ้นอีกครั้ง เพราะว่า หนังสือที่นายนาม ยิ้มแย้ม แจ้งต่อ สกย.ให้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษนั้น ระบุชื่อบุคคลที่ต้องถูกดำเนินคดีในกลุ่มที่ 7 ว่า “บริษัทเจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธุ์ บริษัทรีสอร์ทแลนด์ บริษัทเอกเจริญการเกษตร นายสกล บุญชูดวง นายสำราญ ชัยชนะ และนายสัญญา (ญาณกร) สิงห์ชุม ฐานตกลงร่วมกันเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมตามมาตรา 4 และการกระทำผิดดังกล่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคล ให้ถือว่า หุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการดำเนินธุรกิจของนิติบุคคลนั้น หรือผู้ซึ่งต้องรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลในเรื่องนั้น เป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดด้วยตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อรัฐ พ.ศ. 2542 และการที่เอกชนได้ร่วมกันกระทำการซึ่งมีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อรัฐฯ ถือได้ว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานให้กระทำความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86”
 
หัวใจสำคัญของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ว่า นายนามให้ สกย.ร้องทุกข์กล่าวโทษผู้บริหารซีพีด้วย แล้ว สกย. ก็ปฏิบัติตามคำสั่งของนายนามทุกประการ แต่ปรากฏว่า คำสั่ง คตส. ที่ 005/2550 ลงนามโดยนายนาม ยิ้มแย้ม ให้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนผู้ที่เกี่ยวพันกับคดีกล้ายางพาราทั้ง 7 กลุ่ม กลับไม่มีการระบุให้เอาผิดกับผู้บริหารซีพี โดยเฉพาะ หุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจในการดำเนินธุรกิจของนิติบุคคลนั้น
 
จึงต้องถาม คตส.ดัง ๆ ว่า อะไรเป็นแรงบันดาลใจทำให้ คตส. ละเว้นไม่มีคำสั่งให้ไต่สวนเอาผิดผู้บริหารซีพีทั้ง ๆ ที่เคยเป็นผู้กำหนดรายชื่อทั้ง 7 กลุ่ม เพื่อให้ สกย.มาร้องทุกข์กล่าวโทษ
 
อย่ามาอ้างว่า พิมพ์ตก เหมือนดั่งที่ นายอภิรักษ์ อ้างสำหรับการขอแก้ไขแอลซี
 
หาก คตส. ไม่ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ก็จะทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม ผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมก็จะเกิดความคับแค้น และหาทางล้างแค้นไม่มีที่สิ้นสุด แล้วบ้านเมืองจะมีสันติสุขได้อย่างไร
 
ท้ายสุดหนีไม่พ้น คมช.ซึ่งเป็นผู้ตั้ง คตส. นั่นแหละจะต้องรับผิดชอบในฐานะเจ้าภาพใหญ่

http://www.dailynews.co.th/dailynews/pages/front_th/popup_news/Default.aspx?Newsid=119738&NewsType=1&Template=2
บันทึกการเข้า
snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #9 เมื่อ: 05-03-2007, 10:43 »

ตกลงว่า ที่ คตส. ทำงานชักช้าน่าเบื่อนี้
มิใช่ด้วย หาหลักฐานการทำผิดไม่ได้
แต่หาเฉพาะที่ผิด “คนเดียว/คณะเดียว”
ที่เป็นเป้าหมาย ไม่ได้
ต้องมาหาทางกันบางคนบางพวกออก
หรืออย่างไร ???

 
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
irq5
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,149



« ตอบ #10 เมื่อ: 05-03-2007, 10:48 »

 

เดี๋ยวนี้ คุณ กาลมะชน อ้างสื่อเยอะเกินเหรอป่าว
 
บันทึกการเข้า

.:MMMMMMMMMMMMMMMMMMMMMddMMMs..
.:MMMMMMMMMMMMMMMMMMMMMssMMMMs..
.:Mddddddddddddddddddddddddddo+ddddNs..
.:M................................................hs..
.:M.............//:................//:.............hs..
.:M...........:MMs.............NMd............hs..
.:M................................................hs..
.:M................................................hs..
.:M.............yNNNNNNNNNN................hs..
.:M.................................................hs..
.:dyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyyho..

....W..W::W:...AAA...NN...N...TTTTT..EEEEE...DDD..........
.....Ww.wW...AAAA..N..N..N......T.....EEE......D....D.......
.....-W...W...A......A N....NN......T.....EEEEE...DDD..........
. . . . . . . . . . . . thaksin shinawatra
katindork
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 369


« ตอบ #11 เมื่อ: 05-03-2007, 11:23 »

1.  คตส.ตั้งขึ้นมามีภาระกิจ ชัดเจน ในการตรวจสอบ โครงการทุจริตในยุครัฐบาลทักษิน
 เมื่อภาระกิจยังไม่ลุล่วง  การต่ออายุไม่เป็นเรื่องที่น่าอับอาย  อย่ากล่าวพล่อยๆคลุมเครือ 
หากภาระกิจเสร็จแล้วต่ออายุ ว่าไปอย่าง

 Neutral Neutral Neutral Neutral Neutral
2.  การขาดการกล่าวหานายอภิรักษ์   ในเรื่องเปิดแอลซี  เป็นเรื่องที่จะเบี่ยงเบนความผิดของผู้เซ็นต์สัญญากับนายเหนื่อที่มหาดไทยยุคทักษิณบีบมา  เป็นเรื่องเดิมๆที่มีการอธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีก 
แต่ไม่วายเอามาสร้างกระแส 
ทำไมนายสมัคร  นายโภคิน  ไม่ใจกล้าพอที่จะร้องเรียนเรื่องนี้  ต้องมาปล่อยให้สื่อมวลชนลิ่วล้อมาร้องแทน  เรื่องตัวเองทั้งนั้น

 Neutral Neutral Neutral Neutral Neutral
3.การตัดแปะ ทำไมเอามาแปะด้านเดียว  ไม่เอาของสื่อที่ตรงกันข้าม กับ ไทลัด เดลินิวบ้าง 
อย่างนี้จะเรียกหาความโปร่งใสยังไง

 Neutral Neutral Neutral Neutral Neutral
4. การเข้ามาเสริมความคิดตัดแปะ ด้วยวาทะที่มีเป้าหมายเคลือบแคลงประหนึ่งลูกคู่  ว่าทำงานช้าเพราะหาทางออกให้คนบางคนนี่ 


น่าจะชั่งใจบ้างว่า เรื่องเลวที่ช่วยกันก่อมา5ปีหลายเรื่อง
กับการตรวจสอบ เพียง 4-5 เดือน

เวลามันมากเกินไปหรือไง 
บันทึกการเข้า
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #12 เมื่อ: 05-03-2007, 13:26 »

ตั้งอนุฯไต่สวนรถดับเพลิง "ประเสริฐ"ตั้งเงื่อนไขนั่งต่อ

 คตส.ใหญ่เตรียมตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนทุจริตในโครงการจัดซื้อรถดับเพลิงฯ กทม.วันนี้ สะพัด "ประเสริฐ" ประธานอนุกรรมการตรวจสอบ ตั้งเงื่อนไขหากทาบทามนั่งประธานไต่สวนต่อต้องไม่มีชื่อฝ่ายต้าน ด้านปชป.ส่ง "อภิชาติ" ชี้แจงแทน "อภิรักษ์" ยันไม่เกี่ยวทุจริต จวกอดีตโฆษกทรท.จ้องสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นระหว่างผู้บริหาร กทม.กับ ปชป.
ความคืบหน้าในการดำเนินการต่อโครงการจัดซื้อรถดับเพลิง เรือดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย มูลค่า 6,687 ล้านบาท ของ กทม. หลังจากที่คณะอนุกรรมการตรวจสอบโครงการจัดซื้อรถดับเพลิงฯ ซึ่งมีนายประเสริฐ นามบุญศรี เป็นประธานชี้มูลความผิดผู้ที่เกี่ยวข้อง 5 ราย ล่าสุดคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส.เตรียมแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนโครงการจัดซื้อรถดับเพลิงฯ ในการประชุม คตส.วันอังคารที่ 6 มีนาคมนี้

ทั้งนี้ ได้มีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ว่า คาดว่าจะมีการแต่งตั้งนายประเสริฐเข้าไปเป็นประธานคณะทำงานไต่สวน โดยอ้างว่าเพื่อให้การทำงานต่อเนื่องนั้น ล่าสุดมีรายงานว่านายประเสริฐมีเงื่อนไขว่า หากนายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคณะกรรมการ คตส.จะแต่งตั้งให้เขาเป็นประธานคณะทำงานชุดไต่สวนอีก จะต้องไม่มีรายชื่ออนุกรรมการรายที่เห็นแตกต่างจากการสรุปสำนวนในชั้นตรวจสอบของเขา ซึ่งได้ชี้มูลผู้ที่เกี่ยวข้อง 5 ราย เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้มีปัญหาในการทำงาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการสรุปสำนวนของอนุกรรมการตรวจสอบโครงการรถดับเพลิงฯ ก่อนที่จะเสนอให้ คตส.ชุดใหญ่ พิจารณาชี้มูลความผิดผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้มีอนุกรรมการบางส่วนมีความเห็นที่แตกต่างในการสรุปสำนวน โดยเห็นแย้งกับนายประเสริฐที่สรุปความผิดผู้ที่เกี่ยวข้องเพียง 5 ราย แตกต่างกับสำนวนการสอบสวนของดีเอสไอ ที่เสนอต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ชี้มูลความผิดผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ 7 ราย

ส่วนความเคลื่อนไหว หลังจากที่นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม.และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาระบุว่าเขาจะออกแถลงการณ์เพื่อชี้แจงรายละเอียดกรณีที่โครงการจัดซื้อรถดับเพลิงฯ ถูก คตส.ชี้มูลทุจริต เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนนั้น ล่าสุด อภิชาต ศักดิเศรษฐ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดแถลงข่าวในเรื่องนี้ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวอย่างละเอียด พร้อมทั้งยืนยันว่าการทำหน้าที่ของนายอภิรักษ์ ในฐานะผู้ว่าฯ กทม. ที่เปิด Letter of Credit (L/C) หรือหนังสือรับรองทางการเงินสำหรับการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าตามสัญญา ทุกอย่างอยู่ในกรอบของกฎหมาย

ทั้งนี้ นายอภิชาตได้ตอบโต้ น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตโฆษกพรรคไทยรักไทย ที่ท้าทายให้นายอภิรักษ์ชี้แจงว่าพรรคประชาธิปัตย์อนุญาตให้เปิด L/C โครงการดังกล่าวหรือไม่ว่า เป็นความพยายามที่จะบ่อนเซาะให้เกิดความแตกแยกระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับผู้บริหาร กทม. ขอชี้แจงว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีอำนาจหน้าที่ไปอนุญาต หรือไม่อนุญาตเรื่องใดๆ ในการบริหารกิจการของ กทม. พรรคไม่เคยเข้าไปบงการ หรือครอบงำการบริหารงานใดๆ ของนายอภิรักษ์ และคณะผู้บริหารของ กทม. บทบาทของพรรคที่ผ่านมาคือการผลักดัน ตรวจสอบการดำเนินงานให้เป็นไปตามนโยบายที่ให้ไว้เป็นสัญญาประชาคมในการหาเสียงเลือกตั้ง

