สมคิด แถลงเปิดใจถอนตัวพ้นเก้าอี้ประธานเคลียร์ทุนต่างประเทศ อ้างให้บ้านเมืองสงบ-สมานฉันท์ แต่ยังเดินหน้าแจง เศรษฐกิจพอเพียง ต่อไปแม้ไม่มีตำแหน่ง ลั่นอิสระไม่ได้เป็นทายาทใคร เป็นตัวของตัวเอง ตัดขาด แม้ว ทางใครทางมัน ระบุที่ผ่านมามีแนวทางต่างกันตลอดจนเกิดระแวงจนถูกเด้งหลายหน
คลิกที่นี่ เพื่อฟังการแถลงข่าว จาก สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
http://www.managerradio.com/Radio/DetailRadio.asp?program_no=1026&mmsID=1026%2F1026%2D1548%2Ewma+&program_id=6625 วันนี้ (21 ก.พ.) ที่โรงแรมสยามอินเตอร์ คอนติเนนตัล เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้แถลงลาออกตำแหน่งประธานคณะกรรมการประสานงานและกระชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยย้ำว่าเพื่อต้องการให้เกิดความสมานฉันท์ แต่จะทำหน้าที่ชี้แจงกับต่างประเทศให้เข้าใจในเรื่องแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงต่อไปโดยไม่ต้องมีตำแหน่ง
ทั้งนี้ นายสมคิดใช้เวลาในการแถลงเกือบ 1 ชั่วโมง โดยกล่าวว่าหลังจากนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการดังกล่าวแล้วเกิดเสียงวิจารณ์ต่างๆ นานา ทั้งเห็นด้วยและคัดค้านจำนวนมาก รวมทั้งมีเสียงเรียกร้องให้แถลงจุดยืนให้ชัด ดังนั้นจึงขอชี้แจง ดังนี้
นายสมคิด ย้ำว่า จุดยืนของตนนั้นตลอด 6 ปีที่ผ่านมาที่ทำงานการเมือง ได้ตั้งใจทำงานอย่างซื่อสัตย์ มีจุดมุ่งหมายเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสูงสุด และไม่เคยยึดติดตำแหน่ง หรือยึดติดกับกลุ่มบุคคล มีแนวทางของตนเอง
นายสมคิด ย้ำอีกว่า ที่ผ่านมาแม้จะมีการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนต่างประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยว และการส่งออก แก้ปัญหาการขาดดุลการค้าเนื่องจากราคาน้ำมันมีราคาแพงแล้ว ขณะเดียวกันยังมีปัญหาในชนบทที่ยังมีความยากจน จึงเข้าไปส่งเสริมสินค้าโอทอปเพื่อให้ชาวบ้านอยู่กันแบบพอเพียง
อดีตรองนายกฯ ผู้นี้ยังชี้แจงถึงความเคลือบแคลงใจว่ายังเป็นบุคคลในระบอบทักษิณว่า ตั้งแต่เกิดการยึดอำนาจ ไม่มีการติดต่อกัน และ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่เคยติดต่อมาแต่อย่างใด
ท่าน(ทักษิณ) มีแนวทางของท่าน ผมก็มีแนวทางของผม อิสระ เด็ดขาดชัดเจน แยกออกจากกัน และในความเป็นจริงแล้วแนวทางของผมกับของท่านก็คนละแนวทางกัน แต่ 6 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่เป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นหลัก นายสมคิด ระบุ และว่าความแตกต่างระหว่างตนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อนยึดอำนาจ จนบางครั้งเกิดความไม่ไว้ใจ และนำไปสู่การปรับเปลี่ยนตำแหน่งอย่างที่หลายคนได้รู้กันแล้ว
นายสมคิดยังได้กล่าวถึงประเด็นคำถามว่าทำไมไม่ลาออกมาเสียก่อนการยึดอำนาจว่า ในฐานะที่ต้องรับผิดชอบ บางครั้งการละทิ้งภาระไม่ใช่ของง่าย และที่ผ่านมาได้ปรึกษาผู้ใหญ่แล้วก็สนับสนุนให้อยู่ต่อไป
อดีตรองนายกฯ ผู้นี้ยังเปิดเผยอีกว่า ที่ผ่านมาได้เคยพบกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีหลายครั้ง ล่าสุดได้มีโอกาสสนทนาถึงปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความน่าเป็นห่วงเกี่ยวกับปัญหาต่างประเทศยังคลางแคลงนโยบายเศรษฐกิจบางอย่างมองว่าไทยกำลังถอยหลัง หรือกำลังปิดประเทศ และมีการเผยแพร่ตีพิมพ์ทางสื่อทั่วโลก ซึ่งถือว่าอันตราย ดังนั้นจึงต้องรีบชี้แจง แต่ไม่ใช่ตอบโต้
