"ไอซีที"หาช่องทวงคืนดาวเทียม
เล็งรื้อสัมปทานชิน
"ไอซีที"หาช่องทวงคืนดาวเทียม
เล็งรื้อสัมปทานชิน
"สิทธิชัย"แฉซ้ำกฤษฏีกาตรวจพบผิดกฏหมายหลายข้อ
รุดหารือนายกฯทันที19กุมภาพันธ์นี้ขอไฟเขียวเดินหน้า
สวนดุสิตโพลล์หนุนสุดตัวเพราะเป็นสมบัติของชาติไทย
เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) เปิดเผยว่า วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ตน จะแถลงต่อสื่อมวลชนถึงผลหารือกับพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เรื่องแนวทางการนำสัมปทานดาวเทียมไทยคมคืนจากกลุ่มเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์
หาช่องทางเอา"ไทยคม"คืนมา
โดยแนวทางจะต้องไม่ทำให้ต่างชาติรู้สึกว่าถูกรัฐบาลไทยกลั่นแกล้ง ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงไอซีทีได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบสัญญาสัมปทานดาวเทียมจากบริษัทบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) ในเครือเทมาเส็ก พบว่ามีความผิดหลายข้อ จึงได้ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ หากพบว่าผิดก็สามารถใช้เป็นประเด็นทวงคืนได้
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนดังกล่าวคงต้องฟ้องร้องในชั้นศาล ซึ่งจะใช้เวลานานหลายปี ดังนั้น จึงคิดว่าน่าจะใช้วิธีอื่น ซึ่งจะแจ้งต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อขออนุญาตดำเนินการก่อน ส่วนตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมนั้น ถือว่าเป็นสิทธิที่ผูกอยู่กับสัมปทาน ขณะนี้ ชินแซทฯ เหลือประมาณ 10 ปี หากหมดสัญญาตำแหน่งวงโคจรจะกลับมาเป็นของประเทศไทย ซึ่งไทยสามารถนำเสนอที่ประชุมของนานาชาติเพื่อขอใช้ตำแหน่งดังกล่าวต่อไป
โพลล์หนุนสนธิทวงสมบัติชาติ
วันเดียวกันสวนดุสิตโพลล์ เผยผลสำรวจประชาชนในกทม.และปริมณฑล จำนวน 1,116 คน โดยพบว่ากลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 78.49 เห็นด้วยที่ พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)จะหาช่องทางเอาดาวเทียมคืนมา เพราะเป็นสมบัติของชาติไทย เป็นการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นความต้องการของคนในชาติ
แต่ร้อยละ 17.48 ไม่เห็นด้วย เพราะเป็นการกระทำที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของชาติ และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีปัญหา ควรหาทางประณีประนอมด้วยวิธีอื่น ๆ จะดีกว่า และ ร้อยละ 4.03 เฉยๆ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องระดับชาติต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจจริงๆ เข้ามาช่วยแก้ปัญหา
กระนั่นก็ตามประเด็นการทวงคืนที่เริ่มขึ้นมาแล้ว กลุ่มตัวอย่างร้อยละ70.62 มองว่าทำให้เกิดความบาดบางระหว่างไทยกับสิงคโปร์ มี มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นในประเทศไทย แต่ร้อยละ15.95 มองว่า ไม่กระทบเพราะเชื่อว่ารัฐบาลมีความรอบคอบ คงไม่ต้องการเห็นความรุนแรงหรือข้อขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นจากกรณีดังกล่าว
สำหรับผลดีจากการทวงดาวเทียมคืนมานั้น ร้อยละ 44.27 เห็นว่าได้สมบัติของประเทศชาติกลับคืนมา/เป็นศักดิ์ศรีของประเทศไทย ร้อยละ 27.48 เห็นว่า ทำให้เกิดความมั่นคงและความมีเสถียรภาพของชาติ ร้อยละ 16.03 ทำให้ประเทศไทยมีกศักยภาพด้านการสื่อสารกับประเทศอื่นๆ ส่วนผลเสีย จากการทวงคืนดาวเทียมไทยคม คือ ร้อยละ 36.73 ระบุว่าเกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ ร้อยละ 31.97 ทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่น มีผลกระทบต่อการเมืองและเศรษฐกิจ ร้อยละ 17.69 ทำให้สูญเสียงบประมาณจำนวนมากในการที่จะซื้อคืน
