โปรดระวัง ...ข่าวนี้จะเป็นความจริง ..!!!!! ***************************************************
จับตามีนาเดือด!Posted by รวงข้าวล้อลม : 20:30:16 น.
จับตามีนาเดือด!
จับตามีนาเดือด!'บุญรอด'แฉน้ำเลี้ยงต่างปท.ปลุกม็อบทำสิ่งชั่วร้ายรมว.กลาโหมให้จับตาอย่ากะพริบ มีนาคม-เมษายนนี้ สถานการณ์จะร้อนแรง การเมืองหนุนม็อบมีน้ำเลี้ยงจากต่างประเทศสร้างสิ่งชั่วร้าย กองทัพเตรียมแผนปฐพี 149 รับมือบึ้มกรุง
"สุรยุทธ์" ให้คนกรุงทนอยู่ร่วมกับระเบิด อ้างโรคโลกาภิวัตน์ทุกประเทศเจอเหมือนกัน ข่าวกรองเตือน 10 มือระเบิดจากใต้ เตรียมลงมือ 13-15 มีนาคม ทูตสหรัฐแจ้นขอข้อมูล คมช. ประชุมวันนี้ล้ม "พีทีวี" เล่นงาน "จาตุรนต์" แต่ให้วิทยุเครือข่ายกองทัพบกถ่ายสด "ยามเฝ้าแผ่นดิน" ทุกคืนวันศุกร์เริ่ม 2 มีนาคม สถาบันพรรคไทยรักไทยเกรงใจ "หญิงอ้อ" เตรียมเก็บข้าวของย้ายที่ทำการพรรคใหม่
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2550 พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เชิญนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพบกระดับ 5 เสือ ทบ. ประกอบด้วย พล.อ.ไพศาล กตัญญู รอง ผบ.ทบ. พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. และ พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ เสนาธิการทหารบก เข้าหารือที่กองบัญชาการกองทัพบก ถึงมาตรการป้องกันการก่อความไม่สงบในกรุงเทพฯ ช่วงวันมาฆบูชา และวันสงกรานต์ หลังเกิดกระแสข่าวสะพัดว่ามีกลุ่มมือระเบิดจากภาคใต้เตรียมลงมือในวันดังกล่าว
พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก คมช.แถลงข่าวถึงมือระเบิดจากภาคใต้ว่า เป็นเพียงข่าวลือและไม่เป็นข้อเท็จจริงที่สามารถยืนยันได้ เพราะข้อมูลข่าวที่ได้รับกลุ่มที่เดินทางมาจากภาคใต้เป็นเพียงกลุ่มที่เดินทางมาเพื่อเผยแผ่ศาสนาเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายในกรุงเทพฯ ขอให้ประชาชนมั่นใจในเรื่องความปลอดภัย
อย่างไรก็ตามมีรายงานว่า หน่วยงานด้านการข่าวตรวจพบว่ามีกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้เดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ ประมาณ 10 คน ซึ่งมีข้อมูลว่ากลุ่มคนดังกล่าวเตรียมการที่จะก่อเหตุร้ายครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ ในระหว่างวันที่ 13 -15 มีนาคมนี้ โดยเฉพาะในวันที่ 13 มีนาคม ซึ่งเป็นวันสถาปนากลุ่มบีอาร์เอ็น และวันที่ 14 มีนาคมที่เป็นวันละหมาดใหญ่ในกรุงเทพฯ ทั้งนี้ กลุ่มคนร้ายมีแผนที่จะก่อเหตุลอบวางระเบิดในพื้นที่สำคัญในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเฉพาะบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งเป้าหมายส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เดิมที่คนร้ายก่อเหตุในวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา
พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวว่า มาตรการรับมือเหตุการณ์ร้ายในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล กองทัพบกมีการประชุมเตรียมการรับมืออยู่แล้ว คือ แผนปฐพี 149 ซึ่งเป็นแผนต่อเนื่องจากการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ และมีการพัฒนามาตลอด ซึ่งการรับมือเหตุร้ายกองทัพได้เพิ่มมาตรการและเน้นย้ำมากขึ้น ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญคือไม่ใช่ว่าเหตุร้ายจะเกิดเมื่อไหร่ คำถามที่ทุกคนต้องสนใจคือ หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นจะทำอย่างไร เราต้องแก้ปัญหาให้ได้ และจับกุมผู้กระทำผิดให้ได้