ส่วนการที่ น.ต.ศิธาจะออกมาเปิดเผยเรื่องการแก้ไข L/C นั้น เป็นสิทธิของ น.ต.ศิธา ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ไม่มีอะไรปิดบังซ่อนเร้น อีกทั้งมีผู้เกี่ยวข้องชี้แจงเป็นที่กระจ่างชัดหลายครั้งหลายหนแล้ว ทั้งในส่วนของผู้บริหาร กทม.และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

"กรณีการจัดซื้อรถดับเพลิงฯ มีรายละเอียดความเป็นมาที่สามารถตรวจสอบข้อมูลหลักฐานได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ใครทำอะไรไว้อย่างไร ไม่สามารถจะปกปิดหรือบิดเบือนได้ แต่กลับมีความพยายามที่จะโยนบาปใส่นายอภิรักษ์มาตลอดเวลากว่า 1 ปี วันนี้เมื่อมีการตรวจสอบการทุจริตโดยคตส. ทำให้กลุ่มผู้ถูกชี้มูลความผิดเดือดร้อนกันมาก พยายามโจมตีใส่ร้าย คตส.อย่างเป็นกระบวนการ พร้อมกับการโหมประโคมข้อมูลด้านเดียวผ่านสื่อบางแขนง ใส่ร้ายนายอภิรักษ์เป็นระลอกๆ เพื่อหวังจะปัดความผิดที่ร่วมกันก่อขึ้นมาพ้นจากตัวเองให้ได้ เรื่องนี้จึงอยากให้สังคมช่วยกันตรวจสอบและติดตามด้วยใจเป็นธรรม" รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

สำหรับข้อสงสัย กรณีการเปิด L/C ของนายอภิรักษ์ เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2548 นั้น หากผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ ได้ศึกษาความเป็นมาของเรื่องให้ละเอียด โดยปราศจากอคติและวาระซ่อนเร้นแล้ว จะเห็นว่าการเปิด L/C เป็นขั้นตอนที่กำหนดไว้ในสัญญาระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลออสเตรีย หรือ AOU ที่นายโภคิน พลกุล รมว.มหาดไทย ลงนามเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2547 และข้อตกลงซื้อขายที่นายสมัคร สุนทรเวช ผู้ว่าฯกทม.ขณะนั้น ลงนามตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2547 ซึ่งการดำเนินการเปิด L/C ไม่ได้ทำให้ข้อตกลงเรื่องราคาสินค้า เรื่องตัวบริษัทผู้ขาย รวมทั้งภาษีอากรที่กำหนดไว้ในข้อตกลงมาแต่เดิมนั้น เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด

นายอภิชาตกล่าวต่อว่า ก่อนที่นายอภิรักษ์จะเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2547 นายสมัคร ผู้ว่าฯ กทม.คนก่อน ได้มีหนังสือลงวันที่ 31 สิงหาคม 2547 แจ้งธนาคารกรุงไทยขอดำเนินการเปิด L/C มาแล้ว  แต่เมื่อนายอภิรักษ์เข้ารับตำแหน่ง ได้ชะลอการเปิด L/C ไปก่อน พร้อมกับดำเนินการให้มีการทบทวน โดยมีหนังสือไปที่กระทรวงมหาดไทย 2 ครั้ง และกระทรวงพาณิชย์ 1 ครั้ง ขอให้มีการตรวจสอบเรื่องการทำสัญญาการค้าต่างตอบแทน ขอให้มีการเปรียบเทียบราคา และขอให้ทบทวน เนื่องมาจากมีการร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  แต่ได้รับคำยืนยันจากทั้ง 2 กระทรวงว่าได้มีการดำเนินการโครงการอย่างถูกต้องแล้ว

ย้ำรมต.ไทยรักไทยสั่งเร่ง L/C

โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ซึ่งรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยฯ เป็นคนของพรรคไทยรักไทย มีหนังสือถึง กทม. 4 ฉบับ ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2547 วันที่ 7 ตุลาคม 2547 วันที่ 5 พฤศจิกายน 2547 และ 16 ธันวาคม 2547 เร่งรัดให้ กทม.ต้องรีบดำเนินการเปิด L/C โดยเฉพาะในหนังสือลงวันที่ 16 ธันวาคม 2547 ได้ระบุชัดเจนว่า การที่ กทม.ยังไม่เปิด L/C นั้น กระทรวงมหาดไทยซึ่งต้องรับผิดชอบการดำเนินการในโครงการนี้ เห็นว่าอาจเป็นมูลเหตุให้ความสัมพันธ์อันดีของ 2 ประเทศต้องกระทบกระเทือน กระทรวงมหาดไทยพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้สัมพันธภาพระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลออสเตรียเป็นไปด้วยดี และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน กทม.ต้องดำเนินการตามเงื่อนไขในเอโอยู คือการเปิด L/C โดยทันที

“นอกจากจะถูกเร่งรัดโดยกระทรวงมหาดไทยแล้ว ยังมีทูตพาณิชย์ของสถานทูตออสเตรียประจำประเทศไทย และบริษัทสไตเออร์ ได้มีหนังสือหลายครั้ง เร่งรัดให้ กทม.ต้องรีบเปิด L/C เช่นกัน โดยเฉพาะหนังสือของบริษัทสไตเออร์ ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2547 ระบุว่า หากมีค่าเสียหายใด กทม.จะต้องรับผิดชอบ” นายอภิชาตกล่าวและว่า  อย่างไรก็ตาม ก่อนที่นายอภิรักษ์จะเปิด L/C ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเจรจาต่อรอง จนบริษัทสไตเออร์ได้ยินยอมเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ราชการ ทั้งเรื่องอะไหล่ การฝึกอบรม การประกันความเสียหาย เป็นต้น คิดเป็นมูลค่ากว่า 250 ล้านบาท

ส่วนกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่านายอภิรักษ์ ได้พยายามเปิด L/C หลายครั้งหลายหนนั้น ขอเรียนว่า L/C ตามสัญญานี้ เป็นชนิดเพิกถอนไม่ได้ จึงเปิดได้เพียงครั้งเดียว แต่การเปิด L/C ซึ่งก็คือการขอทำธุรกรรมทางการเงิน คล้ายกับการขอสินเชื่อต่อธนาคาร มีกระบวนการหลายขั้นตอน ตั้งแต่การทำหนังสือขอ ต้องนำเข้าคณะกรรมการของธนาคารเพื่อพิจารณาอนุมัติ รวมทั้งการยืนยันเรื่องวงเงิน เป็นต้น ปรากฏว่าระหว่างขั้นตอน มีข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้น ทำให้นายอภิรักษ์ต้องแจ้งธนาคารกรุงไทย ขอชะลอบางขั้นตอนเพื่อตรวจสอบความชัดเจน  แต่ทุกครั้งจะมีหนังสือจากกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดมา ทำให้ในที่สุดนายอภิรักษ์ต้องมีหนังสือขอให้ธนาคารกรุงไทยทำตามขั้นตอนต่อไป

ระบุกรุงไทยแจ้งให้แก้ข้อความ L/C

นายอภิชาตยังชี้แจงถึงการแก้ไขข้อความใน L/C ของนายอภิรักษ์ เพื่อให้ผู้ขายคือ บริษัทสไตเออร์ สามารถส่งเรือดับเพลิงจากในประเทศไทยได้นั้นว่า ข้อความที่กล่าวอ้างคือข้อความว่า “...ผู้ขายสามารถส่งของจากท่าเรือ หรือท่าอากาศยานในยุโรป และหรือสถานที่ใดในประเทศไทย...” ซึ่งได้ระบุไว้ในภาคผนวก 3.4 ของข้อตกลงซื้อขายฉบับลงวันที่ 27 สิงหาคม 2547 อยู่แล้ว  แต่ในการเปิด L/C เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2548 ข้อความคำว่า “และหรือสถานที่ใดในประเทศไทย” ตกหล่นไป  ทางผู้ขายได้แจ้งมาที่ธนาคารกรุงไทย ขอให้ดำเนินการแก้ไข และธนาคารกรุงไทยแจ้ง กทม.จึงต้องดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องตรงตามข้อสัญญาดังกล่าว

ยันไม่ได้จงใจเอื้อสไตเออร์

โดยการแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวมีขึ้นในวันที่ 20 มกราคม 2548 ห่างจากหนังสือเปิด L/C ครั้งแรกเพียง 10 วัน ซึ่งไม่ได้เป็นการจงใจเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทผู้ผลิตตามที่มีการกล่าวหาแต่อย่างใด และหลังจากมีการเปิด L/C แล้ว กทม.โดยนายอภิรักษ์ ก็ได้ใช้ความพยายามในการตรวจสอบความถูกต้องของขั้นตอน รายละเอียดต่างๆ ของสัญญาเรื่อยมา การดำเนินงานของนายอภิรักษ์ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสุจริต ภายใต้กรอบกฎหมายอย่างเคร่งครัด อีกทั้งเมื่อจะต้องพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน, ดีเอสไอ, ป.ป.ช., อัยการสูงสุด รวมทั้ง คตส. นายอภิรักษ์ ก็ได้ให้ความร่วมมืออย่างไม่มีเงื่อนไข ขณะเดียวกันก็ได้พยายามดำเนินการทุกวิถีทางที่จะหาทางออก เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนอย่างดีที่สุด

 
http://www.bangkokbiznews.com/2007/03/05/news_22958790.php?news_id=22958790



ผมนำรายงานข่าวนี้จากกรุงเทพธุรกิจมาให้'สาธุชน' ได้อ่านและพิจารณาเอาเอง

ส่วนคุณ'กาลามชน' จะประพฤติผิดปกติ เข้ามาอ่านซ้ำ หรือ จะเข้ามาตั้งกระทู้เรียบร้อยโรงเรียน'เหลี่ยม ลี สิงกะโปโตก'  แล้วจะไปตั้งกระทู้ใหม่ ก็ตามเถอะ....


บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #13 เมื่อ: 05-03-2007, 13:53 »

จำเลยของใครนะ 

เดี๊ยวหลายๆ อย่างก็จะเป็นจำเลย มาอีกเรื่อยๆ ถ้าไปแตะต้องพี่เหลี่ยม

สำหรับคนรักเหลี่ยม กำลังหาจำเลยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นศาล ตำรวจ ทหาร นายก รัฐมนตรี ประชาชน สื่อ ฯลฯ

เดี๊ยวมีอีกเยอะ 
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
55555
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,263



« ตอบ #14 เมื่อ: 05-03-2007, 19:29 »

นอกจากข่าวที่ตัดมาให้อ่านแล้ว ผมอยากอ่านความเห็นของคุณ กาลามชน อีกด้วย ต่างหาก เพราะข่าวที่เอามาผมเคยอ่านแล้วครับ.....ส่วนเรื่อง คตส. ผมเคยฟัง นายสัก กอแสงเรือง ออกมาให้สัมภาษณ์แล้ว ว่าไม่เห็นด้วยที่ต่ออายุ.......
บันทึกการเข้า
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #15 เมื่อ: 05-03-2007, 22:10 »

นอกจากข่าวที่ตัดมาให้อ่านแล้ว ผมอยากอ่านความเห็นของคุณ กาลามชน อีกด้วย ต่างหาก เพราะข่าวที่เอามาผมเคยอ่านแล้วครับ.....ส่วนเรื่อง คตส. ผมเคยฟัง นายสัก กอแสงเรือง ออกมาให้สัมภาษณ์แล้ว ว่าไม่เห็นด้วยที่ต่ออายุ.......