วอนครม.เร่งมือทวงดาวเทียม
ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงเรียกร้องให้รัฐบาลนำเรื่องการเจรจาซื้อคืนดาวเทียมและวงโคจรดาวเทียมทั้ง 5 ดวง ของไทย เข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรี ในวันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์นี้ เพื่อเปิดเจรจากับรัฐบาลสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ ด้วยบรรยากาศที่เป็นมิตรประเทศ เนื่องจากรัฐบาลสิงคโปร์มีความประสงค์ต้องการขายหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวนร้อยละ 47 ออกไป เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการถือหุ้นเกินร้อยละ 49 ดังนั้น รัฐบาลไทยต้องเร่งรัดดำเนินคดีกรณีบริษัทกุหลาบแก้ว เป็นนอมินีของกลุ่มทุนเทมาเส็ก ซึ่งเป็นบริษัทรัฐวิสาหกิจของสิงคโปร์ ที่กระทำผิดกฎหมายประกอบธุรกิจต่างด้าว และกฎหมายบรรษัทพาณิชย์ของไทย ซึ่งคดีค้างอยู่ที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ โดยคดีนี้จะเป็นหัวใจสำคัญในการเจรจาต่อรองการซื้อขายหุ้นดังกล่าว เพื่อให้ได้ดาวเทียมทั้ง 5 ดวง กลับคืนเป็นของประเทศไทย
เปิดทางออกพันธบัตรระดมทุน
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สำหรับแนวทางการซื้อดาวเทียมคืน ให้รัฐบาลมอบหมายให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ออกพันธบัตรเพื่อซื้อคืนดาวเทียมทั้ง 5 ดวง ที่บริษัท ชินแซทเทิลไลท์ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นร้อยละ 48.69 คิดเป็น 531 ล้านหุ้น โดยบริษัทชินคอร์ปฯ ถือหุ้นใหญ่คิดเป็นร้อยละ 41.34 จำนวนหุ้น 450 ล้านหุ้น โดยราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ณ ปัจจุบัน อยู่ที่หุ้นละ 7.05 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะใช้เงินประมาณ 4,000 ล้านบาท ในการซื้อคืน แต่หากคำนวณตามมูลค่าทางบัญชี จะอยู่ที่หุ้นละ 13.55 บาท จะต้องใช้เงิน 8,000 ล้านบาท ดังนั้น อยู่ที่การเจรจากับสิงคโปร์ ว่ารัฐบาลไทยจะซื้อหุ้นคืนในราคาหุ้นละเท่าไร
"ที่ผมเสนอไม่ได้หมายความว่าให้เกี้ยเซี้ยะคดีกัน แต่ข้อเสนอนี้ถือว่าเป็นธรรมที่สุดแล้วสำหรับคนไทย ประเทศสิงคโปร์ต้องยอม เพราะมีคดีติดหลังอยู่ ถ้ามีการตัดสินว่าถือหุ้นเกินร้อยละ 49 จะผิดกฎหมายทันที เพราะสิงคโปร์ถือหุ้นใหญ่ร้อยละ 96 เกินกว่ากฎหมายกำหนดถึงร้อยละ 41 ดังนั้น สิงคโปร์จึงไม่อยู่ในฐานะที่มีอำนาจต่อรองได้มาก หากเป็นไปตามข้อเสนอของผม ประเทศไทยจะใช้เงินในการซื้อหุ้นดังกล่าวประมาณ 4,000-8,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับมูลค่าของสินทรัพย์ดาวเทียมและวงโคจรที่มีมูลค่าถึง 33,000 ล้านบาท ถือว่าคุ้มค่า"นายอลงกรณ์ กล่าวและว่าจะไปพบกับประธานคมช.เพื่อสนับสนุนการซื้อคืนดาวเทียมในเร็วๆนี้
ส่วนนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่ารัฐบาลต้องเข้าไปตรวจสอบสัญญาสัมปทานเกี่ยวกับกิจการโทรคมนาคมทุกสัญญาตลอดช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เพื่อแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะกรณีดาวเทียมไทยคม
สหภาพชี้สมุนแม้วนั่งบอร์ดทีโอทีเพียบ
นายนุกูล บวรศิรินุกูล ประธานสหภาพองค์การโทรศัพท์หรือสหภาพทีโอที กล่าวว่าวันแรกที่มีการยึดอำนาจรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ตนได้ทำหนังสือถึง พล.อ.สนธิ บุญรัตกลินว่า ธุรกิจโทรคมนาคมมีขอบเขตของการทำงานควบคู่กันกับความสำคัญทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของรัฐ ซึ่งพล.อ.สนธิเองก็ออกมาพูดว่าอยากให้มีการทวงคืนดาวเทียมกลับคืนมาเป็นของไทย เพราะที่ผ่านมาพ.ต.ท.ทักษิณวางแบบแผนในการเป็นเจ้าของดาวเทียมเพื่อกุมเศรษฐกิจ
แต่ วันนี้ดาวเทียมทำให้ส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นทั้งย้อนหลังไป 2 ปี และพ.ต.ท.ทักษิณก็ทำให้เกิดการผูกขาดถึง 8 ปีไม่ให้มีการแข่งขัน ขณะนี้ชื่อของดาวเทียเป็นไทยแต่เปลือกข้างในเป็นของเทมาเส็ค เรื่องการถือหุ้นที่ผิดกฏหมายกลับไม่มีการสอบสวนรัฐบาลชุดนี้ปล่อยปละละเลยไม่ทำอะไรให้มีความชัดเจน ทุกคนรู้เรื่องการถือหุ้นเกินของเทมาเส็คแต่ไม่มีใครดำเนินการให้เป็นรูปธรรม
"ขณะนี้อดีตผู้บริหารสมัยพ.ต.ท.ทักษิณได้กลับมาเป็นที่ปรึกษาและเป็นบอร์ดของบริษัท ทีโอที บุคคลผู้นี้เคยเป็นผู้ช่วยของน.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ถ้ารัฐบาลยังปล่อยให้ผู้บริหารสมัยพ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดำรงตำแหน่งที่สำคัญแบบนี้ เสถียรภาพของรัฐบาลชุดนี้ต้องสั่นคลอนแน่ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลไม่เร่งรัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบในเรื่องนี้ให้เป็นรูปธรรม"นายนุกูลกล่าว
ทรท.อ้างดาวเทียมยังเป็นของไทย
นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า ไม่มีเรื่องใดภายใต้ คมช. ที่ทำไม่ได้ ภายใต้การเมืองระบอบเช่นนี้ การจะยึดสัมปทานหรือยกเลิกสัญญาสัมปทานใดเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ขอฝากให้ดูถึงผลกระทบที่จะตามมา โดยเฉพาะผลกระทบเรื่องความเชื่อมั่นในการลงทุนของต่างประเทศ
"ดาวเทียมยังไงก็เป็นของประเทศไทยอยู่แล้ว เป็นของประเทศอื่นไปไม่ได้ กระบวนการให้สัมปทานเป็นกระบวนการทางกฎหมาย ถ้าเรามองว่าอะไรกระทบกับความมั่นคงแล้วอยู่ ๆ อยากจะยกเลิกโดยใช้อำนาจบริหารไปยกเลิก ผมว่าไม่มีประเทศไหนจะเชื่อถือประเทศไทยอีกแล้ว จึงขอฝากให้ดูผลกระทบด้วย" นายวิชิต กล่าว
สตง.ปูด "แม้ว"กินรวบสัญญาณดาวเทียม
มีรายงานข่าวจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ว่า ขณะนี้ส.ต.ง. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากวิธีการหารายได้จากโทรศัพท์เคลื่อนที่และโทรศัพท์ทางไกล ซึ่งมีบริษัทอินเตอร์เน็ตประเทศไทยจำกัด(มหาชน)ได้มีการร่วมลงทุนกับบริษัททีโอทีจำกัด (มหาชน) บริษัทเน็คเท็คส์ (สำนักงานพัฒนาการเทคโนโลยีการสื่อสาร) และการสื่อสารแห่งประเทศไทย(กสท.) ซึ่งทั้ง 3 บริษัทได้ร่วมทุนกับรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้ฮุบบริษัทอินเตอร์เน็ตประเทศไทยไปเป็นของตนเองจึงทำให้ พ.ต.ท. ทักษิณมีธุรกิจเกี่ยวกับดาวเทียมมือถือเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากบริษัทชินแซทเทิลไลท์ที่ขายให้สิงคโปร์ไป ขณะนี้ ส.ต.ง. กำลังพิจารณาเรื่องร้องเรียนดังกล่าวว่าจะเอาผิดใครได้หรือไม่ เพราะถือว่าเป็นการข่มเหงรังแกรายได้ของประเทศ ชาติ ส่วนจะนำมาให้คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ตรวจสอบเป็นโครงการที่ 15 หรือไม่นั้นคงต้องพิจารณาอีกครั้ง
http://www.naewna.com/news.asp?ID=48844เมื่อเช้าฟัง fm 98 ดนัย สัมภาษณ์ รมต ict
เอาคืนแน่ แต่จะเอาคืนวิธีไหน คอยฟังการแถลงข่าวช่วงสายๆ