"เราต้องย้อนกลับไปดูมาตรการรักษาความปลอดภัย ทั้งการตรวจตรา เช็กกล้อง เฝ้าระวังในพื้นที่ต่างๆ ทุกอย่างต้องปรับปรุงให้รัดกุม เพราะที่ผ่านมาเป็นบทเรียนว่า เราไม่ได้เตรียมการให้ดีที่จะเผชิญภัยต่างๆ ขณะนี้รัฐบาลและส่วนราชการกำลังดำเนินการเรื่องนี้อยู่ ขณะนี้เราเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ แต่ประชาชนต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา" แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าว
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 26 ก.พ. พล.ต.อ.อิสระพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร. (กศ.) เปิดเผยว่า วันที่ 27 กุมภาพันธ์ เวลา 14.00 น. เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำเทศไทยจะเดินทางเข้าพบ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส รักษาการ ผบ.ตร. เพื่อเยี่ยมคารวะและจะมีการหารือถึงสถานการณ์ต่างๆ รวมทั้งกรณีที่หน่วยงานด้านการข่าวได้แจ้งเตือน เรื่องการก่อวินาศกรรมใน กทม.ช่วงวันมาฆบูชาและวันสงกรานต์ไปก่อนหน้านี้ด้วย อย่างไรก็ตามได้ยืนยันไปทางสถานทูตต่างๆ แล้วว่า เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายจะทำร้ายชาวต่างชาติ ซึ่งเรื่องนี้อยู่ระหว่างการหารือ ว่าอาจจะต้องมีการแถลงข่าวให้ชัดเจนอีกครั้ง
พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงที่มีข่าวว่ามีกลุ่มม็อบต่างๆ ในพื้นที่เริ่มเคลื่อนไหวว่า การเมืองภายในอยู่เบื้องหลัง ในสิ่งชั่วร้ายทั้งหมดทั้งปวงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ต้องการให้บ้านเมืองเกิดความระส่ำระสาย ขอให้ทุกคนอดทน และมองปรากฏการณ์ต่างๆ อย่างรอบคอบ ม็อบเหล่านี้ก็ต้องเริ่มสู้ตั้งแต่บัดนี้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามที่เขาต้องการ เขากำลังเพลี่ยงพล้ำก่อนที่รัฐธรรมนูญกำลังจะออกมา ทั้งหมดมันเชื่อมโยงกันทั้งในต่างจังหวัดและใน กทม. โดยมีน้ำเลี้ยงมาจากข้างนอกประเทศ ทางข้างในจะไปไหนก็ไปไม่ได้ด้วย ปรากฏการณ์ตรงนี้จึงเป็นความเชื่อมโยงจากในเมืองไทยและนอกประเทศไทย
ถามว่าอย่างกรณีพีทีวิเกี่ยวข้องหรือไม่ รมว.กลาโหมตอบว่า ก็ด้วย ใครๆ ก็รู้ ฝ่ายตรงข้ามพยายามจุดให้ติด และก็กำลังพยายามจุดในช่วงนี้ ผมขอฝากทิ้งท้ายไว้ว่า มีนาคมถึงเมษายนนี้ อย่ากะพริบตาเด็ดขาด เพราะสถานการณ์จะร้อนแรงที่ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธถึงการบรรยายสรุปของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ว่า ไม่ได้มีการพูดถึงการแจ้งเตือนให้ระมัดระวังเหตุระเบิดในพื้นที่กรุงเทพฯ
"อย่างที่เรียนแล้วถ้าเราพยายามที่จะช่วยกันดูแลก็จะเกิดความปลอดภัย และสิ่งใดที่เราจะต้องยอมอดทนและช่วยกันในช่วงนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่ต้องดำเนินการ เพราะในทุกๆ ประเทศก็จะมีปัญหาตรงนี้เช่นเดียวกับเรา เพราะเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นไม่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ประเทศอื่นๆ ที่มีการใช้วัตถุระเบิดก็เกิดขึ้นเสมอ"
เมื่อถามว่าจะให้ความมั่นใจกับประชาชนอย่างไร นายกฯ ตอบว่า ในส่วนนี้เราให้ความมั่นใจว่าถ้าประชาชนร่วมมือ เข้าใจ ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะน้อยลง คือไม่มีอันตรายเกิดขึ้น เราอาจจะไม่ค่อยสะดวก ธุรกิจอาจจะไม่ค่อยสู้จะดีนัก แต่ถ้าผู้คนของเราไม่เสียชีวิต มีความปลอดภัย นั่นก็คือเป้าหมายที่คิดว่าเราคงจะคิดร่วมกันตรงนี้ได้
