เส้นทางรวย (พันล้าน).."บุญคลี ปลั่งศิริ" มือขวาธุรกิจ "ทักษิณ" แม่ทัพใหญ่ "ชินคอร์ป"
"กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" เปิดเส้นทางรวยของ "คลี" อัศวินบนหลังอาน (ม้า) "ชินคอร์ป" ผู้ที่ร่ำรวยในระดับที่ไม่ธรรมดา เขาคือ "แม่ทัพใหญ่" ทางด้านธุรกิจ ของครอบครัวชินวัตร ผู้อยู่เบื้องหลังดีลประวัติศาสตร์ ขายหุ้น "ชินคอร์ป" ให้กับนายกฯทักษิณ มูลค่า 73,271 ล้านบาท
ในทางการเมือง "หมอมิ้ง" น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช คือ คนสนิทที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" และ หลังบ้าน "คุณหญิงพจมาน ชินวัตร" ไว้วางใจลำดับต้นๆ จนอาจกล่าวได้ว่า เป็น "ขุนพลมือขวา"
แต่ในทางธุรกิจ "คลี" บุญคลี ปลั่งศิริ" คือ "แม่ทัพใหญ่" ที่ช่วยให้ครอบครัวชินวัตร บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ..จนกลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวย (เงินสด) มากที่สุดในประเทศไทย
ภายใต้ระบบทักษิณ เพียงแค่ 5 ปี (2544-2548) "บุญคลี" สร้างอาณาจักร "ชินคอร์ป" จนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำกำไรในกลุ่มเติบโตขึ้นเกือบ 5 เท่าตัว มาร์เก็ตแคป (หุ้น) เพิ่มขึ้นกว่า 2 แสนล้านบาท
ทั้งหมดเป็นผลพวงจาก "ผลประโยชน์ทับซ้อน" ทุกรูปแบบ ใช้อำนาจการเมือง "แฝงเร้น" เข้ามาช่วยโอบอุ้มธุรกิจ ไม่เพียงเท่านั้น "บุญคลี" ยังแทรกตัวเองเข้าไปเป็น "แกนกลาง" สร้าง "คอนเน็คชั่น" ในกลุ่มเพื่อนวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน รุ่นปี 2544 หรือ "วปรอ.4414" ปีเดียวกันกับที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และพยายามวางรากฐานคนของตัวเองแทรกซึมเข้าไปสร้างสัมพันธ์กับ นายทหารระดับสูง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ข้าราชการการเมือง และนักธุรกิจทุกแขนงอาชีพ (ตามที่ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek เคยนำเสนอไปแล้วหลายฉบับ)
มีเรื่องเล่าขานในอดีตว่า "บุญคลี" รู้จักกับนายกฯทักษิณ มาตั้งแต่สมัยยังเป็น "บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์" (ปัจจุบัน คือ บ.ชิน คอร์ปอเรชั่น) ขณะนั้นยังทำธุรกิจให้เช่า และขายคอมพิวเตอร์ ให้กับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
ช่วงนั้น "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เข้าร่วมประมูลจัดซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ของ การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท) "ทักษิณ" จึงได้พบกับ "บุญคลี" ซึ่งเรียนจบปริญญาโทวิศวกรรมศาสตร์ (คอมพิวเตอร์) จากมหาวิทยาลัย อิลินอยส์ สหรัฐอเมริกา กลับมาทำงานที่การสื่อสารฯ ได้ไม่นาน และได้คุมงานประมูลกำหนด "สเปค" อุปกรณ์คอมพิวเตอร์พอดี
กล่าวกันว่า "บุญคลี" มีรถยุโรปราคานับล้านขับ มาตั้งแต่สมัยเป็นข้าราชการเล็กๆ เขาไต่เต้าขึ้นอย่างรวดเร็วในตำแหน่ง ผู้อำนวยการกองโทรศัพท์ระหว่างประเทศ การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.)