นอกจากคุณสัก กอแสงเรืองแล้ว คุณกล้านรงค์ จันทิก ก็ให้สัมภาษณ์ว่าไม่เห็นด้วยเหมือนกัน......

เรื่องนี้น่าจะสันนิฐานว่าคุณ'กาลามชน'อ่านข่าว ฟังข่าวจากแหล่งข่าวคนละแหล่งกับคุณ 55555 และ ปุถุชน...........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
RiDKuN
Administrator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,015



เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 05-03-2007, 22:19 »

อ่านแล้วอึ้งครับ
ถ้าทักษิณตอบข้อสงสัยได้เป็นฉากๆ แบบนี้ เป็นนายกฯ ได้สิบปียังน้อยไปเลยครับ 
แต่น่าเสียดาย...
บันทึกการเข้า

คนไม่มี "อุดมคติ" ไม่ใช่ "นักการเมือง"
snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #17 เมื่อ: 06-03-2007, 20:32 »

ขอบคุณ คุณ ปุถุชน ที่กรุณานำข้อมูลอีกด้านมาชี้แจง
หาไม่คงจะพลาดไป เพราะเลิกอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนี้
ตั้งแต่ที่ลงข่าวฟันธงเรื่องระเบิดวันส่งท้ายปีเก่า
หลังเกิดเหตุได้ไม่กี่ชม.
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #18 เมื่อ: 06-03-2007, 22:29 »

อ่านจบแล้ว .. ผมช่วยสรุป Time Line ให้แล้วกันนะครับ จะได้เห็นภาพง่ายๆ หน่อย

---------------------------------------------------------------------------------------------------

30 กค 47 - นายโภคิน พลกุล รมว.มหาดไทย ลงนามใน AOU ร่วมกับ ทูตออสเตรีย
                   กำหนดให้เปิด L/C ภายใน 30 วัน
27 สค 47 - นายสมัคร สุทรเวช ผู้ว่าฯ กทม. ลงนามข้อตกลงซื้อขายกับ บ.สไตเออร์
31 สค 47 - นายสมัคร ผู้ว่าฯ กทม. มีหนังสือ กท.1800/4322  ขอเปิด L/C กับ ธ.กรุงไทย

06 กย 47 - นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน เข้ารับตำแหน่ง ผู้ว่าฯ กทม.
27 กย 47 - นายอภิรักษ์ สั่งชะลอการเปิด L/C ที่ลงนามโดยนายสมัคร สุทรเวช

กทม. มีหนังสือถึง กระทรวงมหาดไทย 2 ครั้ง และกระทรวงพาณิชย์ 1 ครั้ง ขอให้มีการ
ตรวจสอบสัญญา และให้มีการเปรียบเทียบราคา เนื่องจากมีการร้องเรียน ปปช.

01 ตค 47 - กระทรวงมหาดไทย มีหนังสือถึง กทม. เร่งรัดให้เปิด L/C
07 ตค 47 - กระทรวงมหาดไทย มีหนังสือถึง กทม. เร่งรัดให้เปิด L/C ครั้งที่ 2
18 ตค 47 - บ.สไตเออร์ มีหนังสือถึง กทม. ระบุว่าหากเกิดค่าเสียหาย กทม. ต้องรับผิดชอบ

กทม. แต่งตั้งคณะกรรมการเจรจาต่อรองกับ บ.สไตเออร์ ทำให้ กทม. ได้ผลประโยชน์เพิ่มเติม
ในเรื่องอะไหล่ การฝึกอบรม การประกันความเสียหาย คิดเป็นมูลค่ากว่า 250 ล้านบาท

05 พย 47 - กระทรวงมหาดไทย มีหนังสือถึง กทม. เร่งรัดให้เปิด L/C ครั้งที่ 3
16 ธค 47 - กระทรวงมหาดไทย มีหนังสือถึง กทม. เป็นครั้งที่ 4 โดยระบุว่าการที่ กทม.
                  ไม่เปิด L/C อาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ขอให้เปิด L/C โดยทันที

10 มค 48 - นายอภิรักษ์ มีหนังสือ กท 0200/77 ยืนยันให้ ธ.กรุงไทย เปิด L/C
20 มค 48 - กทม. ดำเนินการแก้ไขข้อความใน L/C ให้ครบถ้วนตรงตามสัญญาซื้อขาย


---------------------------------------------------------------------------------------------------

- กรณีกล่าวหาว่า นายอภิรักษ์ เปิด L/C ใหม่

  ความจริง L/C ในสัญญานี้เป็นแบบเพิกถอนไม่ได้ จึงเปิดได้เพียงครั้งเดียว
  แต่การเปิด L/C ใบเดียวกันนี้มีหลายขั้นตอน ซึ่งนายอภิรักษ์ได้ดำเนินการ
  ขอให้ ธ.กรุงไทย ชลอขั้นตอนต่างๆ ระหว่างการตรวจสอบ และเมื่อมีหนังสือ
  เร่งรัดจากกระทรวงมหาดไทย นายอภิรักษ์จึงมีหนังสือขอให้ ธ.กรุงไทย
  ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งไม่ใช่การขอเปิด L/C ใหม่


- กรณีกล่าวหาว่า นายอภิรักษ์ ดำเนินการแก้ไขข้อความใน L/C เอื้อประโยชน์บริษัทผู้ขาย

  ความจริงการแก้ข้อความ เกิดจากข้อความใน L/C ไม่ครบถ้วนตามที่ระบุในสัญญาซื้อขาย
  ที่ลงนามไว้โดย นายสมัคร สุนทรเวช มาตั้งแต่ต้น  ผู้ขายจึงแจ้ง ธ.กรุงไทย และ ธ.กรุงไทย
  เป็นผู้แจ้งต่อ กทม.  ทาง กทม. จึงได้ดำเนินการแก้ไขข้อความใน L/C ให้ตรงตามข้อความ
  ในสัญญาซื้อขาย


---------------------------------------------------------------------------------------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-03-2007, 22:32 โดย jerasak » บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #19 เมื่อ: 07-03-2007, 08:15 »

ประเด็นรถเรือดับเพลิงและคดีกล้ายางเป็นประเด็นใหม่ ผมยังตามดูข้อมูลยังไม่ฟันธง ดังนั้นจึงนำเสนอข่าวเพียงอย่างเดียว โดยไม่ออกความเห็นวิจารณ์

คุณปุถุชน มั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ-เดลินิวส์ นำเสนอผิด ในขณะที่กรุงเทพธุรกิจเสนอข่าวถูกต้อง

ทำไมเชื่อข่าวง่ายๆอย่างนั้น คดีรถดับเพลิงนั้นก็ต้องถือว่ามีมูล ขอให้คิดให้ดี ว่าถ้าไม่เค้าความผิดเลย ทำไมจึงติดอยู่ในกลุ่ม 7 คนที่ทางตำรวจสรุป ก่อนที่จะส่งให้ คตส

ข้อมูลข่าวที่ลงในกรุงเทพธุรกิจที่คุณ ปุถุชน เอามา เนื้อข่าวก็บอกชัดว่าเป็นแถลงการณ์ของโฆษกพรรค ปชป แก้ข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นสิทธิที่ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาจะแก้ตัว แต่มั่นใจได้อย่างไรว่าเรื่องที่แก้ตัวจะเป็นเรื่องจริง

ถ้าคุณเชื่อว่าข่าวนี้ถูก ก็เท่ากับตัดสินใจเชื่อโฆษกพรรค ปชป..

ทำไมไม่รอดูไปเรื่อยๆละ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-03-2007, 08:19 โดย กาลามชน » บันทึกการเข้า
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #20 เมื่อ: 07-03-2007, 08:48 »

ถ้าหนังสือพิมพ์สองฉบับเสนอข่าวที่เป็นข้อเท็จจริงไม่ตรงกัน จะเชื่อได้ไม่ได้ก็ต้องดูว่า
ฉบับไหนสามารถถ่ายสำเนาเอกสารต้นฉบับมาลงได้ เพราะขนาดถ่ายสำเนามาลงใน
กรณีที่ดร.ทักษิณ จ้างล็อบบี้ยิสต์ ยังมีแหว่งบางข้อความได้ หรือเป็นภาพถ่ายยังมีตัด
ต่อกันได้ ถ้าเป็นข้อความข่าวเฉยๆ ทั้งสองฉบับ ก็คงต้องเชื่อถือชื่อเสียงมากกว่า ดัง
คำพูดของ เทพชัย หย่อง ว่า คุณค่าของสื่ออยู่ที่ความน่าเชื่อถือ
บันทึกการเข้า
katindork
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 369


« ตอบ #21 เมื่อ: 07-03-2007, 10:14 »

ประเด็นรถเรือดับเพลิงและคดีกล้ายางเป็นประเด็นใหม่ ผมยังตามดูข้อมูลยังไม่ฟันธง ดังนั้นจึงนำเสนอข่าวเพียงอย่างเดียว โดยไม่ออกความเห็นวิจารณ์

คุณปุถุชน มั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ-เดลินิวส์ นำเสนอผิด ในขณะที่กรุงเทพธุรกิจเสนอข่าวถูกต้อง

ทำไมเชื่อข่าวง่ายๆอย่างนั้น คดีรถดับเพลิงนั้นก็ต้องถือว่ามีมูล ขอให้คิดให้ดี ว่าถ้าไม่เค้าความผิดเลย ทำไมจึงติดอยู่ในกลุ่ม 7 คนที่ทางตำรวจสรุป ก่อนที่จะส่งให้ คตส

ข้อมูลข่าวที่ลงในกรุงเทพธุรกิจที่คุณ ปุถุชน เอามา เนื้อข่าวก็บอกชัดว่าเป็นแถลงการณ์ของโฆษกพรรค ปชป แก้ข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นสิทธิที่ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาจะแก้ตัว แต่มั่นใจได้อย่างไรว่าเรื่องที่แก้ตัวจะเป็นเรื่องจริง

ถ้าคุณเชื่อว่าข่าวนี้ถูก ก็เท่ากับตัดสินใจเชื่อโฆษกพรรค ปชป..