ซักว่าภาวะความไม่แน่นอนจะอยู่ในกรุงเทพฯ อีกนานแค่ไหน พล.อ.สุรยุทธ์บอกว่า ตราบใดที่ภัยรูปแบบใหม่นี้ยังอยู่ ตนคิดว่าเราต้องอยู่กับสิ่งเหล่านี้ เราไม่แน่ใจว่าการใช้วัตถุระเบิดนั้นจะยุติลงในระยะเวลาสั้นๆ เพราะจากหลายๆ แห่ง หลายๆ พื้นที่ทั่วโลก แนวโน้มในลักษณะเช่นนี้ยังมีอยู่ ฉะนั้นพูดกันได้ว่าโรคนี้มันมาพร้อมกับโลกาภิวัตน์
นายกฯ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการมอบนโยบายในการดำเนินการ กรณีที่พีทีวียืนยันว่าจะแพร่ภาพในวันที่ 1 มีนาคมนี้ว่าทำตามกฎหมาย ตนคิดว่ามีกฎหมายอะไรที่ทางส่วนราชการเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งดูแลเรื่องเหล่านี้ท่านจะต้องทำตามกฎหมายเมื่อถามว่า ข้ออ้างของพีทีวีคือการทำลักษณะเดียวกับเอเอสทีวี การห้ามออกอากาศจะเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ย้ำว่าขอให้มีการชี้กันโดยอาศัยกฎหมาย ตนไม่ได้เป็นผู้ตัดสินทางกฎหมาย ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลก็เพียงแต่ขอให้ใช้กฎหมายเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินเท่านั้นเอง"ผมคิดว่าคงไม่วิกฤติ เอากันว่าบ้านเมืองของเราถ้าเราเห็นแก่ประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนน้อยกว่าประโยชน์ส่วนรวม บ้านเมืองก็จะดีขึ้น ถ้าพวกเราเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่ามันก็ไม่มีทาง"
เมื่อถามถึงโพลล์ที่ระบุว่าประชาชนอยากให้ปิดทั้งสองสถานี นายกฯ กล่าวว่า อยู่ที่กฎหมาย โพลล์ไม่ได้ตัดสินอะไรทุกอย่างด้วยตัวเอง ต้องอยู่ที่กฎหมาย บ้านเมืองของเราถ้ายึดกฎเกณฑ์ กติกา และอาศัยกฎหมายเป็นเครื่องตัดสินคิดว่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ รองประธานกรรมการบริหารสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมพีทีวี กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการออกอากาศในวันที่ 1 มีนาคมว่าวันที่ 28 กุมภาพันธ์จะมีการทดสอบสัญญาณก่อนออกอากาศจริงในวันที่ 1 มีนาคม ยืนยันว่าไม่เคยกลัวจะถูกดำเนินคดีทันทีที่ออกอากาศ เพราะมั่นใจว่าทำตามกฎหมายทุกอย่าง และหากดำเนินการกับพีทีวีก็ต้องทำกับเอเอสทีวีด้วย ขณะนี้เราได้จัดเตรียมฝ่ายกฎหมายไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ขอเปิดเผยชื่อ ซึ่งจะเตรียมข้อมูลเพื่อไปร้องต่อศาลปกครอง โดยเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับลักษณะการดำเนินการของเอเอสทีวี ผู้สื่อข่าวถามว่า นายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จะมาจัดรายการด้วยหรือไม่ นายจตุพรตอบว่า เบื้องต้นนายสมัครตอบร่วมจัดรายการแล้ว แต่ในช่วงแรกจะเป็นการจัดรายการอาหารตามที่นายสมัครถนัดก่อน ส่วนเรื่องการวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองนั้น ขณะนี้กำลังหารือกันอยู่
ด้านนายปราโมช รัฐวินิจ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ยืนยันว่าหากพีทีวีออกอากาศในวันที่ 1 มีนาคมจริง ก็จำเป็นต้องดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมาย เพราะในฐานะเจ้าพนักงานที่ออกใบอนุญาต หากมีการดำเนินการใดๆ ที่ไม่ถูกกฎหมาย เราก็จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมายทุกประการ ขณะนี้เจ้าหน้าที่ของกรมกำลังรวบรวมข้อมูลและประสานงานกันว่าจะหาทางดำเนินการอย่างไรกับทีวีช่องดังกล่าว โดยเบื้องต้นจะมีการชี้แจงทำความเข้าใจว่าตอนนี้ยังมีกฎเกณฑ์ที่ไม่สามารถอนุญาตให้ผู้ผลิตรายการพีทีวีดำเนินกิจการ
อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ยืนยันว่า ช่องพีทีวีไม่สามารถจะจัดตั้งสถานีได้ หากจะเทียบกับเอเอสทีวีนั้น ช่องนี้เขามีกระบวนการผลิตแล้วส่งสัญญาณออกไปต่างประเทศ ก็มีลักษณะแตกต่างกันไป โดยเนื้อหาเหล่านี้จะให้เจ้าหน้าที่รวบรวมข้อมูลมาดำเนินการให้เร็วที่สุด อาจจะแล้วเสร็จภายใน 1-2 วันนี้ เพราะมีข้อมูลปรากฏอยู่ตามโปสเตอร์ คัตเอาต์ หรือการแถลงข่าว