โดยไม่มีใครรู้ว่าสายสัมพันธ์ระหว่างเขา และนายกฯทักษิณ ครั้งนั้นได้พัฒนากลายมาเป็น "อัศวิน" บนหลังอานม้า (ชินคอร์ป) เป็นสุดยอด "ซีอีโอ" ผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับ "ครอบครัวชินวัตร"
บ้างก็ว่า "บุญคลี" เก่งตรงที่ เขาสามารถเป็น "สะพานเชื่อม" จากธุรกิจระบบอุปถัมภ์ ไปสู่ธุรกิจสมัยใหม่ได้อย่างยืดหยุ่น และกลมกลืนกับทุกสถานการณ์
"บุญคลี" เป็นคนแปดริ้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา เติบโตมาจากครอบครัวคนจีน แซ่ "ปัง" (ชื่อจีน:ปังบ่งคี๊) พ่อมีอาชีพค้าขาย แต่เรียนเก่งในระดับหัวกะทิ เขาเป็นศิษย์เก่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ (วศ.11) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นเพื่อนร่วมรุ่น กับ "อนันต์ อัศวโภคิน" เจ้าของ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และ "ปลิว มังกรกนก" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธ.ทิสโก้
เขาเข้าร่วมงานกับ "ชินคอร์ป" เมื่อประมาณปี 2536 เพื่อมาเป็นลูกจ้างหมายเลข 1 โดยการชักชวนจาก "พ.ต.ท.ทักษิณ" ซึ่งช่วงนั้นกำลังวางแผนลงสู่สนามทางการเมือง (ปี 2537 รับตำแหน่งรมว.ต่างประเทศ ปี 2538 เป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม/รองนายกรัฐมนตรี)
โดย "บุญคลี" เข้ามาเป็น กรรมการผู้อำนวยการ กลุ่มบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ เข้ามาไล่เลี่ยกับ "นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" อดีตผู้บริหารจาก ไอบีเอ็ม และ "ดร.ไพบูลย์ ลิมปพยอม" อดีตผอ.องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท)
หลังปี 2540 ผลข้างเคียงจากวิกฤติเศรษฐกิจ กดดันให้ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ต้องผลัดใบองค์กรครั้งใหญ่ ในปี 2542 ได้มีการเปลี่ยนศูนย์อำนาจจาก "บรรณพจน์ ดามาพงศ์" (พี่ชายคุณหญิงพจมาน) มาสู่มือ "บุญคลี" ในตำแหน่ง "ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น" กุมอำนาจสูงสุดในการบริหารธุรกิจ ของตระกูลชินวัตร
ความสำเร็จภายใต้การบริหาร "ชินคอร์ป" บุญคลี กล่าวไว้ในรายงานประจำปีว่า เกิดจากค่านิยมพื้นฐาน 10 ประการ หรือ Fast Moving คือ หนึ่ง..การมองไปในอนาคต สอง..ความมุ่งมั่นรับผิดชอบ สาม..มีจิตใจบริการ สี่..การทำงานเป็นทีม ห้า..มีความเป็นธรรม หก..การเปิดใจกว้าง เจ็ด..วิสัยทัศน์ร่วมกัน แปด..ความคิดริเริ่ม และการปรับปรุง เก้า..ความกระชับฉับไว และ สิบ..กล้าโต้แย้ง
กล่าวกันว่าในตำแหน่งนี้ "บุญคลี" ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากครอบครัวชินวัตร ไม่น้อยกว่าเดือนละ 2 ล้านบาท
ในรายงานที่บริษัทแจ้งต่อก.ล.ต. ระบุว่า ผลตอบแทนของคณะผู้บริหาร "ชินคอร์ป" ในปี 2547 จำนวน 6 คน (รวมบุญคลี) รวม 68.14 ล้านบาท หรือ ได้เฉลี่ยคนละ 11.35 ล้านบาทต่อปี (ซึ่งประกอบด้วยเงินเดือน โบนัส และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ)
ในฐานะผู้บริหารเบอร์ 1 ขององค์กร "บุญคลี" ย่อมต้องได้รับ "ค่าเหนื่อย" มากกว่าค่าเฉลี่ย (คนอื่น) ไม่ต่ำกว่า 1 เท่าตัว
แต่สิ่งที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ตอบแทนให้กับ "บุญคลี" จนกลายเป็น "เศรษฐีพันล้าน" ในชั่วพริบตา ก็คือ "ESOP" (ใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญ (SHIN) ที่ออกให้แก่กรรมการ และพนักงาน) รวม 5 โครงการ ระหว่างปี 2545-2549 โดยออกต่อเนื่อง 5 ปีติดต่อกัน