ทำไมไม่รอดูไปเรื่อยๆละ

Exclamation Exclamation Exclamation Exclamation


กระทู้นี้ กาลามชนเป็นคนเปิดประเด็นก่อน  ด้วยการอ้างข่าวหนังสือพิมพ์ ไทลัด เดลินิว  ตัดแปะ
คนอื่นออกมาอธิบาย เป็น ฉากๆ พร้อมอ้างข่าวหนังสือพิมพ์อื่นตัดแปะบ้าง 
กาลามชนดันทะลึ่งมาบอกว่าหนังสือพิมพ์อื่นเชื่อถือไม่ได้  แล้วบอกให้คนอื่นรอดูก่อนค่อยพูด 

แต่ตัวเองรีบตั้งกระทู้นำเลย   
บอกตรงๆ  แก้ตัวได้หน้าหนามาก

 



ส่วนชอบแถ  ที่มาอ้างเทพชัย ให้สำภาษณ์กับ  ไอทีวีแล้วมาตีความเข้าข้างนั้น 
มันศรีธนญชัยลากการเมืองชัดๆ 


ผมมองว่า  นายเทพชัยกำลังสั่งสอนคนไอทีวีว่า   คนทำงานสื่อสำคัญที่สุดคือความน่าเชื่อถือ 

กรณี นายทักษิณ  มันหมดสารรูปความน่าเชื่อถือไปแล้ว  ต่อให้เอามาตัดแปะมีนมเหมือนผู้หญิง  คนมันยังสมน้ำหน้า
นี่ไงล่ะความน่าเชื่อถือ 


เทพชัยเตือนสติคนไอทีวีชัดๆ  ดันตีความเฉไฉ
บันทึกการเข้า
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #22 เมื่อ: 07-03-2007, 18:02 »

ประเด็นรถเรือดับเพลิงและคดีกล้ายางเป็นประเด็นใหม่ ผมยังตามดูข้อมูลยังไม่ฟันธง ดังนั้นจึงนำเสนอข่าวเพียงอย่างเดียว โดยไม่ออกความเห็นวิจารณ์

คุณปุถุชน มั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ-เดลินิวส์ นำเสนอผิด ในขณะที่กรุงเทพธุรกิจเสนอข่าวถูกต้อง

ทำไมเชื่อข่าวง่ายๆอย่างนั้น คดีรถดับเพลิงนั้นก็ต้องถือว่ามีมูล ขอให้คิดให้ดี ว่าถ้าไม่เค้าความผิดเลย ทำไมจึงติดอยู่ในกลุ่ม 7 คนที่ทางตำรวจสรุป ก่อนที่จะส่งให้ คตส

ข้อมูลข่าวที่ลงในกรุงเทพธุรกิจที่คุณ ปุถุชน เอามา เนื้อข่าวก็บอกชัดว่าเป็นแถลงการณ์ของโฆษกพรรค ปชป แก้ข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นสิทธิที่ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาจะแก้ตัว แต่มั่นใจได้อย่างไรว่าเรื่องที่แก้ตัวจะเป็นเรื่องจริง

ถ้าคุณเชื่อว่าข่าวนี้ถูก ก็เท่ากับตัดสินใจเชื่อโฆษกพรรค ปชป..

ทำไมไม่รอดูไปเรื่อยๆละ


สรุปประเด็นข่าวทุกฉบับรวมกันเรื่องรถดับเพลิงจะได้ว่า ไทยรัฐ-เดลินิวส์ ตั้งคำถาม+ข้อกล่าวหา คตส. และนายอภิรักษ์
ส่วนกรุงเทพธุรกิจ นำเสนอว่าฝ่ายนายอภิรักษ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ได้ตอบคำถามและแก้ข้อกล่าวหานั้นแล้วอย่างไร

.. สิ่งที่พอจะเชื่อได้ทั้งหมดก็คือ ..

1. ไทยรัฐ-เดลินิวส์ ได้ตั้งคำถามและข้อกล่าวหา คตส. และ นายอภิรักษ์
2. กรุงเทพธุรกิจ ได้นำเสนอคำตอบและคำแก้ข้อกล่าวหาจากฝ่ายนายอภิรักษ์
3. ฝ่ายนายอภิรักษ์ ได้ตอบคำถาม และแก้ข้อกล่าวหาแล้ว ไม่ไช่ไม่ตอบไม่แก้ หรือตอบไม่ได้แก้ไม่ได้
4. พอสรุปได้ว่า คตส. ไม่รวมนายอภิรักษ์ เป็นผู้ถูกกล่าวหา อาจเพราะฝ่ายนายอภิรักษ์ แก้ข้อสงสัยได้ชัดเจน


ถ้ายังสงสัยว่าข่าวไม่ถูก จะไม่ถูกในประเด็นไหนล่ะครับ อย่างน้อยที่สุดฝ่ายนายอภิรักษ์ก็สามารถอธิบาย
แก้ข้อกล่าวหาได้ทุกประเด็นแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องไม่ได้เปิด L/C ใหม่ หรือเรื่องแก้ไข L/C 

- ถ้าจะบอกว่าเป็นการเปิด L/C ใหม่ไม่ใช่ฉบับเดิม ทางฝ่ายกล่าวหาต้องตั้งข้อกล่าวหาใหม่แล้วครับ
  เพราะเขาตอบมาแล้วว่าเป็น L/C ฉบับเดิม ฝ่ายกล่าวหาต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็น L/C คนละฉบับ

- หรือถ้าจะบอกว่าการแก้ไข L/C ไม่ได้เป็นการแก้ไขให้ตรงกับข้อความในสัญญาซื้อขายที่มีมาแต่แรก
  ก็ต้องไปตั้งข้อหามาใหม่เหมือนกัน และพิสูจน์ให้ได้ว่าข้อความที่แก้ไขไม่มีอยู่ในสัญญาซื้อขาย


ส่วนประเด็นที่ว่าถ้าไม่ (มี) เค้าความผิดเลย ทำไมจึงติดอยู่ในกลุ่ม 7 คนที่ทางตำรวจสรุป ก่อนที่จะส่งให้ คตส
ผมคงพอจะเดาได้ว่า มีใครสักคนไปสั่งตำรวจให้สรุป สั่งอัยการให้ฟ้อง สั่งศาลให้ฟ้อง ในสมัยเหลี่ยมกระมังครับ
 
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #23 เมื่อ: 07-03-2007, 18:08 »

ถ้าหนังสือพิมพ์สองฉบับเสนอข่าวที่เป็นข้อเท็จจริงไม่ตรงกัน จะเชื่อได้ไม่ได้ก็ต้องดูว่า
ฉบับไหนสามารถถ่ายสำเนาเอกสารต้นฉบับมาลงได้ เพราะขนาดถ่ายสำเนามาลงใน
กรณีที่ดร.ทักษิณ จ้างล็อบบี้ยิสต์ ยังมีแหว่งบางข้อความได้ หรือเป็นภาพถ่ายยังมีตัด
ต่อกันได้ ถ้าเป็นข้อความข่าวเฉยๆ ทั้งสองฉบับ ก็คงต้องเชื่อถือชื่อเสียงมากกว่า ดัง
คำพูดของ เทพชัย หย่อง ว่า คุณค่าของสื่ออยู่ที่ความน่าเชื่อถือ

ถ้าเขาไปถ่ายสำเนาเอกสารต้นฉบับมาลงได้จริง คุณชอบแถก็คงขอดูต้นฉบับตัวจริงอีก
แล้วคงลุกลามขอให้ตรวจพิสูจน์ต่อไปอีกว่าเป็นตัวจริงแน่หรือไม่ ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเป็นตัวจริง
คุณชอบแถคงขอให้สถาบันอื่นตรวจอีก

คตส.น่ะเขาเห็นข้อมูลต้นฉบับ เข้าถึงพยานบุคคล วัตถุพยาน ต่างๆ มากกว่าเราทุกคนแน่ๆ
เขาก็ลงความเห็นชี้มูลความผิดมาแล้ว ว่าคนผิดน่าจะเป็นใครบ้าง จะข้องใจไปถึงไหนล่ะครับ

ก็บอกตรงๆ เลยว่า ร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อ ยังไงอภิรักษ์ก็ต้องผิด น่าจะง่ายกว่านะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-03-2007, 18:11 โดย jerasak » บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
RiDKuN
Administrator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,015



เว็บไซต์
« ตอบ #24 เมื่อ: 07-03-2007, 18:14 »

ผมว่าคุณกาลามชนอย่ามาถามกลับเลยครับ ถามตัวเองดีกว่า ว่าจะป้ายสี... เอ่อ หมายถึงจะกล่าวหาอภิรักษ์ว่าอะไรต่อดี
ก็ในเมื่อคนที่ถูกกล่าวหา เขาชี้แจงได้อย่างมีเหตุมีผล แถมมีหนังสือราชการอ้างอิงชัดเจน
และคำชี้แจงก็อยู่บนพื้นฐานของหนังสือราชการทุกอย่าง มีเหตุมีผลตามนั้น แล้วจะเอาอะไรอีกหรือครับ
หรือจะเอานายอภิรักษ์ไปเข้าเครื่องจับเท็จ หรือไปทรมานให้รับสารภาพเลยไหมครับ
บันทึกการเข้า

คนไม่มี "อุดมคติ" ไม่ใช่ "นักการเมือง"
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #25 เมื่อ: 10-03-2007, 21:36 »

ประเด็นรถเรือดับเพลิงและคดีกล้ายางเป็นประเด็นใหม่ ผมยังตามดูข้อมูลยังไม่ฟันธง ดังนั้นจึงนำเสนอข่าวเพียงอย่างเดียว โดยไม่ออกความเห็นวิจารณ์

คุณปุถุชน มั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ-เดลินิวส์ นำเสนอผิด ในขณะที่กรุงเทพธุรกิจเสนอข่าวถูกต้อง
ผมนำรายงานข่าวนี้จากกรุงเทพธุรกิจมาให้'สาธุชน' ได้อ่านและพิจารณาเอาเอง


ทำไมเชื่อข่าวง่ายๆอย่างนั้น คดีรถดับเพลิงนั้นก็ต้องถือว่ามีมูล ขอให้คิดให้ดี ว่าถ้าไม่เค้าความผิดเลย ทำไมจึงติดอยู่ในกลุ่ม 7 คนที่ทางตำรวจสรุป ก่อนที่จะส่งให้ คตส
คตส.บอกว่า ไม่จำเป็นต้องยึดการสอบของ DSI ของทักษิณเป็นข้อมูล หรืออ้างอิงครับ.....