"ผมพูดจากใจจริงที่เป็นคนสนิทชิดเชื้อและรู้จักมักคุ้น ก็อยากทำความเข้าใจในฐานะเจ้าหน้าที่พนักงานไม่มีอำนาจที่จะออกใบอนุญาต เพราะกฎหมายเขียนห้ามไว้ 100 เปอร์เซ็นต์ เราเห็นภาพ เราเห็นกระบวนการพัฒนาในการรับรู้ข่าวสาร ที่มีเทคโนโลยีได้เจริญเติบโตไปมาก แต่กฎหมายไม่เปิดช่องให้ ขอฝากไปยังผู้มีอำนาจในการผลักดันให้เกิด กสช.โดยเร็ว รวมถึงควรแก้ไขกฎหมายให้เจ้าหน้าที่พนักงานทำงานง่ายขึ้น"
สำหรับความชัดเจนในการฟ้องร้องสถานีเอเอสทีวีนั้น นายปราโมชกล่าวว่า ขณะนี้กรมประชาสัมพันธ์ได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะเห็นว่ามีการละเมิดกฎหมายเกิดขึ้น จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำสำนวนคดีไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งอยู่ในอำนาจของอัยการสูงสุดจะเป็นผู้ดำเนินการว่า จะฟ้องหรือไม่ฟ้องอย่างไร ขณะนี้ทราบว่ายังไม่มีการฟ้องร้องดำเนินคดี มีเพียงการแจ้งกล่าวโทษ
"ผมกังวลว่าทีวีที่ออกอากาศทางช่องดาวเทียมอื่นๆ อาจจะมาเรียกร้องสิทธิ เพื่อให้ได้ออกอากาศเหมือนกับเอเอสทีวี เพราะถ้าเขาออกมาเรียกร้องกว่า 50 คนหรือมากกว่านั้น เพื่อขอทำสิ่งเดียวกัน บ้านนี้เมืองนี้จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าทุกคนบอกว่ามีอิสระเสรีและหลายคนก็มีกำลังเงิน กำลังลงทุน พอที่จะดำเนินการได้ทันที จะเปิดออกมาอีกร้อยช่อง ถามว่าความถูกต้องของบ้านเมืองนี้จะไปอย่างไร" นายปราโมชกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานภายหลัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสถานีโทรทัศน์และวิทยุกองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) ที่ ททบ.5 สนามเป้าว่า พล.อ.สนธิในฐานะประธานบอร์ด ช่อง 5 ได้มีคำสั่งเร่งด่วน สั่งการให้สถานีวิทยุ ภายใต้สังกัดกองทัพบกทั่วประเทศ โดยเฉพาะในช่องส่งสัญญาณเอเอ็ม ให้ถ่ายทอดสัญญาณเสียงรายการยามเฝ้าแผ่นดิน ที่จัดรายการโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกอากาศทุกคืนวันศุกร์ เวลา 20.30 ถึง 21.00 น. ไม่มีกำหนด โดยเริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 2 มีนาคมนี้เป็นต้นไป
นายอาทร จุลโลบล ผู้ผลิตรายการเที่ยวไทยไปกับ ททท. ทาง จส.1 สเตอริโอ เอเอ็ม 657 กล่าวเบื้องต้น ได้รับทราบจากทางสถานี ซึ่งพร้อมให้ความร่วมมืออย่างดี แต่อยากให้ทางสถานีดำเนินการส่งสำเนาคำสั่งมายังตน เพื่อที่จะได้เป็นข้อมูลอ้างเหตุผลให้กับผู้สนับสนุนรายการ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ส่วนตัวในฐานะผู้ผลิตพร้อมให้ความร่วมมือกับทางสถานี
ทั้งนี้การประชุมระหว่าง ผบ.ทบ. รองผู้บัญชาการทหารบก ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และเสนาธิการทหารบก หารือเกี่ยวกับมาตรการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ และมาตรการในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย โดยในการประชุมครั้งนี้จะนำเรื่องการเคลื่อนไหวของนายจาตุรนต์ และการเปิดสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมพีทีวี ของอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทยมาหารือด้วย เพื่อนำข้อสรุปที่ได้ไปเสนอในที่ประชุม คมช.วันที่ 27 กุมภาพันธ์ต่อไป
มีรายงานว่าในเบื้องต้นสมาชิก คมช.หลายคนมีความเห็นพ้องต้องกันว่า สถานีโทรทัศน์พีทีวีไม่สามารถที่จะให้มีการออกอากาศได้ เพราะอาจจะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย แตกแยกของประชาชนในสังคมอย่างแน่นอน หากมีการแพร่ภาพออกอากาศขึ้นมาคงจะไปให้ยุติการออกอากาศเป็นเรื่องที่ลำบาก เช่นเดียวกับกรณีของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี นอกจากนี้ พล.อ.สนธิได้มีการหารือเรื่องดังกล่าวกับ พล.อ.สุรยุทธ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม หากสถานีโทรทัศน์พีทีวียังพยายามจะเผยแพร่ข่าวในวันที่ 1 มีนาคมตามที่แถลงข่าวเปิดตัวไปแล้วนั้น เป็นการทำผิดกฎหมายในด้านการครอบครองเครื่องมือที่จัดหามาโดยไม่ได้รับอนุญาต
ที่บ้านพิษณุโลก พล.อ.สุรยุทธ์รับประทานอาหารกลางวันกับคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติ (วิป สนช.) และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในปัญหาต่างๆ ร่วมกัน นายประสิทธิ์ โฆวิไลกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า มีการหารือว่าจะทำอย่างไรให้การประสานงานระหว่าง สนช.และรัฐบาลเป็นไปด้วยความราบรื่น โดยเฉพาะการเสนอกฎหมาย แต่ไม่มีการหารือกรณีที่นายธีรยุทธออกมาวิพากษ์วิจารณ์ แต่ความเห็นของนายธีรยุทธก็คงเป็นความคิดเห็นของนายธีรยุทธ ที่เราก็คงรับฟังเอาไว้ เรื่องนี้ทางฝ่ายประชาสัมพันธ์เขาจะให้ข้อมูลนายธีรยุทธบ้างก็คงจะดี
"ผมเข้าใจว่าหลายเรื่องที่รัฐบาลและหลายๆ กระทรวงได้ทำไปแล้ว ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรบางอย่างที่คุณธีรยุทธอาจจะไม่รู้ ซึ่งมีกฎหมายส่วนหนึ่งที่ผมไม่ได้ชี้แจง แต่ทำไปเรื่อยๆ คือกฎหมายเกี่ยวกับจริยธรรม ศีลธรรม ธรรมาภิบาล และกฎหมายที่ป้องปรามเกี่ยวกับทุจริต ซึ่งผมก็ไม่ได้คุยกับสื่อมวลชนเลย แต่อนาคตข้างหน้าอาจจะรอทำให้เสร็จก่อนแล้วจึงจะแถลงต่อไป" นายประสิทธิ์กล่าว
การออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของนายธีรยุทธนั้น แหล่งข่าวใกล้ชิด พล.อ.สุรยุทธ์ เปิดเผยว่า ช่วงนี้นายกฯ ค่อนข้างเครียดกับงาน ซึ่งในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา นายกฯ ถึงกับไม่อยากรับฟังข้อเสนอแนะของบุคคลใกล้ชิด และไม่อ่านหนังสือพิมพ์ เพราะก่อนหน้านี้ พล.อ.สุรยุทธ์มีความเครียดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จากกระแสความนิยมที่ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง และกรณีต่อต้านการแต่งตั้งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการประสานงานและกระชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ระหว่างการประชุมร่วมกับวิป สนช. พล.อ.สุรยุทธ์ได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวด้วยว่า ยอมรับข้อวิพากษ์วิจารณ์ของนายธีรยุทธ เพราะคิดว่านายธีรยุทธเสนอแนะด้วยความปรารถนา ไม่ได้วิจารณ์ในทางที่เสียหาย โดยรัฐบาลจะนำข้อเสนอเหล่านี้ไปพิจารณาและปรับทิศทางการทำงานให้ดีขึ้น โดยประเด็นดังกล่าวนี้ สนช.หลายคนก็แสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย ซึ่งหลายคนกล่าวกับนายกฯ ว่า ข้อเสนอของนายธีรยุทธครั้งนี้ ถือเป็นกระจกเงาสะท้อนการทำงานรัฐบาลและ คมช.ให้ปรับปรุงตัว และ พล.อ.สุรยุทธ์ก็รับไว้พิจารณา เพราะรัฐบาลได้เตรียมใจไว้แล้ว ซึ่งรัฐบาลจะพยายามเร่งประชาสัมพันธ์งานต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ว่ารัฐบาลได้ทำอะไรไปบ้าง
ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงฉายาฤๅษีเลี้ยงเต่าว่า เป็นความเห็นของนักวิชาการ ซึ่งรัฐบาลยินดีรับฟัง คำวิพากษ์วิจารณ์ ติติง ต่างๆ อยู่แล้ว เพราะนายธีรยุทธถือเป็นนักวิชาการอาวุโส แต่ขอแย้งว่าการทำงานของ พล.อ.สุรยุทธ์มีความรวดเร็วและรอบคอบ นโยบายหลักของรัฐบาล คือการยึดความเป็นธรรมใน 4 ป.