"บุญคลี" ได้รับ ESOP ไปคนเดียว จำนวนรวม 40.78 ล้านหุ้น (5 ปี) จากทั้งหมด 91 ล้านหุ้น หรือเท่ากับ 44.82% ของ ESOP ที่ออกทั้งหมด โดยเขาแปลงสภาพเป็นหุ้น SHIN แล้วจำนวน 20.22 ล้านหุ้น
ย้อนกลับไประหว่างปี 2547-2549 "บุญคลี ปลั่งศิริ" ขายหุ้น SHIN ออกมารวมกัน 3 ล็อต โดย "ล็อตแรก" (แปลง ESOP) ขายเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2547 จำนวน 2.8 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 35.25 ล้านบาท ครั้งนั้นได้เงินสดกลับออกไป 98.70 ล้านบาท
"ล็อตที่สอง" (หุ้นเดิม) และ "ล็อตที่สาม" (แปลง ESOP) ขายออกวันเดียวกัน คือ เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2549 ให้กับบริษัทในเครือ "เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์" ของสิงคโปร์ จำนวนรวมกัน 18.76 ล้านหุ้น มูลค่า 924.10 ล้านบาท ที่ราคา "เทนเดอร์ออฟเฟอร์" หุ้นละ 49.25 บาท
เท่ากับว่าทั้ง 3 ล็อต "บุญคลี" ขายหุ้น SHIN ออกมาแล้วทั้งสิ้น 21.56 ล้านหุ้น รวมมูลค่า 1,022.81 ล้านบาท เป็นเงินที่มากพอทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตบั้นปลายได้อย่างสุขสบาย
แต่ความร่ำรวยของเขายังไม่จบ เพราะยังเหลือหุ้น SHIN อีกจำนวน 20.56 ล้านหุ้น (จากทั้งหมด 40.78 ล้านหุ้น) ที่ยังไม่ใช้สิทธิแปลงสภาพ ถ้าคูณราคาปัจจุบันที่หุ้นละ 39 บาท จะมีมูลค่าอีกประมาณ 800 ล้านบาท
ถ้านำหุ้นทั้ง 2 ก้อนมารวมกัน ส่วนแรกที่ขายได้เงินสดไปแล้ว มูลค่า 1,022 ล้านบาท รวมกับ (ในอนาคต) ที่ยังไม่ขายอีก 800 ล้านบาท ความมั่งคั่งของ "บุญคลี" ที่เจ้านาย (นายกฯทักษิณ) มอบให้จะมีมูลค่ารวม 1,822 ล้านบาท (ไม่รวมเงินเดือน+โบนัส อีกเดือนละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท)
ทีมข่าว "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" สำรวจต่อไปยังพบอีกว่า "บุญคลี" ยังถือ "หุ้นกู้ชินคอร์ป" ไว้อีกจำนวน 20,000 หน่วย มูลค่า 20 ล้านบาท จะครบอายุปี 2550 ได้ดอกเบี้ยมาอีก 6.10 ล้านบาท
หากประเมินคร่าวๆ "บุญคลี" น่าจะมีทรัพย์สินที่เป็น "เงินสด" ที่ได้มาจากการทำงานให้กับครอบครัวชินวัตร (เงินเดือน+โบนัส+ESOP) ไม่ต่ำกว่า "2,000 ล้านบาท" (แน่ๆ)
ถ้าระบบทักษิณไม่พังไปเสียก่อน เด็กบ้านนอกแห่งเมืองแปดริ้วผู้นี้ จะสร้างเครือข่ายแตก (ราก) แขนงเข้าไปอยู่ในทุกส่วนของ "นโยบายระดับชาติ"
ดังเช่นที่ "นายกฯทักษิณ" เปิดไฟเขียวให้ "บุญคลี"
เข้าไปนั่งเป็นที่ปรึกษาใน "บอร์ดบีโอไอ" และเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2548 เขายังได้รับแต่งตั้งให้เป็น ประธานคณะอนุกรรมการ เพื่อพิจารณาสิ่งจูงใจดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มเติม (นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์ทางภาษี) ผลงาน "ชิ้นโบแดง" ชิ้นใหญ่ของเขา คือ ขายหุ้น "ชินคอร์ป" ให้กับ "รัฐบาลสิงคโปร์" และ เป้าหมายต่อไป ก็คือ เอื้อประโยชน์ให้นักลงทุนต่างชาติ เข้ามาลงทุนในโครงการ "เมกะโปรเจค" มูลค่า 1.7 ล้านล้านบาท ของรัฐบาล นี่คือ ผลประโยชน์ก้อนมหึมาที่ "นายกฯทักษิณ" ฝากไว้กับบุญคลี แต่ยังไม่สำเร็จ
http://www.bangkokbizweek.com/20060304/road/index.php?news=column_20175892.htmlประวัติ มือขวา ทักษิณ ตัวจริงhttp://th.wikipedia.org/wiki/บุญคลี_ปลั่งศิริ
http://th.wikipedia.org/wiki/ชิน_คอร์ปอเรชั่น