ข้อมูลข่าวที่ลงในกรุงเทพธุรกิจที่คุณ ปุถุชน เอามา เนื้อข่าวก็บอกชัดว่าเป็นแถลงการณ์ของโฆษกพรรค ปชป แก้ข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นสิทธิที่ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาจะแก้ตัว แต่มั่นใจได้อย่างไรว่าเรื่องที่แก้ตัวจะเป็นเรื่องจริง
คุณกาลามชน ขึ้นไปอ่านอีกเที่ยว หรือ อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับอื่น ๆ ซึ่งเวลานี้คงจะอ้างอิง อนุกรรมการของ คตส.แล้วครับ  ก็ใช้หลัก'กาลามสูตร' ซีครับ..........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ถ้าคุณเชื่อว่าข่าวนี้ถูก ก็เท่ากับตัดสินใจเชื่อโฆษกพรรค ปชป..
คุณกาลามชนนำ'ข้อมูล'มาโพส พร้อมออกตัวว่า ยังไม่ได้เชื่อถือว่าถูกต้องหรือไม่ แล้วจะปรักปรำคนอื่น ๆ ไปทำไม........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ทำไมไม่รอดูไปเรื่อยๆละ

ผมคงไม่รอให้คุณกาลามชน นำ'ข้อเท็จจริง'ที่ถูกต้องของคุณกาลามชนมาเผยแพร่ เพราะไม่ทราบเมื่อไหร่  ขอค้นคว้าหาเอาเองดีกว่า....
ผมก็อยากแนะนำคุณกาลามชน ใช้หลักกาลามสูตรด้วย....
และระมัดระวังในการนำข่าว ข้อมูลที่ไม่รู้แน่ มาโพสต์นะครับ
เดี๋ยวจะเป็น'เครื่องมือ'ปล่อยข่าว............ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า



ยินดีที่คุณกาลามชน เข้ามาอ่านและแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม..........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-03-2007, 21:38 โดย ปุถุชน » บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #26 เมื่อ: 10-03-2007, 22:42 »

ประเด็นรถเรือดับเพลิงและคดีกล้ายางเป็นประเด็นใหม่ ผมยังตามดูข้อมูลยังไม่ฟันธง ดังนั้นจึงนำเสนอข่าวเพียงอย่างเดียว โดยไม่ออกความเห็นวิจารณ์

คุณปุถุชน มั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ-เดลินิวส์ นำเสนอผิด ในขณะที่กรุงเทพธุรกิจเสนอข่าวถูกต้อง

ทำไมเชื่อข่าวง่ายๆอย่างนั้น คดีรถดับเพลิงนั้นก็ต้องถือว่ามีมูล ขอให้คิดให้ดี ว่าถ้าไม่เค้าความผิดเลย ทำไมจึงติดอยู่ในกลุ่ม 7 คนที่ทางตำรวจสรุป ก่อนที่จะส่งให้ คตส

ข้อมูลข่าวที่ลงในกรุงเทพธุรกิจที่คุณ ปุถุชน เอามา เนื้อข่าวก็บอกชัดว่าเป็นแถลงการณ์ของโฆษกพรรค ปชป แก้ข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นสิทธิที่ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาจะแก้ตัว แต่มั่นใจได้อย่างไรว่าเรื่องที่แก้ตัวจะเป็นเรื่องจริง

ถ้าคุณเชื่อว่าข่าวนี้ถูก ก็เท่ากับตัดสินใจเชื่อโฆษกพรรค ปชป..


ทำไมไม่รอดูไปเรื่อยๆละ



กังขาอภิรักษ์ฝืนมติพรรค
  น.ต.ศิธา ทิวารี รักษาการโฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงการชี้มูลความผิดของ คตส.ว่า ก่อนหน้านี้ ดีเอสไอ สรุปมีผู้เกี่ยวข้องถึง 7 คน แต่ทำไมเหลือแค่ 5 คน ตรงนี้ต้องอธิบายให้ชัดเจน โดยเฉพาะ นายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย เคยทำหนังสือขอชี้แจงกับ คตส.หลายครั้งกลับถูกปฏิเสธและกรณี คตส. ระบุว่า นายอภิรักษ์ จำเป็นต้องเปิดแอลซีใหม่ เพราะสัญญาบังคับ ถามว่าก่อนเปิดแอลซี สัญญา ที่เป็นมติ ครม.กำหนดให้เปิดแอลซีภายใน 30 วัน แต่ นายอภิรักษ์ สั่งระงับและใช้เวลาตรวจสอบ 4 เดือน เท่ากับว่ามติ ครม.หมดอายุ ไม่เข้าใจว่าทำไมก่อนเปิดแอลซี นายอภิรักษ์ ไม่ส่งหนังสือขอให้ ครม.ทบทวนมติใหม่หรือสั่งยกเลิก ที่สำคัญมติพรรคประชาธิปัตย์ห้ามผู้ว่าฯ กทม.ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเปิดแอลซี สงสัยว่าทำไม นายอภิรักษ์ กล้าฝ่าฝืนมติพรรค เมื่อ คตส.ชี้มูลว่ามีความผิดแล้ว ก็ควรยกเลิกสัญญา หากคู่สัญญาคือออสเตรียไม่ยอมก็ไปต่อสู้ในชั้นศาล เท่าที่ทราบในปี 48 ผู้บริหาร กทม.บางคนบินไปสิงคโปร์รับเงิน 500 ล้านบาท และเงินไม่ได้อยู่กับ 5 คนที่ถูกกล่าวหา


ข้อความโดย: กาลามชน




ฮืมม์........................ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #27 เมื่อ: 10-03-2007, 23:17 »

 ดีเอสไอชี้ค้าต่างตอบแทนไทยเสียเปรียบ

นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษส่งสำนวนคดีรถดับเพลิงไปให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2548 คงไม่สามารถเข้าไปดำเนินการใดๆ ได้อีกแต่เชื่อว่า คตส.คงพิจารณาหลักฐานด้วยความรอบคอบแล้ว ส่วนประเด็นเรื่องการค้าต่างตอบแทน เชื่อว่า คตส.ได้ตรวจสอบหลักฐานชัดเจนแล้วว่าใครเป็นผู้สั่งการและเกี่ยวข้องกับการทำสัญญาที่ไม่ถูกต้อง  

รายงานข่าวแจ้งว่า สำนวนการสอบสวนของดีเอสไอได้ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงเรื่องซื้อขายตอบแทนกับโครงการดังกล่าว โดยให้สิทธิบริษัท ซี.พี. เมอร์ซาน ไดซิ่ง จำกัด เป็นผู้ได้สิทธิส่งไก่ต้มสุกไปต่างประเทศ ซึ่งทำให้รัฐเสียเปรียบ เพราะส่งไปยังต่างประเทศที่เป็นกลุ่มลูกค้าเก่า ประเทศไทยจึงไม่มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจากการทำการค้าต่างตอบแทนดังกล่าว




  นอกจากนี้ ดีเอสไอยังพบว่าระหว่างปี 2547 และ 2548 ไม่มีรายชื่อประเทศออสเตรียเป็นผู้สั่งซื้อไก่ต้มสุก จากประเทศไทย ผลประโยชน์จึงตกเป็นของบริษัทส่งออกซึ่งได้รับเงินค่านายหน้าประมาณ 150 ล้านบาทจากบริษัทสไตเออร์ เดมเลอร์พุค

http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0109020350&show=1&sectionid=0101&day=2007/03/02


ความเห็นของอธิบดี DSI คนใหม่ ที่ไม่สามารถแก้ไขหรือสอบสวนเพิ่มจาก DSI ของทักษิณได้ แต่ก็ให้ความเห็นแก่ คตส........


บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #28 เมื่อ: 10-03-2007, 23:23 »

 วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10580

คตส.เห็นชอบ ฟัน"โภคิน-สมัคร-ประชา"

"สมศักดิ์-อดีตผอ.ป้องกันภัย" คดีรถดับเพลิง-ผิดมาตรา157 เพิ่มข้อหา"แม้ว-อ้อ"ซื้อที่รัชดา



คตส.มีมติกล่าวหา 5 คน "โภคิน-ประชา-สมศักดิ์-สมัคร-พ.ต.ต.อธิลักษณ์" ส่อทุจริตจัดซื้อรถดับเพลิง กทม. ทำให้รัฐจ่ายแพงกว่า 1.9 พันล้าน ชุดสอบคดีที่รัชดาฯ เพิ่มข้อกล่าวหา"ทักษิณ-พจมาน"ระบุผิดอาญาหลายมาตรา คุยมีอำนาจริบทรัพย์ได้ แต่ยังไม่ใช้ ขอรอศาลตัดสิน

@ คตส.ชี้จัดซื้อรถดับเพลิงส่อทุจริต

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ นายสัก กอแสงเรือง กรรมการและโฆษกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) แถลงว่า ที่ประชุมมีมติรับรองผลการตรวจสอบกรณีการจัดซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิงของ กทม.ตามที่คณะอนุกรรมการตรวจสอบที่มีนายประเสริฐ บุญศรี เป็นประธาน โดยสรุปว่า การจัดซื้อยานพาหนะดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย ซึ่งดำเนินการโดยบุคคลหลายฝ่าย ทั้งจากกระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานคร (กทม.) ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการลงนามในเอโอยู และข้อตกลงซื้อขายมีมูลน่าเชื่อได้ว่าเป็นการกระทำร่วมกัน โดยมีเป้าหมายเดียวกันในการขัดต่อมติ ครม.ระเบียบและกฎหมาย โดยมีการกำหนดชื่อบริษัทสไตเออร์ เดมเลอร์ พุค จำกัด คุณสมบัติของรายการหรือคุณลักษณะเฉพาะของสินค้า วิธีการและราคาไว้ล่วงหน้า ส่อไปในทางทุจริต เป็นเหตุให้มีการจัดซื้อในราคาที่สูงเกินความจริงก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ เป็นจำนวนเงิน 1,900 ล้านบาทเศษ

@ กล่าวหา"โภคิน-ประชา-สมศักดิ์"

นายสักกล่าวว่า การกระทำดังกล่าวเป็นมูลความผิดทางอาญาเกี่ยวกับการเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยมีบุคคลผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.นายโภคิน พลกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้น 2.นายประชา มาลีนนท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย 3.นายสมศักดิ์ คุณเงิน อดีตผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่เลขานุการนายประชา

"บุคคลทั้งสามมีอำนาจกำกับดูแล กทม. เจ้าของโครงการ เริ่มตั้งแต่พบปะ ปรึกษาหารือโครงการนี้กับเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ประจำประเทศไทย ร่วมกันกำหนดข้อตกลงการจัดซื้อที่ระบุบริษัทผู้ขายสินค้าและราคาไว้ล่วงหน้า แล้วส่งมอบเรื่องทั้งหมดต่อให้แก่ กทม.โดยฝ่าฝืนมติ ครม.ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องการพัสดุ พ.ศ.2538 กำหนดราคาที่สูงเกินจริง เกิดความเสียหายแก่ กทม.ประมาณ 1,900 ล้านบาทเศษ อันส่อไปในทางมีเจตนาทุจริต ซึ่งบัดนี้ถึงกำหนดชำระเงินตามสัญญาและมีการส่งมอบสินค้าแล้ว จึงเป็นมูลความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบด้วยมาตรา 83" นายสักกล่าว

@ "สมัคร"-อดีตผอ.สำนักป้องกันภัยโดนด้วย

นายสักกล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง คือนายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าราชการ กทม.และ พ.ต.ต.อธิลักษณ์ ตันชูเกียรติ อดีตผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยส่วนของ พ.ต.ต.อธิลักษณ์ เป็นประธานคณะกรรมการบริหารโครงการพัฒนาระบบบริหารและพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการและยังเป็นประธานคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษร่วมกับนายสมัครในการดำเนินการขั้นตอนการจัดซื้อสินค้าในโครงการนี้ โดยร่วมกับผู้เกี่ยวข้องทั้ง 3 รายข้างต้น ซึ่งมีมูลความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบด้วยมาตรา 83 เช่นกัน

@ "อภิรักษ์-วัฒนา"รอด-หลักฐานไม่ถึง

นายสักกล่าวว่า สำหรับนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกทม. จากการตรวจสอบพบว่า เข้ามาเกี่ยวข้องหลังจากกระบวนการต่างๆ เริ่มต้นไปแล้ว จนถึงการลงนามในเอโอยู และในสัญญาซื้อขาย ซึ่งในส่วนของนายอภิรักษ์เข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องการเปิดแอล/ซี อันเป็นเงื่อนไขที่ทำให้สัญญาซื้อขายดำเนินการต่อไปได้ ถือเป็นเงื่อนไขของการชำระหนี้ เป็นการดำเนินงานตามมติ ครม.ที่ไม่สามารถฝ่าฝืนได้ เพราะหากมีปัญหา อาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้น คณะอนุฯจึงเห็นว่าการกระทำของนายอภิรักษ์ไม่ถึงขั้นต้องรับผิดชอบตามกฎหมายอาญา

โฆษก คตส.กล่าวว่า ส่วนนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์นั้น เบื้องต้นไม่พบหลักฐานที่เชื่อมโยงไปถึง ทำให้ชั้นนี้ยังไม่สามารถชี้มูลความผิดนายวัฒนาได้ แต่หากปรากฏพยานหลักฐานเชื่อมโยงอาจจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม

นายสักกล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ คตส.จะประสานงานไปยังกระทรวงมหาดไทยให้ร้องทุกข์กล่าวโทษตามขั้นตอนการตรวจสอบของ คตส. เนื่องจากบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ทั้งหมดมีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอยู่ด้วย

@ "นาม"ยันไม่มีคนวิ่งเต้นคดีรถดับเพลิง

นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. กล่าวถึงกรณี น.ต.ศิธา ทิวารี รักษาการโฆษกพรรคไทยรักไทย ตั้งข้อสังเกตผลการตรวจสอบคดีการจัดซื้อรถดับเพลิง และเรือดับเพลิง ของ กทม.ของคณะอนุกรรมการตรวจสอบว่า มีคนวิ่งเต้นเพื่อให้หลุดคดีนี้ ว่าคงไม่มี คนเรามีปากก็พูดได้ ต้องปล่อยให้เขาพูดไป เราก็ทำงานของเราต่อไป

เมื่อถามว่า ผลการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชี้มูลความผิดมากกว่า 5 คน ซึ่งแตกต่างจากผลสอบของ คตส. นายนามกล่าวว่า การสอบสวนของดีเอสไอ เขาจะว่าอะไรก็ว่าไป ไม่เกี่ยวข้องกับ คตส. เพราะเรามีแบบแผนการตรวจสอบของเราเอง 

http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0108270250&show=1&sectionid=0101&day=2007/02/27



นำมาให้คุณกาลามชน และคนรักเหลี่ยม ลี สิงกะโปโตก คนอื่นๆ ได้อ่านประกอบ.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #29 เมื่อ: 11-03-2007, 21:50 »

  "นาม"ชี้ ทรท.ดิสเครดิต คตส. เหตุนายใหญ่โดนชี้มูลหลายคดี 

20:44 น.  นายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคณะการตรวจสอบที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวถึงกรณีที่สมาชิกพรรคไทยรักไทยพยายามโจมตี คตส. โดยเฉพาะประเด็นการรับเงินเดือนหลายที่ว่า ยืนยันว่าการรับเงินเดือนของกรรมการ คตส.เป็นไปตามระเบียบทุกอย่าง โดยผู้ที่ทำงานและมีหลายตำแหน่งก็จะรับเงินที่เป็นส่วนเกินเท่านั้น เช่น เงินประจำตำแหน่ง ไม่ได้รับเงินเดือนหลายที่ตามที่ถูกโจมตี ทั้งนี้เป็นธรรมดาที่เขาต้องดิสเครดิต คตส. เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ถูก คตส.ชี้มูลเกือบทุกเรื่อง โดยเฉพาะกรณีที่ธนาคารกรุงไทยให้เงินกู้กับบริษัทในเครือกฤษดามหานคร ถูกชี้มูลทั้งตัวเอง ลูกและภรรยา ก็ต้องดิ้นไป แต่ คตส.ก็ทำงานปกติ ไม่อยากไปตอบโต้อะไร
 
 
http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=247683&lang=T
บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #30 เมื่อ: 11-03-2007, 21:53 »

คตส.ฟันธง ถูกดิสเครดิตจากเว็บทักษิณ 

20:19 น.  คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา คณะการตรวจสอบที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวถึงกรณีที่เว็ปไซต์ ไฮทักษิณ ( www.hi-thaksin.net ) เขียนข่าวโจมตีทั้งเรื่องส่วนตัวและการทำงานของ คตส.หลายคนว่า เคยอ่านเว็ปไซต์ดังกล่าวบ้าง เห็นมีการเขียนโจมตี คตส.หลายคน รวมทั้งตนเอง ซึ่งคิดว่าเป็นการดิสเครดิต คตส. เพื่อให้ไม่ดีในสายตาของสังคม แต่ก็ไม่ท้อใจในการทำงาน จะทำงานต่อไปตามปกติ แม้เรื่องที่เว็ปไซต์เขียนจะเป็นการโจมตี คตส.อย่างหนักก็ตาม โดยเมื่อ คตส.อาสามาทำงานให้ชาติแล้วต้องมั่นใจในตัวเองว่าทำอะไรอยู่ ถ้ามือสะอาด ใจสะอาด โปร่งใส ก็ไม่น่าจะเกรงกลัว หรือต่อให้มีแรงเสียดทานเท่าไหร่ก็ไม่หวันไหวกับการโจมตีใดๆ เพราะคนที่ขาวบริสุทธิ์ก็บริสุทธิ์อยู่วันยังค่ำ ไม่จำเป็นต้องกลัว หรือใครอยากเขียนโจมตีก็ให้เขียนไป เพราะไม่กลัวอยู่แล้ว

http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?lang=T&newsid=247679
บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #31 เมื่อ: 11-03-2007, 23:42 »

ขอบคุณ คุณ ปุถุชน ที่กรุณานำข้อมูลอีกด้านมาชี้แจง
หาไม่คงจะพลาดไป เพราะเลิกอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนี้
ตั้งแต่ที่ลงข่าวฟันธงเรื่องระเบิดวันส่งท้ายปีเก่า
หลังเกิดเหตุได้ไม่กี่ชม.



"ประเสริฐ" โต้เปล่าป้อง "อภิรักษ์"

 นายประเสริฐ บุญศรี ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง กทม.และว่าที่ประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีดังกล่าว กล่าวถึงข้อกังขาในการไม่ชี้มูล นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม.ทั้งที่เป็นผู้เซ็นให้มีการเปิดแอลซี ทำให้สัญญาเดินต่อไปได้ว่า อยากถามว่า ถ้าตนไม่ลากคอนายอภิรักษ์มาเป็นจำเลย จะไม่สบายใจกันใช่หรือไม่ทั้งนี้ ประเด็นเรื่องการแก้ไขแอลซีของนายอภิรักษ์ เป็นเรื่องปลีกย่อย ไม่ควรเอาเรื่องนี้มากลบสัญญาใหญ่ที่ นายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าฯ กทม.เซ็นเอาไว้ 

 " การเซ็นเปิดแอลซีของนายอภิรักษ์ เป็นไปตามเงื่อนไขสัญญา บวกกับเอโอยู ที่นายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย เซ็นมัดเอาไว้ จนนายอภิรักษ์ดิ้นไม่ได้ ทั้งที่นายอภิรักษ์พยายามดิ้นทำหนังสือแย้งไป 2 ฉบับแล้ว กลับโดนกระหน่ำกลับมาถึง 4 ฉบับ คือมีหนังสือจากนายสมศักดิ์ คุณเงิน เลขานุการ รมว.มหาดไทยในขณะนั้น ส่งหนังสือยืนยันให้เปิดแอลซีถึง 2 ฉบับ ส่วนอีก 2 ฉบับ มาจากนายประชา มาลีนนท์ และนายโภคิน โดยระบุว่าถ้าไม่เปิดแอลซีแล้วมีปัญหา นายอภิรักษ์ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมด เป็นคุณจะรับผิดชอบไหวหรือไม่ อย่างนี้ใครที่กระ***นกระหือรือจะเปิดแอลซี ซึ่งในชั้นไต่สวนผมจะเชิญนายนิยม กรรณสูต ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. และพนักงานสอบสวนของดีเอสไอ ที่ทำเอกสารเรื่องนี้ มาเคลียร์ เรื่องสัญญาที่มีภาคผนวกระบุเขียนชัดว่า สินค้าสามารถผลิตในประเทศไทย ประเทศออสเตรเลีย ประเทศออสเตรีย หรืออเมริกา ก็ได้ ซึ่งเป็นสัญญาที่นายสมัครเซ็นให้เขาฉีกอกเราได้อย่างไร" นายประเสริฐ กล่าว

 นายประเสริฐ กล่าวด้วยว่า ประเด็นที่สงสัยจะเคลียร์ให้สว่างเลย จะเอาคนมาชี้แจงอีกนิด แล้วจะยืนให้สัมภาษณ์เลย ตนไม่ได้ป้องและไม่สนใจคนชื่ออภิรักษ์ แต่ถ้าเขาไม่ผิดแล้วต้องทำให้เขาเดือดร้อน ตนก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน อย่างกรณีของนายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ ที่ตอบหนังสือของนายโภคินเกี่ยวกับการทำสัญญาการค้าต่างตอบแทน หลังการเซ็นสัญญาใหญ่ว่าสามารถทำได้ ซึ่งถือว่าไม่ถูกต้อง แต่การที่มีหลักฐานเพียงแค่นี้แล้วจะเอาคนมาดำเนินคดีอาญา ตนทำไม่ได้ เพราะหลักฐานยังไม่พอ

 นายประเสริฐ กล่าวถึงกรณีที่นายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาคดีการจัดซื้อรถดับเพลิง ส่งหนังสือขอชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการว่า ตนไม่ได้ปิดกั้น จะให้มาชี้แจงแน่นอน แต่ที่ผ่านมานายโภคินส่งคำชี้แจงผ่านประธาน คตส.ถึง 2 ปึกใหญ่ และเคยให้ถ้อยคำแก่ดีเอสไอเอาไว้แล้ว ซึ่งตนก็ได้อ่านทั้งหมดจนตาแฉะแล้ว และได้รับทราบคำชี้แจงของนายโภคินหมดแล้ว



http://www.komchadluek.net/2007/03/11/a001_97717.php?news_id=97717



ผมนำข้อมูลอีกด้านหนึ่ง หนังสือพิมพ์อีกฉบับหนึ่งมาให้คุณ snowflake ที่ยอมรับรู้ข้อมูลหลายด้าน

คุณกาลามชน คงไม่เข้ามาอ่านข้อมูลหลายด้านนี้แล้ว เพราะจะหักล้างกับข้อมูลที่คุณกาลามชนนำมาเผยแพร่ แม้ว่าในสมองของคุณกาลามชน จะ 'ยังไมเชื่อถือ' ก็ตาม.........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-03-2007, 23:45 โดย ปุถุชน » บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #32 เมื่อ: 11-03-2007, 23:52 »

ทั้งนี้ ประเด็นเรื่องการแก้ไขแอลซีของนายอภิรักษ์ เป็นเรื่องปลีกย่อย ไม่ควรเอาเรื่องนี้มากลบสัญญาใหญ่ที่ นายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าฯ กทม.เซ็นเอาไว้ 



การเซ็นเปิดแอลซีของนายอภิรักษ์ เป็นไปตามเงื่อนไขสัญญา บวกกับเอโอยู ที่นายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย เซ็นมัดเอาไว้ จนนายอภิรักษ์ดิ้นไม่ได้ ทั้งที่นายอภิรักษ์พยายามดิ้นทำหนังสือแย้งไป 2 ฉบับแล้ว กลับโดนกระหน่ำกลับมาถึง 4 ฉบับ คือมีหนังสือจากนายสมศักดิ์ คุณเงิน เลขานุการ รมว.มหาดไทยในขณะนั้น ส่งหนังสือยืนยันให้เปิดแอลซีถึง 2 ฉบับ ส่วนอีก 2 ฉบับ มาจากนายประชา มาลีนนท์ และนายโภคิน โดยระบุว่าถ้าไม่เปิดแอลซีแล้วมีปัญหา นายอภิรักษ์ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมด ............