เมื่อถามว่าจะมีเรื่องไหนบ้างที่คิดว่าจะปรับปรุงจากข้อเสนอของนักวิชาการ โฆษกประจำสำนักนายกฯ ตอบว่า ส่วนใหญ่ก็ทำไปแล้วเพียงแต่การเน้นย้ำบางเรื่อง เช่น การสานสัมพันธ์กับมวลชนนั้น ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปเพราะบางพื้นที่อาจจะล่อแหลม แต่ก็มีทีมงานถึง 88 ทีม สิ่งต่างๆ ที่แนะนำมาก็ดำเนินการอยู่ รัฐบาลก็ยินดีรับฟังความคิดเห็นมาโดยตลอด รวมถึงข้อเสนอแนะจากสื่อมวลชนด้วย
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เหรัญญิกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า แม้ว่าขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะเงียบหายไปหลังจากบอกว่าจะยุติบทบาททางการเมืองตลอดชีวิตนี้ แต่ข้อเท็จจริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่เลิกจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์
เขาบอกว่ามีเอกสารของบริษัท บาร์เบอร์ กริฟฟิธ แอนด์ โรเจอร์ส ที่เป็นบริษัทล็อบบี้ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณเคยจ้างตั้งแต่สมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรี และจนถึงขณะนี้ยังเดินหน้าต่อไป โดยได้รายงานต่อรัฐสภาสหรัฐเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 50 ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้จ่ายเงินค่าล็อบบี้ในช่วง 3 เดือนตั้งแต่ 7 กันยายน-31 ธันวาคม 2549 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 160,000 ดอลลาร์สหรัฐ จึงถือเป็นข้อชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังเหมือนเดิมคือพูดอย่างหนึ่ง แต่ทำอีกอย่างหนึ่ง
วันเดียวกันนี้มีความเคลื่อนไหวที่พรรคไทยรักไทยอย่างคึกคัก มีการแต่งตั้งบุคลากรเพื่อขับเคลื่อนตามยุทธศาสตร์เตรียมการลงสมัครรับเลือกตั้ง ที่คาดว่าจะมีขึ้นช่วงปลายปีนี้ ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกคณะทำงานจัดการบริหารพรรคไทยรักไทย แถลงข่าวว่าพรรคได้แต่งตั้งผู้อำนวยการภาคเขตเลือกตั้งต่างๆ ประกอบด้วย ภาคใต้มีนายสุธรรม แสงประทุม เป็น ผอ. ภาค กทม. มีนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เป็น ผอ.ภาค ภาคกลาง นายปองพล อดิเรกสาร เป็น ผอ.ภาค และมีนายไชยยศ สะสมทรัพย์ เป็นที่ปรึกษา ภาคเหนือมีนางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ เป็น ผอ.ภาค และภาคอีสานมีนายจำลอง ครุฑขุนทด เป็น ผอ.ภาค นายประจวบ ไชยสาส์น เป็นที่ปรึกษา
นอกจากนี้พรรคยังปรับเปลี่ยนทีมงานโฆษกของพรรค เพราะหลังจากที่นายวีระ มุสิกพงศ์ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ลาออกไปทำสถานีโทรทัศน์พีทีวี ทำให้งานประชาสัมพันธ์ของพรรคว่างลง จึงได้แต่งตั้งนายสุธรรมเป็นหัวหน้าทีมประชาสัมพันธ์แทน จากนี้ไปแนวทางการให้ข่าวในนามของพรรคนั้นจะออกมาจากนายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รักษาการเลขาธิการพรรค และประธานคณะทำงานชุดต่างๆ หรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากบุคคลข้างตนในกรณีพิเศษเท่านั้น ดังนั้นการให้ข่าวของบุคคลอื่นที่นอกเหนือจากนี้ถือเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัว
เขาบอกว่าสาเหตุที่ไม่มีชื่อของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นั้น เนื่องจากต้องการลดบทบาททางการเมืองในขณะนี้ แต่แกนนำพรรคบางคนที่ไม่มีรายชื่อข้างต้นก็ยังช่วยทำงาน เพียงแต่ยังไม่พร้อมที่จะเปิดตัว หรือเข้ามาช่วยงานพรรคเต็มรูปแบบ
ด้านนายปองพล อดิเรกสาร ประธานคณะทำงานพัฒนาพรรคไทยรักไทย แถลงว่า จากการหารือที่ผ่านมาของสมาชิกพรรคส่วนใหญ่นั้น เห็นตรงกันว่าควรย้ายที่ทำการพรรคไทยรักไทย เพราะสถานที่ปัจจุบันมีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทยเป็นเจ้าของ ซึ่งให้พรรคเช่าใช้อยู่ แต่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและพรรคต้องการจะพัฒนาให้เป็นสถาบันทางการเมือง จึงจำเป็นต้องมีสถานที่ทำการเป็นของตัวเอง
"ขณะนี้มีสมาชิกเสนอที่ให้พิจารณา 2- 3 แห่ง แต่ไม่ใช่สถานที่ทำการพรรคเดิมที่ถนนนางเลิ้งและถนนราชวิถี โดยเราจะเร่งตัดสินใจในเร็วๆ นี้ คาดว่าไม่เกินเดือนเมษายนจะสามารถย้ายได้ และเมื่อได้ความชัดเจนแล้วจะแจ้งให้คุณหญิงพจมานทราบต่อไป ยืนยันว่าการย้ายที่ทำการพรรคครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อตัดความสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน แต่เป็นเรื่องของมารยาทและความเกรงใจ การทำงานการเมืองจะมาใช้ที่ดินส่วนตัวของคุณหญิงพจมานนั้นถือว่าไม่เหมาะสม ประกอบกับที่ทำการปัจจุบันมีขนาดใหญ่และมีค่าใช้จ่ายที่สูง"
นายปองพลยืนยันว่า การเดินสายในภาคอีสานและเหนือของนายจาตุรนต์ ทำทุกอย่างถูกต้องตามธรรมนูญชั่วคราว เราไม่ได้ไปในนามของพรรคแต่เป็นการทำหน้าที่ในฐานะนักการเมือง และฐานะคนไทยคนหนึ่งที่มีสิทธิเสรีภาพ อีกทั้งขณะนี้สภาร่างรัฐธรรมนูญ ก็อยู่ระหว่างเปิดโอกาสรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญ เราจึงเห็นว่าเป็นหน้าที่ของนักการเมืองที่ต้องพบปะสมาชิกพรรคเพื่อรับฟังความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าว สิ่งที่เราทำทั้งหมดเป็นเรื่องสร้างสรรค์ทั้งนั้น
แต่นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) มองว่านายจาตุรนต์ จะต่อต้านรัฐประหารไม่เห็นด้วยกับ คมช.ก็เป็นสิทธิของนายจาตุรนต์และแสดงออกตรงไปตรงมาก็ย่อมได้ แต่ไม่ควรปลุกปั่นประชาชนด้วยนโยบายที่หลอกลวงและสร้างปัญหา ถ้าจะทำเช่นนั้นจริงก็ควรให้ข้อมูลทั้ง 2 ด้านแก่ประชาชน ไม่เช่นนั้นก็ถือว่าจับเอาประชาชนที่เสพติดนโยบายประชานิยมมาเป็นตัวประกัน เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น สุดท้ายก็จะทำให้ประชาชนสับสนและสร้างวิกฤติเรื้อรังไม่รู้จบ
"เราเคยเชื่อว่าคุณจาตรุนต์ จะทบทวนนโยบายหรือยุทธศาสตร์พรรคที่ทำให้สังคมแตกแยก แต่มาวันนี้กลับเห็นชัดเจนว่ากลายเป็นทายาททางการเมืองของคุณทักษิณไปเรียบร้อยแล้ว โดยส่วนตัวผมไม่เชื่อว่าคุณจาตุรนต์ ในฐานะนักการเมืองอาชีพจะมองไม่เห็นปัญหาเหล่านี้ แต่อาจเป็นเพราะด้านหนึ่งอึดอัดกับการรัฐประหาร และพยายามหาวิธีต้านรัฐประหารและ คมช. ซึ่งคุณจาตุรนต์มีทางเลือกมากมาย เช่น เปลี่ยนนโยบายพรรค หรือตั้งพรรคใหม่ ลาออกจากพรรคไทยรักไทยมานำมวลชนต้านรัฐประหาร หรือเข้าร่วมกับกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการหรือกลุ่มพิราบขาวก็ทำได้ แต่กลับไปใช้วิธีเสแสร้งไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อวิญญาณความเป็นนักการเมืองอาชีพของตัวเอง"