ที่ผ่านมาท่านนายกฯ เห็นด้วย และให้ฟอร์มทีมงาน ซึ่งผมยืนยันว่าการทำงานครั้งนี้ไม่หวังผลทางการเมือง ไม่มีอำนาจ หรือไม่มีการวางทายาทแต่อย่างใด เขายืนยัน
นายสมคิด ย้ำว่า ที่ผ่านมาต่างประเทศเริ่มเข้าใจแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเบี่ยงเบนไป และคิดว่าช้าไม่ได้ต้องรีบชี้แจงทันที และได้เฝ้าดูว่ามีคนในรัฐบาลชี้แจงเพียงพอหรือไม่ แต่เข้าใจว่าคนที่ออกมาชี้แจงมีน้อย
ตอนแรกผมไม่คิดอาจเอื้อม เพราะมีผู้ใหญ่ในรัฐบาลคอยชี้แจงอยู่แล้ว แต่เมื่อเป็นเรื่องใหญ่ และต่อไปอาจระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท จึงอาสานายกฯ และท่านนายกฯ เห็นด้วยตั้งใจจะชี้แจงทั่วโลก แต่น่าเสียใจว่าความมุ่งมั่นที่บริสุทธิ์ใจถูกตีความหมายผิดไป แต่จะมุ่งมั่นทำงานต่อโดยไม่มีนัยอย่างอื่น
นายสมคิด กล่าวว่า เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาจึงเรียนนายกฯ ขอถอนตัวเพื่อยุติปัญหา เพื่อป้องกันความแตกแยก และไม่ให้เป็นภาระของนายกฯ ให้บ้านเมืองเกิดความสงบ และย้ำว่าการถอนตัวครั้งนี้ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการถูกกดดัน แต่เพื่อความสงบของบ้านเมืองจึงไม่กลัวการเสียหน้า
นายสมคิด ย้ำว่า หลักการเศรษฐกิจพอเพียงเหมาะกับสังคมไทยในอนาคต และพาบ้านเมืองให้ไปรอด เพราะสติ ปัญญาและคุณธรรม ตนได้ยึดถือมาตลอด และจะยึดปรัชชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นธงชัย และในตอนท้ายเขาได้เชิญชวนทุกฝ่ายมาร่วมกันหาทางออกให้แก่บ้านเมืองต่อไป
รายละเอียดคำแถลงของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้ผมไม่สบายใจ และอยากพูดกับพี่น้องประชาชนด้วยตนเอง ซึ่งปกติผมเป็นคนพูดน้อย แต่ถึงจุดนี้ ถึงจุดที่ผมควรจะพูด เพราะเป็นเรื่องของบ้านเมือง ซึ่งต้องมาก่อนเหนือสิ่งอื่นใด
สืบเนื่องจากนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ผมเป็นประธานคณะกรรมการประสานงานและกระชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และจากนั้นมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ขณะเดียวกัน เสียงเรียกร้องให้ผมแถลงจุดยืนแน่ชัด เพื่อให้เกิดความเข้าใจต่อกัน ขอชี้แจงดังนี้
ประการแรก ตลอด 6 ปีที่ทำการเมืองของผม จุดยืนคือ ตั้งใจทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โดยมีจุดหมายเพื่อประโยชน์และความมั่นคงของชาติบ้านเมือง และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งกระผมเทิดทูนบูชาและจงรักภักดีสูงสุด ขณะการปฏิบัติภารกิจของกระผมทั้ง 6 ปี กระผมไม่เคยติดยึดกับตำแหน่ง ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด ผมเชื่อว่าทุกคนเห็นผมทำงานอย่างเต็มที่ทั้งหมดเพื่อชาติบ้านเมืองทั้งสิ้น
ผมไม่เคยติดยึดกับตัวบุคคล ผมมีแนวทางการทำงานของผมเอง ผมตั้งใจว่าจะทุ่มเททุกอย่างนั้นเพื่อบ้านเมืองทั้งสิ้น นี่คือจุดยืนแห่งการทำงานของผม น้องๆ ที่อยู่ห้องนี้หลายคนรู้จักผมดี คนเราถ้าไม่ใช่เป็นคนจริง 6 ปีย่อมเปลี่ยนแปลง แต่ตั้งแต่วันแรกที่ผมทำงานจนถึงวันสุดท้ายที่ผมทำงาน ผมไม่เคยละทิ้งภารกิจ ผมไม่เคยละทิ้งหน้าที่ หลายครั้งที่เกิดความท้อถอยในการทำงาน เพราะผมไม่ใช่นักการเมือง ผมต้องพยายามอดทน และคิดในใจเสมอว่าถ้าคนเราทำเพื่อชาติบ้านเมืองแล้ว คุณความดีที่ทำนั้นก็จะสามารถคุ้มครองปกป้องเราได้ นี่คือสิ่งที่ผมรอดพ้นมาได้ตลอดระยะเวลา 6 ปี
ณ จุดเริ่มต้นที่ผมเข้ามาที่กระทรวงการคลัง ผมตั้งใจไว้ว่าเมืองไทยนี้มีศักยภาพที่แข็งแกร่งมาก หากเราทำทุกสิ่งให้ดี เราจะสามารถปฏิรูปประเทศไทยให้มีความเข้มแข็ง ให้มีความเท่าเทียม ให้มีความสมบูรณ์ เพื่อเป็นรากฐานกับลูกหลานของเราในอนาคตข้างหน้า
แต่เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เมื่อเราเข้ามาในขณะนั้นบ้านเมืองมีปัญหามากๆ อยู่ในสภาพที่ใกล้ล้มละลาย นักธุรกิจ 9 ใน 10 คนในขณะนั้นเป็นเอ็นพีแอลทั้งสิ้น ชาวบ้านตกงาน ฉะนั้น ผมคิดในใจขณะนั้นว่าภารกิจสำคัญของผมนั้นมี 2 ประการ หนึ่ง จะทำอย่างไรที่จะดึงให้เศรษฐกิจไทยนั้นพ้นจากวิกฤต แต่สิ่งนั้นยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก แต่ปัญหาที่ใหญ่มากกว่านั้น คือจะทำอย่างไรที่จะปฏิรูปเมืองไทยให้ประชาชนมีความอยู่ดีกินดี ให้ประเทศมีความสามารถที่จะแข่งขัน ให้ประเทศนั้นมีคุณธรรมในอนาคตข้างหน้า
ฉะนั้น ในช่วง 2-3 ปีแรกแห่งการทำงาน สิ่งสำคัญก็คือเรื่องของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การสร้างความมั่นใจกับต่างประเทศ การแก้ไขปัญหาหนี้เสีย การแก้ไขปัญหาหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯ และการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะ ซึ่งมีมากจนท่วมท้น การสร้างความมั่นใจกับต่างประเทศเป็นภารกิจสำคัญ ผมและคณะทำงานด้วยความอดทน จนกระทั่งฝรั่งต่างประเทศเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่น
จากนั้นสิ่งที่ทำมาตลอดก็คือ ทำอย่างไรที่จะหารายได้มาชดเชย มาใช้คืนหนี้สินไอเอ็มเอฟ ผมต้องออกไปพยายามโปรโมตการส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุน ไปตั้งแต่วันแรกซึ่งฝรั่งนั้นไม่มองหน้าเราด้วยซ้ำไป จนกระทั่งเราสามารถสร้างเงินตราต่างประเทศ เพื่อคืนหนี้สินได้เป็นผลสำเร็จ
แต่ในขณะนั้นแม้ว่าจะมีความพึงพอใจว่าภารกิจขั้นแรกลุล่วง แต่สิ่งซึ่งอยู่ในใจตลอดเวลาก็คือว่า ความสำนึกที่ว่าเมืองไทยนั้นชาวบ้านยังยากจน โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ในชนบท พวกเขายากจน อ่อนแอ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าการพัฒนาเศรษฐกิจในอดีต 30-40 ปีที่ผ่านมานั้นขาดความสมดุล ฉะนั้น สิ่งซึ่งพยายามต่อมาก็คือว่า ทำอย่างไรที่จะให้องค์กรและสถาบันต่างๆ เข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง ให้ชาวบ้านมีพอมีพอกิน โครงการอย่างเช่นโอทอปนั้น เป็นโครงการหนึ่งซึ่งเราพยายามที่จะทำให้ประชาชนสามารถอยู่กินอย่างพอเพียง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างรากฐานเศรษฐกิจไทยให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งเป็นพระราชประสงค์ของพระเจ้าอยู่หัว
ผ่านมาไม่กี่ปีก็ต้องมาเผชิญกับปัญหาการขาดดุลการค้า ขาดดุลชำระเงินเพราะราคาน้ำมัน ผมถูกโยกมาอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์ในขณะที่การขาดดุลการค้านั้นขาดดุลกว่าเดือนละ 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาทต่อเดือน ขณะนั้นปัญหาเงินเฟ้อเป็นปัญหาใหญ่ ฉะนั้นความทุ่มเทก็พยายามที่จะไปทำสิ่งเหล่านั้น ให้ดุลการค้ากลับมาสู่ภาวะปกติ ให้เงินเฟ้อกลับมาสู่ภาวะปกติ
ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าพวกเราจำได้ สิ่งซึ่งผมประกาศตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมาก็คือว่า จะทำอย่างไรที่จะมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ปฏิรูปเศรษฐกิจไทยให้มีความเท่าเทียม ให้มีความเข้มแข็ง พยายามผลักดันปีแล้วปีเล่า แต่ผมอยากจะกราบเรียนว่าไม่ง่ายเลย สิ่งซึ่งผมชี้อยู่ตลอดเวลา คือ เรื่องของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทำอย่างไรจะเตรียมคนไทยของเรานั้นให้เข้มแข็งและมีความรู้เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาต่อไปในอนาคตข้างหน้า
