มอง รัฐบาล "สุรยุทธ์" มอง กระบวน บริหารจัดการ มอง ผ่าน "สุวรรณภูมิ"คอลัมน์ วิภาคแห่งวิพากษ์ความพยายามในการแปรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิซึ่งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 140,000 ล้านบาท
ไปสู่การเป็นสุสาน คือรูปธรรมอันเด่นชัดยิ่งของสภาวะบิดเบี้ยวในเชิงบริหารจัดการ
ไม่ว่าจะมองผ่านกระทรวงคมนาคมในฐานะผู้รับผิดชอบโดยตรง
ไม่ว่าจะมองผ่านบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบทาง
การปฏิบัติต่อจากกระทรวงคมนาคม
ไม่ว่าจะมองผ่านรัฐบาลซึ่งเป็นผู้กำกับกระทรวงคมนาคมอีกทอดหนึ่ง
หากศึกษาปฏิกิริยาที่แสดงออกไม่ว่าจะมาจากคณะกรรมการดำเนินงานด้านธุรกิจการบิน
(AOC) หรือสมาคมสายการบินแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (AAPA) หรือแม้กระทั่งสมาคม
ไทยบริการการท่องเที่ยง (TTAA)
ที่น่าสนใจเป็นอย่างมากก็คือ "มติ" และ "ความเห็น" ต่างๆ อันเกี่ยวกับท่าอากาศยาน
สุวรรณภูมิไม่เคยผ่านการหารือร่วม
เป็นเรื่องที่ "รัฐบาล" ตัดสินใจ
เป็นเรื่องที่ "กระทรวงคมนาคม" ตัดสินใจ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจะปิดหรือไม่ปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมติ
เห็นชอบให้ท่าอากาศยานกรุงเทพเป็นท่าอากาศยานนานาชาติอีกแห่งหนึ่ง
ถูกต้อง หาก รัฐบาล และ กระทรวงคมนาคม จะสามารถตัดสินใจได้บนพื้นฐานที่ทั้ง
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานกรุงเทพ
ล้วนเป็นสมบัติของประชาชาติไทย
แต่หากลงลึกไปในรายละเอียดก็จะมองเห็นสภาพลักลั่นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
มติที่กำหนดให้ท่าอากาศยานกรุงเทพเป็นท่าอากาศยานนานาชาติอีกแห่งหนึ่งนอกเหนือ
จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ปรากฏว่า ข้อเสนอนี้ไม่ได้มาจากบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ข้อเสนอนี้
ไม่ได้มาจากกระทรวงคมนาคม
หากเป็นความปรารถนาดีของรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้แทบไม่ต้องกล่าวถึงข่าวสารอันสับสนในรายละเอียดเกี่ยวกับปัญหาของท่าอากาศยาน
สุวรรณภูมิอันนำไปสู่ความไม่แน่นอนในสถานะว่าจะดำเนินการต่อไปหรือจะปิด อันเป็นผล
โดยตรงต่อความน่าเชื่อถือของสนามบิน
ทั้งหมดนี้กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวครึกโครมคล้ายกับว่าไม่มีการบริหารจัดการใดๆ อันเกี่ยวกับ
ท่าอากาศยานมูลค่า 140,000 ล้านบาท แห่งนี้เลย
ตรงนี้คือการขาดลักษณะวิเคราะห์ คือการขาดลักษณะการประเมินผลต่อท่าอากาศยาน
สุวรรณภูมิอันเป็นสมบัติของชาติตามความเป็นจริงอย่างเพียงพอ
เรื่องการบริหาร "บ้านเมือง" จึงกลายเป็นเรื่อง "การเมือง"
เรื่องการบริหาร "ธุรกิจ" จึงกลายเป็นการทำลายล้างในทางส่วนตัว กระทั่งสมบัติชาติ
ถูกลากดึงเข้ารกเข้าพง
นั่นก็คือ การแปร "ท่าอากาศยาน" ให้กลายเป็น "สุสาน"
ผลก็คือ ประโยชน์อันพึงได้จากท่าอากาศยานอันเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าทั้งที่เป็นจริงและ
ผันแปรจากประโยชน์ใช้สอยก็เกิดการแปรเปลี่ยน
แทนที่จะอาศัยทรัพย์สินไปเพิ่มมูลค่ากลับทำให้เกิดสภาวะถดถอย ขาดความน่าเชื่อถือ
หากไม่เพราะการยืนหยัดในหลักการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หากไม่เพราะ
การยืนหยัดในผลประโยชน์เชิงธุรกิจอย่างมั่นคงของสายการบินทั้งในประเทศและต่างประเทศ
หากไม่เพราะการยืนหยัดในผลประโยชน์ร่วมของกลุ่มธุรกิจที่อยู่ปลายทาง
สถาการณ์ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะยิ่งเลวร้ายมากยิ่งกว่านี้อีกหลายเท่า
น่ายินดีที่รัฐบาลและกระทรวงคมนาคมพยายามศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านและไม่บ้าจี้ไปตาม
กระแสบางกระแสที่คำนึงแต่เรื่องการเมืองโดยละเลยเรื่องธุรกิจไปอย่างเจตนาชาติบ้านเมืองเป็นของศักดิ์สิทธิ์จะเอามาละเลงเล่นไม่ได้หรอก
ท่าอากาศยานอันเป็นสมบัติชาติ เป็นผลประโยชน์ร่วมของประชาชาติไทยทั้งมวล
ยิ่งสำคัญและทรงความหมายเป็นอย่างสูง
จึงต้องตระหนักในเรื่องของการบริหาร จึงต้องตระหนักในเรื่องของประโยชน์ระยะยาว
มติชน วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10567http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01col01140250&day=2007/02/14§ionid=0116สนามบินเป็นสมบัติของชาติ
จะดำเนินการอะไรก็ควรพิจารณาโดยรอบคอบ
เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม