ศึกษา กรณี "เนปาล" ศึกษา กรณีของ "มาตรา 7" ศึกษา พระราชดำรัส
คอลัมน์ วิภาคแห่งวิพากษ์หากไม่มีสถานการณ์แห่งการเคลื่อนไหว เพื่อ "ทวงคืน" อำนาจของพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งเนปาล
สถานการณ์แห่งการ "ถวายคืนพระราชอำนาจ" คงไม่มีคู่เปรียบเทียบ
สถานการณ์ที่ "เนปาล" เด่นชัดยิ่งว่าระยะหนึ่งที่มีระบอบประชาธิปไตย แต่ก็มีระยะหนึ่งที่กษัตริย์กิเนนทราทรงยึดคืนอำนาจอธิปไตยมาจากประชาชน
การประท้วงจึงได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เป็นการประท้วงเพื่อ "ทวงคืน" อำนาจอธิปไตยของประชาชนที่กษัตริย์กิเนนทราทรงแย่งยึดเอาไป
เป็นการประท้วงที่มีลักษณะยืดเยื้อ ขยายวงกว้างขวาง
เป็นการประท้วงที่นำไปสู่การประกาศภาวะฉุกเฉิน ประกาศเคอร์ฟิว และมีการปราบปรามโดยลั่นกระสุนเข้าใส่ประชาชน
กระนั้น ความรุนแรงเช่นนี้หากได้กำราบให้เกิดการสยบยอมไม่
ตรงกันข้าม ปริมณฑลแห่งการคัดค้าน ต่อต้าน กลับขยายวงกว้างขวาง กระทั่งกษัตริย์กิเนนทราต้องประกาศ
"คืนอำนาจให้ประชาชน"
สถานการณ์ของประเทศไทยนับแต่เดือนกันยายน 2547 เป็นต้นมา ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่พิเศษยิ่งในทางการเมือง
ด้าน 1 มีการดำรงอยู่ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540
ด้าน 1 มีรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีพื้นฐานมาจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544
เป็นการเลือกตั้งภายใต้กรอบแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540
ขณะเดียวกัน ด้าน 1 ก็มีการเคลื่อนไหวของประชาชนโดยนัดรวมกัน ณ ท้องสนามหลวง เมื่อเดือนตุลาคม 2547
เรียกร้องให้ "ถวายคืนพระราชอำนาจ"
เรียกร้องให้มี นายกรัฐมนตรี "พระราชทาน" เรียกร้องให้มี รัฐบาล "พระราชทาน" เป้าหมายก็เพื่อขับไล่และโค่นล้มนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
แม้การเคลื่อนไหวครั้งนั้นไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะว่าการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2548 สะท้อนออกอย่างเด่นชัดถึงชัยชนะของพรรคไทยรักไทย กระทั่งสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้
กระนั้น การเคลื่อนไหวเพื่อทวงคืนประเทศไทย และ "ถวายคืนพระราชอำนาจ" ก็ปะทุขึ้นจนได้ในเดือนกันยายน 2548
สภาพอันเกิดขึ้นที่ เนปาล แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับสถานการณ์อันเกิดขึ้นใน ไทย
แตกต่างเพราะว่าที่เนปาลเป็นการเคลื่อนไหว เพื่อ "ทวงคืนอำนาจ" จากกษัตริย์กิเนนทรา
กระทั่ง กษัตริย์กิเนนทรา ต้อง "คืนอำนาจ" ให้กับ "ประชาชน"
แต่ใน ไทย นั้นขบวนการเคลื่อนไหวดำเนินไปบนพื้นฐานต้องการ "ถวายคืนพระราชอำนาจ" เพื่อที่จะได้นำไปสู่
รัฐบาล "พระราชทาน" และ นายกรัฐมนตรี "พระราชทาน"
นั่นก็คือ ความพยายามที่จะอาศัย "พระราชอำนาจ" มาเป็นอาวุธและเครื่องมือในการขับไล่และโค่นล้มอำนาจทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
แม้ว่าจะมีพื้นฐานมาจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ก็ตาม
เป็นการเคลื่อนไหวที่ ปัญญาชน นักวิชาการ คนชั้นกลางในมหานคร และรวมถึงพรรคการเมืองฝ่ายค้านก็เห็นร่วมกัน
เห็นร่วมกันในเรื่องการนำเอา มาตรา 7 มาใช้เพื่อนำไปสู่รัฐบาล พระราชทาน
เห็นร่วมกันในเรื่องการนำเอา มาตรา 7 มาใช้เพื่อนำไปสู่นายกรัฐมนตรี "พระราชทาน"
แม้ในที่สุดกระแสบีบรัดนี้นำไปสู่การตัดสินใจยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่ข้อเรียกร้องในเรื่องรัฐบาล "พระราชทาน" นายกรัฐมนตรี "พระราชทาน" ก็ยังดำรงอยู่
ดำรงอยู่ท่ามกลางสภาวะปั่นป่วนของกระบวนการ "เลือกตั้ง"
พลันที่มีกระแสพระราชดำรัสที่ทรงปฏิเสธในเรื่อง มาตรา 7
แนวคิดในเรื่อง นายกฯ พระราชทาน แนวคิดในเรื่อง รัฐบาล พระราชทาน ก็พังครืน
แม้ว่ารากฐานความคิดจะมาจาก นักรัฐศาสตร์ ระดับสุดยอด แม้ว่า นักนิติศาสตร์ ระดับสุดยอดหลายคนจะเห็นชอบ แม้ว่า นักการเมือง ระดับสุดยอดหลายคนจะเห็นชอบ
พระราชดำรัสจึงเหมือนดั่ง "สายฝนหล่นจากฟ้า" มาเพื่อสร้างเอกภาพในทางความคิด
หน้า 3<
(เสียดาย ไม่มีเนื้อหาที่ตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ 28 เมษายนเล่มนั้น ใครมีช่วยสงเคราะห์จะเป็นพระคุณอย่างสูง )