ทั้งหมดนี้ผมพยายามจะบอกว่า จุดยืนแห่งการบริหารเศรษฐกิจของผมในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น หนึ่ง คือฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ได้ สอง จะทำอย่างไรที่จะสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งและเป็นธรรม และสามารถให้เศรษฐกิจไทยก้าวต่อไปในอนาคตอย่างมั่นคง แนวความคิดนี้ไม่ได้เพิ่งเกิด แต่เกิดมาตั้งแต่ผมเรียนหนังสืออยู่ต่างประเทศ ผมเขียนหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า แต่ไม่มีโอกาส ฉะนั้น ผมได้ใช้เวลา 6 ปีนั้นทำอย่างเต็มที่ และผมเชื่อว่าประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าผมทำได้ดีมากน้อยเพียงใด
มีผู้ตั้งข้อสังเกต มีความคลางแคลงใจในความสัมพันธ์ของผม กับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ผมอยากจะกราบเรียนว่า ภายหลังจากการปฏิวัติการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ผมไม่เคยติดต่อกับท่าน ท่านก็ไม่เคยติดต่อกับผม ท่านมีความคิด มีแนวทางในการดำเนินงานของท่าน ผมก็มีความคิด มีหลักการและมีแนวทางในการดำเนินงานของผม อย่างเป็นอิสระ เด็ดขาด ชัดเจน แยกออกจากกัน
จริงๆ แล้วแนวความคิดของท่านกับของผมนั้นเป็นคนละแนวทาง แนวทางของท่านก็เป็นแนวทางของท่าน แต่ของผมกับคณะที่ทำงานนั้น ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาเรายึดถือหลักการแห่งความถูกต้อง ทุ่มเทกับเป้าหมาย โดยผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำ ผลงานที่ออกมานั้นเป็นประจักษ์พยานได้เป็นอย่างดี
ความแตกต่างของแนวทางและความคิดนั้น ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่จริงๆ แล้วเกิดขึ้นหลายปีก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงเสียด้วยซ้ำไป จนบางครั้งก็เป็นสาเหตุให้เกิดความไม่ไว้ใจ จนเป็นผลนำไปสู่การปรับเปลี่ยนตำแหน่งทางการเมือง และอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นในภายหลังดังที่เป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว
มีผู้ถามผมว่า ทำไมถึงไม่ลาออกจากรัฐบาลในช่วงท้ายของรัฐบาลที่แล้ว ผมอยากจะกราบเรียนว่า ในฐานะที่เป็นคนที่ต้องรับผิดชอบ ดูแลปัญหาเศรษฐกิจ การที่คุณจะละทิ้งภาระความรับผิดชอบนั้นไม่ใช่ของง่าย ขาดดุลการค้าเดือนละ 7-8 หมื่นล้านบาท 6 เดือนต่อเนื่อง คูณกันแล้วเป็นแสนๆ ล้าน ค่าเงินบาทขณะนั้นกำลังไหลตัวลงเพราะการขาดความเชื่อมั่น เมื่อขาดความเชื่อมั่น คนเริ่มตุนสินค้า ภาวะเงินเฟ้อพุ่งทะยานอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ผมได้ปรึกษาหารือผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน ท่านแนะนำว่า ตราบใดที่เรายังอยู่ในตำแหน่งและสามารถทำงานให้บ้านเมืองได้ ขอให้ช่วยดูแลปกป้องผลประโยชน์ของบ้านเมือง และนั่นคือความรับผิดชอบของคนที่ทำงาน ไม่ใช่เพื่อตำแหน่งแต่ประการใด ผมขอเรียนชี้แจงจุดยืนไว้ ณ ที่นี้
ในประการที่ 2 ผมได้มีโอกาสพบกับท่านนายกรัฐมนตรีสุรยุทธ์ จริงๆ แล้วเคยพบกัน 2-3 ครั้ง การพบกันครั้งล่าสุดผมได้มีโอกาสสนทนาและสรุปถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังเกิดขึ้น ว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วงนั้นคือ แนวโน้มที่อาจจะมีการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และปัญหาราคาสินค้าเกษตรที่จะตกต่ำ แต่ปัญหาภายในประเทศนั้นเป็นสิ่งซึ่งถ้าเราดูแลเอาใจใส่ด้วยความรอบคอบ
ผมเชื่อว่าเราจะสามารถผ่านพ้นไปได้ เพราะว่าพื้นฐานที่มีมาแต่อดีตนั้น มันมีความแข็งแกร่งของมันอยู่ แต่สิ่งซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งก็คือ สถานการณ์จากต่างประเทศที่มองดูประเทศไทยในขณะนี้ ในขณะนี้มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน มีความเข้าใจที่ผิด ด้วยการมองดูภาพ มองดูเหตุการณ์ มองดูและตีความนโยบายเศรษฐกิจบางนโยบายด้วยความคลางแคลงใจ ไม่เข้าใจ และอีกหลายๆ อย่าง แล้วนำประกอบกันขึ้นมาเป็นความรู้สึกนึกคิดว่าประเทศไทยนั้นกำลังย้อนหลัง กำลังจะปิดประเทศหรืออย่างไร กำลังจะปฏิเสธนักลงทุนต่างประเทศหรืออย่างไร กำลังจะกลับไปสู่ระบอบเผด็จการหรืออย่างไร
ทัศนคติที่ผิดๆ เหล่านี้เริ่มมีการเขียน มีการตีพิมพ์ไปทั่วโลก ผลจากอันนี้ซึ่งถูกตีพิมพ์โดยสื่อมวลชนซึ่งมีผู้อ่านนับล้านๆ คนทั่วโลก กำลังทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างมากต่อประเทศไทย กระทบต่อความเชื่อถือซึ่งผมคิดว่าสำคัญอย่างยิ่ง ขาดความเชื่อมั่นไม่เป็นไร แต่ถ้าเมื่อไรขาดความเชื่อถือ เมื่อนั้นยากที่จะย้อนกลับได้ ตรงนี้จะต้องเร่งทำการชี้แจง สื่อความให้เข้าใจชัดเจน ก่อนที่ความเข้าใจผิดตรงนี้จะลุกลามออกไป และจะต้องสื่อความด้วยความอดทน ใช้ข้อเท็จจริง หาทางออกร่วมกัน
3 ประเทศใหญ่ซึ่งผมชี้ออกมาว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด คือ จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
สหรัฐอเมริกานั้นเป็นประเทศที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และการเมือง เราจะละเลยไม่ได้ เขาเป็นประเทศที่เชิดชูประชาธิปไตย ฉะนั้น ทัศนคติที่เขามีในขณะนี้บวกกับภาพเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น อันตรายอย่างยิ่งถ้าปล่อยให้เขาเข้าใจเราผิด ฉะนั้นการสื่อความตรงนี้จำเป็นมากๆ และต้องทำการสื่อความในลักษณะที่ไม่ใช่การตอบโต้ แต่ต้องชี้แจงอย่างชัดเจน
ประเทศจีน เป็นประเทศใหญ่ เป็นตลาดสำคัญแห่งอนาคตข้างหน้า เขาเป็นประเทศที่มีเงินตราสำรองระหว่างประเทศมหาศาล ซึ่งหากประเทศไทยในอนาคตข้างหน้าต้องการการเกื้อกูล ร่วมมือ จีนจะเป็นประเทศที่เป็นพันธมิตรที่ดีมากสำหรับไทยทางเศรษฐกิจ
ประเทศที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ ประเทศญี่ปุ่น ญี่ปุ่นนั้นเป็นชาติซึ่งไม่พูดมาก เก็บความรู้สึก นิ่ง และคอยดูเหตุการณ์ การที่มีเพื่อนฝูงมากในประเทศญี่ปุ่น เพราะรู้จักกันมาเกือบ 6 ปีแล้วในทุกวงการ ก็รู้ว่าในขณะนี้เขากำลังมีความคิด ทัศนคติ ซึ่งไม่มั่นใจกับประเทศไทยอย่างแน่นอน แต่เขามีความนิ่งและอดทนดู เขาคิดอยู่ในใจว่ารัฐบาลชั่วคราวนี้ก็เพียง 1 ปี กำลังดูว่ารัฐบาลหน้าจะเป็นอย่างไร จะมีความแฟร์หรือไม่สำหรับเขา จะพูดกันรู้เรื่องหรือไม่ นี่คือความคิดอ่านของเขา ฉะนั้น ลักษณะของญี่ปุ่นนั้นเราจะต้องไม่ละเลย เขาเป็นประเทศที่ลงทุนในบ้านเมืองเรา 30 ปีก่อนหน้านี้ ฉะนั้นการติดตาม การไปมาหาสู่ การชี้แจง การหาทางออกร่วมกัน อันนี้เป็นความสำคัญอย่างยิ่ง
ผมได้กราบเรียนท่านนายกรัฐมนตรีว่า ใน 3 ประเทศนี้ผมสามารถช่วยบ้านเมืองได้ เพราะว่า 6 ปีที่ผ่านมาผมคบค้ากับบุคคลทั้งในภาครัฐ ภาคราชการ ภาคเอกชน อย่างลึกซึ้ง ถ้าผมเดินทางด้วยตัวเองไปพบพวกเขาเหล่านั้น ด้วยการที่พวกเขาพอรู้จักและมีความเชื่อถืออยู่บ้าง ย่อมดีกว่าเพียงการพูดจาธรรมดาๆ ฉะนั้น ตรงนี้ที่ผมจะช่วยได้และยินดี ท่านนายกฯ ท่านเห็นด้วยและคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี ก็บอกให้ผมฟอร์มคณะทำงานขึ้นมา