คุณกาลามชน คนรักเหลี่ยม ลี สิงกะโปโตก ทั้งหลาย โปรดใช้วิจารณญาณว่า คุณอภิรักษ์ เป็น ผู้ว่าฯ กทม. สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองตรงข้ามกับพรรคไทยรักไทยของนายกรัฐมนตรี(เวลานั้น)และรัฐมนตรีว่าการมหาดไทย(เวลานั้น) หน้าใหม่วงการเมือง จะไม่กลัวเกรงอย่างไร.....

นายสมัคร สุนทรเวช ผู้ว่าฯกทม.ที่ลงนาม เซ็นชื่อก่อนพ้นตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.1-2 วัน ยังกระทำตาม(สมัครใจหรือไม่ ไม่ทราบ)รมต.มหาดไทยสังกัดพรรคไทยรักไทย  ทั้งที่เป็น'พันธมิตร'กัน.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #33 เมื่อ: 12-03-2007, 11:03 »

ตอนเหลี่ยมตกเป็นจำเลยของสังคม คุณกาลาม ไม่เห็นจะเดือดร้อนแหะ แถมยกย่องเหลี่ยมอีกมั๊ง
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #34 เมื่อ: 12-03-2007, 11:14 »

ประธานอนุสอบรถดับเพลิงปัดอุ้ม'อภิรักษ์'หลุดคดี
 
12 มีนาคม พ.ศ. 2550 07:00:00
 
"ประเสริฐ" เผยพร้อมเคลียร์ประเด็น"อภิรักษ์"หลุดคดี ยันไม่ได้ช่วย ด้าน"ศิธา"เตรียมยื่นหลักฐานมัดผู้ว่าฯ กทม.แก้แอลซี ให้ คตส.ตรวจสอบ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายประเสริฐ บุญศรี ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง กรุงเทพมหานคร(กทม.)  ในคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวว่า กรณีที่ประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีดังกล่าว กล่าวถึงข้อกังขาในการไม่ชี้มูลนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. ทั้งที่เป็นผู้เซ็นให้มีการเปิดแอลซี ทำให้สัญญาเดินต่อไปได้ว่า อยากถามว่าถ้าตนไม่ลากคอนายอภิรักษ์ มาเป็นจำเลย จะไม่สบายใจกันใช่หรือไม่ ประเด็นเรื่องการแก้ไขแอลซีของนายอภิรักษ์ เป็นเรื่องปลีกย่อย ไม่ควรเอาเรื่องนี้มากลบสัญญาใหญ่ที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าฯ กทม. เซ็นเอาไว้  

“ การเซ็นเปิดแอลซีของนายอภิรักษ์ เป็นไปตามเงื่อนไขสัญญา บวกกับเอโอยู ที่นายโภคิน พลกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เซ็นมัดเอาไว้จนนายอภิรักษ์ ดิ้นไม่ได้ ทั้งที่นายอภิรักษ์ พยายามดิ้นทำหนังสือแย้งไป 2 ฉบับแล้ว กลับโดนกระหน่ำกลับมาถึง 4 ฉบับ คือมีหนังสือจากนายสมศักดิ์ คุณเงิน เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในขณะนั้น ส่งหนังสือยืนยันให้เปิดแอลซีถึง 2 ฉบับ ส่วนอีก 2 ฉบับ มาจากนายประชา มาลีนนท์ และนายโภคิน โดยระบุว่าถ้าไม่เปิดแอลซี แล้วมีปัญหานายอภิรักษ์ ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมด เป็นคุณจะรับผิดชอบไหวหรือไม่ อย่างนี้ใครที่กระ***นกระหือรือจะเปิดแอลซี” นายประเสริฐ กล่าว

ประธานคณะอนุกรรมการฯ กล่าวว่า ทั้งนี้ ในชั้นไต่สวน จะเชิญ นายนิยม กรรณสุต ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. และพนักงานสอบสวนของดีเอสไอที่ทำเอกสารเรื่องนี้ มาเคลียร์เรื่องสัญญาที่มีภาคผนวกระบุเขียนชัดว่าสินค้าสามารถผลิตในประเทศไทย ประเทศออสเตรเลีย ประเทศออสเตรีย หรืออเมริกาก็ได้ ซึ่งเป็นสัญญาที่นายสมัครเซ็น อย่างไรประเด็นที่สงสัยกัน ตนจะเคลียร์ให้ชัดเจน ตนไม่ได้ป้องและไม่สนใจคนชื่ออภิรักษ์ แต่ถ้านายอภิรักษ์ไม่ผิด แล้วต้องเดือดร้อน ตนก็ยอมไม่ได้  

ด้านน.ต.ศิธา ทิวารี โฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า พรรคจะรวบรวมเอกสารหลักฐานในการจ่ายเงิน (แอลซี) ของโครงการรถดับเพลิงของกทม. ให้ คตส.ทำการตรวจสอบ หลังจากพรรคตรวจสอบพบว่า ผู้ว่าฯ กทม. ได้แก้ไขแอลซีในฉบับสุดท้าย โดยมีการเพิ่มข้อความที่ไม่เคยมีมาก่อนในทุกฉบับว่า ในกรณีที่ผู้ซื้อไม่ส่งคณะกรรมการตรวจสอบรับภายใน 45 วัน จากวันที่แจ้ง ให้ยอมรับการตรวจสอบจากองค์กรตรวจสอบฝ่ายเดียว  

“กรณีดังกล่าวเป็นการแก้ไขในสาระสำคัญที่อาจเป็นการเปิดช่องให้บริษัทสไตเออร์ได้รับเงินโดยที่ กทม.ยังไม่ตรวจสอบรับของ โดยเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2550 ธนาคารกรุงไทยได้โอนเงินไปให้บริษัทแล้ว และหาก กทม.ยังไม่ได้ตรวจสอบรับรถดับเพลิง แสดงว่าการแก้ไขแอลซีของผู้ว่าฯ กทม. เป็นสาเหตุของการจ่ายเงิน โดยผู้ว่าฯ กทม.จะต้องรับผิดชอบ”
 

 http://www.bangkokbiznews.com/2007/03/12/WW10_WW10_news.php?newsid=58381



ประเด็นรถเรือดับเพลิงและคดีกล้ายางเป็นประเด็นใหม่ ผมยังตามดูข้อมูลยังไม่ฟันธง ดังนั้นจึงนำเสนอข่าวเพียงอย่างเดียว โดยไม่ออกความเห็นวิจารณ์

คุณปุถุชน มั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ-เดลินิวส์ นำเสนอผิด ในขณะที่กรุงเทพธุรกิจเสนอข่าวถูกต้อง

ทำไมเชื่อข่าวง่ายๆอย่างนั้น คดีรถดับเพลิงนั้นก็ต้องถือว่ามีมูล ขอให้คิดให้ดี ว่าถ้าไม่เค้าความผิดเลย ทำไมจึงติดอยู่ในกลุ่ม 7 คนที่ทางตำรวจสรุป ก่อนที่จะส่งให้ คตส

ข้อมูลข่าวที่ลงในกรุงเทพธุรกิจที่คุณ ปุถุชน เอามา เนื้อข่าวก็บอกชัดว่าเป็นแถลงการณ์ของโฆษกพรรค ปชป แก้ข้อกล่าวหา ซึ่งเป็นสิทธิที่ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาจะแก้ตัว แต่มั่นใจได้อย่างไรว่าเรื่องที่แก้ตัวจะเป็นเรื่องจริง

ถ้าคุณเชื่อว่าข่าวนี้ถูก ก็เท่ากับตัดสินใจเชื่อโฆษกพรรค ปชป..

ทำไมไม่รอดูไปเรื่อยๆละ

ข้อความโดย: กาลามชน




คุณปุถุชน มั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ-เดลินิวส์ นำเสนอผิด ในขณะที่กรุงเทพธุรกิจเสนอข่าวถูกต้อง
ด้วยความคิดเห็นนี้ ผมจึงต้องไปค้นหาข่าวนี้จากหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ต่างเวลา มาให้คุณกาลามชน คนที่ยังไม่ตัดสินใจเชื่อ  แต่นำข่าวด้านที่สนองความต้องการของคุณกาลามชนลง หลาย คคห.  


ปล. กรุงเทพธุรกิจ: รายงานข่าว โดย ทีมการเมือง
      ได้ลงเรื่องราวของคดี'รถดับเพลิง'ของกรุงเทพมหานคร เป็นตอนที่ 8 แล้ว
      คุณกาลามชน หาอ่านได้ ตอนนี้พาดหัวข่าวว่า 'ประชา' สั่งซ้ำ เร่ง กทม. เปิด L/C ( 8 )

     มีข้อความตอนหนึ่งว่า (3.) กระทรวงมหาดไทย พิจารณาแล้ว เห็นว่า เพื่อให้สัมพันธภาพระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลออสเตรียเป็นไปด้วยดี และจะเกิดผลประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนในกรุงเทพ เกี่ยวกับความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินอันเนื่องจากอัคคีภัย ซึ่งเป็นภาระที่ กทม. ต้องรับผิดชอบโดยตรง  กทม.ต้องดำเนินการเปิดL/C ให้แก้บริษัทสไตเออร์ โดยทันทีเพื่อที่บริษัทฯ จะได้ดำเนินการตามสัญญาของการจัดซื้อต่อไป...ฯลฯ


  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-03-2007, 11:16 โดย ปุถุชน » บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #35 เมื่อ: 12-03-2007, 11:19 »

ตอนเหลี่ยมตกเป็นจำเลยของสังคม คุณกาลาม ไม่เห็นจะเดือดร้อนแหะ แถมยกย่องเหลี่ยมอีกมั๊ง


คุณกาลามชน ควรจะสนใจ บริษัทขายไก่ของเจ้าสัวฯ ได้รับผลประโยชน์จากการซื้อขายระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลออสเตรีย และ ผลสุดท้ายได้'ขายไก่' จริงๆ อย่างไรบ้าง
บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
samepong(ยุ่งแฮะ)
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,402



« ตอบ #36 เมื่อ: 12-03-2007, 16:25 »

ก็ จขกท. ปักธงมาก่อนแล้ว พุดไปก็จม หาฝั่งไม่เจอ
บันทึกการเข้า

เวลาจะพิสูจน์ความเชื่อ สักวัน ไม่ว่าความเชื่อนั้นจะถูกหรือผิด ผมขอรับไว้ด้วยตัวเอง คิเสียว่าทำแล้วเสียใจดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #37 เมื่อ: 12-03-2007, 16:36 »

ทุกท่านไม่อาจปฎิเสธได้ว่า คตส. เคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อหลายครั้งในช่วงเดือนก.ย. - ต.ค. ปี 2549 ว่าตัวเองมีหลักฐานชัดเจนในมือพร้อมเอาผิดคนโกงได้ทุกเมื่อ...แต่หลังจากนั้นก็โบ้ยบอกว่าการปราบคอรัปชั่นทำได้ยากเพราะมันฝังลึก ต่อมาก็โยนบาปให้ข้าราชการว่าเกียร์ว่าง ล่าสุด....เมื่อเหตุผลในการกล่าวอ้างชักหมดหนทางโน้มน้าวสังคมก็เลยออกมาเล่นปาหี่ผ่านรายการโทรทัศน์แบบฮาๆและไร้รสนิยมในการผลิตและความคิดสร้างสรรค์


ประเด็นก็คือ คนไทยเราจะทนยอมเสียภาษีให้พวกนี้มันเสวยสุขกันนานอีกแค่ไหน!?! 
บันทึกการเข้า
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #38 เมื่อ: 12-03-2007, 23:19 »

อภิรักษ์” ยันไม่เคยแก้ไขใบสั่งรถดับเพลิง เผยพร้อมให้ข้อมูล คตส.เพิ่มหากต้องการ
 
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 12 มีนาคม 2550 18:02 น.
 
 
       “อภิรักษ์” ยันไม่เคยแก้ไข L/C ตามที่อดีตโฆษกไทยรักไทย ระบุ พร้อมไม่ขอตอบโต้ไปมา เผยพร้อมให้ข้อมูล คตส.เพิ่มเติมหากต้องการ
       
       นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงกรณีที่ น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตโฆษกพรรคไทยรักไทย ออกมาระบุว่า นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้แก้ไข L/C (หนังสือยืนยันการสั่งซื้อสินค้า) ในกรณีที่ผู้ซื้อไม่ส่งคณะกรรมการตรวจรับภายใน 45 วัน จากวันที่แจ้ง ให้ยอมรับการตรวจสอบจากองค์กรตรวจสอบฝ่ายเดียว ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้ผู้ขายได้รับเงินทั้งที่ กทม.ยังไม่ตรวจรับสินค้า โดยมีหลักฐานยืนยันอย่างชัดเจนว่า ตนขอยืนยันว่า ไม่ได้มีการเพิ่มเติมหรือแก้ไขข้อความใน L/C การจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม.มูลค่า 6,700 ล้านบาท ตามที่อดีตโฆษกพรรคไทยรักไทย ออกมากล่าวอ้างแต่อย่างใด และตนไม่ต้องการที่จะตอบโต้ไปมา เพราะได้ชี้แจงไปอย่างชัดเจนแล้ว อย่างไรก็ตาม หากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมตนก็พร้อมที่จะไปชี้แจง
       
        ด้านนายวัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯ กทม.กล่าวว่า ต้องการเห็นหลักฐานตามที่อดีตโฆษกพรรคไทยรักไทยกล่าวอ้าง เพราะยืนยันว่า กทม.ไม่เคยแก้ไข L/C ให้ผิดไปจากสัญญาการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงแต่อย่างใด

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9500000028899
 

รองผู้ว่าฯ กทม.วัลลภ จะรอเก้อหรือไม่............ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
อยากประหยัดให้ติดแก๊ส
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,406



« ตอบ #39 เมื่อ: 13-03-2007, 09:02 »

การแก้ไขแอลซี ที่นายอภิรักษ์ ได้ปฏิเสธไปแล้วว่า ไม่ได้เป็นผู้แก้ไข แม้จะมีลายมือชื่อที่คล้าย ๆ กับลายมือชื่อของนายอภิรักษ์ในเอกสารที่ กทม.ส่งไปยังธนาคารกรุงไทย เพื่อขอแก้ไข แอลซี ให้รถและเรือ ส่งจากประเทศไทยมายังประเทศไทยได้ แทนของเดิมที่กำหนดว่า จากยุโรปมายังประเทศไทย
 
ตรงนี้ไม่สำคัญเท่ากับ นายประเสริฐ บุญศรี ประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง กทม. พยายาม อธิบายว่า
 
“การแก้ไขแอลซีเป็นเพียงประเด็นปลีกย่อย เนื่องจากความผิดปกติของโครงการเริ่มมาตั้งแต่มีการเซ็นสัญญา และการเปิดแอลซีของนายอภิรักษ์ ก็เป็นไปตามสัญญาที่มีผลบังคับ การแก้ไขแอลซีก็เหมือนกับการเปลี่ยนที่ส่งของ ทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขสัญญา เมื่อสัญญามีผลบังคับใช้ หากไม่เปิดแอลซี กทม.ต้องถูกฟ้องอย่างแน่นอน อนุกรรมการฯ เห็นว่าการเปิดแอลซี เป็นการปฏิบัติตามสัญญาที่อดีต ผู้ว่าฯกทม.ลงนามไว้”
 
การทำหน้าที่ของสื่อมวลชน คงไม่ใช่เรื่องของการจับคู่โต้เถียงกับ คตส. แต่เป็นการนำเสนอข้อเท็จจริงอีกด้านเพื่อให้ประชาชนตัดสิน หรือทำหน้าที่เป็นแว่นขยาย วางทาบลง    ไปตรงจุดที่เกิดปัญหาให้เพื่อสังคมได้ มองเห็นอะไรต่อมิอะไรได้อย่าง กระจ่างชัด
 
ดังนั้นจึงมีคำถามเกิดขึ้นกับนายประเสริฐ และ คตส.ทุกคนว่า เคยเห็นหลักฐานเหล่านี้หรือไม่
 
หลักฐานชิ้นที่ 1 บริษัทสไตเออร์ ซึ่งเป็นฝรั่งหัวแดง ได้มีหนังสือเพื่อตอบโต้คำให้สัมภาษณ์ของ ดร.วัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯ กทม. เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2549 โดยยกเนื้อความในสัญญาที่ระบุว่า
 
“9.1 This Agreement will come into force with opening of L/C in favour of and acceptable for the seller”
(คำแปล...9.1 สัญญานี้จะมีผลบังคับเมื่อมีการเปิด แอลซี ให้กับผู้ขาย และผู้ขายยอมรับ)

 
ในหนังสือฉบับเดียวกัน ยังได้อธิบายในบรรทัดต่อไปว่า
 
“ความหมายของข้อกำหนดในสัญญานี้แจ้งชัดไม่มีข้อสงสัย สัญญามีผลบังคับทันทีที่มีการเปิด แอลซี ฉะนั้นการแถลงการณ์ของเราถูกต้องมาตลอด หากผู้ว่าฯ อภิรักษ์ ไม่เปิด แอลซี สัญญาก็ยังจะไม่มีผล และผลที่ตามมาคือ ก็จะไม่มีการส่งมอบรถดับเพลิงเกิดขึ้นได้”
 
หนังสือฉบับนี้อธิบายความเกี่ยวข้องของนายอภิรักษ์ ได้กระจ่างชัดและมีน้ำหนักยิ่งกว่าคำวินิจฉัยของ คตส. เพราะบริษัทสไตเออร์ เป็นคู่สัญญากับ กทม. อีกทั้งผู้ลงนามก็คือ นายมาริโอ มีนาร์ รองประธานฝ่ายบริหารบริษัทสไตเออร์ ฉะนั้นย่อมมีความลึกซึ้งกับรายละเอียดของสัญญามากกว่าบุคคลใด ๆ ทั้งสิ้น
 
หลักฐานชิ้นที่ 2 หนังสือของ กทม.เลขที่ 1801/134 ลงวันที่ 18 พ.ย. 2548 ถึงนายมาริโอ มีนาร์ โดยในย่อหน้าสุดท้าย ได้ปฏิเสธการตรวจรับเรือดับเพลิง เพราะทราบว่า ผลิตที่พัทยา ตามข้อความต่อไปนี้
 
“After the Fire and Rescue Department, as the department in charge, inspected the Purchase/Sale Agreement and the company's letters, we found that the fireboat is not manufactured at the Seller's factory as indicated in the Purchase/Sale Agreement. We, therefore, request the company to proceed according to the Agreement.
(คำแปล...หลังจากสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม.ได้ตรวจสอบสัญญาซื้อขายแล้ว เราพบว่า เรือดับเพลิง ไม่ได้ผลิตที่โรงงานของบริษัทสไตเออร์ ตามที่ระบุไว้ในสัญญา ดังนั้นเราจึงขอให้บริษัทสไตเออร์ดำเนินการตามข้อตกลงในสัญญาด้วย)

 
หนังสือฉบับนี้ลงนามโดยนายนิยม  กรรณสูต ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กทม. เท่ากับบอกให้รู้ว่า กทม.เองก็รู้ดีอยู่ว่า ในสัญญากำหนดให้บริษัทสไตเออร์ต้องผลิตจากโรงงานของตัวเอง ซึ่งอยู่ในออสเตรีย แต่ในข้อเท็จจริง กลับเป็นการว่าจ้างให้บริษัทเซียทโบ๊ท พัทยา ประเทศไทย เป็นผู้ผลิต
 
คตส.มองไม่เห็นความผิดปกติเลยหรือว่า ทำไมต้องแก้ไขแอลซี จากเดิมที่กำหนดให้ส่งสินค้าจากยุโรปมายังประเทศไทย โดยเพิ่มข้อความ ให้บริษัทสไตเออร์ส่งจากประเทศไทยมายังประเทศไทยได้ และการแก้ไข แอลซี มีความสำคัญขนาดไหน ไม่ใช่เรื่องปลีกย่อยอย่างที่นายประเสริฐ บุญศรี ยกขึ้นมาอ้าง
 
แล้วทราบไหมว่า หลังจากเรื่องเรือดับเพลิงตกเป็นข่าวอื้อฉาวในประเทศไทย ผลที่ตามมาในประเทศออสเตรียก็คือ นายฮานส์ ไมเคิล มัลซาเชอร์ ประธานกรรมการบริษัทสไตเออร์ และนายคริส เตียน ฟูลช์ ประธานคณะกรรมการอำนวยการบริษัทสไตเออร์ ต้องพ้นจากตำแหน่ง
http://www.dailynews.co.th/dailynews/pages/front_th/popup_news/Default.aspx?Newsid=120527&NewsType=1&Template=2


อะจ๊าก คตส โดนเดลินิวส์น็อคแล้วหมัดนี้ บอกว่าแปลภาษาอังกฤษไม่ออกอีกละสิ
บันทึกการเข้า
samepong(ยุ่งแฮะ)
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,402



« ตอบ #40 เมื่อ: 13-03-2007, 09:53 »

ไปๆมาๆก็เล่น อภิรักษ์ ได้เรื่องเดียว คือ เปด l/c ไปทำไม ถ้าไม่เปิดก็จบแต่ไม่ยอมมองย้อนขึ้นไปว่าใครเป้ฯคนสั่งให้เปิด ใครเป้นคนออกหนังสือจากกระทรวงต่างๆมาเร่งให้เปิด

เราก็ยอมรับเถอะครับว่าอภิรักษ์ เปิด l/c จริงและก็ไม่ต้องโต้แย้งเรื่องอื่น เพราะเค้าไม่พูดถึง เพราะพูโปไม่โดนอภิรักษ์ เราเข้าใจคุณแล้วครับ คุณ ชอบแถ
บันทึกการเข้า

เวลาจะพิสูจน์ความเชื่อ สักวัน ไม่ว่าความเชื่อนั้นจะถูกหรือผิด ผมขอรับไว้ด้วยตัวเอง คิเสียว่าทำแล้วเสียใจดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ
หน้า: [1]
    กระโดดไป: