ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
25-04-2024, 22:29
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ..ผลสุดท้าย ก็ " เข้าทางโจร "จนได้ ..คิดผิดหรือคิดถูกกันแน่ที่ทำจนคุณสมคิดลาออก 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
..ผลสุดท้าย ก็ " เข้าทางโจร "จนได้ ..คิดผิดหรือคิดถูกกันแน่ที่ทำจนคุณสมคิดลาออก  (อ่าน 1583 ครั้ง)
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« เมื่อ: 21-02-2007, 17:23 »

 

...น่าเสียดายอย่างยิ่ง....ในที่สุด
ก็ทำกันจนคุณสมคิด  ลาออกจนได้

..ดู  และ ฟังข่าวทางช่อง 3  ในตอนเย็นวันนี้  เท่าที่สังเกตกิริยา ท่าทาง
คำพูดของคุณสมคิดก็สื่อถึงความใจจริงพอควร.....(ก็แล้วแต่
ทัศนคติส่วนลึกของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน  ไม่เท่ากันนะจุดนี้
ไม่ว่ากัน )


**  มีปมให้คิดต่อหลายประเด็น ในกรณีที่คุณสมคิดลาออก คือ

*  ประเด็นที่หนึ่ง  เอาตรรกใดมาคิดว่าคนที่เป็นมือรองที่ทำงาน
ในทีมเดียวกัน  จะมีทัศนคติ นิสัยใจคอ  แนวทางการทำงาน เหมือนกัน
กับมือหนึ่งเหรอ  คุณสมคิดและคุณทักษิณมิได้เป็นฝาแผดกัน
หรือถูกผูกให้ติดกัน  หรือเอาเหตุผลอะไรมาคิดที่บอกว่าคุณสมคิด
สนับสนุนทักษิโณมิกส์ ...?...

มือรองมีสิทธ์ต้านมือหนึ่งหรือมือนำ
ได้หรือไม่ ? ... และการตัดสินใจเด็ดขาดแบบเบ็ดเสร็จอยู่ที่มือนำ
หรือมือรอง


*  ประเด็นที่สอง  คนทำงานในทีมเดียวกันมานาน  เมื่อเจอภาวะ
วิกฤตจะเปิดตูด  ชิ่งตัวเองลาออกแบบเอาตัวรอด  หรือมีความ
จำเป็น  ต้องหวานอมขมกลืน  กล้อมแกล้มทนอยู่ไป  เพื่อ
ประคองเรือลำเดียวกัน  ให้รอดอย่างปลอดภัย

*  ประเด็นที่สาม ....ปชป...คิดไงที่ออกมาแสดงความคิดเห็น
เรื่องคุณสมคิด  ทว่าไปแล้วอยู่เฉยๆไม่ออกมาแสดงความคิดเห็น
น่าจะดูเป็นคนใจกว้าง  สุขุมนุ่มลึก  มากกว่าเยอะ....ว่ามั๊ย


*  ประเด็นที่สี่ ...พันธมิตรหลงทางแน่นอนที่ทำจนเค้าลาออก
ที่จริงแค่ให้เค้าแสดงจุดยืนให้ชัดเจนก็น่าจะสมเหตุสมผลแล้ว/color]


....น่าเสียดายจริง  !!


(Update)"สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" ร่ายยาวผลงานสร้างความเชื่อมั่นกับต่างประเทศ ก่อนประกาศขอถอนตัวจากประธานคกก.กระชับด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ระบุไม่ต้องการเห็นสังคมแตกแยก

คลิกที่นี่ เพื่อฟังเสียงนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ แถลงข่าวอำลาตำแหน่ง

http://www.bangkokbiznews.com/2007/02/21/WW10_WW10_news.php?newsid=55496

***************************************************************************


กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ แถลงเล่าความในใจ ภายหลังถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ในฐานะได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการประสานงานและกระชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

โดยกล่าวว่า ในช่วงหลังมีหลายสิ่งที่ทำให้เขาไม่สบายใจ และอยากพูดกับพี่น้องประชาชนด้วยตนเอง ซึ่งปรกติเป็นคนพูดน้อย แต่ถึงจุดนี้ ถึงจุดที่ควรจะพูดเพราะเป็นเรื่องของบ้านเมือง ซึ่งต้องมาก่อนหนือสิ่งอื่นใด

สืบเนื่องจากนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ผมเป็นประธานฯ และจากนั้นมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ขณะเดียวกัน เสียงเรียกร้องให้ผมแถลงจุดยืนแน่ชัด เพื่อให้เกิดความเข้าใจต่อกัน ขอชี้แจงดังนี้

ประการแรก ตลอด 6 ปีที่ทำการเมืองของผม จุดยืนคือ ตั้งใจทำงานซื่อสัตย์ สุจริต โดยมีจุดหมายบ้านเมือง สถาบันพระมหากษัตริย์ ผมไม่เคยติดยึดตำแหน่ง ผมเชื่อว่าไม่ว่าอยู่ในตำแหน่งใด ทุกคนต่างทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองเช่นกัน

"ผมไม่เคยติดยึดกับกลุ่มคน มีแนวทางของตัวเอง เพื่อบ้านเมืองทังสิ้น นี่คือจุดยืนของผม ถ้าไม่ใช่คนจริง 6 ปี คนย่อมเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่วันแรกและวันสุดท้าย ผมไม่เคยละทิ้งภาระกิจและหน้าที่ ผมไม่ใช่นักการเมือง ในหลายครั้งที่ท้อแท้ ถ้าทำดีแล้ว คุณความดีปกป้องให้รอดพ้นได้ นี่ทำให้ผมรอดพ้นได้ 6 ปี" เขาระบุสมคิด

ประการที่ 2 ผมได้พบกับนายก 2 -3 ครั้ง ผมบอกว่าต่างประเทศมองเราว่ากำลังจะปิดประเทศหรืออย่างไร จะกำลังไปสู่เผด็จการหรืออย่างไร ทัศนคติเหล่านี้ ถูกเขียนตีพิมพ์ไปทั่วโลก กำลังเข้าใจผิดอย่างมาก และกระทบความเชือถืออย่างยิ่ง 

"ขาดความเชื่อมั่นไม่เป็นไร แต่ขาดความเชื่อถือจะกู้ยาก ดังนั้นต้องสื่อความให้ชัดเจน ก่อนที่จะลุกลามออกไป ต้องใช้ข้อเท็จจริง ชี้แจงระดมรวมมือกัน โดยเฉพาะ ประเทศจีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา" 

เรารู้ดีว่า สหรัฐฯ เขาเชิดชูประชาธิปไตย ถ้าปล่อยให้เขาเข้าใจเราผิด และต้องไม่ใช่ลักษณะตอบโต้ จีนเป็นตลาดสำคัญแห่งอนาคต ไทยต้องการความเกื้อกูลร่วมมือกับจีน ซึ่งจะเป็นพันธมิตรที่ดีมาก ที่น่าห่วง คือญี่ปุ่น เขาไม่พูดมาก เก็บความรู้สึก นิ่งคอยดูเหตุการณ์ คนที่รู้จักญี่ปุ่นในทุกวงการจะรู้ว่า เขามีทัศนคติไม่มั่นใจไทยแน่นอน เขารอดู รัฐบาลชั่วคราวมีอายุแค่ 1 ปี แล้วรัฐบาลหน้าจะแฟร์กับเขาหรือไม่ เขามาลงทุนในบ้านเรา 30 ปี การไปมาหาสู่ชี้แจง หาทางออกร่วมกัน ใน 3 ประเทศนี้

ซึ่งผมสามารถช่วยบ้านเมืองได้ เพราะผมคบค้ากับภาครัฐและเอกชนอย่างลึกซึ้ง ถ้าผมเดินทางด้วยตัวเองไปพบเขาเหล่านั้นในตำแหน่งนี้ ก็ดีกว่าที่จะพูดกันธรรมดา

ท่านนายกฯ เห็นเป็นสิ่งที่ดี นั่นเป็นที่มาให้ผมมาช่วยเหล่านี้ ไม่ใช้วางทายาทแต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่ต้องการทำให้ 3 ประเทศนี้อยู่กับเรา จุดแข็งของเราคือ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเราต้องไม่สูญเสียสิ่งนี้ไป ที่มอบหมายก็เพื่อบ้านเมืองทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งอื่นเจือปน นี่คือความสัตย์จริง ที่ชี้ให้เห็นความสมานฉันท์ เพราะผมกล้าไปประเทศเหล่านั้น กล้าพอ โดยไม่ต้องมีตำแหน่งเหล่านั้น ขอให้เข้าใจ ที่ว่าเป็นการวางทายาทางการเมืองนั้น ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด

ประการที่ 3 ที่ผมอาสาบรรยายเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง เมื่อเร็วๆ นี้มีสื่อมวลชนวารสาร ตีพิมพ์พาดพิงประเทศไทยคลาดเคลื่อน เป็นสื่อมวลชนระดับโลกเสนอคลาดเคลื่อนถือว่าเป็นอันตราย ผมเพิ่งไปญี่ปุ่น ก็มีคำถามว่าเป็นอย่างไรกันแน่ ที่เขาตีความตามเอกสาร เรื่องนี้รอช้าไม่ได้ ในแต่ละประเด็นที่เขาคลาดเคลื่อนต้องชี้แจงทันที ให้ชัดเจนเป็นข้อๆ เขาจะหันมาสนับสนุน

เพราะปรัชญาพอเพียงมีคุณค่า มีความเป็นสากล ผมก็เข้าใจว่า มีคนกำลังคนที่จะชี้แจงพอหรือไม่ ผมเข้าใจว่ามีน้อย ถือว่ามีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทำอยู่ แต่ผมว่าเรื่องนี้สำคัญมาก หากปล่อยให้ขยายวงไปเรื่อยๆ จะระคายเคืองต่อเบื้องยุคลบาท ผมได้กราบเรียนต่อนายกฯ ว่า อาสามาชี้แจง ท่านเห็นด้วย ผมจึงรับไปบรรยายครั้งแรกที่ สถาบันศศินทร์

ความตั้งใจและมุ่งมั่นนี้ในแนวปรัชญาพอเพียง แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ยังขาดความเข้าใจ บางครั้งผมก็รู้สึก แต่ผมไม่ถือโทษโกรธ ผมถือว่าถ้าหากว่าทุกฝ่ายเข้าใจเจตนา ด้วยความคิดของผมที่ทำงานมาในอดีต ความจริงใจ ทุกฝ่ายจะหันมาปรองดองร่วมมือกัน ทำงานไปข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม กระแสความไม่เข้าใจกันสูงมาก อาจนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้ง ผมกล่าวตรงๆ 2 ปีที่ผ่านมา ผมมีความทุกข์ใจอย่างยิ่ง บ้านเมืองไม่มียุคไหนจะขัดแย้งมากขนาดนี้ ความสมานฉันท์เรืองใหญ่ ตำแหน่งหน้าที่เป็นเรื่องเล็ก 

ในหลวงสอนไว้ การที่เราคงความเป็นชาติอยู่ได้ เพราะความสามัคคี เพราะฉะนั้นที่ยังมีความไม่เข้าใจอยู่ ถ้าความตั้งใจดีของผม จะกลายเป็นชนวนแตกแยกกว่านี้ ซึ่งไม่ควรมีมากกว่านี้อีกแล้ว ผมได้เรียนปรึกษาท่านนายกฯ ภาระกิจที่มอบหมายผมขณะนี้ ยังมีผู้ที่ไม่เข้าใจ ผมอยากให้ยุติความขัดแย้งแต่เนิ่นๆ ผมจะขอถอนตัวยุติความแตกร้าว ไม่ใช่ทำลายบ้านเมือง ท่านนายกฯ ก็อนุญาต(เสียงตบมือ)

แต่ผมจะกราบเรียนว่า ถ้าผมดื้ออยู่ต่อ ท่านนายกฯต้องปกป้องผมแน่นอน แต่ถามว่าบ้านเมืองจะได้อะไร ผมไม่มีตำแหน่งผมก็ไปได้ (เงยหน้าน้ำตาคลอ) ตำแหน่งจึงไม่มีความจำเป็นประการใด 

ท่านนายกฯ อนุญาต ท่านเห็นคุณค่าในตัวผม รู้จักใช้งานผม เพื่อพิสูจน์ว่า ความสามัคคีในชาติเป็นสิ่งสำคัญ ผมเองกล้าถอนตัวโดยไม่กลัวเสียหน้าประการใด พิสูจน์ให้เห็นว่าสมานฉันท์ในชาติเหนืออื่นใด ถ้าไม่มีบ้านเมือง ซึ่งลำบากอยู่แล้ว บ้านเมืองข้างหน้าอาจลำบากกว่านี้ ผมไม่น้อยใจผู้ใดเลย เพราะช่องทางทำงานให้บ้านเมืองมีอีกมาก  ไม่ต้องผ่านตรงนี้เลย ผมประกาศแล้ว หลักการแนวคิดทำงานผมเป็นอิสระ 

ซึ่งแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เหมาะสมกับโลกข้งหน้า ด้วยความเชื่อมั่นโดยบริสุทธิ์ใจที่เราจะผลักดันให้ความพอเพียงให้เกิดขึ้น ด้วยหลักความ รอบคอบ ไม่ประมาท มีคุณธรรม บ้านเมืองก็อยู่รอด

6 ปีผมยึดหลักนี้มาตลอด ตรงไปตรงมา ทำตามขั้นตอน เน้นความเข้มแข็งของของรัฐกับเอกชน รัฐกับชาวบ้าน ให้แข่งขันได้โดยไม่จน ต้องการปรับปรุงประเทศไทยให้ดี ให้คนไทยมีพออยู่พอกิน อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน การเมืองไทยไม่แน่นอน แต่ผมอยากเรียกร้องคนที่เข้าใจผม มาร่วมกันหาหนทางออกในการพัฒนาบ้านเมืองเรา เพราะไม่มี่สิ่งใดเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับในหลวง เท่ากับรวมพลังสามัคคี ละทิฐิมานะ เห็นบ้านเมืองเป็นหลักใหญ่ ให้มีความแข็งแรงต่ออนาคตข้างหน้า และนั้นคือจุดยืนการเมืองของผม 

ผมใช้เวลาเหมาะสมแล้ว ในการเล่าความในใจ ไม่ว่าอยู่ในสถานะภาพใด ผมสามารถทำประโยชน์เพื่อบ้านเมือง ร่วมกับทุกฝ่ายได้ และฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ ก็ไม่มีปัญหา ต้องขอบคุณนายกฯ อีกครั้ง และคนไทยทุกคนที่ให้กำลังใจ เข้าใจ

คลิกที่นี่ เพื่อฟังเสียงนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ แถลงข่าวอำลาตำแหน่ง


http://www.bangkokbiznews.com/2007/02/21/WW10_WW10_news.php?newsid=55496
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-02-2007, 20:10 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
ริวเซย์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,637


Worrior in The Blue Armor


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 21-02-2007, 17:27 »

ไม่เป็นไรครับ คนอื่นยังมีครับ สมคิดมาแล้วก็ไป แต่ได้เห็นสันดานพวกอดีตรัฐบาลทรท.ที่ด่าสมคิดไม่มีดีแล้ว

ทำให้รู้ว่า ไอ้พวกนี้มุ่งหวังแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวกันทั้งนั้น
บันทึกการเข้า

ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^


รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 21-02-2007, 17:28 »

“สมคิด” แถลงเปิดใจถอนตัวพ้นเก้าอี้ประธานเคลียร์ทุนต่างประเทศ อ้างให้บ้านเมืองสงบ-สมานฉันท์ แต่ยังเดินหน้าแจง “เศรษฐกิจพอเพียง” ต่อไปแม้ไม่มีตำแหน่ง ลั่นอิสระไม่ได้เป็นทายาทใคร เป็นตัวของตัวเอง ตัดขาด “แม้ว” ทางใครทางมัน ระบุที่ผ่านมามีแนวทางต่างกันตลอดจนเกิดระแวงจนถูกเด้งหลายหน


       
      คลิกที่นี่ เพื่อฟังการแถลงข่าว จาก สมคิด จาตุศรีพิทักษ์

http://www.managerradio.com/Radio/DetailRadio.asp?program_no=1026&mmsID=1026%2F1026%2D1548%2Ewma+&program_id=6625
     
   



       วันนี้ (21 ก.พ.) ที่โรงแรมสยามอินเตอร์ คอนติเนนตัล เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้แถลงลาออกตำแหน่งประธานคณะกรรมการประสานงานและกระชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยย้ำว่าเพื่อต้องการให้เกิดความสมานฉันท์ แต่จะทำหน้าที่ชี้แจงกับต่างประเทศให้เข้าใจในเรื่องแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงต่อไปโดยไม่ต้องมีตำแหน่ง
       
       ทั้งนี้ นายสมคิดใช้เวลาในการแถลงเกือบ 1 ชั่วโมง โดยกล่าวว่าหลังจากนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการดังกล่าวแล้วเกิดเสียงวิจารณ์ต่างๆ นานา ทั้งเห็นด้วยและคัดค้านจำนวนมาก รวมทั้งมีเสียงเรียกร้องให้แถลงจุดยืนให้ชัด ดังนั้นจึงขอชี้แจง ดังนี้
       
       นายสมคิด ย้ำว่า จุดยืนของตนนั้นตลอด 6 ปีที่ผ่านมาที่ทำงานการเมือง ได้ตั้งใจทำงานอย่างซื่อสัตย์ มีจุดมุ่งหมายเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสูงสุด และไม่เคยยึดติดตำแหน่ง หรือยึดติดกับกลุ่มบุคคล มีแนวทางของตนเอง
       
       นายสมคิด ย้ำอีกว่า ที่ผ่านมาแม้จะมีการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนต่างประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยว และการส่งออก แก้ปัญหาการขาดดุลการค้าเนื่องจากราคาน้ำมันมีราคาแพงแล้ว ขณะเดียวกันยังมีปัญหาในชนบทที่ยังมีความยากจน จึงเข้าไปส่งเสริมสินค้าโอทอปเพื่อให้ชาวบ้านอยู่กันแบบพอเพียง
       
       อดีตรองนายกฯ ผู้นี้ยังชี้แจงถึงความเคลือบแคลงใจว่ายังเป็นบุคคลในระบอบทักษิณว่า ตั้งแต่เกิดการยึดอำนาจ ไม่มีการติดต่อกัน และ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่เคยติดต่อมาแต่อย่างใด
       
       “ท่าน(ทักษิณ) มีแนวทางของท่าน ผมก็มีแนวทางของผม อิสระ เด็ดขาดชัดเจน แยกออกจากกัน และในความเป็นจริงแล้วแนวทางของผมกับของท่านก็คนละแนวทางกัน แต่ 6 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่เป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นหลัก” นายสมคิด ระบุ และว่าความแตกต่างระหว่างตนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อนยึดอำนาจ จนบางครั้งเกิดความไม่ไว้ใจ และนำไปสู่การปรับเปลี่ยนตำแหน่งอย่างที่หลายคนได้รู้กันแล้ว”
       
       นายสมคิดยังได้กล่าวถึงประเด็นคำถามว่าทำไมไม่ลาออกมาเสียก่อนการยึดอำนาจว่า ในฐานะที่ต้องรับผิดชอบ บางครั้งการละทิ้งภาระไม่ใช่ของง่าย และที่ผ่านมาได้ปรึกษาผู้ใหญ่แล้วก็สนับสนุนให้อยู่ต่อไป
       
       อดีตรองนายกฯ ผู้นี้ยังเปิดเผยอีกว่า ที่ผ่านมาได้เคยพบกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีหลายครั้ง ล่าสุดได้มีโอกาสสนทนาถึงปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความน่าเป็นห่วงเกี่ยวกับปัญหาต่างประเทศยังคลางแคลงนโยบายเศรษฐกิจบางอย่างมองว่าไทยกำลังถอยหลัง หรือกำลังปิดประเทศ และมีการเผยแพร่ตีพิมพ์ทางสื่อทั่วโลก ซึ่งถือว่าอันตราย ดังนั้นจึงต้องรีบชี้แจง แต่ไม่ใช่ตอบโต้
       
       “ที่ผ่านมาท่านนายกฯ เห็นด้วย และให้ฟอร์มทีมงาน ซึ่งผมยืนยันว่าการทำงานครั้งนี้ไม่หวังผลทางการเมือง ไม่มีอำนาจ หรือไม่มีการวางทายาทแต่อย่างใด” เขายืนยัน
       
       นายสมคิด ย้ำว่า ที่ผ่านมาต่างประเทศเริ่มเข้าใจแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเบี่ยงเบนไป และคิดว่าช้าไม่ได้ต้องรีบชี้แจงทันที และได้เฝ้าดูว่ามีคนในรัฐบาลชี้แจงเพียงพอหรือไม่ แต่เข้าใจว่าคนที่ออกมาชี้แจงมีน้อย
       
       “ตอนแรกผมไม่คิดอาจเอื้อม เพราะมีผู้ใหญ่ในรัฐบาลคอยชี้แจงอยู่แล้ว แต่เมื่อเป็นเรื่องใหญ่ และต่อไปอาจระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท จึงอาสานายกฯ และท่านนายกฯ เห็นด้วยตั้งใจจะชี้แจงทั่วโลก แต่น่าเสียใจว่าความมุ่งมั่นที่บริสุทธิ์ใจถูกตีความหมายผิดไป แต่จะมุ่งมั่นทำงานต่อโดยไม่มีนัยอย่างอื่น”
       
       นายสมคิด กล่าวว่า เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาจึงเรียนนายกฯ ขอถอนตัวเพื่อยุติปัญหา เพื่อป้องกันความแตกแยก และไม่ให้เป็นภาระของนายกฯ ให้บ้านเมืองเกิดความสงบ และย้ำว่าการถอนตัวครั้งนี้ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการถูกกดดัน แต่เพื่อความสงบของบ้านเมืองจึงไม่กลัวการเสียหน้า
       
       นายสมคิด ย้ำว่า หลักการเศรษฐกิจพอเพียงเหมาะกับสังคมไทยในอนาคต และพาบ้านเมืองให้ไปรอด เพราะสติ ปัญญาและคุณธรรม ตนได้ยึดถือมาตลอด และจะยึดปรัชชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นธงชัย และในตอนท้ายเขาได้เชิญชวนทุกฝ่ายมาร่วมกันหาทางออกให้แก่บ้านเมืองต่อไป
       
       รายละเอียดคำแถลงของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
       
       
       “มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้ผมไม่สบายใจ และอยากพูดกับพี่น้องประชาชนด้วยตนเอง ซึ่งปกติผมเป็นคนพูดน้อย แต่ถึงจุดนี้ ถึงจุดที่ผมควรจะพูด เพราะเป็นเรื่องของบ้านเมือง ซึ่งต้องมาก่อนเหนือสิ่งอื่นใด
       
       สืบเนื่องจากนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ผมเป็นประธานคณะกรรมการประสานงานและกระชับความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และจากนั้นมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ขณะเดียวกัน เสียงเรียกร้องให้ผมแถลงจุดยืนแน่ชัด เพื่อให้เกิดความเข้าใจต่อกัน ขอชี้แจงดังนี้
       
       ประการแรก ตลอด 6 ปีที่ทำการเมืองของผม จุดยืนคือ ตั้งใจทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โดยมีจุดหมายเพื่อประโยชน์และความมั่นคงของชาติบ้านเมือง และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งกระผมเทิดทูนบูชาและจงรักภักดีสูงสุด ขณะการปฏิบัติภารกิจของกระผมทั้ง 6 ปี กระผมไม่เคยติดยึดกับตำแหน่ง ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด ผมเชื่อว่าทุกคนเห็นผมทำงานอย่างเต็มที่ทั้งหมดเพื่อชาติบ้านเมืองทั้งสิ้น
       
       ผมไม่เคยติดยึดกับตัวบุคคล ผมมีแนวทางการทำงานของผมเอง ผมตั้งใจว่าจะทุ่มเททุกอย่างนั้นเพื่อบ้านเมืองทั้งสิ้น นี่คือจุดยืนแห่งการทำงานของผม น้องๆ ที่อยู่ห้องนี้หลายคนรู้จักผมดี คนเราถ้าไม่ใช่เป็นคนจริง 6 ปีย่อมเปลี่ยนแปลง แต่ตั้งแต่วันแรกที่ผมทำงานจนถึงวันสุดท้ายที่ผมทำงาน ผมไม่เคยละทิ้งภารกิจ ผมไม่เคยละทิ้งหน้าที่ หลายครั้งที่เกิดความท้อถอยในการทำงาน เพราะผมไม่ใช่นักการเมือง ผมต้องพยายามอดทน และคิดในใจเสมอว่าถ้าคนเราทำเพื่อชาติบ้านเมืองแล้ว คุณความดีที่ทำนั้นก็จะสามารถคุ้มครองปกป้องเราได้ นี่คือสิ่งที่ผมรอดพ้นมาได้ตลอดระยะเวลา 6 ปี
       
       ณ จุดเริ่มต้นที่ผมเข้ามาที่กระทรวงการคลัง ผมตั้งใจไว้ว่าเมืองไทยนี้มีศักยภาพที่แข็งแกร่งมาก หากเราทำทุกสิ่งให้ดี เราจะสามารถปฏิรูปประเทศไทยให้มีความเข้มแข็ง ให้มีความเท่าเทียม ให้มีความสมบูรณ์ เพื่อเป็นรากฐานกับลูกหลานของเราในอนาคตข้างหน้า
       
       แต่เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เมื่อเราเข้ามาในขณะนั้นบ้านเมืองมีปัญหามากๆ อยู่ในสภาพที่ใกล้ล้มละลาย นักธุรกิจ 9 ใน 10 คนในขณะนั้นเป็นเอ็นพีแอลทั้งสิ้น ชาวบ้านตกงาน ฉะนั้น ผมคิดในใจขณะนั้นว่าภารกิจสำคัญของผมนั้นมี 2 ประการ หนึ่ง จะทำอย่างไรที่จะดึงให้เศรษฐกิจไทยนั้นพ้นจากวิกฤต แต่สิ่งนั้นยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก แต่ปัญหาที่ใหญ่มากกว่านั้น คือจะทำอย่างไรที่จะปฏิรูปเมืองไทยให้ประชาชนมีความอยู่ดีกินดี ให้ประเทศมีความสามารถที่จะแข่งขัน ให้ประเทศนั้นมีคุณธรรมในอนาคตข้างหน้า
       
       ฉะนั้น ในช่วง 2-3 ปีแรกแห่งการทำงาน สิ่งสำคัญก็คือเรื่องของการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การสร้างความมั่นใจกับต่างประเทศ การแก้ไขปัญหาหนี้เสีย การแก้ไขปัญหาหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯ และการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะ ซึ่งมีมากจนท่วมท้น การสร้างความมั่นใจกับต่างประเทศเป็นภารกิจสำคัญ ผมและคณะทำงานด้วยความอดทน จนกระทั่งฝรั่งต่างประเทศเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่น
       
       จากนั้นสิ่งที่ทำมาตลอดก็คือ ทำอย่างไรที่จะหารายได้มาชดเชย มาใช้คืนหนี้สินไอเอ็มเอฟ ผมต้องออกไปพยายามโปรโมตการส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุน ไปตั้งแต่วันแรกซึ่งฝรั่งนั้นไม่มองหน้าเราด้วยซ้ำไป จนกระทั่งเราสามารถสร้างเงินตราต่างประเทศ เพื่อคืนหนี้สินได้เป็นผลสำเร็จ
       
       แต่ในขณะนั้นแม้ว่าจะมีความพึงพอใจว่าภารกิจขั้นแรกลุล่วง แต่สิ่งซึ่งอยู่ในใจตลอดเวลาก็คือว่า ความสำนึกที่ว่าเมืองไทยนั้นชาวบ้านยังยากจน โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ในชนบท พวกเขายากจน อ่อนแอ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าการพัฒนาเศรษฐกิจในอดีต 30-40 ปีที่ผ่านมานั้นขาดความสมดุล ฉะนั้น สิ่งซึ่งพยายามต่อมาก็คือว่า ทำอย่างไรที่จะให้องค์กรและสถาบันต่างๆ เข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง ให้ชาวบ้านมีพอมีพอกิน โครงการอย่างเช่นโอทอปนั้น เป็นโครงการหนึ่งซึ่งเราพยายามที่จะทำให้ประชาชนสามารถอยู่กินอย่างพอเพียง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างรากฐานเศรษฐกิจไทยให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งเป็นพระราชประสงค์ของพระเจ้าอยู่หัว
       
       ผ่านมาไม่กี่ปีก็ต้องมาเผชิญกับปัญหาการขาดดุลการค้า ขาดดุลชำระเงินเพราะราคาน้ำมัน ผมถูกโยกมาอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์ในขณะที่การขาดดุลการค้านั้นขาดดุลกว่าเดือนละ 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาทต่อเดือน ขณะนั้นปัญหาเงินเฟ้อเป็นปัญหาใหญ่ ฉะนั้นความทุ่มเทก็พยายามที่จะไปทำสิ่งเหล่านั้น ให้ดุลการค้ากลับมาสู่ภาวะปกติ ให้เงินเฟ้อกลับมาสู่ภาวะปกติ
       
       ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าพวกเราจำได้ สิ่งซึ่งผมประกาศตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมาก็คือว่า จะทำอย่างไรที่จะมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ปฏิรูปเศรษฐกิจไทยให้มีความเท่าเทียม ให้มีความเข้มแข็ง พยายามผลักดันปีแล้วปีเล่า แต่ผมอยากจะกราบเรียนว่าไม่ง่ายเลย สิ่งซึ่งผมชี้อยู่ตลอดเวลา คือ เรื่องของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทำอย่างไรจะเตรียมคนไทยของเรานั้นให้เข้มแข็งและมีความรู้เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาต่อไปในอนาคตข้างหน้า
       
       ทั้งหมดนี้ผมพยายามจะบอกว่า จุดยืนแห่งการบริหารเศรษฐกิจของผมในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น หนึ่ง คือฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ได้ สอง จะทำอย่างไรที่จะสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งและเป็นธรรม และสามารถให้เศรษฐกิจไทยก้าวต่อไปในอนาคตอย่างมั่นคง แนวความคิดนี้ไม่ได้เพิ่งเกิด แต่เกิดมาตั้งแต่ผมเรียนหนังสืออยู่ต่างประเทศ ผมเขียนหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า แต่ไม่มีโอกาส ฉะนั้น ผมได้ใช้เวลา 6 ปีนั้นทำอย่างเต็มที่ และผมเชื่อว่าประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าผมทำได้ดีมากน้อยเพียงใด
       
       มีผู้ตั้งข้อสังเกต มีความคลางแคลงใจในความสัมพันธ์ของผม กับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ผมอยากจะกราบเรียนว่า ภายหลังจากการปฏิวัติการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ผมไม่เคยติดต่อกับท่าน ท่านก็ไม่เคยติดต่อกับผม ท่านมีความคิด มีแนวทางในการดำเนินงานของท่าน ผมก็มีความคิด มีหลักการและมีแนวทางในการดำเนินงานของผม อย่างเป็นอิสระ เด็ดขาด ชัดเจน แยกออกจากกัน
       
       จริงๆ แล้วแนวความคิดของท่านกับของผมนั้นเป็นคนละแนวทาง แนวทางของท่านก็เป็นแนวทางของท่าน แต่ของผมกับคณะที่ทำงานนั้น ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาเรายึดถือหลักการแห่งความถูกต้อง ทุ่มเทกับเป้าหมาย โดยผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำ ผลงานที่ออกมานั้นเป็นประจักษ์พยานได้เป็นอย่างดี
       
       ความแตกต่างของแนวทางและความคิดนั้น ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่จริงๆ แล้วเกิดขึ้นหลายปีก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงเสียด้วยซ้ำไป จนบางครั้งก็เป็นสาเหตุให้เกิดความไม่ไว้ใจ จนเป็นผลนำไปสู่การปรับเปลี่ยนตำแหน่งทางการเมือง และอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นในภายหลังดังที่เป็นที่ทราบกันอยู่แล้ว
       
       มีผู้ถามผมว่า ทำไมถึงไม่ลาออกจากรัฐบาลในช่วงท้ายของรัฐบาลที่แล้ว ผมอยากจะกราบเรียนว่า ในฐานะที่เป็นคนที่ต้องรับผิดชอบ ดูแลปัญหาเศรษฐกิจ การที่คุณจะละทิ้งภาระความรับผิดชอบนั้นไม่ใช่ของง่าย ขาดดุลการค้าเดือนละ 7-8 หมื่นล้านบาท 6 เดือนต่อเนื่อง คูณกันแล้วเป็นแสนๆ ล้าน ค่าเงินบาทขณะนั้นกำลังไหลตัวลงเพราะการขาดความเชื่อมั่น เมื่อขาดความเชื่อมั่น คนเริ่มตุนสินค้า ภาวะเงินเฟ้อพุ่งทะยานอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
       
