ในวันที่
9 กพ.ที่จะถึงนี้ คือ วันครบรอบวันเกิดอายุครบ 1 ขวบของขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด
*ขอย้อนหลังเหตุการณ์ในวันนั้นสักเล็กน้อย..*ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของบ้านเมืองในขณะนั้น ผู้หญิงท้องแก่รูปร่างหน้าตาสะสวยคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผมเพื่อขอความช่วยเหลือ..ให้เป็นพ่อของเด็กในท้อง..
เอ๊ย..ไม่ใช่สิเน๊าะ ผมซึ่งนั่งทำงานอยู่ในราชดำเนินที่เต็มไปด้วยเศษขยะ น้ำลายบูดเน่า และป้ายประท้วงมากมายก่ายกอง จู่ๆ เธอก็ร้องโอดโอย..ย บอกว่า ทนไม่ไหวแล้ว ช่วยทีๆ ช่วยทำคลอดให้ที
ครั้นผมจะพาไปส่งโรงพยาบาลก็คงไม่ทันแน่นอน เพราะดูจากอาการแล้ว เธอคงคลอดบนรถแท็กซี่เป็นแน่
ผมกวาดหนังสือและเครื่องคอมพิวเตอร์บนโต๊ะไปวางบนพื้น อุ้มเธอขึ้นไปนอนบนเขียง..
เอ๊ย ไม่ใช่อีกแหละ บนโต๊ะทำงานของผมในทันที
เกิดมาในชีวิตไม่เคยเป็นหมอตำแยให้ใครมาก่อน แต่คราวนี้เห็นทีจะเลี่ยงไม่ได้ซะแล้ว
ประสบการณ์ของผมไม่เคยคลอดลูกก็จริง แต่เคยดูสารคดีมาก่อน (อย่างใจจดใจจ่อ) ขั้นแรก คือ ต้องรีบปลดชั้นในเธอออก และดูว่าช่องคลอดเปิดขยายแล้วกี่เซ็นต์ มีน้ำคาวปลาออกมากี่มากน้อย
เอ่อ..ขอข้ามขั้นตอนนะครับ เดี๋ยวจะพลอยทำให้กระทู้น่ารักๆ นี้กลายเป็นอัปลักษณ์ขึ้นมา
ผมรู้ตัวดีว่า ถ้าทำคลอดคนเดียวคงไม่สำเร็จแน่นอน จึงป้องปากตะโกนขอให้ใครก็ได้ในราชดำเนินมาช่วยผมหน่อย
เสียงตะโกนของผมดังไปทั้งห้อง มีหลายคนหันมามองด้วยอากัปกิริยาที่แตกต่างกัน จำนวนไม่น้อยเลยที่มองผมด้วยสายตาหยามเหยียด ประมาณว่า..
หน้าอย่างแก มีปัญญาแค่ทำผู้หญิงท้อง ไม่มีปัญญาทำคลอดหรอกโว้ย ในช่วงวิกฤติของชีวิตแม่และลูกนั่นเอง สาวคนแรกก็กระโดดเข้ามายืนเคียงข้างผม อาสาจะไปต้มน้ำร้อน เธอชื่อว่า ลั่นทมสีแสด ไม่มาคนเดียว..ชักชวนเพื่อนสาวตามมาช่วยอีกคน เธอชื่อ..แบ่งฝันปันรัก
หลังจากนั้น..
บรรยากาศภายในห้องราชดเนินก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป เมื่อมีเพื่อนๆ หลายๆ คนที่ผมเองก็ไม่ได้รู้จักมักคุ้นเป็นการส่วนตัว เดินฝ่าความวุ่นวายเข้ามาช่วยผมทำคลอด จนบริเวณที่ผมยืนอยู่กลายเป็นคนกลุ่มใหญ่.. มันค่อยๆ ใหญ่ขึ้นๆ ๆ ๆ จนพวกที่เคยมองดูผมด้วยสายตาหยามเหยียดต้องอ้าปากค้าง มีบ้างที่ยกฝ่ามือขึ้นมาปาดเหงื่อ และบ้างที่ถอดแว่นออกมาแล้วขยี้ตาอย่างไม่เชื่อในภาพที่กำลังปรากฏ
อุแว้..อุแว้เสียงเด็กน้อยร้องลั่นห้องราชดำเนิน ทำให้คุณวรพจน์และทีมงานที่ดูแลห้องนั้นต้องเดินออกมาดู ทั้งๆ ที่ในมือของพวกเขากำลังถือ
กรรไกรตัดสัมพันธ์และมีดหั่นศพอยู่แท้ๆ
เด็กชายตัวน้อยร้องไห้ลั่นห้อง อยู่ในอ้อมอกของผมโดยมีพยาบาลจำเป็นช่วยกันตัดสายสะดือและบางคนสละเสื้อแจ็คเก็ตของเขาออกมาหุ้มห่อทารกตัวน้อย
หน้าตาของเด็กทารกช่างน่ารักเสียนี่กระไร เหมือนแม่ไม่มีผิด
ผมในฐานะหมอตำแยจึงตั้งชื่อให้ว่า..
เสรีไทย เพราะถือกำเนิดมาในยามที่ผมและสมัครพรรคพวกกำลังต่อสู้กับเผด็จการยุคใหม่ จึงถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะให้ทารกน้อยผู้นี้เป็นเครื่องเตือนใจผมถึงวีรกรรมของวีรบุรุษของชาติในอดีต
ขณะที่มีคนเข้ามาร่วมกันอุ้มชูหนูน้อยคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ นั้นเอง บรรยากาศรอบห้องราชดำเนินก็เปลี่ยนไปอีก เกิดเสียงโห่ไล่ ด่าทอกลุ่มของผมอย่างรุนแรง มีคนในกลุ่มหลายคนทนไม่ไหวด่ากลับไปมั่ง และก็มีอีกไม่น้อยที่ถอยหนีห่างออกไปเพื่อความอยู่รอด
ไม่เพียงเท่านั้น..
ก้อนอิฐและขวดน้ำมากมายถูกเขวี้ยงปาเข้ามาใส่กลุ่มที่ผมยืนอยู่ไม่ขาดสาย พอมีคนของเราหยิบเศษวัสดุที่พวกนั้นเขวี้ยงมาขึ้นมาแล้วเขวี้ยงกลับไป โดนศีรษะของคนพวกนั้น หัวร้างข้างแตกไปตามๆ กัน จนคุณวรพจน์เรียกมือเขวี้ยงของพวกเราเข้าพบ ตักเตือน และบางคนถูกอัปเปหิให้ออกไปจากห้อง
แม้นว่า..เราจะฟ้องว่า ถูกรุมทำร้ายก่อน และจำหน้าคนที่ก่อเหตุได้อย่างแม่นยำ ทีมงานของคุณวรพจน์ก็ทำเช่นเดียวกัน คือ ตักเตือนและไล่ออกไปจากห้อง
แต่..คนพวกนั้นก็แค่กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วใส่แว่นตาดำกลับเข้ามาในห้องอีก คุณวรพจน์และทีมงานจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่รู้ไม่เห็น ไม่มีหรอก เพราะคนเหล่านั้น
เข้าไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวและเดินออกมาจากห้องทำงานของคุณวรพจน์แท้ๆ ในขณะที่ผมอุ้มเด็กชายเสรีไทยไว้ในอ้อมอกและพยายามเอาตัวเองเข้าปกป้องก็ไม่วายโดนลูกหลงไปหลายโป๊ก
ไม่ได้การแล้ว ถ้าขืนอยู่ในห้องนี้ต่อไป เด็กชายคนนี้มีหวังไม่มีโอกาสเติบใหญ่และเป็นกำลังของชาติต่อไป พวกเราต้องมองหาที่อยู่ที่ปลอดภัยกว่านี้เสียแล้ว
ในขณะนั้นเอง พวกของเราคนหนึ่งที่ถูกไล่ออกจากบ้าน ชื่อนาย
RIDKUN ก็แอบส่งจดหมายมาบอกว่า หาสถานที่พักพิงที่ปลอดภัยได้แล้ว ให้ไปรวมตัวกัน ที่..www.serithai.net
ผมและพรรคพวกกว่า 300 ชีวิตจึงระเห็จออกจากห้องราชดำเนินโดยพลันและมารวมตัวกันอยู่ที่บ้านหลังนี้ที่คุณRIDKUN เป็นเจ้าหัวคิดสร้างขึ้นมา และเราก็อยู่ร่วมกันมาจนถึงทุกวันนี้ได้เกือบครบรอบหนึ่งปีแล้ว
เด็กชายเสรีไทยแม้จะน่ารักน่าชังเป็นนักหนา แต่ก็มีโรคประจำตัว ไม่ค่อยแข็งแรงเหมือนทารกทั่วไป
โรคที่ว่านี้ คือ
โรคลักกะปิดลักกะเปิด โรคขึ้อ้อน โรคขี้แย และโรคขี้ใจน้อย มีอยู่ช่วงหนึ่ง..
ไม่นานมานี้นี่เอง ทำท่าจะไปไม่รอด เพราะจู่ๆ ก็ตัวเขียวอี๋ และไม่หายใจเอาดื้อๆ เล่นเอาคนที่เป็นพ่อทูนหัว และแม่ทูนหัวของหนูน้อยหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะดช.เสรีไทยถูกส่งเข้าห้องไอ ซี ยู โดยไม่มีใครรู้ว่า หมอทำอะไรกับเขาบ้าง.. ปั๊มหัวใจ.. ถ่ายเลือดชั่วออก หรือ
ตัดต่อพันธุกรรมใหม่ ผมนั่งรออยู่หน้าห้องไอ ซี ยู อยู่ตลอดเวลา ต้องขอสารภาพตรงนี้เลยครับว่า เกิดอะไรขึ้น ผมไม่รู้จริงๆ
**********************************
เอาล่ะครับ ย้อนหลังกันไปไกลสักหน่อย หลายคนเริ่มบ่น..
ต้องขออภัยด้วย
จะเป็นการบังเอิญหรือชะตาลิขิตก็ไม่ทราบได้ที่วันเกิดครบรอบปีของเสรีไทยเว็บบอร์ดมาอยู่ในช่วงของเทศกาลตรุษจีนพอดี ซึ่งเป็นเทศกาลปีใหม่ของคนจีน ทุกคนถือเป็นฤกษ์งามยามดี มอบความสุขให้แก่กันและอวยพรขอให้มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ มีโชคลาภอันประเสิรฐสุด
ผมก็ถือโอกาสนี้อวยพรทีมงานหมอตำแยในวันนั้นทุกท่าน และที่เข้ามาสมทบใหม่ช่วยกันประคบประหงมเยียวยาและเป็นกำลังใจให้เด็กชายเสรีไทยคนนี้เติบโตเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต
ก็ขอให้ทุกท่านจงประสบแต่ความสุขความเจริญในทุกๆ ด้านที่เกี่ยวพันกับชีวิต..ยิ่งๆ ขึ้นไปเทอญ...............................................................
แล้วครบรอบปีของเสรีไทยมีอะไร..ยังไม่เห็นบอกเลย (ขาโจ๋ที่อ่านมาถึงตอนนี้เริ่มบ่นกันพรึม)
เรื่องแรกเลยที่จะเกิดขึ้น คือ การครบวาระการดำรงตำแหน่งในเสรีไทยของขบวนการ 9 อรหันต์ ในเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งผมก็คงปล่อยให้หมดวาระไป โดยจะไม่มีการแต่งตั้งใหม่หรือ เลือกตั้งกันอีกแล้ว เพราะที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรในเว็บบอร์ดแห่งนี้เลย ต้องขออภัยทุกคนด้วยนะครับที่ผมเชิญมาเป็นกรรมการ ทั้งๆ ที่แต่ละคนมีข้อจำกัดของตัวเอง
เรื่องต่อไปที่จะเกิดขึ้น คือ
ทำอย่างไรให้เสรีไทยก้าวเดินอย่างมั่นคง และเป็นประโยชน์ต่อสังคมไทย ให้มากกว่านี้
ผมขอถือโอกาสในวันครบรอบหนึ่งปีนี้..ปรึกษาหารือแนวทางที่เราจะทำร่วมกัน ไม่ทราบว่า พวกท่านมีความคิดเห็นอย่างไร หากว่า..
เราจะมี
หนังสือครบรอบปีเสรีไทยเว็บบอร์ด ขึ้นมา
จุดประสงค์สำคัญคือ ต้องการเผยแพร่เนื้อหาสาระของเว็บบอร์ด และประกาศตัวให้โลกไซเบอร์รับรู้ว่า มีขบวนการนี้อยู่ และเชิญชวนให้เข้ามาทักทายกัน
ในรอบปีที่ผ่านมา เราอ่อนตรงประชาสัมพันธ์มากๆ และอยู่ในโลกที่ค่อนข้างแคบ
จำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 1837 คนเวลานี้ ผมขออนุญาตวิเคราะห์แบบผิวเผินดังนี้
มีชื่อซ้ำประมาณ 837
เข้ามาสมัครแล้วหายไปเลย 500
เข้าๆ ออกๆ ผลุบๆ โผล่ๆ 300 (น้อยกว่าสัปดาห์ละครั้ง)
เหลือที่เล่นกันอย่างประจำ คือ สัปดาห์หนึ่งเข้ามาแจมกระทู้ไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง ผมคิดว่า ไม่เกิน 200 คนเท่านั้น
ซึ่งผมคิดว่า ถ้าเราไม่ทำอะไรเสียบ้างเลย จำนวน 200 นี้ก็ไม่แน่ว่าจะยังอยู่ที่นี่ เพราะที่นี่ไม่ได้มีแรงจูงใจในการพูดคุยมากเท่าใดนัก (ขออภัยหากพูดตรงเกินไป)
หนังสือเล่มนี้จะบอกอะไรกับสังคมได้บ้าง?เนื้อหาในเล่มประกอบด้วย..
--ความเป็นมาของเสรีไทยเว็บบอร์ด
--การเมืองแบบประเทืองปัญญา (เนื้อหาการเมืองแบบเข้มข้น เจาะลึก ถึงแก่น)
--การเมืองแบบถ้อยที ถ้อยแทง (เสียดสี รุนแรง ถึงลูกถึงคน แต่อยู่ในกรอบ ยึดหลักความจริงและความถูกต้อง)
--อักษรเสรี กวีของแผ่นดิน (การโต้ตอบกันทางการเมือง ด้วยอารมณ์ของกวีล้วนๆ)
--อร่อยปาก ลำบากท้อง (ถ้าอาหารไม่อร่อย ท้องก็ไม่ลำบากน่ะสิ คอลัมน์ชวนกินกันลืมตาย)
--ท่องไปในโลกเสรี (ประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ประทับใจนำมาแนะนำกัน)
--เรื่องย่อยๆ หร็อยจังฮู้ (เรื่องอะไรก็ได้ ขอให้อ่านแล้วเด็ดสะระตี่)จำนวนเรื่องในแต่ละคอลัมน์ คงไม่เกิน สอง เรื่อง เรื่องละประมาณ 10 หน้า รวมแล้ว ความหนาก็ไม่น่าจะเกินจาก 200 หน้าพ็อกเก็ตบุค
ราคาหนังสือ?ตรงนี้ยังแปรผันอยู่ครับ ว่าเราจะขายกันเองในบอร์ด (จำนวนพิมพ์ตามที่สั่งจอง) หรือ จะขายให้บุคคลภายนอกด้วย (ขั้นต่ำ 2000 เล่ม) ถ้าขายกันเองในบอร์ดก็คงไม่เน้นเรื่องคุณภาพของการพิมพ์มากนัก เพื่อให้สนนราคาอยู่ที่ไม่เกิน 150 บาท (เท่ากับเมนูของปชป.เลย
)
ถ้าขายให้บุคคลภายนอกด้วยก็จะต้องทำให้ไม่ขายขี้หน้าใคร
แต่ไม่ว่า ขายภายใน หรือ ทั่วไป คุณภาพต้องระดับเสรีไทยรับประกันเช่นเดียวกันแน่นอน
ค่าพิมพ์หนังสือ จะพยายามไม่ให้เกินเล่มละ 100 บาท เพื่อให้มีส่วนต่างที่จะส่งคืนให้กับสังคม โดยกำไรจากการขายหนังสือ จะนำไปบริจาคให้กับองค์กรการกุศลเพื่อเด็กด้อยโอกาสทั้งหลายที่จะเป็นพลังของชาติต่อไป แต่ไม่มีโอกาสได้อ่านหนังสือดีๆ เพราะไม่มีใครซื้อให้
โดยเราจะมอบเงินพร้อมกับหนังสือเล่มนี้และหนังสือดีๆ ที่เพื่อนๆ ร่วมกันบริจาคให้กับองค์กรเหล่านั้น (ซึ่งทุกคนร่วมกันคัดเลือกมา)
การคัดเลือกงานเขียนในกองบก.จะประกอบไปด้วยผมคนหนึ่ง และเพื่อนๆ ที่จะอาสาสมัครเข้ามา (โดยไม่มีผลตอบแทนใดๆ
)
ทุกคนจะช่วยกันคัดเลือกงานเขียนของชาวเสรีไทยที่ส่งเข้ามา (เรื่องใหม่ ไม่คัดลอกที่ไหนมาลง) แล้วลงคะแนนเสียงกันในหมู่บก. เอาเสียงส่วนใหญ่เป็นเกณฑ์
เงินทุนสนับสนุนแน่นอนว่า จะต้องมีเงินสำรองจำนวนหนึ่งให้โรงพิมพ์ ซึ่งถ้าเป็นขายกันภายใน ก็คงไม่เท่าไร ผมสำรองให้ก่อนได้ แต่ถ้าขายสาธารณะ ต้องมีเป็นหลักแสนบาท ซึ่งก็คงต้องเปิดขอความอนุเคราะห์เงินสำรองจ่าย (ได้รับคืนเมื่อขายหนังสือได้) แต่ถ้าไม่มีใครช่วยกันจริงๆ แล้ว
ผมจะรับหน้าที่สำรองส่วนที่ขาดให้ทั้งหมด (ไม่ได้รวยนะครับ ทำด้วยใจ แต่อยากให้ทุกคนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและมีส่วนร่วมมากกว่า)
การเผยแพร่หนังสือไม่ว่าจะขายกันภายใน หรือ ทั่วไป หนังสือจำนวนหนึ่ง จะถูกส่งไปยังองค์กรสำคัญๆ ดังต่อไปนี้..
--หอสมุดแห่งชาติ
--พรรคการเมืองใหญ่ทุกพรรค
--สำนักนายกรัฐมนตรี
--คมช. คตส. สสร. สนช.
--สื่อมวลชนทั้งทางทีวี และ นสพ. (บางแห่ง)
เชื่อว่า นี่คงเป็นการประกาศตัวให้ประชาคมรู้จักเสรีไทยเว็บบอร์ดมากขึ้นระดับหนึ่ง
*******************************
ผมคงต้องนั่งรออย่างเดียวล่ะครับ ว่า หลังจากนี้ไป จะมีใครอาสาสมัครมาช่วยกันทำงานนี้หรือไม่ ผมต้องการทีมงานรวมทั้งตัวผม ไม่เกิน 7 คน โดยมีคุณสมบัติแค่..มีเวลาติดต่อพูดคุยกันทั้งทางเมล์ และโทรศัพท์บ้าง ไม่ทิ้งกันและกันจนกว่าจะสัมฤทธิ์ผล ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนก็ได้ครับหากไม่ประสงค์ และคนที่อยู่ต่างประเทศก็สามารถร่วมงานกันได้
แต่ถ้าไม่มีใครมาร่วมเลย หรือ มีไม่ครบ ผมก็คงต้องพิจารณาว่า จะล้มเลิกความคิดนี้ไปหรือไม่