นั่นคือที่มาของการมอบหมายภารกิจเพื่อให้ผมเข้าไปช่วยดูแลในสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อไปกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพื่อเข้าไปมีตำแหน่งทางการเมือง ไม่ใช่เป็นการวางทายาทแต่ประการใดทั้งสิ้น แต่เพื่อจะทำอย่างไรที่จะดึง 3 ประเทศนี้ให้อยู่กับเรา เพราะว่าจุดแข็งของเรานั้นคือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศทั่วโลก เป็นจุดแข็งของเราจริงๆ แต่อดีตที่ผ่านมา และเราจะต้องไม่สูญเสียสิ่งเหล่านี้ไปให้กับชาติอื่น
ฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างแห่งการมอบหมายภารกิจก็เพื่อบ้านเมืองทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งอื่นใดเจือปนอยู่เลย นี่เป็นข้อเท็จจริง ท่านนายกฯ มีความเด็ดขาด กล้าหาญ กล้าที่จะใช้คน เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสมานฉันท์ ผมก็มีความกล้าพอที่จะไปประเทศเหล่านั้นด้วยความตั้งใจดีโดยที่ไม่มีตำแหน่งทางการเมือง ฉะนั้นก็ขอให้โปรดเข้าใจในที่มาและที่ไปของการแต่งตั้งตำแหน่ง ฉะนั้นที่มีการบอกว่าเพื่อวางทายาท หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด
ในประการที่สาม ในการที่ผมอาสาออกมาบรรยายเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เพราะผมคิดว่าในฐานะคนไทยคนหนึ่ง มีความจำเป็นอย่างยิ่งในขณะนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ที่ผ่านมาได้มีสื่อมวลชน วารสาร เริ่มมีการตีพิมพ์และรายงานพาดพิงถึงแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในทิศทางที่คลาดเคลื่อน ผิดพลาด ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ การที่สื่อมวลชนระดับโลกรายงาน มีผู้อ่านนับล้านคน ผมคิดว่าถ้าเขารายงานคลาดเคลื่อน อันตรายอย่างยิ่ง
ผมเพิ่งเดินทางไปญี่ปุ่นและกลับมา ตอนที่เดินทางไปถึงก็มีคนถามผมเรื่องนี้แล้วว่าตกลงเป็นอย่างไรกันแน่ เพราะตามที่เขาตีความในเอกสารนั้น เสมือนหนึ่งว่าไม่ใช่ประเทศไทย เขาเชื่อว่าสิ่งที่รายงานนั้นเป็นการรายงานที่คลาดเคลื่อน เรื่องนี้ผมคิดว่าปล่อยช้าไม่ได้ ในแต่ละประเด็นที่ต่างประเทศมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน จะต้องมีการชี้แจงทันที ที่ชัดเจน เป็นข้อๆ
ทันทีที่เขาเข้าใจ ผมเชื่อแน่เลยว่าเขาจะต้องหันกลับมาให้การสนับสนุน เพราะปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้นมีคุณค่า มีความลึกซึ้ง มีความเป็นสากล ที่สามารถใช้ได้กับทุกประเทศ ผมก็เฝ้าดูอยู่ว่าจะมีผู้ที่ชี้แจงเพียงพอหรือไม่ ผมเข้าใจว่ากำลังคนที่จะชี้แจงได้นั้น มีน้อย ปกติแล้ว หัวข้อบรรยายนี้กระผมไม่ควรอาจเอื้อมที่จะบรรยาย เพราะถือว่ามีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ช่วยดูแลอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ผมคิดว่าสำคัญมาก เพราะถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ขยายวงไปเรื่อยๆ ความเสียหายจะบังเกิด จะระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาท
ฉะนั้น ผมได้กราบเรียนอนุญาตต่อท่านนายกรัฐมนตรีว่า ผมตั้งใจแล้ว ผมอาสาที่จะชี้แจง เพราะว่าเวลาที่ผมพูดนั้น ผมจะพยายามพูดถึงความเป็นจริงในสังคมของเมืองไทยด้วย ท่านเห็นด้วยและส่งเสริม ผมจึงทำการบรรยายครั้งแรกที่สถาบันศศินทร์ และตั้งใจว่าหากมีโอกาสก็จะพยายามชี้แจงกับบุคคล หรือสื่อที่มีความสำคัญระดับโลก เป็นอีกแรงหนึ่งที่ช่วยรัฐบาล
แต่ก็น่าเสียใจ และน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่ความตั้งใจดี ความมุ่งมั่นที่บริสุทธิ์ของผม ได้รับการตีความที่แตกต่างออกไป แต่ผมถือว่าผมตั้งใจ ผมมีความจงรักภักดี ผมรักในหลวง ฉะนั้นผมมุ่งมั่นที่จะทำเพื่อในหลวง นี่คือที่มาที่ไปแห่งการไปบรรยายหัวข้อเศรษฐกิจพอเพียง ไม่มีนัยอย่างอื่นเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่เพียงผมคนเดียว ผมยังอยากให้พวกเราที่มีความรู้เพียงพอ สามารถเพียงพอที่จะบรรยายได้ ช่วยกันสื่อความให้ทั้งคนไทยและคนต่างประเทศได้เข้าใจ
ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ผมได้กราบเรียนพวกเราแล้วว่า จุดยืนของผมนั้นเป็นอย่างไร ที่มาที่ไปแห่งการแต่งตั้งให้ผมทำงาน และความตั้งใจความมุ่งมั่นที่จะช่วยชี้แจงในแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แต่ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งผมคิดว่าเป็นเพราะว่ายังขาดความเข้าใจ และสื่อความต่อกันที่ดีพอ บางครั้งผมก็รู้สึกผิดหวัง แต่ผมก็ไม่ถือโทษโกรธใครเลย เพราะผมถือว่าถ้าหากว่าทุกฝ่ายมีความเข้าใจในเจตนาที่ชัดเจนของผมแล้ว ด้วยความคิดของผม ด้วยงานที่เคยทำมาในอดีต ด้วยความจริงใจที่ผมมี ทุกฝ่ายก็จะหันกลับมาปรองดองกัน ร่วมมือกัน ทำงานเพื่อบ้านเมืองต่อไปข้างหน้า
อย่างไรก็ดี เนื่องจากในขณะนี้ยังมีกระแสแห่งความไม่เข้าใจมีอยู่สูงมาก จึงอาจจะนำไปสู่ปัญหาแห่งความขัดแย้งในสังคม ผมกราบเรียนตรงๆ ว่า 2 ปีที่ผ่านมานั้น ผมมีความทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง บ้านเมืองเราไม่เคยมียุคไหนสมัยไหนมีความขัดแย้งถึงขนาดนี้ ความสมานฉันท์ของคนในชาติเป็นเรื่องใหญ่ ตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นเรื่องเล็ก
พระเจ้าอยู่หัวกล่าวสอนพวกเราว่า การที่เมืองไทยนั้นดำรงความเป็นชาติอยู่ได้ ก็เพราะพวกเรามีความสามัคคี ปรองดอง ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างชาติ สร้างแผ่นดิน ฉะนั้นเมื่อมีความไม่เข้าใจอยู่สูง ผมเองมีความไม่สบายใจ ว่าหากความตั้งใจดีของผมในการที่จะเข้ามาช่วยบ้านเมือง จะกลับกลายเป็นชนวนที่ทำให้เกิดการไม่เข้าใจ แตกแยกมากไปกว่านี้ ซึ่งความแตกแยกนั้นผมคิดว่าไม่ควรจะมีมากไปกว่านี้อีกแล้วในบ้านเมืองเรา ในสังคมเรา
ผมจึงได้กราบเรียนปรึกษากับ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ว่าท่านครับ ภารกิจที่ท่านมอบหมายให้ผมนั้น เนื่องจากในขณะนี้ยังมีผู้ที่ยังไม่เข้าใจ ฉะนั้น ผมอยากให้ยุติความขัดแย้งนี้เสียแต่เนิ่นๆ ไม่ให้เป็นภาระกับท่านนายกฯ เพราะท่านนายกฯ ต้องใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอีกมาก ผมเรียนปรึกษาท่านว่า ผมจะขอถอนตัวก่อนในช่วงนี้ เพื่อให้ความขัดแย้งนี้หมดไป เพื่อบ้านเมืองมีความสงบ เพราะเราเหลือเวลาอีกเพียง 7-8 เดือน ก็จะมีการเลือกตั้ง อย่าให้ผมเป็นประเด็นทางการเมืองที่จะเป็นชนวนแห่งความแตกร้าว เพราะใจของผมนั้น ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา คือทำงานให้บ้านเมือง ไม่ใช่ทำงานให้บ้านเมืองวุ่นวาย ท่านนายกฯ ก็อนุญาต
แต่ผมอยากจะกราบเรียนว่า การถอนตัวครั้งนี้ไม่ใช่ถอนตัวเพราะความกดดัน ผมมีความเข้าใจและมีความจริงใจ ผมรู้ว่าถ้าดื้ออยู่ต่อ ท่านนายกรัฐมนตรีต้องปกป้องผมแน่นอน แต่ถามว่าบ้านเมืองส่วนใหญ่นั้นจะได้ประโยชน์อะไรจากการนี้ ไม่มีตำแหน่ง ผมก็ไปได้ คนระดับรัฐมนตรี หัวหน้าภาคเอกชน เขาก็ยินดีต้อนรับผมอยู่แล้ว ฉะนั้นตำแหน่งนั้นไม่มีความจำเป็นแต่ประการใดเลย
ทั้งหมดนี้ก็ด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ของผม ท่านนายกฯ อนุญาต ผมก็กราบเรียนขอบพระคุณท่านนายกฯ ว่าขอบคุณท่านนายกฯ ที่ใจกว้าง เห็นคุณค่าในตัวผม รู้จักใช้งานผม เพื่อพิสูจน์ว่าความสามัคคี ความสมานฉันท์ของคนในชาตินั้นเป็นสิ่งสำคัญ ผมเองก็กล้าที่จะถอนตัวโดยไม่กลัวเสียหน้าแต่ประการใด เพื่อพิสูจน์ให้คนไทยได้เห็นว่า ณ วันนี้ ความสมานฉันท์ในบ้านเมืองนั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ถ้าไม่มีความสมานฉันท์ ไม่มีความสามัคคี บ้านเมืองซึ่งลำบากอยู่แล้ว อนาคตข้างหน้าอาจจะลำบากมากยิ่งขึ้น
ผมไม่มีความโกรธเคืองผู้ใดเลย ไม่รู้สึกน้อยใจผู้ใดเลย เพราะช่องทางแห่งการทำงานให้บ้านเมืองนั้นมีอีกมากและมหาศาล ไม่จำเป็นต้องผ่านตรงนี้เลย ผมกราบเรียนในตอนต้นแล้วว่า หลักการ แนวคิดแห่งการทำงานของผมนั้นเป็นอิสระจากทุกบุคคล ผมมั่นใจว่าแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเป็นแนวพระราชดำริซึ่งเหมาะสมที่สุดกับโลกแห่งอนาคตข้างหน้า สำหรับประเทศไทย
ผมคิดว่าเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่จะต้องเชื่อมั่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผลักดันให้แนวคิดนี้เกิดขึ้นมา เพราะนั่นคือหัวใจแห่งปรัชญาแห่งการบริหารจัดการ ไม่ว่าคุณจะเลือกทฤษฎีใดมาทำงานก็แล้วแต่ หากคุณใช้หลักการของความมีสติ ความรู้ ปัญญา ความรอบคอบ ไม่ประมาท และมีคุณธรรม ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจพอเพียงนั้น มาเป็นเครื่องนำทางแห่งการทำงาน บ้านเมืองเราก็จะอยู่รอด
6 ปีที่ผ่านมาที่ผมทำงานอยู่นั้น ผมยึดหลักการนี้มาโดยตลอด ตรงไปตรงมา ทำงานเป็นขั้นตอน เน้นความซื่อสัตย์สุจริต เน้นประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นหลัก เน้นการสร้างความเข้มแข็งของประชาชน ชาวบ้าน เน้นการสร้างความเข้มแข็งและร่วมมือกันในระหว่างภาคเอกชนและชาวบ้าน เน้นการนำประเทศไทยให้สามารถแข่งขันได้ต่อโลก
สิ่งเหล่านี้ยังไม่จบ แนวความคิดที่ผมมีนั้นคือต้องการปรับปรุง ปฏิรูปประเทศไทยให้ดี ให้สามารถ ให้มีคุณธรรม ให้คนไทยมีพอมี พออยู่พอกิน และผมจะยึดแนวพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียงเป็นธงแห่งการนำชัย อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน การเมืองไทยเป็นสิ่งไม่แน่นอน แต่ผมอยากจะเรียกร้องให้คนที่เห็นด้วยกับผม ที่เข้าใจผม ที่ต้องการสนับสนุน มาร่วมกันหาหนทาง หาทางออกในการพัฒนาบ้านเมืองของเรา เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่จะถวายองค์ในหลวงในวาระครบ 80 พรรษานี้เท่ากับการรวมพลัง ความสามัคคี การละทิฐิมานะ การเห็นชาติบ้านเมืองเป็นหลักใหญ่ ทำคุณประโยชน์ ทำเมืองไทยให้ดี ให้มีความแข็งแรงสู่อนาคตข้างหน้า ผมขอเท่านั้น และนั่นคือจุดยืนทางการเมืองของผม
ผมอยากเห็นคนรุ่นใหม่ๆ ก้าวเข้ามาช่วยกัน ประสานกับคนรุ่นเก่า และบ้านเมืองจะไปรอด ฉะนั้นผมใช้เวลาคิดว่าเหมาะสมแล้วในการเล่าความในใจ แล้วผมเชื่อว่า ด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ของผม ไม่ว่าอยู่ในสถานภาพใดผมสามารถทำประโยชน์ให้กับสังคม ทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองร่วมกับทุกๆ ฝ่ายได้ แม้แต่ฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์ผม ผมไม่เคยถือโทษโกรธเคือง เราคนไทยด้วยกัน อนาคตข้างหน้าผมเชื่อว่าสดใส ต้องขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง และขอขอบคุณคนไทยทุกคนที่ให้กำลังใจ เข้าใจในตัวผม...ขอบพระคุณครับ