       ผมได้ปรึกษาหารือผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน ท่านแนะนำว่า ตราบใดที่เรายังอยู่ในตำแหน่งและสามารถทำงานให้บ้านเมืองได้ ขอให้ช่วยดูแลปกป้องผลประโยชน์ของบ้านเมือง และนั่นคือความรับผิดชอบของคนที่ทำงาน ไม่ใช่เพื่อตำแหน่งแต่ประการใด ผมขอเรียนชี้แจงจุดยืนไว้ ณ ที่นี้
       
       ในประการที่ 2 ผมได้มีโอกาสพบกับท่านนายกรัฐมนตรีสุรยุทธ์ จริงๆ แล้วเคยพบกัน 2-3 ครั้ง การพบกันครั้งล่าสุดผมได้มีโอกาสสนทนาและสรุปถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังเกิดขึ้น ว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วงนั้นคือ แนวโน้มที่อาจจะมีการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และปัญหาราคาสินค้าเกษตรที่จะตกต่ำ แต่ปัญหาภายในประเทศนั้นเป็นสิ่งซึ่งถ้าเราดูแลเอาใจใส่ด้วยความรอบคอบ
       
       ผมเชื่อว่าเราจะสามารถผ่านพ้นไปได้ เพราะว่าพื้นฐานที่มีมาแต่อดีตนั้น มันมีความแข็งแกร่งของมันอยู่ แต่สิ่งซึ่งน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งก็คือ สถานการณ์จากต่างประเทศที่มองดูประเทศไทยในขณะนี้ ในขณะนี้มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน มีความเข้าใจที่ผิด ด้วยการมองดูภาพ มองดูเหตุการณ์ มองดูและตีความนโยบายเศรษฐกิจบางนโยบายด้วยความคลางแคลงใจ ไม่เข้าใจ และอีกหลายๆ อย่าง แล้วนำประกอบกันขึ้นมาเป็นความรู้สึกนึกคิดว่าประเทศไทยนั้นกำลังย้อนหลัง กำลังจะปิดประเทศหรืออย่างไร กำลังจะปฏิเสธนักลงทุนต่างประเทศหรืออย่างไร กำลังจะกลับไปสู่ระบอบเผด็จการหรืออย่างไร
       
       ทัศนคติที่ผิดๆ เหล่านี้เริ่มมีการเขียน มีการตีพิมพ์ไปทั่วโลก ผลจากอันนี้ซึ่งถูกตีพิมพ์โดยสื่อมวลชนซึ่งมีผู้อ่านนับล้านๆ คนทั่วโลก กำลังทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างมากต่อประเทศไทย กระทบต่อความเชื่อถือซึ่งผมคิดว่าสำคัญอย่างยิ่ง ขาดความเชื่อมั่นไม่เป็นไร แต่ถ้าเมื่อไรขาดความเชื่อถือ เมื่อนั้นยากที่จะย้อนกลับได้ ตรงนี้จะต้องเร่งทำการชี้แจง สื่อความให้เข้าใจชัดเจน ก่อนที่ความเข้าใจผิดตรงนี้จะลุกลามออกไป และจะต้องสื่อความด้วยความอดทน ใช้ข้อเท็จจริง หาทางออกร่วมกัน
       
       3 ประเทศใหญ่ซึ่งผมชี้ออกมาว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด คือ จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
       
       สหรัฐอเมริกานั้นเป็นประเทศที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และการเมือง เราจะละเลยไม่ได้ เขาเป็นประเทศที่เชิดชูประชาธิปไตย ฉะนั้น ทัศนคติที่เขามีในขณะนี้บวกกับภาพเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น อันตรายอย่างยิ่งถ้าปล่อยให้เขาเข้าใจเราผิด ฉะนั้นการสื่อความตรงนี้จำเป็นมากๆ และต้องทำการสื่อความในลักษณะที่ไม่ใช่การตอบโต้ แต่ต้องชี้แจงอย่างชัดเจน
       
       ประเทศจีน เป็นประเทศใหญ่ เป็นตลาดสำคัญแห่งอนาคตข้างหน้า เขาเป็นประเทศที่มีเงินตราสำรองระหว่างประเทศมหาศาล ซึ่งหากประเทศไทยในอนาคตข้างหน้าต้องการการเกื้อกูล ร่วมมือ จีนจะเป็นประเทศที่เป็นพันธมิตรที่ดีมากสำหรับไทยทางเศรษฐกิจ
       
       ประเทศที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ ประเทศญี่ปุ่น ญี่ปุ่นนั้นเป็นชาติซึ่งไม่พูดมาก เก็บความรู้สึก นิ่ง และคอยดูเหตุการณ์ การที่มีเพื่อนฝูงมากในประเทศญี่ปุ่น เพราะรู้จักกันมาเกือบ 6 ปีแล้วในทุกวงการ ก็รู้ว่าในขณะนี้เขากำลังมีความคิด ทัศนคติ ซึ่งไม่มั่นใจกับประเทศไทยอย่างแน่นอน แต่เขามีความนิ่งและอดทนดู เขาคิดอยู่ในใจว่ารัฐบาลชั่วคราวนี้ก็เพียง 1 ปี กำลังดูว่ารัฐบาลหน้าจะเป็นอย่างไร จะมีความแฟร์หรือไม่สำหรับเขา จะพูดกันรู้เรื่องหรือไม่ นี่คือความคิดอ่านของเขา ฉะนั้น ลักษณะของญี่ปุ่นนั้นเราจะต้องไม่ละเลย เขาเป็นประเทศที่ลงทุนในบ้านเมืองเรา 30 ปีก่อนหน้านี้ ฉะนั้นการติดตาม การไปมาหาสู่ การชี้แจง การหาทางออกร่วมกัน อันนี้เป็นความสำคัญอย่างยิ่ง
       
       ผมได้กราบเรียนท่านนายกรัฐมนตรีว่า ใน 3 ประเทศนี้ผมสามารถช่วยบ้านเมืองได้ เพราะว่า 6 ปีที่ผ่านมาผมคบค้ากับบุคคลทั้งในภาครัฐ ภาคราชการ ภาคเอกชน อย่างลึกซึ้ง ถ้าผมเดินทางด้วยตัวเองไปพบพวกเขาเหล่านั้น ด้วยการที่พวกเขาพอรู้จักและมีความเชื่อถืออยู่บ้าง ย่อมดีกว่าเพียงการพูดจาธรรมดาๆ ฉะนั้น ตรงนี้ที่ผมจะช่วยได้และยินดี ท่านนายกฯ ท่านเห็นด้วยและคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี ก็บอกให้ผมฟอร์มคณะทำงานขึ้นมา
       
       นั่นคือที่มาของการมอบหมายภารกิจเพื่อให้ผมเข้าไปช่วยดูแลในสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อไปกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพื่อเข้าไปมีตำแหน่งทางการเมือง ไม่ใช่เป็นการวางทายาทแต่ประการใดทั้งสิ้น แต่เพื่อจะทำอย่างไรที่จะดึง 3 ประเทศนี้ให้อยู่กับเรา เพราะว่าจุดแข็งของเรานั้นคือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศทั่วโลก เป็นจุดแข็งของเราจริงๆ แต่อดีตที่ผ่านมา และเราจะต้องไม่สูญเสียสิ่งเหล่านี้ไปให้กับชาติอื่น
       
       ฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างแห่งการมอบหมายภารกิจก็เพื่อบ้านเมืองทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งอื่นใดเจือปนอยู่เลย นี่เป็นข้อเท็จจริง ท่านนายกฯ มีความเด็ดขาด กล้าหาญ กล้าที่จะใช้คน เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสมานฉันท์ ผมก็มีความกล้าพอที่จะไปประเทศเหล่านั้นด้วยความตั้งใจดีโดยที่ไม่มีตำแหน่งทางการเมือง ฉะนั้นก็ขอให้โปรดเข้าใจในที่มาและที่ไปของการแต่งตั้งตำแหน่ง ฉะนั้นที่มีการบอกว่าเพื่อวางทายาท หรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด
       
       ในประการที่สาม ในการที่ผมอาสาออกมาบรรยายเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เพราะผมคิดว่าในฐานะคนไทยคนหนึ่ง มีความจำเป็นอย่างยิ่งในขณะนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ที่ผ่านมาได้มีสื่อมวลชน วารสาร เริ่มมีการตีพิมพ์และรายงานพาดพิงถึงแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในทิศทางที่คลาดเคลื่อน ผิดพลาด ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ การที่สื่อมวลชนระดับโลกรายงาน มีผู้อ่านนับล้านคน ผมคิดว่าถ้าเขารายงานคลาดเคลื่อน อันตรายอย่างยิ่ง
       
       ผมเพิ่งเดินทางไปญี่ปุ่นและกลับมา ตอนที่เดินทางไปถึงก็มีคนถามผมเรื่องนี้แล้วว่าตกลงเป็นอย่างไรกันแน่ เพราะตามที่เขาตีความในเอกสารนั้น เสมือนหนึ่งว่าไม่ใช่ประเทศไทย เขาเชื่อว่าสิ่งที่รายงานนั้นเป็นการรายงานที่คลาดเคลื่อน เรื่องนี้ผมคิดว่าปล่อยช้าไม่ได้ ในแต่ละประเด็นที่ต่างประเทศมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน จะต้องมีการชี้แจงทันที ที่ชัดเจน เป็นข้อๆ
       
       ทันทีที่เขาเข้าใจ ผมเชื่อแน่เลยว่าเขาจะต้องหันกลับมาให้การสนับสนุน เพราะปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้นมีคุณค่า มีความลึกซึ้ง มีความเป็นสากล ที่สามารถใช้ได้กับทุกประเทศ ผมก็เฝ้าดูอยู่ว่าจะมีผู้ที่ชี้แจงเพียงพอหรือไม่ ผมเข้าใจว่ากำลังคนที่จะชี้แจงได้นั้น มีน้อย ปกติแล้ว หัวข้อบรรยายนี้กระผมไม่ควรอาจเอื้อมที่จะบรรยาย เพราะถือว่ามีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ช่วยดูแลอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ผมคิดว่าสำคัญมาก เพราะถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ขยายวงไปเรื่อยๆ ความเสียหายจะบังเกิด จะระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาท
       
       ฉะนั้น ผมได้กราบเรียนอนุญาตต่อท่านนายกรัฐมนตรีว่า ผมตั้งใจแล้ว ผมอาสาที่จะชี้แจง เพราะว่าเวลาที่ผมพูดนั้น ผมจะพยายามพูดถึงความเป็นจริงในสังคมของเมืองไทยด้วย ท่านเห็นด้วยและส่งเสริม ผมจึงทำการบรรยายครั้งแรกที่สถาบันศศินทร์ และตั้งใจว่าหากมีโอกาสก็จะพยายามชี้แจงกับบุคคล หรือสื่อที่มีความสำคัญระดับโลก เป็นอีกแรงหนึ่งที่ช่วยรัฐบาล
       
       แต่ก็น่าเสียใจ และน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่ความตั้งใจดี ความมุ่งมั่นที่บริสุทธิ์ของผม ได้รับการตีความที่แตกต่างออกไป แต่ผมถือว่าผมตั้งใจ ผมมีความจงรักภักดี ผมรักในหลวง ฉะนั้นผมมุ่งมั่นที่จะทำเพื่อในหลวง นี่คือที่มาที่ไปแห่งการไปบรรยายหัวข้อเศรษฐกิจพอเพียง ไม่มีนัยอย่างอื่นเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่เพียงผมคนเดียว ผมยังอยากให้พวกเราที่มีความรู้เพียงพอ สามารถเพียงพอที่จะบรรยายได้ ช่วยกันสื่อความให้ทั้งคนไทยและคนต่างประเทศได้เข้าใจ
       
       ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ผมได้กราบเรียนพวกเราแล้วว่า จุดยืนของผมนั้นเป็นอย่างไร ที่มาที่ไปแห่งการแต่งตั้งให้ผมทำงาน และความตั้งใจความมุ่งมั่นที่จะช่วยชี้แจงในแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แต่ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งผมคิดว่าเป็นเพราะว่ายังขาดความเข้าใจ และสื่อความต่อกันที่ดีพอ บางครั้งผมก็รู้สึกผิดหวัง แต่ผมก็ไม่ถือโทษโกรธใครเลย เพราะผมถือว่าถ้าหากว่าทุกฝ่ายมีความเข้าใจในเจตนาที่ชัดเจนของผมแล้ว ด้วยความคิดของผม ด้วยงานที่เคยทำมาในอดีต ด้วยความจริงใจที่ผมมี ทุกฝ่ายก็จะหันกลับมาปรองดองกัน ร่วมมือกัน ทำงานเพื่อบ้านเมืองต่อไปข้างหน้า
       
       อย่างไรก็ดี เนื่องจากในขณะนี้ยังมีกระแสแห่งความไม่เข้าใจมีอยู่สูงมาก จึงอาจจะนำไปสู่ปัญหาแห่งความขัดแย้งในสังคม ผมกราบเรียนตรงๆ ว่า 2 ปีที่ผ่านมานั้น ผมมีความทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง บ้านเมืองเราไม่เคยมียุคไหนสมัยไหนมีความขัดแย้งถึงขนาดนี้ ความสมานฉันท์ของคนในชาติเป็นเรื่องใหญ่ ตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นเรื่องเล็ก
       
       พระเจ้าอยู่หัวกล่าวสอนพวกเราว่า การที่เมืองไทยนั้นดำรงความเป็นชาติอยู่ได้ ก็เพราะพวกเรามีความสามัคคี ปรองดอง ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างชาติ สร้างแผ่นดิน ฉะนั้นเมื่อมีความไม่เข้าใจอยู่สูง ผมเองมีความไม่สบายใจ ว่าหากความตั้งใจดีของผมในการที่จะเข้ามาช่วยบ้านเมือง จะกลับกลายเป็นชนวนที่ทำให้เกิดการไม่เข้าใจ แตกแยกมากไปกว่านี้ ซึ่งความแตกแยกนั้นผมคิดว่าไม่ควรจะมีมากไปกว่านี้อีกแล้วในบ้านเมืองเรา ในสังคมเรา
       
       ผมจึงได้กราบเรียนปรึกษากับ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ว่าท่านครับ ภารกิจที่ท่านมอบหมายให้ผมนั้น เนื่องจากในขณะนี้ยังมีผู้ที่ยังไม่เข้าใจ ฉะนั้น ผมอยากให้ยุติความขัดแย้งนี้เสียแต่เนิ่นๆ ไม่ให้เป็นภาระกับท่านนายกฯ เพราะท่านนายกฯ ต้องใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอีกมาก ผมเรียนปรึกษาท่านว่า ผมจะขอถอนตัวก่อนในช่วงนี้ เพื่อให้ความขัดแย้งนี้หมดไป เพื่อบ้านเมืองมีความสงบ เพราะเราเหลือเวลาอีกเพียง 7-8 เดือน ก็จะมีการเลือกตั้ง อย่าให้ผมเป็นประเด็นทางการเมืองที่จะเป็นชนวนแห่งความแตกร้าว เพราะใจของผมนั้น ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา คือทำงานให้บ้านเมือง ไม่ใช่ทำงานให้บ้านเมืองวุ่นวาย ท่านนายกฯ ก็อนุญาต
       
       แต่ผมอยากจะกราบเรียนว่า การถอนตัวครั้งนี้ไม่ใช่ถอนตัวเพราะความกดดัน ผมมีความเข้าใจและมีความจริงใจ ผมรู้ว่าถ้าดื้ออยู่ต่อ ท่านนายกรัฐมนตรีต้องปกป้องผมแน่นอน แต่ถามว่าบ้านเมืองส่วนใหญ่นั้นจะได้ประโยชน์อะไรจากการนี้ ไม่มีตำแหน่ง ผมก็ไปได้ คนระดับรัฐมนตรี หัวหน้าภาคเอกชน เขาก็ยินดีต้อนรับผมอยู่แล้ว ฉะนั้นตำแหน่งนั้นไม่มีความจำเป็นแต่ประการใดเลย
       
       ทั้งหมดนี้ก็ด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ของผม ท่านนายกฯ อนุญาต ผมก็กราบเรียนขอบพระคุณท่านนายกฯ ว่าขอบคุณท่านนายกฯ ที่ใจกว้าง เห็นคุณค่าในตัวผม รู้จักใช้งานผม เพื่อพิสูจน์ว่าความสามัคคี ความสมานฉันท์ของคนในชาตินั้นเป็นสิ่งสำคัญ ผมเองก็กล้าที่จะถอนตัวโดยไม่กลัวเสียหน้าแต่ประการใด เพื่อพิสูจน์ให้คนไทยได้เห็นว่า ณ วันนี้ ความสมานฉันท์ในบ้านเมืองนั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ถ้าไม่มีความสมานฉันท์ ไม่มีความสามัคคี บ้านเมืองซึ่งลำบากอยู่แล้ว อนาคตข้างหน้าอาจจะลำบากมากยิ่งขึ้น
       