ที่ทำการกลุ่มมัชฌิมา เชิงสะพานซังฮี้ วันเดียวกันนี้คักคักไม่แพ้กัน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน หัวหน้ากลุ่มมัชฌิมาเรียกประชุมสมาชิกกลุ่ม และแถลงข่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมว่า ที่ประชุมได้ให้ความสำคัญต่อการสร้างวินัยของคนในชาติ เราเตรียมความพร้อมในประเด็นนี้ เพราะหากมีสิ่งนี้แล้วจะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้มากมาย โดยกลุ่มมัชฌิมาได้วิเคราะห์แล้วเห็นว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นเร็วกว่าที่คิดไว้ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่รับรู้ได้ของคนที่เป็นนักการเมือง เนื่องจากมีปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกัน และชาวบ้านก็ยังมองกันว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่มีนโยบายอะไรออกมาระยะหนึ่งแล้ว
นายสมศักดิ์กล่าวว่า กรณีที่ พล.อ.สุรยุทธ์เกรงว่าการเลือกตั้งจะไม่ทันปีนี้นั้น ไม่เป็นไร เราได้กำชับสมาชิกทุกคนให้ทำการบ้านเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะหากมีการเลือกตั้งเร็วแล้วไม่ไปชี้แจงหรือบอกเหตุผลที่ลาออกจากพรรคไทยรักไทย อาจทำให้แพ้การเลือกตั้งได้ สำหรับนโยบายของกลุ่มมัชฌิมานั้น เขายอมรับว่าจะมีการนำบางส่วนของพรรคไทยรักไทยที่เป็นสิ่งที่ดี และเคยร่วมกันทำกับพรรคไทยรักไทยมาปรับใช้ รวมทั้งสร้างนโยบายใหม่ๆ ซึ่งบางทีชื่ออาจจะเหมือนกัน แต่รายละเอียดจะเปลี่ยนไปบ้าง
"ถ้าไม่นำนโยบายของพรรคไทยรักไทยมาใช้แล้วจะให้ทำอะไร เพราะนโยบายเก่ามันครอบจักรวาลไว้หมดแล้ว" นายสมศักดิ์ตอบคำถามที่ว่าจะชี้แจงกับชาวบ้านอย่างไรที่ลาออกจากพรรคไทยรักไทย และจะทำอย่างไรไม่ให้ถูกมองว่านำนโยบายพรรคไทยรักไทยมาใช้
ส่วนกรณีที่นายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่าพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นใหม่มักจะตั้งชื่ออิงศาสนานั้น นายสมศักดิ์ตอบว่า วันนี้มีความขัดแย้งรุนแรงเกิดขึ้นจึงมีการยึดศาสนาไว้เป็นที่ตั้ง
เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่ระบุว่านายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะตั้งกลุ่มธรรมาธิปไตยขึ้น หัวหน้ากลุ่มมัชฌิมาตอบว่า ไม่มีกลุ่มธรรมาธิปไตยแน่นอน ที่ผ่านมานายสมคิดเป็นคนอิสระ มีหลายคนสนับสนุนให้เล่นการเมือง รวมทั้งตนด้วย ยืนยันมีการติดต่อกันตลอด นอกจากนี้ถ้าจะมีการตั้งกลุ่มธรรมาธิปไตยเป็นพรรคการเมืองจริง แต่คงจะทำไม่ได้ เพราะเท่าที่ตรวจสอบไปยัง กกต.นั้น พบว่ามีคนจดแจ้งชื่อพรรคธรรมาธิปไตยไว้แล้ว ซึ่งคนที่เอาเรื่องนี้มาพูดน่าจะไม่เข้าใจรายละเอียดจึงออกมาพูด
ขณะที่นายพิมล ศรีวิกรม์ ผู้ใกล้ชิดนายสมคิด ซึ่งเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย กล่าวว่า ตนมาช่วยงานเรื่องเศรษฐกิจ เพราะนายสมคิดส่งให้ตนและทีมงานประมาณ 10 คนมาช่วยดูแลด้านเศรษฐกิจให้ ส่วนอนาคตทางการเมืองของนายสมคิดนั้น ตนไม่ขอออกความเห็น น่าจะไปถามนายสมคิดเอง.
http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&post_date=27/Feb/2550&news_id=138580&cat_id=501