'เอแบคโพลล์ 'ระบุประชาชนไม่รู้จักรัฐธรรมนูญ 50.6% 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 15:56:00
"เอแบคโพลล์"พบประชาชน 50.6% ไม่รู้จัก ระบุส.ส.ร.กำลังประสบปัญหาสำคัญที่จะเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เป็นที่ยอมรับของสาธารณชนได้
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (The ABAC Social Innovation in Management and Business Analysis, Graduate School of Business, Assumption University) เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง รัฐธรรมนูญในทรรศนะของประชาชน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งใน 23 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 4,736 ตัวอย่าง ซึ่งดำเนินมีระยะเวลาการดำเนินโครงการระหว่าง วันที่ 2 -13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ประเด็นสำคัญที่ค้นพบจากการสำรวจในครั้งนี้ มีดังนี้
ประชาชนส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 90 ติดตามข่าวการเมืองเป็นประจำทุกสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ครึ่งหนึ่งของคนที่ถูกศึกษาหรือร้อยละ 50.6 ไม่ทราบความหมาย/ ไม่เข้าใจ/ ไม่รู้จัก รัฐธรรมนูญ ในขณะที่เพียงร้อยละ 15.2 ระบุรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ร้อยละ 7.3 ระบุเป็นกฎหมายปกครองประเทศ ร้อยละ 6.8 ระบุเป็นกฎหมายที่ทำให้บ้านเมืองสงบสุข ร้อยละ 4.4 ระบุเป็นกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ร้อยละ 3.1 ระบุเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ปกครองโดยประชาชนเพื่อประชาชน และร้อยละ 12.6 ระบุอื่นๆ เช่น เป็นกฎหมายสำหรับอยู่ร่วมกันของประชาชน/ เป็นระเบียบกำหนดการทำงานของรัฐบาล/ เป็นข้อบังคับของทุกคนในชาติ และเป็นกฎหมายคุ้มครองประชาชน เป็นต้น
เมื่อสอบถามว่าเคยอ่านรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 หรือไม่ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 62.4 ไม่เคยอ่านเลย เพราะไม่ทราบว่าหาอ่านได้จากที่ไหน ไม่มีให้อ่าน หาอ่านไม่ได้เลย ไม่สนใจอ่าน ไม่อยากอ่านและไม่มีเวลาอ่าน เป็นต้น ในขณะที่ร้อยละ 31.5 เคยอ่านบางส่วน และเพียงร้อยละ 6.1 เคยอ่านทั้งฉบับ อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 96.8 ค่อนข้างเห็นด้วยถึงเห็นด้วยอย่างยิ่งว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรให้อ่านเข้าใจได้ง่ายไม่ต้องใช้คำยุ่งยากซับซ้อน ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 70.3 คิดว่าจำเป็นต้องให้ประชาชนมีเวลาอ่านร่างรัฐธรรมนูญก่อนลงประชามติ ในขณะที่ร้อยละ 8.5 เห็นว่าไม่จำเป็นและร้อยละ 21.2 ไม่มีความเห็น
นอกจากนี้
ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 74.9 เห็นว่านายกรัฐมนตรีจำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง ในขณะที่ ร้อยละ 18.9 เห็นว่าไม่จำเป็น และร้อยละ 6.2 ไม่มีความเห็น เมื่อถามความเห็นต่อแนวคิดที่ว่า นายกรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่งไม่เกิน 8 ปี (ไม่เกิน 2 สมัย) ผลสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.7 เห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 16.3 ไม่เห็นด้วย และร้อยละ 2.0 ไม่มีความเห็น
ดร.นพดล กล่าวว่า ผลสำรวจพบประเด็นที่น่าจะมีแรงเสียดทานหรือคัดค้านพอสมควร คือแนวคิดการลดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือ ส.ส. ลง เพราะผลสำรวจพบว่าประชาชนร้อยละ 45.5 เห็นด้วย แต่ร้อยละ 30.5 หรือเกือบหนึ่งในสามไม่เห็นด้วย และร้อยละ 24.0 ไม่มีความเห็น
นอกจากนี้ยังพบว่า ประชาชนร้อยละ 39.7 เห็นด้วยที่จะไม่ต้องมี ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อหรือปาร์ตี้ลิสต์ ในขณะที่ประมาณ 1 ใน 3 หรือร้อยละ 33.1 ไม่เห็นด้วยและร้อยละ 27.2 ไม่มีความเห็น ซึ่งผลสำรวจประเด็นเหล่านี้อาจเป็นเหตุทำให้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการลงประชามติได้ จึงจำเป็นต้องเร่งชี้แจง ให้ประชาชนเห็นผลดีผลเสียโดยเร็ว
เมื่อสอบถามถึงแนวคิดจะให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้โดยง่ายมากขึ้น ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 69.4 เห็นด้วย ร้อยละ 13.5 ไม่เห็นด้วย และร้อยละ 17.1 ไม่มีความเห็น นอกจากนี้ ประชาชนส่วนใหญ่หรือ ร้อยละ 81.4 เห็นว่าจำเป็นต้องมีวุฒิสภาโดยจำแนกเป็นร้อยละ 29.3 เห็นว่า ส.ว. ควรมาจากการแต่งตั้ง ในขณะที่ร้อยละ 52.1 เห็นว่าควรมาจากการเลือกตั้ง ในขณะที่เพียงร้อยละ 4.6 เห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีและร้อยละ 14.0 ไม่มีความเห็น
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ61.4 เห็นด้วยที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีควรจะลาออกทันทีเมื่อมีข้อครหาเกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชั่น ในขณะที่ร้อยละ 23.1 ไม่เห็นด้วยและร้อยละ 15.5 ไม่มีความเห็น
ดร.นพดล กล่าวว่า ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า ส.ส.ร. กำลังประสบปัญหาสำคัญที่จะเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เป็นที่ยอมรับของสาธารณชนได้ เพราะประชาชนถึงครึ่งหนึ่งไม่รู้ไม่เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญคืออะไร แล้วจะไปเขียนรัฐธรรมนูญให้เป็นของประชาชนทั้งประเทศได้อย่างไร ดังนั้นสิ่งที่ส.ส.ร.น่าจะพิจารณาคือ
ประการแรก เผยแพร่สร้างเสริมความรู้ความเข้าใจให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนก่อนเป็นอันดับแรกว่า รัฐธรรมนูญคืออะไร มีความสำคัญอย่างไรต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
ประการที่สอง สสร. ควรสร้างความตระหนักให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนว่า รัฐธรรมนูญที่กำลังร่างกันขึ้นมาเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อวิถีชีวิตประจำวันของประชาชน ถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญประชาชนจะเดือดร้อนอย่างไร และถ้ามีแล้วต่อไปนี้จะไม่ถูกฉีกทิ้งอีกอย่างแน่นอน เพราะประชาชนส่วนใหญ่เบื่อหน่ายกับปัญหาการเมืองและวัฏจักรของความชั่วร้ายมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว
ประการที่สาม สสร. ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงและมีส่วนร่วมร่างรัฐธรรมนูญทั้งจากส่วนกลางสู่ภูมิภาคและจากระดับชุมชนสู่ส่วนกลาง
ดร.นพดล กล่าวว่า สสร.ต้องเริ่มทำจากการสร้างเสริมความรู้ความเข้าใจของสาธารณชนผ่านสื่อมวลชนก่อนเป็นอันดับแรก เพราะถ้าเริ่มต้นลงไปที่พื้นที่ก่อนจะประสบความล้มเหลวอย่างแน่นอน เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ไม่เคยอ่านรัฐธรรมนูญมาก่อนและเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว
ดังนั้นต้องเริ่มเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ สร้างความตระหนัก เปิดโอกาสมีส่วนร่วมและจัดกิจกรรมร่วมกับชุมชนเขียนรัฐธรรมนูญด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย อย่าใช้คำวิชาการมาก และทำให้ชาวบ้านเห็นว่ารัฐธรรมนูญมีประโยชน์สามารถป้องกันแก้ปัญหาเดือดร้อนของประชาชนแต่ละคน ปัญหาของชุมชน และประเทศได้อย่างแท้จริง เพราะถ้าประชาชนทั้งประเทศเป็นเจ้าของก็จะไม่มีใครมากล้าฉีกรัฐธรรมนูญอีกได้ ยกเว้นแต่ว่า ภาพของการลงประชามติที่จะเกิดขึ้นเป็นเพียงแต่ภาพลวงตาเท่านั้น
http://bangkokbiznews.com/2007/02/14/WW03_0301_news.php?newsid=4767