       ผมไม่มีความโกรธเคืองผู้ใดเลย ไม่รู้สึกน้อยใจผู้ใดเลย เพราะช่องทางแห่งการทำงานให้บ้านเมืองนั้นมีอีกมากและมหาศาล ไม่จำเป็นต้องผ่านตรงนี้เลย ผมกราบเรียนในตอนต้นแล้วว่า หลักการ แนวคิดแห่งการทำงานของผมนั้นเป็นอิสระจากทุกบุคคล ผมมั่นใจว่าแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเป็นแนวพระราชดำริซึ่งเหมาะสมที่สุดกับโลกแห่งอนาคตข้างหน้า สำหรับประเทศไทย
       
       ผมคิดว่าเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่จะต้องเชื่อมั่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผลักดันให้แนวคิดนี้เกิดขึ้นมา เพราะนั่นคือหัวใจแห่งปรัชญาแห่งการบริหารจัดการ ไม่ว่าคุณจะเลือกทฤษฎีใดมาทำงานก็แล้วแต่ หากคุณใช้หลักการของความมีสติ ความรู้ ปัญญา ความรอบคอบ ไม่ประมาท และมีคุณธรรม ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจพอเพียงนั้น มาเป็นเครื่องนำทางแห่งการทำงาน บ้านเมืองเราก็จะอยู่รอด
       
       6 ปีที่ผ่านมาที่ผมทำงานอยู่นั้น ผมยึดหลักการนี้มาโดยตลอด ตรงไปตรงมา ทำงานเป็นขั้นตอน เน้นความซื่อสัตย์สุจริต เน้นประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นหลัก เน้นการสร้างความเข้มแข็งของประชาชน ชาวบ้าน เน้นการสร้างความเข้มแข็งและร่วมมือกันในระหว่างภาคเอกชนและชาวบ้าน เน้นการนำประเทศไทยให้สามารถแข่งขันได้ต่อโลก
       
       สิ่งเหล่านี้ยังไม่จบ แนวความคิดที่ผมมีนั้นคือต้องการปรับปรุง ปฏิรูปประเทศไทยให้ดี ให้สามารถ ให้มีคุณธรรม ให้คนไทยมีพอมี พออยู่พอกิน และผมจะยึดแนวพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียงเป็นธงแห่งการนำชัย อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน การเมืองไทยเป็นสิ่งไม่แน่นอน แต่ผมอยากจะเรียกร้องให้คนที่เห็นด้วยกับผม ที่เข้าใจผม ที่ต้องการสนับสนุน มาร่วมกันหาหนทาง หาทางออกในการพัฒนาบ้านเมืองของเรา เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่จะถวายองค์ในหลวงในวาระครบ 80 พรรษานี้เท่ากับการรวมพลัง ความสามัคคี การละทิฐิมานะ การเห็นชาติบ้านเมืองเป็นหลักใหญ่ ทำคุณประโยชน์ ทำเมืองไทยให้ดี ให้มีความแข็งแรงสู่อนาคตข้างหน้า ผมขอเท่านั้น และนั่นคือจุดยืนทางการเมืองของผม
       
       ผมอยากเห็นคนรุ่นใหม่ๆ ก้าวเข้ามาช่วยกัน ประสานกับคนรุ่นเก่า และบ้านเมืองจะไปรอด ฉะนั้นผมใช้เวลาคิดว่าเหมาะสมแล้วในการเล่าความในใจ แล้วผมเชื่อว่า ด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ของผม ไม่ว่าอยู่ในสถานภาพใดผมสามารถทำประโยชน์ให้กับสังคม ทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองร่วมกับทุกๆ ฝ่ายได้ แม้แต่ฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์ผม ผมไม่เคยถือโทษโกรธเคือง เราคนไทยด้วยกัน อนาคตข้างหน้าผมเชื่อว่าสดใส ต้องขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง และขอขอบคุณคนไทยทุกคนที่ให้กำลังใจ เข้าใจในตัวผม...ขอบพระคุณครับ”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-02-2007, 17:31 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
An.mkII
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,984


Out of kontrol....!!!!!


เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 21-02-2007, 17:33 »

สมหน้าพวกพันธมิตร..บางคนที่มีอคติจนกลายเป็นผู้ร้าย..และดันให้สมคิดกลายมาเป็นพระเอก...
 
เพราะณ.เวลานี้้..ใครเป็นพระเอก..ใครเป็นผู้ร้ายมันก็โผล่ออกมาแล้ว..

และที่สงสารที่สุดก็คือสนธิ ที่โดนพันธมิตรกดดันจนไม่เป็นตัวของตัวเอง..


ทั้งๆที่ออกมาพูดเมื่อสัปดาห์ก่อนผมก็เห็นด้วยอย่างมาก...

แต่ต้องมาตกม้าตายเพราะพันธมิตรบางกลุ่ม..ที่เป็นพวกอคติชน...
บันทึกการเข้า
justy
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,250



« ตอบ #4 เมื่อ: 21-02-2007, 17:50 »

80/20% น่ะ เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเขามีแผนอะไร
กำลังเล่นอะไร อยู่ๆก็เข้ามาช่วงที่แม้วกำลังจะตกอับ
เทียวไปเทียวมา รอบๆประเทศแต่ยังเข้าประเทศตัวเองไม่ได้อย่างนี้
ขนาดต่างประเทศเขายังใช้เงินทำเพื่อตัวเองได้
ก็แค่คนไทยคนหนึ่งซึ่งเคยวางแผนให้แม้วช่วงที่ยังดำรงตำแหน่งอยู่
แล้วอยู่ๆก็ลุกขึ้นมาเสนอตัวจะเป็นผู้ทำความเข้าใจให้ต่างประเทศเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง
เพราะเขานี่แหละเข้าใจดีที่สุด แล้วทำไมช่วงที่ทักษิณอยู่บริหารประเทศไปทางอื่นและคุณเป็นคนร่วมแรงช่วยคิด
คุณถึงไม่เอ่ยถึงเศรษฐกิจพอเพียงพอเพียงหล่ะ ทักษิณโจมตีในหลวง ทั้งทางเว็บไซต์ วาจา
สมคิดอยู่ตรงนั้น สมคิดทนได้ถึง 5 ปีเชียว แล้วตอนนี้บอกว่ารักในหลวง

ถ้าจะมาพูดว่าตอนนั้นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำไมไม่ลาออกไปตอนนั้นเลยหล่ะ คนดีจริงเขาจะทนอยู่ได้ยังไง
80 % ไม่เห็นด้วยคือที่กล่าวมา

ส่วน 20% ที่เห็นด้วยนั้น เห็นความตั้งใจเท่านั้น ไม่ใช่ฝีมือหรือหลงคารม
บันทึกการเข้า

พรรคไทยรักไทยมิได้ให้ความสำคัญหรือเห็นคุณค่าของสิทธิเลือกตั้งของประชาชน อันเป็นรากฐานสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้ยังแสดงถึงการไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ทั้งที่พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนสูงสุดในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไปก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง ควรต้องสร้างความยั่งยืนให้แก่การปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมั่นคงกับหลักการที่ว่า กฎหมายต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นข้อบ่งชี้ด้วยว่า พรรคไทยรักไทย มิได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งพัฒนาประเทศชาติเพื่อให้คนในชาติมีความสุขทั่วหน้าดังที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่มุ่งประสงค์เพียงดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ นอกเหนือจากครรลองที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศตลอดจนบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องที่หาอุดมการณ์อันแท้จริงของพรรคให้เกิดความมั่นใจแก่ประชาชนโดยรวมว่า เมื่อเป็นรัฐบาลมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินแล้ว จะดำเนินการปกครองโดยสุจริต ไม่ประพฤติมิชอบหรือบริหารราชการแผ่นดินโดยแอบแฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อ
GN-001 Exia
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 809


Celestial Being...


« ตอบ #5 เมื่อ: 21-02-2007, 18:08 »

ดีแล้วครับ...ทำถูกแล้ว
บันทึกการเข้า


พวกที่เอาคำว่า "เสรีภาพ" มาบังหน้าเพื่อเบียดเบียนคนอื่นนี่มันเลวที่สุด
qazwsx
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


นักธุรกิจและตำรวจ ต้องออกไปจากการเมือง


« ตอบ #6 เมื่อ: 21-02-2007, 18:48 »


ขอบคุณครับอาจารย์
ไม่เสียทีที่อุตส่าห์เรียน NIDA จนจบ ( แบบเกินระยะเวลาหลักสูตร ไปเล็กน้อย )
 
บันทึกการเข้า

รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 21-02-2007, 19:14 »

..

...ป่านนี้  พวกอดีตนักการเมืองที่ยึดระบอบการใช้เงินเพื่อซื้อทุกอย่าง
เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของตนเอง ( ระบอบทักษิณ)... นั่งยิ่มแล้วล่ะ

ที่สามารถปลุกปั่น  ตีรวนจนทำให้คุณสมคิดลาออกได้  เพราะหมดก้างขวางคอ
ไปอีกหนึ่งแล้ว ...

** ถามอย่างนี้นะว่า  ถ้าไม่เอาคุณสมคิด มาคานไว้....
เลือกตั้งครั้งหน้า  ระบอบทักษิณมีโอกาสเปอร์เซ็นต์สูงมั๊ยที่จะหวลกลับคืนมา ?...
รัฐบาลชุดนี้ คิดแต่งตั้งคุณสมคิด  คาดว่า..คงเล็งไว้ว่า แต่งตั้งคุณสมคิดคนเดียว
ยิงนกทีเดียวได้สองตัว.....

..ตัวที่หนึ่ง ... "หนามยอกเอาหนามบ่ง " ( คนที่จะทำให้คนยอมรับ
เศรษฐกิจพอเพียงได้มากที่สุด ก็ควรจะเป็นคนที่เคยคลุกทักษิโณมิกส์
และเห็นโทษของทักษิโณมิกส์มาพูดให้ฟัง  จะสร้างความน่าเชื่อถือ
ได้ดีที่สุด)

..ตัวที่สอง... " เพื่อมาคานระบอบทักษิณ  ไม่ให้หวลกลับคืนมา
เพราะภาวะตอนนี้ ทรท. กระเซ็นกระสายหาหลักเกาะอยู่..และ
หลายคนให้ความศรัทธาคุณสมคิดมาก ถ้าเค้าเกาะคุณสมคิดติด
ระบอบทักษิณ  ก็สลายไปโดยอัตโนมัติ...ถ้าสมคิดคือนอมินี
ทักษิณ  ตอนทักษิณลาออกครั้งแรกคงตั้งคุณสมคิดมาแทนที่แล้วล่ะ
แต่เห็นมั๊ยว่า  ภาวะตอนนั้นกลับตั้งคุณชิดชัย  ลืมกันแล้วเหรอ....


**สักวันหนึ่ง  จะเสียใจ...ที่ตาท่านไม่ไกลเท่ากับตาของท่านนายกสุรยุทธิ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-02-2007, 19:17 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
sleepless
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525


Sleepless


« ตอบ #8 เมื่อ: 21-02-2007, 19:20 »

เห็นด้วยกับคุณรวงข้าวล้อลม

เกมนี้ พันธมิตรซื่อบื้อมากถึงมากที่สุด โดยเฉพาะสนธิ ลิ้ม โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง

สมคิดฉลาดมากที่ออกมาลาออกเร็วมาก ตอนนี้ผมว่ากระแสตีกลับไปที่กลุ่มพันธมิตรแล้ว

ผมว่าถึงเวลาพันธมิตรต้องออกมาขอโทษแล้วนะ จึงจะจบได้สวยกว่านี้
บันทึกการเข้า
justy
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,250



« ตอบ #9 เมื่อ: 21-02-2007, 19:57 »

ต่างชาติก็คงจะงงงวยไม่แพ้คนไทย ปฏิวัติแม้ว แต่เอาคนของแม้วมาร่วมรัฐบาล
เอาระบอบทักสิโนมิคมาอธิบายเศรษฐกิจพอเพียง
อันนี้คงต้องเดินสายทำความเข้าใจทั้งในและนอกประเทศ

คุณสมคิดเข้ามาด้วยความบริสุทธิ์ใจหรือคิดอะไรยังไงอยู่ก็แล้วแต่
แต่การเข้ามาของคุณสมคิดเหมือนเป็นการสร้างความแตกแยกอีกครั้ง
ลาออกไปเถอะดีแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะลุกเป็นไฟ

และขอถามหน่อยเถอะ คนที่เก่งๆมีเฉพาะคนในระบอบทักษิณหรือ?

ทำไมไม่ให้โอกาสคนอื่นบ้าง
บันทึกการเข้า

พรรคไทยรักไทยมิได้ให้ความสำคัญหรือเห็นคุณค่าของสิทธิเลือกตั้งของประชาชน อันเป็นรากฐานสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้ยังแสดงถึงการไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ทั้งที่พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนสูงสุดในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไปก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง ควรต้องสร้างความยั่งยืนให้แก่การปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมั่นคงกับหลักการที่ว่า กฎหมายต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นข้อบ่งชี้ด้วยว่า พรรคไทยรักไทย มิได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งพัฒนาประเทศชาติเพื่อให้คนในชาติมีความสุขทั่วหน้าดังที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่มุ่งประสงค์เพียงดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ นอกเหนือจากครรลองที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศตลอดจนบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องที่หาอุดมการณ์อันแท้จริงของพรรคให้เกิดความมั่นใจแก่ประชาชนโดยรวมว่า เมื่อเป็นรัฐบาลมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินแล้ว จะดำเนินการปกครองโดยสุจริต ไม่ประพฤติมิชอบหรือบริหารราชการแผ่นดินโดยแอบแฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อ
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #10 เมื่อ: 21-02-2007, 20:08 »

ใจเย็นๆกันค่ะ ถือเสียว่าช่วงนี้ผู้เล่นเกมส์ไม่เข้าขากันนิดหน่อย เมื่อปัญหาสำคัญจบไปแล้ว ไม่มีข้อขัดแย้งแล้ว ก็ต้องให้อภัยกัน และร่วมกันต่อสู้ต่อไป อย่าให้ความขัดแย้งบานปลายไปจนเปิดช่องให้ศัตรูได้ใจค่ะ

หนักนิดเบาหน่อยอภัยกันนะคะ 
บันทึกการเข้า
แอ่นแอ๊น
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,591


"Angela Gheorghiu" My goddess


เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 21-02-2007, 20:09 »

ต่างชาติก็คงจะงงงวยไม่แพ้คนไทย ปฏิวัติแม้ว แต่เอาคนของแม้วมาร่วมรัฐบาล
เอาระบอบทักสิโนมิคมาอธิบายเศรษฐกิจพอเพียง
อันนี้คงต้องเดินสายทำความเข้าใจทั้งในและนอกประเทศ

คุณสมคิดเข้ามาด้วยความบริสุทธิ์ใจหรือคิดอะไรยังไงอยู่ก็แล้วแต่
แต่การเข้ามาของคุณสมคิดเหมือนเป็นการสร้างความแตกแยกอีกครั้ง
ลาออกไปเถอะดีแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะลุกเป็นไฟ

และขอถามหน่อยเถอะ คนที่เก่งๆมีเฉพาะคนในระบอบทักษิณหรือ?

ทำไมไม่ให้โอกาสคนอื่นบ้าง

เค้ามองกันว่า เป็นกลยุทธ์ หอกทมิฬแทงทมิฬ (หรือแรงไป) เค้าเรียก เกลือจิ้มเกลือก็มี หรือว่า หนามยอกเอาหนามบ่ง ก็มี

แต่ส่วนนึงมองว่า งานนี้ถ้าทำจริงๆ จังๆ แม้วคงชักดิ้นชักงอ เพราะว่าให้สัมภาษณ์เค้าไปรอบโลกแล้วคงไม่มีใครสนอีก เจอไม้นี้เป็นที่อึ้ง
บันทึกการเข้า

       

"เมื่อเจตนาเบี่ยงเบนไปจากความจริง การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง บางทีก็เป็นเพียงภาษาสุภาพสำหรับการพูดเท็จนั่นเอง" : วิถีแห่งปราชญ์ พิมพ์ครั้งที่ ๗ หน้า ๒๐๖
An.mkII
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,984


Out of kontrol....!!!!!


เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 21-02-2007, 20:21 »

แหม...คุณ พรรณชมพู พอดีอารมณ์ืมันยังค้างน่ะครับ..ก็เลยขอซักนิดล่ะกัน..555


อ้อและโดยส่วนตัวผมก็ไม่อะไรมากกะกรณีี๊นี้... แต่มันก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กๆเหมือนกัน..

แต่ก็อย่างว่า....เพราะผมคิดว่าไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ต้องยังคงสามัคคีกันอยู่ครับ..ฉะนั้นก็เลยไม่อยากจะติดใจอะไรมาก


ส่วนที่โพสๆไปก็ถือว่าเป็นการเเลกเปลี่ยนมุมทางความคิดก็ล่ะกัน ซึ่งถ้าประโยคไหนไปล่วงเกิินใครผมก็ขออภัยมาณ.ที่นี้ด้วยล่ะกันครับ.. เพราะยังไงเราก็คนไม่เอาเหลี่ยมเหมือนๆกัน

และก็อยากให้หลายๆท่านที่ว่าท่านสุรยุทธ์อภัยให้ท่านเช่นเดียวกัน...เพราะก็แบบที่คุณพรรณชมพูแกว่าไหนๆเรื่องก็จบไปแล้ว...


เพราะอย่าลืมว่า...ถ้าเราเเตกกันเมื่อไร ที่นี้แหละเหลี่ยมมันจะออกมาหัวเราะจริงๆ...
   
บันทึกการเข้า
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 21-02-2007, 20:27 »

ต่างชาติก็คงจะงงงวยไม่แพ้คนไทย ปฏิวัติแม้ว แต่เอาคนของแม้วมาร่วมรัฐบาล
เอาระบอบทักสิโนมิคมาอธิบายเศรษฐกิจพอเพียง
อันนี้คงต้องเดินสายทำความเข้าใจทั้งในและนอกประเทศ

คุณสมคิดเข้ามาด้วยความบริสุทธิ์ใจหรือคิดอะไรยังไงอยู่ก็แล้วแต่
แต่การเข้ามาของคุณสมคิดเหมือนเป็นการสร้างความแตกแยกอีกครั้ง
ลาออกไปเถอะดีแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะลุกเป็นไฟ

และขอถามหน่อยเถอะ คนที่เก่งๆมีเฉพาะคนในระบอบทักษิณหรือ?

ทำไมไม่ให้โอกาสคนอื่นบ้าง


และขอถามหน่อยเถอะ คนที่เก่งๆมีเฉพาะคนในระบอบทักษิณหรือ?

ทำไมไม่ให้โอกาสคนอื่นบ้าง


 

..ติดใจ  ประโยคข้างบนนี้ ...ขออนุญาตเปรียบเทียบสักนิดหนึ่งนะคะว่า...
คนที่จะมาบอกว่า  " ขี้หมามันเหม็น  น่าจะเป็นคนที่เคยเหยียบขี้หมามา และ
นั่งดมกลิ่นขี้หมามาเป็นเวลาหลายปี  มายืนยันมาบอกว่า...มันเหม็นๆๆๆ....
ใช่มั๊ยเอ่ย....


ระหว่างคนที่เคยเหยียบ เคยนั่งดม  อยู่เป็นปีๆ....กับคนที่ไม่เคยเหยียบ
ขี้หมาเลย  มาบอกเราว่า ขี้หมามันเหม็นนะ ...  เราจะเชื่อใครดีล่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-02-2007, 20:28 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
sleepless
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 525


Sleepless


« ตอบ #14 เมื่อ: 21-02-2007, 20:29 »

ต่างชาติก็คงจะงงงวยไม่แพ้คนไทย ปฏิวัติแม้ว แต่เอาคนของแม้วมาร่วมรัฐบาล
เอาระบอบทักสิโนมิคมาอธิบายเศรษฐกิจพอเพียง
อันนี้คงต้องเดินสายทำความเข้าใจทั้งในและนอกประเทศ

คุณสมคิดเข้ามาด้วยความบริสุทธิ์ใจหรือคิดอะไรยังไงอยู่ก็แล้วแต่
แต่การเข้ามาของคุณสมคิดเหมือนเป็นการสร้างความแตกแยกอีกครั้ง
ลาออกไปเถอะดีแล้ว ก่อนที่ทุกอย่างจะลุกเป็นไฟ

และขอถามหน่อยเถอะ คนที่เก่งๆมีเฉพาะคนในระบอบทักษิณหรือ?

ทำไมไม่ให้โอกาสคนอื่นบ้าง

ไม่งงหรอกครับ ดับเบิลดอร์ยังเอา ศ. สเนปซึ่งเคยเป็นหนึ่งในผู้เสพความตายมาอยู่ในโรงเรียนสอนเวทมนต์เลย
ปัญหาคือเรามองทุกอย่างว่ามีแต่ขาวกับดำ เมื่อคุณไม่ใช่ขาว คุณก็ต้องเป็นดำ
โลกจริงๆ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอกครับ
และอีกปัญหาของเราก็คือ เรามักจะมองว่าเราเองเป็นฝ่าย "สีขาว" และอีกฝ่ายเป็นฝ่าย "สีดำ" เสมอ
การเอาสมคิดเข้ามาเป็นความพยายามของนายกสุรยุทธในการสลายความคิด ขาว กับ ดำ ของเราแล้วกลับไปเป็นประเทศไทยที่ไม่ได้แตกเป็นสองเสี่ยงแบบทุกวันนี้อีกครั้ง
บันทึกการเข้า
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 21-02-2007, 20:33 »

สมหน้าพวกพันธมิตร..บางคนที่มีอคติจนกลายเป็นผู้ร้าย..และดันให้สมคิดกลายมาเป็นพระเอก...
 
เพราะณ.เวลานี้้..ใครเป็นพระเอก..ใครเป็นผู้ร้ายมันก็โผล่ออกมาแล้ว..

และที่สงสารที่สุดก็คือสนธิ ที่โดนพันธมิตรกดดันจนไม่เป็นตัวของตัวเอง..


ทั้งๆที่ออกมาพูดเมื่อสัปดาห์ก่อนผมก็เห็นด้วยอย่างมาก...

แต่ต้องมาตกม้าตายเพราะพันธมิตรบางกลุ่ม..ที่เป็นพวกอคติชน...

แต่ต้องมาตกม้าตายเพราะพันธมิตรบางกลุ่ม..ที่เป็นพวกอคติชน...

... ...วันนี้ขออนุญาติใช้ภาษาคำใต้  ต่อว่าพันธมิตรสักนิดหนึ่งนะ

ลักษณะนี้ภาษาใต้เค้าเรียกว่า ....เอิด...
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
meriwa
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,100



เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 21-02-2007, 20:37 »

ผมว่าถ้าประเทศไทยยังเป็นลักษณะนี้  ก็อย่าไปพูดถึงปัญหาภาคใต้เลยครับ ว่าจะแก้ได้ง่ายๆ

ขนาดพวกเรากันเองยังไม่ไว้ใจกันเลย  ตัดสินกันแค่เพียงพวกเค้าพวกเรา

คงไม่ต่างจากที่แนวร่วมโจรใต้ไม่ไว้ใจภาครัฐ  ที่เพราะตัดสินแค่เพียงพวกเค้าพวกเรา  

จะต่างกันก็แค่เพียงใบปริญญาที่แสดงระดับความรู้ของแต่ละคน ว่าไม่เท่ากัน






บันทึกการเข้า

ผู้ปกครองระดับธรรมดา   ใช้ความสามารถของตน    อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง       ใช้กำลังของคนอื่น             อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง           ใช้ปัญญาของคนอื่น           อย่างเต็มที่

                                                                  ...คำคมขงเบ้ง
cameronDZ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,827


my memory


« ตอบ #17 เมื่อ: 21-02-2007, 20:39 »

คนบางคนก็เป็น...
ทาสที่ปล่อยไม่ไป
แม้จะเผลอไผล ไปบ้างชั่วคราว
บันทึกการเข้า

ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มาหลายปี ยังไม่เคยได้รับคำขอโทษ ขอขมา
จากใครแม้แต่สักคนเดียวเลย
...เช่นกัน คำขอบคุณ ก็ยังไม่เคยมีสักคำ...
แต่ข้าพเจ้าคิดว่า ในใจพวกเขาคงคิดคำเหล่านี้อยู่บ้างหรอก
...แค่คิด ไม่ต้องบอกออกมา ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว...
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #18 เมื่อ: 21-02-2007, 20:48 »

..ลองอ่านดู  ณ..วินาทีนี้ นสพ. ผู้จัดการเขียนถึงคุณสมคิดว่าไง.
.กลับลำได้ทันที  จุดยืน  จุดนั่งของพันธมิตรอยู่ตรงไหนกันแน่...?.


....................................................................................

อีกหนึ่งของมุมมองจากเพื่อนสมคิด
 
โดย พชร สมุทวณิช 21 กุมภาพันธ์ 2550 17:38 น.
 
 
 
วันนี้ผมขออนุญาตเขียนถึง “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ในแง่มุมประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมรู้จักกับคนคนนี้
       
        ในบางจุดอาจจะเป็นมุมมองที่ต่างออกไปจากเพื่อนพ้องน้องพี่รอบๆ ตัวที่บ้านพระอาทิตย์ ซึ่งบอกตามตรงว่าน้อยครั้งที่จะเกิดขึ้น ในฐานะส่วนหนึ่งที่อยู่ใกล้วงโคจรแกนในของพันธมิตรฯ ค่ายบ้านพระอาทิตย์
       
        นับตั้งแต่เรียนหนังสือจบและก้าวเข้ามาทำงานอยู่กับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ค่ายบ้านพระอาทิตย์ ผ่านร้อนผ่านหนาวทั้งจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด มีบทบาทมากบ้างน้อยบ้างแต่ก็เรียกได้ว่าทุกก้าวเดินทั้งพรมแดงและลุยโคลนผมเวียนว่ายอยู่กับค่ายบ้านพระอาทิตย์มาโดยตลอดเท่าที่ค่ายนี้เปิดโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่
       
        เมื่อยุคที่บ้านพระอาทิตย์ชักธงรบกับ “ทักษิณ ชินวัตร” กับระบบปีศาจที่คนผู้นั้นสร้างขึ้น ผมก็ยืนอยู่ตรงนี้ตลอดไม่ได้ไปไหน ปะฉะดะกับ “ระบอบทักษิณ” ทุกรูปแบบเท่าที่คนตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะทำได้
       
        ดังนั้น ในเรื่องของความเป็นตัวตนที่เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มต่อต้าน “ท้ากกกษิณออกไป” นั้น คงไม่ต้องตั้งคำถามผมในจุดนี้ให้มากเรื่อง
       
        ในสถานการณ์ที่ผ่านมา หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดสภาพที่คนของค่าย “บ้านพระอาทิตย์” และคนที่อยู่ภายใต้ “ระบอบทักษิณ” จะประจันหน้าในฐานะศัตรูตรงข้าม
       
        แต่อย่างไรก็ดี ผมยังนำบุคคลที่ผมยังถือเป็น “มิตร” อยู่เพียงคนเดียวที่อยู่ภายใต้ “ระบอบทักษิณ”
       
        บุคคลดังกล่าวได้แก่ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”
       
        ผมเรียก “สนธิ ลิ้มทองกุล” ว่า “อาสนธิ” และเรียก “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ว่า “อาสมคิด”
       
        เพราะ “อาสนธิ” เลยทำให้ผมรู้จัก “อาสมคิด”
       
        จำได้ว่าครั้งแรกที่รู้จัก “อาสมคิด” ก็ตอนที่คณะของอาสนธิกับอาสมคิดเดินทางไปออสเตรเลียเนื่องในโอกาสที่อาสนธิถูกรับเชิญในโครงการเกี่ยวกับการประสานงานทางการศึกษาระหว่างมหาวิทยาลัยทางตอนเหนือของสาธารณรัฐควีนส์แลนด์ อาสมคิดติดตามคณะเดินทางไปด้วย ส่วนผมเรียนปริญญาโทอยู่มหาวิทยาลัยแถวๆ นั้น
       
        ครั้งแรกที่รู้จักกัน จำได้ว่าผมกำลังจะขับรถออกไปหาซื้อเนกไท เพื่อจะแต่งตัวให้เรียบร้อยเพื่อไปร่วมงานสัมมนา อาสมคิดเจอผมแล้วบอกว่า “เฮ้ย จะไปซื้อใหม่ทำไมให้เปลืองตังค์ นี่ มาเอาของอานี่” ว่าแล้วก็หยิบเนกไทมาให้ผมหนึ่งอัน จากนั้นก็มากระซิบผมว่า “เพชรๆ จะออกไปห้างสรรพสินค้าข้างนอกใช่ไหม ขออาติดรถไปด้วยหน่อย”
       
        ผมก็เลยขับรถพาไปข้างนอก ก็ปราก
       ฏว่าอาสมคิดตรงดิ่งไปซื้อเสื้อไหมพรม ที่เมืองผมมียี่ห้อเสื้อไหมพรมที่ดังและไม่แพงอยู่ อาสมคิดก็ได้เสื้อผู้หญิงมาหนึ่งตัวพร้อมกับบ่นให้ผมฟังว่า “นึกว่าจะไม่มีเวลาซื้อแล้วเชียว ไม่มีของกลับไปโดนเมียด่าแน่ๆ” จากนั้นเราก็มีโอกาสได้คุยกับอีกหลายเรื่อง ผมนึกในใจว่า ผู้ชายคนนี้เป็นคนปกติธรรมดาดี ไม่เป็นนักวิชาการท่ามากหัวสูงเหมือนที่นึกเอาไว้
       
        ผมก็รู้จักกับอาสมคิดตั้งแต่นั้นมา พอกลับเมืองไทยก็มีโอกาสได้สนิทกันมากขึ้น ชีวิตของแต่ละคนก็เวียนว่ายไปตามตำแหน่งแห่งที่ต่างๆ แต่ก็ยังมีโอกาสคุยกันเรื่อยๆ ตั้งแต่เรื่องการเมืองจนถึงเรื่องไร้สาระ จำได้ว่าครั้งเดียวที่ผมแวะเข้าไปหาอาสมคิดตอนรับตำแหน่ง รมว.คลังในยุคแรกๆ ของรัฐบาลทักษิณก็คือ แวะไปเอาตั๋วบอลเมื่อครั้งแมนยูฯ มาเตะเมืองไทยและอาสมคิดมีตั๋ว (เอาไปให้เพื่อนนะครับ เพราะผมแฟนหงส์)
       
        อาสมคิดที่จับพลัดจับผลูเข้าไปร่วมสังฆกรรมกับระบอบทักษิณก็เหมือนอีกหลายคนแถวๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็น พันศักดิ์ วิญญรัตน์ หรือทนง พิทยะ ก็เนื่องมาจากสายสัมพันธ์ที่รู้จักเกี่ยวข้องผ่านทางอาสนธิ พูดง่ายๆ ว่าอาสมคิดนั้นรู้จักสนิทสนมกับอาสนธิก่อนรู้จักกับทักษิณเสียอีก
       
        สำหรับผมซึ่งถือว่าตัวเองไม่มีผลประโยชน์อะไรในทางการเมืองก็คบหากับอาสมคิดมาต่อเนื่องทั้งในฐานะอากับหลานและในฐานะเพื่อนต่างวัยที่ผมคิดว่าผมกับเขาคุยกันได้หลายต่อหลายเรื่อง สนิทกันแบบไม่มีผลประโยชน์ใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง
       
        พอมาถึงช่วงที่ทักษิณ ชินวัตร และ “ระบอบทักษิณ” ถูกมองว่าเป็นอันตรายต่อประเทศชาติทั้งในสายตาของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ที่ถือว่ามองเห็นเป็นคนแรกๆ และต่อมาผมและอีกหลายๆ คนก็มองเห็นเป็นประการเดียวกัน จนกลายเป็นเรื่องที่มองเห็นจากคนเป็นแสนเป็นล้านจนกลายเป็นการประจันหน้าเปิดสงครามกันระหว่าง “ระบอบทักษิณ” และ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ในเวลาต่อมา
       
        และก็อย่างที่บอกเอาไว้ข้างต้น ในสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดสภาพที่คนของค่าย “บ้านพระอาทิตย์” และคนที่อยู่ภายใต้ “ระบอบทักษิณ” จะประจันหน้าในฐานะศัตรูตรงข้าม บุคคลที่ผมยังถือเป็น “มิตร” อยู่เพียงคนเดียวที่อยู่ภายใต้ “ระบอบทักษิณ” ก็คือ “อาสมคิด”
       
        จำได้ว่า เมื่อวันที่สถานการณ์ตรึงเครียดครั้งม็อบป่าไม้จะบุกเข้าตีประชาชนในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ที่สวนลุมฯ ผมยืนอยู่แถวหน้าสุด เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ผมโกรธจนร้องไห้ที่ระบอบทักษิณส่งนักเลงมารังแกประชาชน โกรธจนไม่รู้จะทำยังไง เลยโทร.เข้ามือถืออาสมคิด ด่ากราดด้วยความโมโห “....ฝากไปบอกไอ้*** ” ย. “(ตู๊ด..เซนเซอร์..ขี้เกียจขึ้นศาลเพิ่มอีกคดี) ด้วยว่า ชาตินี้มันไม่ตายดีแน่” จำได้ว่าวันนั้นผมหยาบคายมากเพราะอารมณ์โกรธ แต่อาสมคิดก็ไม่หงุดหงิดที่จะรับฟัง
       
        แต่ทั้งนี้ผมได้เอ่ยปากกับเพื่อนพ้องบ้านพระอาทิตย์ว่า ผมพร้อมจะตัดสัมพันธ์กับ “อาสมคิด” ทันที ที่เขาเอ่ยปากให้ร้าย “อาสนธิ” เนื่องจากผมทราบจากกระแสการเมืองภายในพรรคไทยรักไทยตอนนั้นว่า หลายต่อหลายฝ่ายกดดันให้ “อาสมคิด” ออกมาเปิดศึกกับ “อาสนธิ” เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ให้ประจักษ์
       
        แต่ “อาสมคิด” ก็ไม่ได้ทำดังคนเหล่านั้นกดดันให้ทำ ผมก็เลยไม่ได้มีโอกาสที่จะตัดสัมพันธ์กับเขาสักที
       
        ถึงตรงนี้ ในฐานะที่คบหากันต่อเนื่อง แม้ในสายตาของสาธารณชน “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ยังอยู่ภายใต้ “ระบอบทักษิณ” จนวินาทีสุดท้ายก่อนสิ้นสลาย แต่ในการเมืองภายในนั้น ผมยืนยันได้ว่า “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” นั้น อยู่ในสถานการณ์ “เดินกันคนละทาง” กับ “ทักษิณ ชินวัตร” ก่อนหน้านั้นนานพอสมควร ทั้งในแนวคิดทางการเมือง และทั้งในทางนโยบายการบริหาร
       
        ประโยค “เดินกันคนละทาง” นี้ผมได้ยินจากปากของอาสมคิดด้วยตัวเองนะครับ ไม่ได้คิดเอาเอง
       
        ส่วนสาเหตุนั้น มีหลายๆ เรื่องด้วยกัน แต่ผมถือว่าเป็นเรื่องที่เขาคุยกับผมส่วนตัว ไม่อยากเอามาเปิดเผยในตอนนี้ แต่ขออนุญาตบอกว่า เหตุผลที่ได้ฟังนั้น ส่วนตัวแล้วผมถือว่าเขาเป็น “คนที่จัดว่าใช้ได้” คนหนึ่งทีเดียว
       
        คำปราศรัยของเขาก่อนลาออกจากตำแหน่ง อาสมคิดพูดชัดเจนเหมือนกับที่ผมเคยได้ยินก่อนหน้ามาหลายปีแล้วว่า “ดร.ทักษิณมีความคิด มีแนวทางในการดำเนินงานของท่าน ผมก็มีความคิด มีหลักการและมีแนวทางในการดำเนินงานของผม อย่างเป็นอิสระ เด็ดขาด ชัดเจน แยกออกจากกัน ความแตกต่างของแนวทางและความคิดนั้น ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง แต่จริงๆ แล้วเกิดขึ้นหลายปีก่อนหน้าการเปลี่ยนแปลงเสียด้วยซ้ำไป จนบางครั้งก็เป็นสาเหตุให้เกิดความไม่ไว้ใจ จนเป็นผลนำไปสู่การปรับเปลี่ยนตำแหน่งทางการเมือง และอะไรอีกหลายอย่าง”
       
        ส่วนเรื่องข้อเสียของเขาในสายตาผม ใช่ว่าจะไม่มี
       
        อย่างที่เล่าเมื่อกี้ ก็คือ ในการภายในแล้ว เขา “เดินกันคนละทาง” กับ “ทักษิณ ชินวัตร” ตั้งนานมาแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรู้ เนื่องจาก “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ติดอาการ “ลังเล-ไม่ชัดเจน” ซึ่งผมว่าตรงนี้แหละที่เขาพลาดโอกาสที่จะ “แจ้งให้ทราบ” กับสาธารณชนไปเสียแล้ว มา “แจ้งให้ทราบ” วันนี้ นาทีนี้ จึงสายไปเกินกว่าที่จะได้รับการ “ยกโทษให้” จากสาธารณชนคนที่ต่อต้านระบอบทักษิณ
       
        ในช่วงสถานการณ์ต่อสู้ระหว่าง “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” กับ “ระบอบทักษิณ” นั้น ผมเคยขอร้องเขาหลายครั้ง เนื่องจากผมเห็นว่า หากเขาถอนตัวจากระบอบทักษิณ จะเป็นผลดี และผลรุนแรงทางการเมืองที่จะทำให้ “ระบอบทักษิณ” ล่มสลาย
       
        “อาสมคิดจะอยู่ไปทำไม ในเมื่อจริงๆ ก็แยกทางไม่เอากับเขาตั้งนานแล้ว” ผมถามอาสมคิด ตั้งแต่แรกๆ เมื่อการต่อสู้เริ่มเข้มข้น เขาไม่พูดอะไรชัดเจน แต่ผมพอจับกระแสได้ว่า สิ่งที่เขากังวลก็คือ “ไม่อยากเป็นคนที่ถูกตราหน้าว่าหักหลัง-ทรยศเพื่อน”
       
        อย่างไรก็ดี มีครั้งเดียวที่ “อาสมคิด” เกือบได้ “แจ้งให้สาธารณชนทราบ” เรื่อง “เดินกันคนละทาง” กับ “ทักษิณ ชินวัตร” วันนั้นผมแน่ใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ในบ่ายวันหนึ่งวันที่ไปกินก๋วยเตี๋ยวกับอาสมคิดที่บ้าน ว่าอาสมคิดได้ตัดสินใจแน่นอนแล้วในเรื่อง “ยอมเพื่อชาติ” ที่จะถูกตราหน้าว่า “หักหลัง-ทรยศเพื่อน” จนถึงขนาดแอบโทร.มาหาเพื่อนที่บ้านพระอาทิตย์แล้วว่า “พรุ่งนี้จะมีข่าวใหญ่”
       
        แต่พอดีเย็นนั้น มีพระราชดำรัสของในหลวงที่กล่าวกับคณะตุลาการศาลฎีกาที่ไปเข้าเฝ้าฯ ทำให้สังคมต้องหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ทำให้โอกาส “แจ้งให้ทราบ” เรื่อง “เดินกันคนละทาง” ของอาสมคิด ต้องชะงักไปด้วย และจากนั้นโอกาส “แจ้งให้สาธารณชนทราบ” ของอาสมคิดก็เลยต้องผ่านเลยตามเลย เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งสำหรับผม
       
        ข้อผิดพลาดของ “อาสมคิด” ในสถานการณ์ล่าสุดนี้ยังมีอยู่อีกข้อในความคิดของผม นั่นก็คือ ในวันที่อาสมคิดเดินเข้ามาล้อมวงกินกาแฟที่บ้านพระอาทิตย์ ซึ่งวันนั้นผมก็นั่งอยู่ร่วมโต๊ะกาแฟกับ “อาสมคิด” และ “อาสนธิ” ด้วย อาสมคิดไม่ได้เล่าให้ฟังถึงแผนที่จะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการที่นายกฯ แต่งตั้ง มิฉะนั้น ไม่เพียงแต่ “อาสนธิ” จะเอ่ยปากคัดค้าน ผมอีกคนก็คงจะเอ่ยปากคัดค้านด้วย
       
        และจะต้องบอก “อาสมคิด” อีกด้วยว่า ก่อนที่คิดจะรับตำแหน่งอะไรอย่างเป็นทางการนั้น สิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องคำนึงถึงก่อนก็คือ “การสลัดคราบเสื้อคลุมของระบอบทักษิณ” ให้เป็นประจักษ์ต่อสาธารณชนเสียก่อน
       
        ไอ้เรื่อง “เดินคนละทางกับระบอบทักษิณ” นั้น จะกี่ปีต่อกี่ปีมาแล้ว มันไม่สำคัญ แค่ตัวเองรู้คนเดียวมันไม่เพียงพอ

 
 
 
 
 
 
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9500000021433
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-02-2007, 20:57 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
แอ่นแอ๊น
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,591


"Angela Gheorghiu" My goddess


เว็บไซต์
« ตอบ #19 เมื่อ: 21-02-2007, 21:26 »

เรื่องนี่เลาๆ มาตั้งแต่โดยย้ายเก้าอี้จากคลังแล้ว เพราะว่าไปขัดใจทักฯ เลยเอาทนงมาแทน (เรื่องนี้ใครๆ เค้าก็รู้นะไม่ใช่รู้คนเดียวหรอก) ส่วนข่าวใหญ่ที่ว่า คงเป็นข่าวลาบวชของลูกหินฯ
บันทึกการเข้า

       

"เมื่อเจตนาเบี่ยงเบนไปจากความจริง การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง บางทีก็เป็นเพียงภาษาสุภาพสำหรับการพูดเท็จนั่นเอง" : วิถีแห่งปราชญ์ พิมพ์ครั้งที่ ๗ หน้า ๒๐๖
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #20 เมื่อ: 21-02-2007, 22:19 »

นักกลยุทธ์ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์”


--------------------------------------------------------------------------------
สุกรี แมนชัยนิมิต
 Positioning Magazine   กรกฎาคม 2549

“พรรคไทยรักไทยเหรอ ไม่ต้องถึงกับรีแบรนด์หรอก แค่เปลี่ยนสินค้าใหม่ ที่อยู่ในชั้นของเก้าอี้นายกรัฐมนตรี จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นคนอื่น อย่างดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็ได้แล้ว” เกจิอาจารย์นักการตลาดคนหนึ่งให้ความเห็น ท่ามกลางกระแสต้านระบอบทักษิณ ตั้งแต่ต้นปี 2549

ไม่เพียงนักการตลาดเท่านั้น แต่บรรดานักธุรกิจ ภาคเอกชนเจ้าของธุรกิจ ต่างก็ขานรับ ”สมคิด” กันทั้งนั้น ซึ่งนับเป็นท่าทีที่ชัดเจนครั้งแรกของนักธุรกิจที่ปฏิเสธ ”ทักษิณ” หลังลดกระแสด้วยการประกาศเว้นวรรคทางการเมืองเมื่อต้นเดือนเมษายน 2548 พร้อมกับกระแสข่าวว่า ”สมคิด” คือบุคคลที่เหมาะสมที่สุด

จากนั้น หลายวันต่อมาก็ปรากฏความเห็นจากผู้คนวงการต่างๆ จำนวนมากทั้งเอกชน และแวดวงนักวิชาการ

“ธนวรรธน์ พลวิชัย” ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2549 ว่า ”ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวพาณิชย์ เป็นผู้ที่มีความเหมาะสมมากที่สุดในขณะนี้ เนื่องจากไม่มีข้อผูกพันทางการเมือง เป็นคนทำงานเชิงเศรษฐกิจ สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้ และที่สำคัญเชื่อว่าจะเป็นผู้ประสานในการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้”

วันเดียวกันนั้น “พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล” รองเลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่า “นายกรัฐมนตรีคนต่อไป ถือว่า ดร.สมคิด มีความเหมาะสมที่สุด เพราะมีความรู้ความสามารถ”

“ขอชื่นชม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ที่ได้แสดงสปิริตประกาศเว้นวรรคทางการเมือง ทำให้สถานการณ์ที่อึมครึมคลี่คลายไปได้ และทุกฝ่ายจะได้กลับไปทำงานกันต่อ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแล้วคนในพรรคไทยรักไทยต้องเป็นนายกรัฐมนตรี โดยหากเป็นนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ถือว่ามีความเหมาะสม เพราะเป็นผู้ที่มีความรู้ทางด้านเศรษฐกิจและการเงินการคลัง” นินนาท ไชยธีรภิญโญ ประธานคลัสเตอร์ยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แสดงทัศนะ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2549

หรือแม้กระทั่งวงการสื่อมวลชนเอง ต่างก็ยอมรับ ”สมคิด” ให้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี หลังพิสูจน์ผลงานจากการนั่งเก้าอี้ทางการเมืองตำแหน่งแรกเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก่อนย้ายเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถมควบรองนายกรัฐมนตรีดูแลงานด้านเศราฐกิจ เพราะลักษณะที่เป็นคนจริงจัง เมื่อสนใจและเข้าไปจับงานชิ้นใดแล้ว จะมีความชัดเจนว่าต้องบรรลุเป้าหมาย และไม่ใช่สไตล์วันแมนโชว์ แต่จะแบ่งงานให้ผู้รับผิดชอบทำงานเต็มที่ และเช่นกัน จะติดตามงานหรือภาษาชาวบ้านคือเรียกว่า ”จี้” ผู้ใต้บังคับบัญชาเต็มที่ หากพบว่าผลงานไม่ได้ตามเป้า ก็จะใช้หลักการสร้างพลังกระตุ้นให้ทำงานให้ได้ เรียกว่าเป็น ”ผู้ที่รู้จักใช้คนและบริหารคน” เพราะฉะนั้นงานทุกอย่างจะไม่กระจุกอยู่ที่คนใดคนหนึ่ง

แต่จุดอ่อนของ ”สมคิด” คือประสานการเมืองไม่ได้

ข้อนี้เองทำให้หลังจากชื่อของ ”สมคิด” ปรากฏเป็นสินค้าใหม่ของพรรคไทยรักไทย กลับไม่ได้รับการขานรับจากพลพรรคในไทยรักไทย อย่างดีก็มีเพียงการให้ความเห็นจากระดับแกนนำบางคนแค่ว่า “ยังไม่ได้มีการหารือกันในพรรค”

พร้อมๆ กับแคนดิเดต ที่ถูกส่งออกมาจากมุ้งต่างๆ ในพรรคเพื่อออกมาช่วงชิงเก้าอี้ ทั้งที่โดยลึกลงไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะมานั่งแทนที่พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะแม้ว่าประกาศเว้นวรรคไปแล้ว แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าเป็นเพียงการลดกระแส

แต่ใครเล่าจะไปรู้ ”อนาคต”

เหมือนอย่างที่เด็กชายคนหนึ่งที่เติบโตมาจากครอบครัวคนจีนขนานแท้ มีพี่น้อง 10 คน บิดาเป็นพ่อค้าขายของแถวถนนทรงวาดเยาวราช ถูกยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของอาหญิงที่มีลูกเพียงคนเดียว มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนจนจบที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กว่าจะดั้นด้นไปเรียนต่อต่างประเทศได้ต้องผ่านความผิดหวังอย่างน้อย 2 ครั้ง และเมื่อไปใช้ชีวิตต่างแดนก็ต้องกระเบียดกระเสียร ไม่ได้กินมือเช้า สามารถจบด็อกเตอร์ ผ่านประสบการณ์การทำงานมามากมาย จนวันหนึ่งได้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (ทนง พิทยะ) และวันหนึ่งได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอง บริหารเงินงบประมาณปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท กระทั่งวันนี้ ”เก้าอี้นายกรัฐมนตรี” อาจอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

“สมคิด” เคยให้สัมภาษณ์พิเศษเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองอย่างละเอียดในมติชนสุดสัปดาห์ ส่วนหนึ่งว่ามีบุคคลระดับปรมาจารย์สอน อย่างอาจารย์อัมมาร์ สยามวาลา อาจารย์รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ ระหว่างการเรียนที่ธรรมศาสตร์ จังหวะเดียวกับเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ และ 6 ตุลาฯ ที่เขาได้ผ่านมา ทำให้ได้เห็นบรรยากาศการเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตย การเรียนวิชาพื้นฐานที่เด็กธรรมศาสตร์เรียนรวมกัน ทำให้เด็กรับทราบว่าสังคมต้องมีความแฟร์ ต้องสนใจคนจน

“เชื่อไหม เพลงผมร้องไม่เป็นเลย ร้องเป็นแต่เพลงคนกับควาย ลูกคนโตเนี่ย ผมร้องแต่เพลงนี้กล่อมอย่างเดียวเลย และหลับ คนเล็กร้องเปิบข้าว ร้องอยู่ 2 เพลง นกสีเหลืองมันร้องยาก ส่วนเพลงอื่นร้องไม่เป็น”

หรือแม้กระทั่งเพลงยูงทอง เขาเองก็ยังร้องไม่จบเพลง

“สมคิด” พลาดการเรียนต่างประเทศครั้งแรก แม้ว่าจะได้รับการตอบจากมหาวิทยาลัยแล้ว เพราะไม่มีเงินพอ เขาเริ่มทำงานที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แต่ลาออกพร้อมกับเรียนเอ็มบีเอ วิชาเอก การเงิน ที่นิด้า ที่มี ”ทนง พิทยะ” เป็นอาจารย์สอนอยู่ แต่เขายังถวิลหาการไปเรียนที่ต่างประเทศ จึงสอบชิงทุน ก.พ. ครั้งแรกได้ 2 ทุน ต้องมีเหตุทางบ้านไม่พร้อมทำให้เขาต้องสละทุน จึงยังเรียนต่อที่นิด้า ปีถัดมาก็สอบชิงทุนอีก ได้ 9 ทุน เขาเลือกทุนของนิด้า เพราะเป็นทุนปริญญาเอก และไปเรียนด้านมาร์เก็ตติ้ง แม้เขาจะไม่ชอบ และอยากเรียนด้านการเงินมากกว่า

แต่เพราะการเดินทางสู่สายวิชาการด้านการตลาด ทำให้เขาได้โอกาสอย่างที่น้อยคนนักจะได้รับ คือการได้เรียนรู้โดยตรงจากอาจารย์ Phillip Cotler กูรูด้านวิชาการตลาด แห่งKellogg Graduate School of Management มหาวิทยาลัย Northwestern สหรัฐอเมริกา และร่วมกันเขียนตำราด้านมาร์เก็ตติ้ง 2 เล่ม คือ The new Competition วางตลาดเมื่อปี 2538 และในเวลาต่อมาเรียบเรียงเป็นภาษาไทย ชื่อ ”การตลาดเชิงกลยุทธ์” The Marketing of Nation ซึ่งเล่มหลังนี้มี ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ลูกศิษย์ของ ”สมคิด” ร่วมอยู่ด้วย

ตามแนวคิดของ Cotler ที่ว่าการตลาดสามารถนำมาใช้ในระดับประเทศได้ ซึ่งในที่สุดแล้ว The Marketing of Nation แม้จะไม่ประสบการความสำเร็จในแง่ยอดขายเท่าไหร่นัก แต่ที่สำเร็จอย่างไม่สามารถประเมินค่าได้คือ กลายเป็นร่างพิมพ์เขียวของนโนบายพรรคไทยรักไทย ในการหาเสียงพัฒนาประเทศของไทย

แนวคิดของ ”สมคิด” ยังปรากฏผ่านสื่อต่างๆ อีกหลายฉบับในแนวหัวหนังสือธุรกิจยุคนั้น ที่เป็นข้อเขียนชนิดที่จับต้องได้จริงทั้งในด้านการตลาด และการจัดการ ทำให้ ”สมคิด” เป็นที่ยอมรับของนักธุรกิจในวงกว้าง เพราะข้อเขียนของเขาล้วนมาจากประสบการณ์ที่เขาได้เรียนรู้โดยตรง

“สมคิด” รู้จักวงการตลาดหุ้นเป็นอย่างดี เพราะผ่านการทำงานด้านวิเคราะห์อย่างหนักต่อเนื่องเป็นเวลา 7 ปี ที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ ที่เห็นว่าคนเล่นหุ้นควรดูปัจจัยพื้นฐาน ไม่ใช่ดูด้านเทคนิคเส้นกราฟเพียงอย่างเดียว ที่นี่เองเขาได้นำเทคนิคของไมเคิล อี พอร์ตเตอร์ นักวางกลยุทธ์ระดับโลก ที่เขาได้อ่านมามาก มาใช้ประกอบการวิเคราะห์หุ้นแต่ละตัว คือ การวิเคราะห์อุตสาหกรรม และการวางตำแหน่งเชิงแข่งขัน และการวิเคราะห์คู่แข่ง ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาได้มีโอกาสรู้จักผู้บริหารของบริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ อันเป็นคอนเนกชั่นที่สำคัญในเวลาต่อมา

เขามีโอกาสได้เห็นกลยุทธ์ทางการจัดการที่ได้ผลอย่างเห็นได้ชัดจากกลุ่มสหพัฒน์ฯ ขณะที่เขาเป็นคณะกรรมการพิจารณารับหลักทรัพย์

“ชีวิตผมเปลี่ยนอีกครั้งก็ตอนเจอนายกฯทักษิณ”

ขณะที่พ.ต.ท.ทักษิณรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในโควต้าพรรคพลังธรรม ได้ชวนให้ ”สมคิด” มาเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว ต่อเนื่องเมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี และที่นี่เองทำให้เขาได้อีกทักษะหนึ่งคือการเรียนรู้ทำงานกับข้าราชการ ซึ่งนักการเมืองต้องเรียนรู้การทำงานจากข้าราชการ

แน่นอนเมื่อพ.ต.ท.ทักษิณตั้งพรรคการเมือง และร่างนโยบายของพรรค ที่คิดถึงเรื่องการปฏิรูปโครงสร้าง พูดถึงการกินดีอยู่ดีของประเทศ ซึ่งแน่นอนต้องมีกลยุทธ์ อันเป็นศาสตร์ที่เชี่ยวชาญของ ”สมคิด”

นโยบายเอื้ออาทร ประชานิยม การดึงดอกเบี้ยให้ต่ำเพื่อกระตุ้นการลงทุน การลดภาษีการโอนบ้าน จึงเป็นผลพวงหนึ่งของกลยุทธ์ อันนำมาซึ่งชัยชนะของไทยรักไทย และพ.ต.ท.ทักษิณได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

“สมัยผมเรียน มาร์เก็ตติ้งเรียนอะไรรู้มั้ย ผมต้องเรียนจิตวิทยาเพื่อให้รู้ว่าคนคิดอะไร ผมเรียนไม่รู้เรื่องเลย แต่การวิเคราะห์คู่แข่งหรือกลยุทธ์สำคัญ มันเหมือนการเล่นหมากรุก หมากรุกไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยตัวเอง คุณต้องรู้ว่าคู่แข่งคิดอะไร ในหนังสือพอตเตอร์บอกว่า การเดาใจคนหนึ่งคุณต้องรู้ว่า Current Strategy เขาคืออะไร ปัจจุบันเขาทำอะไร ต่อไป Future of Objective เป้าหมายเขาคืออะไร ดู Assumption เขา ถ้าอ่านได้ท่านรู้ทันทีว่าเขาเดินอะไร แต่เขาเดินไกลแค่ไหน ขึ้นกับ Limitation ข้อจำกัดของเขา ถ้าคุณรู้ทั้งหมด คุณกุมทิศทางได้ นี่ละมาร์เก็ตติ้ง เพราะฉะนั้นเวลารณรงค์หาเสียง พรรคคู่แข่งมีจุดอ่อนอะไร ปมเด่นอะไร จะชนะเขาต้องทำไง คู่แข่งคนสำคัญของเราคือใคร เขาสามารถเล่นบทบาทนี้ได้หรือไม่ ต้องพล็อตออกมา และวางกลยุทธ์”
ตอนหนึ่งที่ ”สมคิด” ให้สัมภาษณ์ในมติชนสุดสัปดาห์

แน่นอนเมื่อเขาสามารถวางกลยุทธ์ให้ใครต่อใครมามากมาย รวมทั้งส่ง ”พ.ต.ท.ทักษิณ” ถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมาแล้ว ก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะวางกลยุทธ์ให้ตัวเอง เพื่อถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เพียงแต่ว่า เขาจะทำหรือไม่เท่านั้นเอง


Profile :

Name : สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
Born : 15 กรกฎาคม 2496 จังหวัดกรุงเทพมหานคร
Education :
- ปริญญาตรี เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- ปริญญาโท (การเงิน) สถาบันบันฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
- ปริญญาเอก (บริหารธุรกิจ) มหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทอร์น สหรัฐอเมริกา
Career Highlights:
- -ที่ปรึกษาสร้างศูนย์ตลาดทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ
- กรรมการบริษัทไอซีซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
- กรรมการ เครือสหพัฒนพิบูล
- รองประธานกรรมการบริษัทน้ำมันพื้นไทย จำกัด
- กรรมการในอนุกรรมการพิจารณารับและเพิกถอนหลักทรัพย์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (ดร.สม จาตุศรีพิทักษ์ พี่ชาย)
- ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร)
- ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร)
- เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (ทนง พิทยะ)
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (4 สมัย คือ ปี 2544, 2545, 2547, 2548)
ปัจจุบัน
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรองนายกรัฐมนตรี
Status : สมรส ภรรยา นางอนุรัชนี จาตุศรีพิทักษ์
 
http://www.positioningmag.com/magazine/Details.aspx?id=50170
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #21 เมื่อ: 21-02-2007, 23:15 »

คนบางคนก็เป็น...
ทาสที่ปล่อยไม่ไป
แม้จะเผลอไผล ไปบ้างชั่วคราว


 
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
justy
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,250



« ตอบ #22 เมื่อ: 22-02-2007, 00:24 »

มัวแต่แก้แค้นกันแบบนั้น บ้านเมืองคงรอดยาก


ให้สมคิดเคลียร์ตัวเขาเองก่อนแล้วค่อยมาว่ากันอีกทีก็แล้วกันค่ะ
มาแบบนี้ไม่ว่าใครก็ใคร งงเป็นไก่ตาแตก

ระแวงค่ะ ...   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-02-2007, 00:27 โดย justy » บันทึกการเข้า

พรรคไทยรักไทยมิได้ให้ความสำคัญหรือเห็นคุณค่าของสิทธิเลือกตั้งของประชาชน อันเป็นรากฐานสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้ยังแสดงถึงการไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ทั้งที่พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนสูงสุดในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไปก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง ควรต้องสร้างความยั่งยืนให้แก่การปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมั่นคงกับหลักการที่ว่า กฎหมายต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นข้อบ่งชี้ด้วยว่า พรรคไทยรักไทย มิได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งพัฒนาประเทศชาติเพื่อให้คนในชาติมีความสุขทั่วหน้าดังที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่มุ่งประสงค์เพียงดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ นอกเหนือจากครรลองที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศตลอดจนบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องที่หาอุดมการณ์อันแท้จริงของพรรคให้เกิดความมั่นใจแก่ประชาชนโดยรวมว่า เมื่อเป็นรัฐบาลมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินแล้ว จะดำเนินการปกครองโดยสุจริต ไม่ประพฤติมิชอบหรือบริหารราชการแผ่นดินโดยแอบแฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อ
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #23 เมื่อ: 22-02-2007, 01:10 »

มัวแต่แก้แค้นกันแบบนั้น บ้านเมืองคงรอดยาก


ให้สมคิดเคลียร์ตัวเขาเองก่อนแล้วค่อยมาว่ากันอีกทีก็แล้วกันค่ะ
มาแบบนี้ไม่ว่าใครก็ใคร งงเป็นไก่ตาแตก

ระแวงค่ะ ...   


ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ดร.สมคิด เป็นเสาหลักทางปัญญาแห่งพรรคไทยรักไทย ที่อยู่เคียงข้างนายใหญ่มาตลอดไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้กระทั่งเสาหลักทางปัญญาอย่าง ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ และ ดร.วิษณุ เครืองาม ก็ไขก็อกไปก่อนตั้งแต่ปีมะโว้ ก่อนที่จะเกิดการรัฐประหารด้วยซ้ำ แต่ ดร.สมคิด ยังตั้งมั่นอยู่จนวินาทีสุดท้าย นี่คือข้อสังเกตเด่นชัดที่ใครหลายคนเกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจว่า เขาจะเปลี่ยนความคิดจากการสร้างแรงจูงใจเพื่อบริโภค มาเป็นการรู้จักบริโภคอย่างพอเพียงในเวลาอันสั้นได้อย่างไร และเขาจะชี้แจงให้คนไทยทั้งประเทศเข้าใจได้อย่างไรว่า เขาคือผู้บริสุทธิ์ภายใต้การบริหารของรัฐบาลทักษิณที่ได้ชื่อว่าคอร์รัปชั่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย

     และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้แรงทักท้วงต่อรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ หนักข้อจนกระทั่ง ดร.สมคิด เองหรือไม่ว่าใครก็คงจะอดรนทนไม่ไหว ที่ทั้งบ้านทั้งเมืองไม่มีใครไว้ใจ ยกเว้นนายกฯ เพียงคนเดียว

      สุดท้ายแล้ว ดร.สมคิด จะประกาศลาออกหรือไม่ ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือนับจากนี้ไปเขาก็ต้องประเมินตัวเองแล้วว่า แท้ที่จริงแล้วภาพมายาที่ใครต่อใครมอบให้เขาว่าจะขึ้นมาเป็นนายกฯ คนต่อไปของเมืองไทยนั้น เป็นอย่างที่คิดจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงเพราะเขาหลงเชื่อคำเยินยอของคนใกล้ชิดไม่กี่คน เช่นเดียวกับกรณีนายใหญ่ของเขาที่หลงคำคนข้างๆ มาจนเสียคนไปแล้วก็ตาม

     นี่เป็นค่าโง่ที่ ดร.สมคิด ต้องจ่ายและจ่ายแพงเสียด้วย กับการเข้ามารับตำแหน่งในช่วงนี้ แถมยังต้องคิดให้หนักด้วยว่าสมควรจะเลือกเดินในเส้นทางการเมืองต่อไปอีกหรือไม่ และหากจะหมายมั่นเอาดีทางด้านนี้ เขาก็ต้องยอมรับว่าภาพลักษณ์อันดูดีและใสสะอาดของเขานั้น มันเป็นแค่เยื่อบางๆ ที่ดูสะอาดตา แต่เมื่อพลิกดูด้านหลังอาจเจอแต่ความเน่าเฟะ

     ไม่ต่างจากคราบอุจจาระบนกระดาษทิชชู่เท่านั้นเอง



http://www.oknation.net/blog/baramee/2007/02/20/entry-2
บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
justy
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,250



« ตอบ #24 เมื่อ: 22-02-2007, 01:24 »

ฟังแกแถลงวันนี้ แกเอาดีใส่ตัวทั้งนั้นเลย
จึงมั่นใจว่าแกคงมีอะไรในใจแน่นอนํ
บันทึกการเข้า

พรรคไทยรักไทยมิได้ให้ความสำคัญหรือเห็นคุณค่าของสิทธิเลือกตั้งของประชาชน อันเป็นรากฐานสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย นอกจากนี้ยังแสดงถึงการไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ทั้งที่พรรคไทยรักไทยเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนสูงสุดในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไปก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง ควรต้องสร้างความยั่งยืนให้แก่การปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมั่นคงกับหลักการที่ว่า กฎหมายต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นข้อบ่งชี้ด้วยว่า พรรคไทยรักไทย มิได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่มุ่งพัฒนาประเทศชาติเพื่อให้คนในชาติมีความสุขทั่วหน้าดังที่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ต่อประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่มุ่งประสงค์เพียงดำเนินการในทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ นอกเหนือจากครรลองที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศตลอดจนบทกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องที่หาอุดมการณ์อันแท้จริงของพรรคให้เกิดความมั่นใจแก่ประชาชนโดยรวมว่า เมื่อเป็นรัฐบาลมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินแล้ว จะดำเนินการปกครองโดยสุจริต ไม่ประพฤติมิชอบหรือบริหารราชการแผ่นดินโดยแอบแฝงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อ
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #25 เมื่อ: 22-02-2007, 12:01 »

 


---รายการนี้ถ้าท่านนายกจะพลาด  ก็พลาดตรงที่  แต่งตั้งคุณสมคิดโจ่งแจ้งเกินไป
กระแสต่อต้านทักษิณยังแรงอยู่  อาจแปรความหมายมองเป็นบวกเป็นลบก็ได้
ตามมุมมองของแต่ละคน  ถ้าท่านตั้งแบบเงียบๆ  ทำงานเงียบ  ผลที่ออกมา
ย่อมดีกว่านี้แน่นอน

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

หาก "นายกฯสุรยุทธ์" เดินเกมให้เนียนโดยศึกษาบทเรียนในอดีตแค่ย้อนหลังไปในสมัย "อาจารย์คึกฤทธิ์ ปราโมช" เจรจากับรัฐบาลจีนแดง ก็แอบตั้งคณะทำงานแบบลับๆ หลายชุด ทำงานแบบปิดทองหลังพระ เช่นเดียวกัน หากมอบหมายงานให้ "ดร.สมคิด" แบบลับๆ ยิ่งจะทำให้ภาพลักษณ์ "พล.อ.สุรยุทธ์" ดูเหนือชั้นและไม่ต้องเจอแรงต้านอย่างนี้

สำหรับ "ดร.สมคิด" ความต้องการลึกๆ การอาสาเข้าไปทำงานหวังแค่ให้รัฐบาลสบายใจและไม่ระแวงในตัวเขา แต่สิ่งที่ได้รับยิ่งกว่าถูกรางวัลที่ 1 ไม่ถึงสัปดาห์ชื่อของเขากลับมากระหึ่มให้คนได้จดจำ ทั้งที่ยังไม่ทำงาน ยังไม่ทันเหนื่อย

http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01col02220250&day=2007/02/22&sectionid=0116
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
ชามู
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 536


ชามู ปลาวาฬตัวใหญ่ใจดี


« ตอบ #26 เมื่อ: 26-02-2007, 18:11 »

เอาข้อมูลอีกเรื่องหนึ่งมาเล่าให้คุณรวงข้าวล้อลมฟังนะครับ

ไม่แน่ใจว่าคุณรวงข้าวยอมรับหรือไม่ครับว่า

ส่วนหนึ่งของระบอบทักษิณคือการกำจัดผู้ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามหรือทำให้ผู้ที่จะเป็นภัยต่อตนนั้น ต้องพินาศไป

ทีนี้ ลองไปหาข้อมูลเกี่ยวกับพี่ชายของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ดูนะครับ

แล้วลองไปหาดูว่า สมคิด ทำหน้าที่น้องชายที่ดีปัดเป่าเรื่องร้ายให้กับพี่ชายอย่างไรบ้าง

ถ้าจำไม่ผิด กรณีนี้ ข้าราชการประจำก็โดนนักการเมืองเฉ่ง และ เด้ง ไปเรียบร้อย

ลองอ่านจากเนชั่นสุดสัปดาห์ฉบับอาทิตย์ที่ผ่านมานี่ก็ได้ครับ

ฟังดูอาจบอกว่า ผมเอาแพะมาชนแกะ

ก็อาจจะใช่ แต่ผมคิดว่าเรื่องพวกนี้บางทีมันก็บอกถึงตัวตนของคนได้เหมือนกัน

ด้วยความเคารพครับ
บันทึกการเข้า

สมาชิกหมายเลข #348

ชามู ปลาวาฬตัวใหญ่ใจดี
Dont cry for me:Thailand
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 74


« ตอบ #27 เมื่อ: 26-02-2007, 23:50 »

สมคิด พลาดเองช่วยไม่ได้ ที่ไปสยบยอมให้กับพวกป่าเถื่อนไร้รสนิยมทางการเมือง

ก็ต้องก้มหน้าก้มตารับผลกรรมกันเอาเองก็แล้วกัน

งานนี้มีแต่เสียกับเสีย
บันทึกการเข้า
CEOมืออาชีพ
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 66



« ตอบ #28 เมื่อ: 27-02-2007, 01:17 »

สมคิด พลาดเองช่วยไม่ได้ ที่ไปสยบยอมให้กับพวกป่าเถื่อนไร้รสนิยมทางการเมือง

ก็ต้องก้มหน้าก้มตารับผลกรรมกันเอาเองก็แล้วกัน

งานนี้มีแต่เสียกับเสีย


  สมคิด ก็พวกไทยรักไทย แบบเดียวกับพ่อคุณไม่ใช่หรือ? ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
บันทึกการเข้า
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #29 เมื่อ: 27-02-2007, 10:31 »

เอาข้อมูลอีกเรื่องหนึ่งมาเล่าให้คุณรวงข้าวล้อลมฟังนะครับ

ไม่แน่ใจว่าคุณรวงข้าวยอมรับหรือไม่ครับว่า

ส่วนหนึ่งของระบอบทักษิณคือการกำจัดผู้ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามหรือทำให้ผู้ที่จะเป็นภัยต่อตนนั้น ต้องพินาศไป

ทีนี้ ลองไปหาข้อมูลเกี่ยวกับพี่ชายของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ดูนะครับ

แล้วลองไปหาดูว่า สมคิด ทำหน้าที่น้องชายที่ดีปัดเป่าเรื่องร้ายให้กับพี่ชายอย่างไรบ้าง

ถ้าจำไม่ผิด กรณีนี้ ข้าราชการประจำก็โดนนักการเมืองเฉ่ง และ เด้ง ไปเรียบร้อย

ลองอ่านจากเนชั่นสุดสัปดาห์ฉบับอาทิตย์ที่ผ่านมานี่ก็ได้ครับ

ฟังดูอาจบอกว่า ผมเอาแพะมาชนแกะ

ก็อาจจะใช่ แต่ผมคิดว่าเรื่องพวกนี้บางทีมันก็บอกถึงตัวตนของคนได้เหมือนกัน

ด้วยความเคารพครับ


--   

   ขอบคุณมากนะคะ  ที่มีคำแนะนำที่น่าสนใจ  ถ้ายังไง
พอมีลิงค์  ช่วยยกมาให้ดูหน่อยนะคะ  ยังไม่ได้อ่านเลยค่ะ
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
ชามู
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 536


ชามู ปลาวาฬตัวใหญ่ใจดี


« ตอบ #30 เมื่อ: 27-02-2007, 12:20 »

คุณรวงข้าวล้อลมครับ

เอา link มาให้ตามขอแล้วครับ อ่านเน้นๆ ตรงล้อมกรอบ สม-สมคิด น้องพี่ จาตุศรีพิทักษ์ นะครับ

http://www.nationweekend.com/2007/02/23/NO10_104_news.php?newsid=225

ผมเคยเป็นพนักงานธนาคารนั้นมาก่อน เข้าทำในช่วงที่ธนาคารนั้นกำลังถูกกอบกู้โดยคนพี่

ก็เห็นว่าเป็นคนเก่ง แต่ภายหลังมีการตรวจสอบแล้วพบว่ามีการโกงกินกันภายในมหาศาล ก็เริ่มผิดหวังในตัวคนพี่

หวังว่าจะมีการสอบสวนให้ชัดเจน แต่แล้วก็มีคนน้องมาทำให้เรื่องนี้เงียบหายไป

ลองอ่านดูครับ
บันทึกการเข้า

สมาชิกหมายเลข #348

ชามู ปลาวาฬตัวใหญ่ใจดี
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #31 เมื่อ: 27-02-2007, 13:25 »

คุณรวงข้าวล้อลมครับ

เอา link มาให้ตามขอแล้วครับ อ่านเน้นๆ ตรงล้อมกรอบ สม-สมคิด น้องพี่ จาตุศรีพิทักษ์ นะครับ

http://www.nationweekend.com/2007/02/23/NO10_104_news.php?newsid=225

ผมเคยเป็นพนักงานธนาคารนั้นมาก่อน เข้าทำในช่วงที่ธนาคารนั้นกำลังถูกกอบกู้โดยคนพี่

ก็เห็นว่าเป็นคนเก่ง แต่ภายหลังมีการตรวจสอบแล้วพบว่ามีการโกงกินกันภายในมหาศาล ก็เริ่มผิดหวังในตัวคนพี่

หวังว่าจะมีการสอบสวนให้ชัดเจน แต่แล้วก็มีคนน้องมาทำให้เรื่องนี้เงียบหายไป

ลองอ่านดูครับ


--  ขอบคุณมากค่ะ  สำหรับข้อมูล
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
qazwsx
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


นักธุรกิจและตำรวจ ต้องออกไปจากการเมือง


« ตอบ #32 เมื่อ: 27-02-2007, 14:11 »


คุณรวงข้าว ฯ ที่เคารพ

ผมเป็นลูกศิษย์ อ.สมคิด สมัยเรียน ป.โทที่ NIDA
ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีความรักและศรัทธาในตัว อ.สมคิด อยู่
ไม่ใช่เฉพาะด้วยเหตุที่มีความเกี่ยวข้องผูกพันกันในฐานะครู - ศิษย์ เท่านั้น
แต่ยังมีความชื่นชมและนับถือในความสามารถ  โดยเฉพาะความสามารถในด้านการปรับเปลี่ยนหลักการ ทฤษฎี แนวคิด ลงสู่นโยบายและ/หรือแผนงานอันเป็นรูปธรรม  อย่างมีประสิทธิภาพและฉับไวตามสถานการณ์

แต่ผมไม่เคยยืนยันหรือออกหน้าแทนอาจารย์ในเรื่องความดีงาม - ความจริงใจ ( ต่อสังคม - ส่วนรวม )  หรือแม้แต่ความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ครับ

ท่านเป็นบุคคลที่สังคมสมัยใหม่เรียกว่า "เทคโนแครต" โดยสมบูรณ์
เป็น "กลไกบุคคล" ที่สามารถสร้างพลวัต ( Dynamics ) และแรงผลักดันในสังคมที่ดียิ่ง
ถือว่ามีคุณค่า และเชื่อถือได้
...เพียงแต่ "ไม่ใช่เวลานี้" และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ไม่ใช่ในสถานภาพนี้"

ถ้าเทียบประเทศไทยกับรถยนต์
เวลานี้เราต้องการเครื่องยนต์ที่เชื่อถือได้ - กินน้ำมันน้อย - ให้กำลังเยอะในรอบเครื่องยนต์ต่ำ
เพราะเราต้องการ "ฉุดตัวรถขึ้นมาจากหลุม - หล่ม" ที่รัฐบาลชุดที่แล้วนำรถทั้งคันตกลงไปตนตัวถังเสียหาย - กลไกบางชิ้นวิบัติ

...เราต้องการ "คนขับ" ที่น่าไว้ใจ ใจเย็น มือนิ่ง 
ซึ่งเราก็มีอยู่แล้ว ( พร้อม ๆ กับถีบหัวส่งไอ้ห่ามเหิม - ปาก***ขี้โม้ "คนขับคนเิดิม" ระเห็จออกไปอยู่ต่างประเทศ )
...เราต้องการ "ยาม หน่วยรักษาความปลอดภัย" กระจายกำลังรอบ ๆ หล่ม หลุม  เพื่อป้องกันมิให้พวกอสรกุ๊ย - อันธพาล ถือโอกาสเ้ข้าปล้นชิงทรัพย์สินไปจากรถ ที่กำลังอยู่ในสภาพเสียหายหนัก
ซึ่งเราก็มีอยู่แล้ว
...เราต้องการ "ทีมช่าง" ที่ยินดีกระโดดลงไปในหลุม  จนเนื้อตัวเลอะมอมแมม  แถมต้องทำงานในสภาพอันยากลำบาก อย่างเหนื่อยหนัก ในเวลาอันจำกัด
ซึ่งเราก็มีอยู่แล้ว
...เราต้องการ "ความสงบเงียบ" เพื่อให้ผู้ทำงานต่าง ๆ มีสมาธิ
ซึ่งเราต่างพยายามช่วยกัน

แต่ตอนนี้เรายังไม่ต้องการ "เครื่องยนต์ใหม่"
...เรายังไม่ต้องการ "ซิ่ง"
รถยังติดอยู่ในหล่ม ในหลุม
ชุดเฟืองขับยังติด ๆ ขัด ๆ
ชุดเกียร์ - ครัทช์ ยังเข้าได้บ้างไม่ได้บ้าง
ในขณะที่ไอ้พวกอสุรกุ๊ย - อันธพาล กำลังโห่ฮา ตะโกนเสียงข่มขู่ท้าทาย อยู่ในความมืด กันให้ขรม
ไอ้คนขับหน้าเหลี่ยมยังเที่ยวโม้ว่ามันเก่ง และปรามาสคนขับมือเก่า - วัยชราว่าไร้ความสามารถอยู่ในต่างประเทศ
ฯลฯ

...ดูยังไง ๆ
...ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลา "ซิ่ง"
( ต้องใช้เกียร์ต่ำ - รอบเครื่องยนต์สูง เพื่อเร่งกำลังเอาตัวรถขึ้นมาจากหลุม  เท่านั้น )
...ไม่ใช่เวลาของ "สมคิด"
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
หากใช้ "สมคิด" ร่วมกับ "เครื่องปั่นไฟ"
...ยิ่งไม่เหมาะสม  ด้วยประการทั้งปวง
บันทึกการเข้า

รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #33 เมื่อ: 27-02-2007, 18:01 »


คุณรวงข้าว ฯ ที่เคารพ

ผมเป็นลูกศิษย์ อ.สมคิด สมัยเรียน ป.โทที่ NIDA
ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีความรักและศรัทธาในตัว อ.สมคิด อยู่
ไม่ใช่เฉพาะด้วยเหตุที่มีความเกี่ยวข้องผูกพันกันในฐานะครู - ศิษย์ เท่านั้น
แต่ยังมีความชื่นชมและนับถือในความสามารถ  โดยเฉพาะความสามารถในด้านการปรับเปลี่ยนหลักการ ทฤษฎี แนวคิด ลงสู่นโยบายและ/หรือแผนงานอันเป็นรูปธรรม  อย่างมีประสิทธิภาพและฉับไวตามสถานการณ์

แต่ผมไม่เคยยืนยันหรือออกหน้าแทนอาจารย์ในเรื่องความดีงาม - ความจริงใจ ( ต่อสังคม - ส่วนรวม )  หรือแม้แต่ความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ครับ

ท่านเป็นบุคคลที่สังคมสมัยใหม่เรียกว่า "เทคโนแครต" โดยสมบูรณ์
เป็น "กลไกบุคคล" ที่สามารถสร้างพลวัต ( Dynamics ) และแรงผลักดันในสังคมที่ดียิ่ง
ถือว่ามีคุณค่า และเชื่อถือได้
...เพียงแต่ "ไม่ใช่เวลานี้" และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ไม่ใช่ในสถานภาพนี้"

ถ้าเทียบประเทศไทยกับรถยนต์
เวลานี้เราต้องการเครื่องยนต์ที่เชื่อถือได้ - กินน้ำมันน้อย - ให้กำลังเยอะในรอบเครื่องยนต์ต่ำ
เพราะเราต้องการ "ฉุดตัวรถขึ้นมาจากหลุม - หล่ม" ที่รัฐบาลชุดที่แล้วนำรถทั้งคันตกลงไปตนตัวถังเสียหาย - กลไกบางชิ้นวิบัติ

...เราต้องการ "คนขับ" ที่น่าไว้ใจ ใจเย็น มือนิ่ง 
ซึ่งเราก็มีอยู่แล้ว ( พร้อม ๆ กับถีบหัวส่งไอ้ห่ามเหิม - ปาก***ขี้โม้ "คนขับคนเิดิม" ระเห็จออกไปอยู่ต่างประเทศ )
...เราต้องการ "ยาม หน่วยรักษาความปลอดภัย" กระจายกำลังรอบ ๆ หล่ม หลุม  เพื่อป้องกันมิให้พวกอสรกุ๊ย - อันธพาล ถือโอกาสเ้ข้าปล้นชิงทรัพย์สินไปจากรถ ที่กำลังอยู่ในสภาพเสียหายหนัก
ซึ่งเราก็มีอยู่แล้ว
...เราต้องการ "ทีมช่าง" ที่ยินดีกระโดดลงไปในหลุม  จนเนื้อตัวเลอะมอมแมม  แถมต้องทำงานในสภาพอันยากลำบาก อย่างเหนื่อยหนัก ในเวลาอันจำกัด
ซึ่งเราก็มีอยู่แล้ว
...เราต้องการ "ความสงบเงียบ" เพื่อให้ผู้ทำงานต่าง ๆ มีสมาธิ
ซึ่งเราต่างพยายามช่วยกัน

แต่ตอนนี้เรายังไม่ต้องการ "เครื่องยนต์ใหม่"
...เรายังไม่ต้องการ "ซิ่ง"
รถยังติดอยู่ในหล่ม ในหลุม
ชุดเฟืองขับยังติด ๆ ขัด ๆ
ชุดเกียร์ - ครัทช์ ยังเข้าได้บ้างไม่ได้บ้าง
ในขณะที่ไอ้พวกอสุรกุ๊ย - อันธพาล กำลังโห่ฮา ตะโกนเสียงข่มขู่ท้าทาย อยู่ในความมืด กันให้ขรม
ไอ้คนขับหน้าเหลี่ยมยังเที่ยวโม้ว่ามันเก่ง และปรามาสคนขับมือเก่า - วัยชราว่าไร้ความสามารถอยู่ในต่างประเทศ
ฯลฯ

...ดูยังไง ๆ
...ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลา "ซิ่ง"
( ต้องใช้เกียร์ต่ำ - รอบเครื่องยนต์สูง เพื่อเร่งกำลังเอาตัวรถขึ้นมาจากหลุม  เท่านั้น )
...ไม่ใช่เวลาของ "สมคิด"
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
หากใช้ "สมคิด" ร่วมกับ "เครื่องปั่นไฟ"
...ยิ่งไม่เหมาะสม  ด้วยประการทั้งปวง

...ขอบคุณมากนะคะ  ที่ออกมาให้ความคิดเห็นที่จริงใจ
และชัดเจน  อ่านของคุณซะหลายรอบทีเดียว....

แล้วลองคิดตามทีละประโยค  พอจะเข้าใจอะไรได้
มากทีเดียวค่ะ  ขอขอบคุณอีกครั้งค่ะ
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
หน้า: [1]
    กระโดดไป: