ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
24-04-2024, 07:01
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  เมื่อวานวันพระ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
เมื่อวานวันพระ  (อ่าน 1586 ครั้ง)
Upasaka
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 57



« เมื่อ: 11-02-2007, 11:50 »

ท้ายบทชุมนุมเทวดา

ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยัมภะทันตา

ข้าพเจ้าขออัญเชิญให้เข้ามาสดับตรับฟังพระสัทธรรมพร้อมกัน
ดูก่อนท่านผู้ประเสริฐยอดยิ่งกว่ามนุษย์และเทวดา ข้าพเจ้าขออัญเชิญมามั่วสุม
ประชุมให้พร้อมเพรียงกันในสถานที่นี้เถิด


หากใครเคยเข้าร่วมสวดมนต์หลังพระทำวัตรเย็น คงคุ้นเคยกับบทชุมนุมเทวดานี้เป็นอย่างดี
ความหมายโดยสรุปคืออัญเชิญเหล่าเทวดาในชั้นต่างๆมาร่วมฟังธรรม ตรงนี้มี 2 เรื่องที่อยากจะพูดถึงคือ

1. นั่นหมายถึงบทสวดมนต์ต่างๆนั้น  อาทิ ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง
ก็คือการสาธยายธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงโปรดปัญจวัคคีทั้ง 5 หรืออีกหลายบท
ถ้าลองแปลโดยอรรถ ก็เห็นจะหนีไม่พ้นพระสูตรต่างๆ จึงขอเชิญชวนสาธุชน
ศึกษาความหมาย คำแปลของบทสวดต่างๆบ้างตามสมควรแก่เวลา และโอกาส

2. ในทางพุทธศาสนาโดยสภาวะธรรม เทวดาทุกประเภท ทุกชั้นเรื่อยไปตลอดจนถึงพระพรหมที่สูงสุด
ล้วนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย เวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ เช่นเดียวกับมนุษย์
ตราบเท่าที่ยังไม่สิ้นอาสวะ Idea

หลายคนถกเถียงถึงความมีอยู่แห่งเทพเทวดา และอิทธิ ปาฎิหารย์ ว่ามีหรือไม่ ก็คงต้องตอบตามหลักฐานที่มีใน
พระไตรปิฎกว่า มี ถึงแม้ว่าเราจะเคยเห็นหรือไม่เคยเห็น นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับชาวพุทธ
สำคัญที่เราจะปฎิบัติอย่างไรกับสิ่งเหล่านี้มากกว่า พอพูดมาถึงตรงนี้คงต้องยกเรื่องราวบางช่วงบางตอน
มาอธิบายกันซักหน่อย
บันทึกการเข้า
Upasaka
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 57



« ตอบ #1 เมื่อ: 11-02-2007, 11:54 »

อนาถปิณฑิกเศรษฐี  Idea

อ้างถึง

...เศรษฐีขับไล่เทวดา

ขณะนั้นเทวดาตนหนึ่งผู้เป็น Ideaมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งสิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูบ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ไม่เลื่อมใสพุทธศาสนา เบื่อระอาที่พระภิกษุสงฆ์เดินรอดซุ้มประตูเข้าออกทุกวัน
เพราะในขณะที่ภิกษุสงฆ์เดินรอดซุ้มประตูนั้นตนไม่สามารถจะอยู่บนซุ้มประตูได้
เมื่อเห็นเศรษฐีกลับกลายมีฐานะยากจนลงเพราะทำบุญแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
จึงปรากฎกายต่อหน้าท่านเศรษฐีกล่าวห้ามปรามให้เศรษฐีเลิกทำบุญเสียเถิด
แล้วทรัพย์สินเงินทองก็จะเพิ่มพูนขึ้นเหมือนเดิม ท่านเศรษฐีจึงถามว่า
“ท่านเป็นใคร ?”
“ข้าพเจ้าเป็นเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูเรือนของท่าน”
“ดูก่อนเทวดาอันธพาล เราไม่ต้องการเห็น ไม่ต้องการฟังคำพูดของท่าน ขอท่านจง
ออกไปจากซุ่มประตูเรือนของเรา อย่ามาให้ข้าพเจ้าเห็นอีกเป็นอันขาด”
เทวดาตกใจ ไม่สามารถจะอยู่ที่ซุ่มประตูเรือนของเศรษฐีได้อีกต่อไป กลายเป็นเทวดา
ไร้ที่สิงสถิต ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เข้าไปหาเทวดาผู้มีศักดิ์สูงกว่าตนให้ช่วยเหลือ
แต่ไม่มีเทวดาองค์ใดจะสามารถช่วยได้ เพียงแต่บอกอุบายให้ว่า “ทรัพย์เก่าของเศรษฐีจำนวน
๘๐ โกฏิ ซึ่งใส่ภาชนะฝังไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำถูกน้ำเซาะตลิ่งพังจมหายไปในสายน้ำ ท่านจงไปนำ
ทรัพย์เหล่านั้นกลับคืนมามอบให้ท่านเศรษฐี แล้วท่านเศรษฐีก็จะหายโกรธยกโทษให้ และ
อนุญาตให้อยู่อาศัยที่ซุ้มประตูบ้านดังเดิมได้”
เทวดาทำตามนั้น ได้นำทรัพย์เหล่านั้นมามอบให้เศรษฐีด้วยอำนาจฤทธิ์เทวดา เมื่อ
เศรษฐียกโทษให้แล้วได้อยู่ ณ สถานที่เดิมของตนสืบไป...


อ่านจบแล้วก็นึกขำ?

อนาถปิณฑิกเศรษฐีนี้เป็นอริยบุคคล Ideaระดับโสดาบัน Idea
ในขณะที่เทวดาตนนี้ยังมี มิจฉาทิฎฐิ อยู่ ทางพุทธศาสนาเราถือว่าพุทธธรรมนี้เหนือกว่าเทวดา
หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือไม่มีใครฝืนธรรมนิยาม Ideaได้

ตราบใดที่ยังไม่สิ้นอาสวะเทวดาก็ยังคงต้องฝึกตน ละความยึดมั่นถือมั่น เช่นเดียวกับมนุษย์
จึงไม่แปลก ที่ก่อนเราจะสวดมนต์(สาธยายธรรม) เราจะอันเชิญเทวดามาร่วมฟังด้วย
บันทึกการเข้า
Upasaka
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 57



« ตอบ #2 เมื่อ: 11-02-2007, 11:59 »

ไหว้เทวดา ไหว้พระพรหม ผิดหลักพุทธศาสนาหรือไม่

มงคล 38
ปูชา  จะ  ปูชนียานัง Idea
 
เมื่อพิจารณาตามคุณงามความดีเห็นว่าเหมาะสมก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรที่เราจะกราบไหว้
อย่าง  สหัมบดีพรหม Idea ถ้าไม่มีท่านนี่พวก เราอาจจะ
ไม่ได้รับรสพุทธธรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นได้

การบูชานั้นมี  2 อย่างคือ
อามิสบูชา  การบูชาด้วยอามิสคือ  สิ่งของเครื่องล่อใจ  มีเงินทอง  ดอกไม้  ของหอม  เป็นต้น
ปฏิบัติบูชา  การบูชาด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  มีการเข้าถึงไตรสรณคมน์ 
รักษาศีล ๕  ศีล ๘  ศีลอุโบสถ  เจริญสมถะและวิปัสสนา  การศึกษาพระธรรมวินัย  เป็นต้น


จะเห็นว่าชาวพุทธเราถนัดกันมากกับอามิสบูชา ส่วนปฏิบัติบูชานี่ชอบอ้างกันว่าไม่มีเวลา
แนะนำให้ศึกษาตาม Link ที่ให้ไว้ก็จะเป็นอานิสงส์ยิ่ง Idea

มาถึงตอนสำคัญ

ย้อนกลับไปสมัยก่อนพุทธกาล ปราชญ์โบราณ เชื่อกันว่าเทวดานี้ สร้างโลก(พระพรหม)
และเป็นผู้ดลบันดาล เรื่องราวต่างๆให้เกิดขึ้น ปราชญ์เหล่านั้นจึงสร้างรูปแบบความสัมพันธ์
กับเทวดาขึ้นเพื่อเรียกร้องความเห็นใจ ขอความช่วยเหลือเทวดา เวลามีทุกข์
เช่น การสวดมนต์อ้อนวอน บวงสรวง สังเวย บูชายัญ
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ทรงเผยแผ่พุทธธรรม ก็ได้สอนให้เลิกวิธีเหล่านี้เสีย

เพราะอะไร

การสวดมนต์อ้อนวอนนี่ ถ้าพูดภาษาบ้านๆก็คือพูดเอาใจเทวดา หวังผลประโยชน์ นั่นเอง
การบนบาน ศาลกล่าว บูชายัญ พูดง่ายๆนี่ คือการติดสินบนเทวดา


ผลร้ายตกลงกับตัวมนุษย์เอง ต้องคอยหวังพึ่งลำแข้งผู้อื่นอยู่ตลอด เกียจคร้านการงาน
ละทิ้งหน้าที่ หวังเลขเด็ด ขัดถูขัดถู กันทั้งวัน ที่ไหนว่าศักดิ์สิทธิ์เหมารถแห่กันไป
ยิ่งมีฤทธิ์มากยิ่งงมงายมาก มองไม่เห็นเทวดาดีๆมีคุณธรรม แต่ฤทธิ์น้อยกว่า
อย่างพระแม่คงคา ทิ้งขยะกันลงไปให้ท่าน น้ำเสียจากโรงงานก็ทิ้งให้ท่าน
เทพารักษ์ เจ้าป่าเจ้าเขา ท่านคอยปกปักษ์รักษาผืนป่าให้เรา ดันไปพังบ้านท่านซะนี่
บันทึกการเข้า
Upasaka
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 57



« ตอบ #3 เมื่อ: 11-02-2007, 12:03 »

จะว่าไปการติดสินบนนี่ยังทำให้เทวดาเสียนิสัยอีกต่างหาก เพราะหลงคำสรรเสริญ
ยกยอ เทวดาก็เกิด มานะ Idea ถือตัวว่ายิ่งใหญ่ หลงในลาภสักการะที่มนุษย์นำมาถวาย
จนติดอยู่ในวังวน ของ กิเลส ตัณหา ทิฏฐิ  หนักเข้า ก็แกล้งมนุษย์ที่ไม่ยอมอ้อนข้อให้
เพื่อหวังผลประโยชน์ ซึ่งนัยนี้มนุษย์ที่ได้รับผลตอบแทนไม่จำเป็นต้องเป็นคนดีก็ได้
ขอแค่มีลาภสักการะ มาเถอะเดี๋ยวข้าจะช่วยเจ้าเอง มนุษย์ที่บำเพ็ญกุศลกรรมก
็น้อยเนื้อต่ำใจทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดีมีถมไป เป็นอย่างนั้นไปซะนี่

ฟังดูคล้ายกับพฤติกรรมทางการเมืองของประเทศเราจริงหนอ

ก็จำไว้เป็นบทเรียน ทั้งคุณธรรมและฤทธิ์นี่ต้องมาคู่กัน ตัวอย่างมีให้เห็น
ฝักใฝ่เทวดาฤทธิ์มาก ปฎิเสธพระสัทธรรม สัญญาวิปลาส เห็นงูเป็นเชือก
ไปเชิญพญามาร มาประจำบ้าน มีแขนตั้งพัน อาวุธครบมือ ยากจะปัดป้อง

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ท่าทีที่ชาวพุทธควรมีต่อเทวดาก็คืออย่าไปหวังพึ่ง อ้อนวอน
เรื่องฤทธิ์ไม่ต้องไปกังวล แค่ท่านมีเทวาลัยและบริวารก็รับประกันได้เลยว่าฤทธิ์ท่านไม่ใช่น้อยหรอก
ถึงแม้จะยังไม่เป็น 1 ในดาวดึงษ์ ก็อย่าทุกข์ใจไป เพราะเราพึ่งตัวเองก่อนเป็นอันดับต้น
คือถ้าท่านมีคุณธรรมอย่างน้อยท่านก็ไม่กลั่นแกล้งเรา เราก็เสวยดีชั่วไปตามแต่ความเพียร

ส่วนจะขับรถอะไรก็แล้วแต่ฐานะทางการเงินของแต่ละบุคคล
เมาอย่าขับ ขับรถต้องมีสติ อย่าแซงซ้ายแซงขวา ละอาย Ideaต่อเพื่อนร่วมทางบ้าง



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2007, 12:08 โดย Upasaka » บันทึกการเข้า
Upasaka
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 57



« ตอบ #4 เมื่อ: 11-02-2007, 12:05 »

ฟังดูเหมือนโลกในฝัน ใครจะทำได้ ยากแสนยาก แต่จะเอาความยากมาเป็นข้ออ้างคงไม่ได้
อยากให้นึกถึงลูกหลานท่านเวลาบ่นว่าไม่อยากเรียนภาษาฝรั่ง "ไม่ใช่ภาษาพ่อแม่ทำไมหนูต้องเรียน"
มันเป็นจุดหมายเลยขั้นตาเห็น หนูยังเด็ก พอหนูรู้จักโลกมากขึ้น หนูจะเข้าใจว่ามันสำคัญ
พ่อแม่ก็เตือนตัวเองไว้ด้วย ชาติ ชรา มรณะ นี่ทุกข์ประจำ อย่าให้ทุกข์ขาจรเจ็บเท่ามดกัดมาบังตา

พุทธธรรมนี้เหมือนผัดผัก เวลากินเข้าไปอย่าทำตัวเหมือนเด็กงอแง
เขี่ยคะน้าออกบ้าง เขี่ยกะหล่ำออกบ้างเลือกกินแต่หมู เลือกแต่ในสิ่งที่ตรงกับจริตตัว
สารอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ไม่มีใครช่วยได้

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2007, 12:10 โดย Upasaka » บันทึกการเข้า
อังศนา
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,860


Can't fight the moonlight!


เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 11-02-2007, 12:32 »

เข้ามาฟังธรรมค่ะ.. สาธุ   

บันทึกการเข้า

แม้ผืนฟ้า มืดดับ เดือนลับละลาย 
ดาวยังพราย ศรัทธา เย้ยฟ้าดิน (จิตร ภูมิศักดิ์)
~เด็กบอร์ด~
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 180


^^สู้แล้วจะชนะ^^


« ตอบ #6 เมื่อ: 11-02-2007, 12:34 »

อยากไปทำบุญจังคะ......อ่านแล้วบุญเข้าตัว..สาธุ
บันทึกการเข้า

Half a truth is often a great lie  ---->  จริงครึ่งหนึ่ง มักจะเป็นการโกหกเสมอ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=anna-pretty
คนเจียงใหม่
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 297


« ตอบ #7 เมื่อ: 11-02-2007, 13:11 »

 Coolสาธุ สาธุ อนุโมทนามิ
บันทึกการเข้า
Suraphan07
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,128



« ตอบ #8 เมื่อ: 11-02-2007, 22:08 »

...เสริมปัญญาดีแท้...

ได้เข้าใกล้ "แก่น" มากขึ้นทุกที ทุกที...

สาธุ ...

บันทึกการเข้า
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #9 เมื่อ: 12-02-2007, 00:17 »

อ่านแล้วเหมือนเรื่อง เทวดาสาธุ ละครช่อง 3 เลย 
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
engg
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 388


« ตอบ #10 เมื่อ: 13-02-2007, 17:20 »

พระพุทธเจ้าค้นพบกฏธรรมชาติ ไตรลักษณ์ ปฎิจจสมุปบาท น่าจะศึกษาที่แก่นของศาสนา เพื่อให้พ้นทุกข์ เกิดสุข

เทวดา พรหม ไม่ใช่ทาง ไม่ต้องรู้ก็ได้
บันทึกการเข้า
Upasaka
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 57



« ตอบ #11 เมื่อ: 13-02-2007, 19:20 »

พุทธธรรมไม่มีแก่น ไม่มีกระพี้
ข้อนี้ดีกว่าข้อนี้ หมวดนี้ดีกว่าหมวดนั้น
เพราะคิดเยี่ยงนี้จึงเกิดความแตกแยกในหมู่พุทธศาสนิกชน

เทวดารู้ไว้บ้าง พรหมรู้ไว้บ้าง พระเยซูรุ้ไว้บ้างจะเป็นไร
ความสุดโต่งของทั้ง 2 เชื่อหมดใจ กับไม่เชื่อหมดใจ
ก่อให้เกิดวิวาทะระหว่างศาสนามามากแล้ว
ศาสนาฉันเป็นวิทยาศาสตร์เธองมงาย เถียงกันไม่จบสิ้น

พระพุทธเจ้าท่านให้เดินทางสายกลาง

เข้าใจเพื่อนมนุษย์ไม่ว่าจะชาติใดศาสนาใด
นี่คือวิถีแห่งสันติ
บันทึกการเข้า
คนในวงการ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,393


FLY WITH NO FEAR !!


เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 13-02-2007, 19:34 »

เป็นพระแอบมาเล่นเน็ตหรือปล่าวครับเนี่ย บาปนา อิอิ
บันทึกการเข้า

"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee.
Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath."
- Balian of Ibelin -
p
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,264


« ตอบ #13 เมื่อ: 13-02-2007, 21:54 »

เป็นพระแอบมาเล่นเน็ตหรือปล่าวครับเนี่ย บาปนา อิอิ

ท่านคนในวงการ ครับ
มันอยู่ที่เจตนาครับ
แต่กรณีของท่าน Upasaka นี้
ผมว่าเป็นการบริการทางวิชาการให้กับสังคม
หรือจะเรียกว่าเป็นวิทยาทานก็คงไม่ผิดครับ
แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นการ "โปรดสัตว์" บางท่านอาจจะบอกว่า "มากไป"


 
บันทึกการเข้า

ถ้ามัวคิดแต่จะโกงและเอาเปรียบคนอื่น จะสอนลูกหลานให้เป็นคนดีได้อย่างไร
นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 13-02-2007, 22:13 »

ทั้งแนวคิดปรัชญา

ในรูปการสนธนาธรรม

(น่าจะเป็นพระหนุ่มนักเทศน์)

อนุโมทนา ครับ

 
บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
Upasaka
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 57



« ตอบ #15 เมื่อ: 14-02-2007, 09:53 »

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔
อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

อุปาสกวรรคที่ ๓
๑. สารัชชสูตร
             [๑๗๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มี-
*พระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มี-
*พระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสกประกอบด้วย
ธรรม ๕ ประการ ย่อมเป็นผู้หยั่งลงสู่ความครั่นคร้าม ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน
คือ อุบาสกเป็นผู้ฆ่าสัตว์ ๑ เป็นผู้ลักทรัพย์ ๑ เป็นผู้ประพฤติผิดในกาม ๑
เป็นผู้กล่าวคำเท็จ ๑ เป็นผู้ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสกประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้หยั่ง
ลงสู่ความครั่นคร้าม ฯ
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสกประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ย่อมเป็นผู้
แกล้วกล้า ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ อุบาสกเป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาต ๑
เป็นผู้งดเว้นจากอทินนาทาน ๑ เป็นผู้งดเว้นจากมุสาวาท ๑ เป็นผู้งดเว้นจากการ
ดื่มน้ำเมาคือสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อุบาสกประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้แกล้วกล้า ฯ

จบสูตรที่ ๑

http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=22&A=4725&Z=4741

Upasaka = อุบาสก
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: