ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
24-04-2024, 08:37
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  สิ่งดีๆ​ ​ที่​ได้​จาก​รัฐบาลชุดปัจจุบัน​ ​ที่​ต้อง​ชมเชย (บทความจากพันธ์ทิพย์) 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
สิ่งดีๆ​ ​ที่​ได้​จาก​รัฐบาลชุดปัจจุบัน​ ​ที่​ต้อง​ชมเชย (บทความจากพันธ์ทิพย์)  (อ่าน 849 ครั้ง)
chaidan
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 203



« เมื่อ: 06-02-2007, 15:20 »

 
http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L5099063/L5099063.html

ปิศาจข้ามชาติสูบชีวิตคนจน



​ปี​ 2550 ​นับ​เป็น​ช่วงเวลาสำ​คัญที่​ต้อง​บันทึก​ไว้​เพราะ​เป็น​ครั้งแรกที่กระทรวงสาธารณสุขไทย​ใช้​ "มาตรการบังคับ​ใช้​สิทธิ​โดย​รัฐ" ​ได้​เป็น​ผลสำ​เร็จ​ ​เพื่อ​เป็น​ช่องทางผลิต​ "ยาติดสิทธิบัตร" ​ราคา​แพง​ถึง​ 3 ​ชนิด​ ​ทำ​ให้​ได้​ยาที่ราคาถูกลงหลาย​เท่า​ตัว​ ​ซึ่ง​นั่นหมาย​ถึง​ผู้​ป่วย​โดย​เฉพาะ​ "​โรคเอดส์​-​โรคหัวใจ" ​จะ​ได้​เข้า​ถึง​ยามากขึ้นเช่นเดียว​กัน​ ​แม้​จะ​มี​แรงเสียดทานพอสมควร​จาก​ "บริษัทยาข้ามชาติ​"!!!
​การประกาศ​ใช้​มาตรการบังคับ​ใช้​สิทธิ​หรือ​ Compulsory Licensing ​เพื่อนำ​เข้า​และ​ผลิตยาที่ติดสิทธิบัตรของรัฐบาลไทย​ ​ได้​รับเสียงชื่นชม​ทั้ง​ใน​ระดับนานาชาติ​และ​ใน​ประ​เทศ​ ​ขณะ​เดียว​กัน​ก็ท้าทายบริษัทยาข้ามชาติ​แบบ​ "ขัดขา​" ​กัน​จนล้มคว่ำ​ด้วย​เช่น​กัน​!!!
​หากย้อนกลับไปเมื่อ​ 7 ​ปีที่​แล้ว​ ​ปลายปี​ 2542 ​ที่​ "​เครือข่าย​ผู้​ติดเชื้อเอชไอวี​" ​ได้​เคลื่อนไหวเรียกร้อง​ให้​รัฐ​ใช้​มาตรการบังคับ​ใช้​สิทธิ​ ​เพื่อผลิตยาต้านไวรัสที่ติดสิทธิบัตร​และ​มีการผูกขาดราคา​ใน​ตลาด​ ​ทำ​ให้​ยา​แพงจน​ผู้​มี​เชื้อเอชไอวี​ไม่​สามารถ​เข้า​ถึง​ได้​ ​แต่รัฐบาลขณะ​นั้น​กลับ​ไม่​สนใจ​และ​ไม่​กล้า​ใช้​ ​เนื่อง​จาก​ถูกกดดัน​จาก​อเมริกาที่ถูกล๊อบบี้​จาก​ล๊อบบี้ยีสที่ว่าจ้าง​โดย​บริษัทยา​ ​โดย​ขู่ว่า​จะ​ยกเลิกการลดอัตราภาษีการนำ​เข้า​สินค้า​จาก​ไทยภาย​ใต้​ระบบการ​ให้​สิทธิพิ​เศษทางการค้า​(จี​เอสพี) ​แม้มาตรการดังกล่าว​จะ​เป็น​ที่ยอมรับร่วม​กัน​ใน​องค์การการค้า​โลก​(WTO) ​ว่า​ ​สามารถ​ทำ​ได้​โดย​ไม่​ผิดกฎหมาย​ ​แต่ที่สุดรัฐบาลไทยก็​ไม่​กล้าพอที่​จะ​ใช้​มาตรการดังกล่าว​ ​จน​ผู้​ป่วย​ไม่​ได้​รับยา​และ​เสียชีวิตไปจำ​นวนมาก​
​ล่าสุดรัฐบาลชุดปัจจุบัน​ได้​ประกาศ​ใช้​มาตรการบังคับ​ใช้​สิทธิ​ ​ตามสิทธิบัตรด้านยา​และ​เวช​ ​ภัณฑ์​ ​รวม​ 3 ​ฉบับ​ ​เนื้อหาหลักๆ​ ​คือ​ ​เพื่อนำ​เข้า​ "ยาต้านไวรัสเอฟฟา​ไวเร็นซ์​" ​จาก​ต่างประ​เทศที่มีรา​ ​คาถูกกว่าที่ขาย​ใน​ประ​เทศ​ ​เมื่อวันที่​ 29 ​พฤศจิกายน​ 2549 ​และ​ตามมา​ด้วย​การประกาศ​ใช้​สิทธิ​เพื่อนำ​ ​เข้า​ยาอีก​ 2 ​ชนิด​ ​คือ​ "ยาต้านไวรัสเอชไอวี​" ​ภาย​ใต้​ชื่อทางการค้าว่า​ "คา​เล๊ตตร้า​" ​ที่มีราคาสูง​ถึง​ 12,000 ​บาทต่อเดือน​ ​แต่​สามารถ​นำ​เข้า​จาก​อินเดีย​ได้​ใน​ราคา​เพียง​ 4,000 ​บาทต่อเดือน​ ​ส่วน​ยาอีกตัว​ ​คือ​ "ยารักษา​โรคหัวใจ" ​ชื่อการค้าว่า​ "พลาวิกซ์​" ​ที่ขาย​ใน​ประ​เทศไทยราคาต่อเม็ดกว่า​ 75 ​บาท​ ​แต่​เรา​สามารถ​นำ​เข้า​จาก​อินเดียเพียง​ 6-12 ​บาทต่อเม็ด​เท่า​นั้น​ ​ซึ่ง​ราคาดังกล่าว​จะ​ทำ​ให้​มี​ผู้​ป่วยจำ​นวนมาก​เข้า​ถึง​ยา​โดย​เฉพาะ​ใน​ "ระบบหลักประ​กัน​สุขภาพ".....​ประกาศดังกล่าวนอก​จาก​จะ​เป็น​หมุดหมายที่สำ​คัญ​แล้ว​ ​ยัง​ถือ​เป็น​ก้าวแรกของการประกาศ​ "อิสรภาพทางยา​" ​ของไทย​!!!  ​อย่างไรก็ดี​ ​มีคำ​ถามตามมาว่า​ "ทำ​ไม​ถึง​ต้อง​เรียกร้อง​ให้​มีการ​ใช้​มาตรการบังคับ​ใช้​สิทธิ​"???
​คำ​ตอบก็คือ​เพราะ​ "ยา​" ​ถือ​เป็น​สินค้าอย่างหนึ่งที่​ได้​รับการคุ้มครองภาย​ใต้​ระบบทรัพย์สินทางปัญญา​ ​โดย​การอนุญาต​ให้​มีการถือสิทธิการ​เป็น​เจ้าของผลิตภัณฑ์​นั้นๆ​ได้​ใน​ระยะ​เวลาที่กำ​หนด​ ​หากแต่ยารักษา​โรคมี​ความ​ต่างไป​จาก​สินค้า​อื่น​ ​เพราะ​เป็น​สินค้าที่​เกี่ยวข้อง​กับ​ชีวิตของมนุษย์​ ​แต่ที่ผ่านมา​ "บริษัทยาข้ามชาติ​" ​ต่าง​ใช้​ช่องว่างของ​ "กฎหมายสิทธิบัตร" ​ทำ​การผูกขาดราคา​และ​ตลาดยา​ ​ทำ​ให้​ไม่​เกิดการแข่งขัน​ ​จนส่งผล​ให้​มี​เพียงบริษัทเจ้าของสิทธิบัตรมีสิทธิ​เพียงเจ้า​เดียว​.....​ปัญหา​จะ​ไม่​เกิด​ถ้า​บริษัทยาข้ามชาติ​เหล่า​นั้น​จะ​ไม่​ "​โลภ" ​มาก​ ​ตั้งราคาจำ​หน่ายแพงลิ่ว​ "​โก่งราคา​" ​จนทำ​ให้​ผู้​ป่วย​ไม่​สามารถ​ซื้อยา​ ​ระบบบริการสาธารณสุข​ไม่​มียา​เพียงพอต่อคนไข้​ ​ทำ​ให้​มีคน​ต้อง​เสียชีวิตไป​เป็น​จำ​นวนมาก​
​ปัจจุบันธุรกิจ​และ​อุตสาหกรรมที่ถือว่าทำ​กำ​ไรติดอันดับท็อปของโลก​ ​คือ​ "อุตสาหกรรมการผลิตยา​" ​ซึ่ง​ส่วน​ใหญ่​แล้ว​เจ้าของอุตสาหกรรมเหล่า​นั้น​ต่าง​อยู่​ใน​ประ​เทศร่ำ​รวยแทบ​ทั้ง​สิ้น​ ​แต่บริษัทยากลับอ้างเสมอว่าสา​เหตุที่​ "ยา​แพง" ​เนื่อง​จาก​บริษัท​ต้อง​ลงทุน​ใน​การวิจัย​และ​ค้น​คว้าตัวยา​ใหม่ๆ​.....​ข้ออ้างดังกล่าวตรง​กัน​ข้าม​กับ​งานวิจัยหลายชิ้นที่​เปิดโปงข้อมูลว่า​ ​มี​เพียง​ไม่​กี่​เปอร์​เซ็นต์​เท่า​นั้น​ที่มีการวิจัยยา​ใหม่​โดย​บริษัทยา​ ​แต่การวิจัยยา​ใหม่​กลับ​เป็น​ผลงานของนักวิชาการ​ ​นักวิจัยตามสถาบันของรัฐ​ ​ซึ่ง​ใช้​เงินรัฐ​และ​ภาษีประชาชน​ใน​การทำ​วิจัย​ ​ทำ​ให้​การอ้าง​ถึง​ต้นทุนการวิจัย​และ​การผลิตยาของบริษัทยา​ ​เป็น​เพียงการกล่าวอ้างที่มีข้อเท็จจริงบาง​ส่วน​เท่า​นั้น​



​ที่ผ่านมา​ไม่​เคยมีบริษัทยาบริษัท​ใด​ ​นำ​ตัวเลขต้นทุนการวิจัย​และ​ผลิตยาออกมาพิสูจน์​ให้​เห็น​ ​แต่​ใน​งานวิจัยหลายชิ้นกลับพบว่าบริษัทยาทุ่มเงิน​เป็น​จำ​นวนมากกว่า​ 60% ​ของต้นทุนการผลิต​ ​ใน​การโฆษณา​และ​เป็น​ "ค่าคอมมิชชั่น" ​ให้​กับ​โรงพยาบาล​และ​แพทย์​เพื่อทำ​ตลาดยาตัว​ใหม่​ ​การกล่าวอ้างเรื่องต้นทุนการวิจัยยา​ใหม่​ถือ​เป็น​การ​ "​โกหก" ​คำ​โตที่บริษัทยามักนำ​มากล่าวอ้างเสมอ​ ​เมื่อถูกตั้งคำ​ถามต่อราคายาที่​แพงเกินจริง​!!!
​ความ​จริงอันโหดร้ายของการที่​ผู้​คน​ใน​ประ​เทศยากจน​เข้า​ไม่​ถึง​การรักษา​ ​ไม่​สามารถ​มียาที่มีประสิทธิภาพที่​จะ​ใช้​ใน​การรักษาอัน​เนื่อง​มา​จาก​ "การค้า​เสรี​" ​และ​ "การผูกขาดผ่านระบบสิทธิบัตร" ​ทำ​ให้​มีการรณรงค์​เพื่อเรียกร้อง​ให้​แก้​ไขปัญหาดังกล่าว​ ​โดย​ใน​การประชุม​ "ทริปส์​ ​เคาน์ซิล"​(TRIPs Counsil) ​ภาย​ใต้อง​ค์การการค้า​โลก​ ​ประ​เทศกำ​ลังพัฒนาร่วม​กัน​เสนอ​ให้​ทบทวน​ "ข้อตกลงทริปส์​" ​โดย​เฉพาะ​ใน​ส่วน​ที่กระทบ​กับ​สุขภาพของประชาชน​ ​และ​ได้​มีคำ​ประกาศ​ "ปฏิญญา​โดฮา​" ​ว่า​ด้วย​ความ​ตกลงทริปส์​และ​การสาธารณสุข​ ​ซึ่ง​มีสาระสำ​คัญว่า​.....
"การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญามิ​ได้​กีดขวางประ​เทศสมาชิก​ใน​การ​ใช้​มาตรการต่างๆ​ ​เพื่อปกป้องสาธารณสุขของประ​เทศ​ ​ความ​ตกลงทริปส์อนุญาต​ให้​ประ​เทศสมาชิก​ใช้​มาตรการบังคับ​ใช้​สิทธิ​(Compulsory licensing) ​ภาย​ใต้​เหตุผลที่ประ​เทศสมาชิก​เป็น​ผู้​กำ​หนด​ ​ปฏิญญา​โดฮา​ ​ยัง​ได้​เล็ง​ ​เห็น​ความ​จำ​เป็น​ใน​การ​ช่วย​เหลือประ​เทศที่ขาดศักยภาพการผลิตยา​ ​และ​กำ​หนด​ให้​คณะมนตรีทริปส์​ ​กำ​หนดแนวทางแก้ปัญหานี้​ ​ซึ่ง​คณะมนตรีทริปส์​ได้​เสนอ​ให้​มีการ​ใช้​มาตรการบังคับ​ใช้​สิทธิ​เพื่อส่ง​ ​ออกผลิตภัณฑ์ยา​ไป​ยัง​ประ​เทศที่​ไม่​มีศักยภาพการผลิต"
​แม้ประ​เทศกำ​ลังพัฒนา​จะ​ไม่​ค่อย​ได้​ใช้​มาตรการดังกล่าว​ ​แต่กลับปรากฏว่าประ​เทศที่พัฒนา​แล้ว​หลายประ​เทศ​ได้​ใช้​มาตรการบังคับ​ใช้​สิทธิอย่างกว้างขวาง​ ​โดย​ใช้​เพื่อป้อง​กัน​การผูกขาดตลาด​ ​ส่งเสริมการแข่งขัน​และ​เพื่อปกป้องสาธารณสุขของประ​เทศ​ ​ดังเช่นการ​ใช้​มาตรการบังคับ​ใช้​สิทธิ​โดย​รัฐบาลสหรัฐอเมริกา​กับ​สิทธิบัตรยา​ "Cipro" ​เพื่อป้อง​กัน​โรคแอนแทรกซ์​ ​หลังเหตุการณ์​ 11 ​กัน​ยา​ ​ยน​ 2544 ​หรือ​การบังคับ​ใช้​สิทธิ​กับ​ลิขสิทธิ์ซอฟต์​แวร์ของไมโครซอฟต์​เพื่อแก้ปัญหาผูกขาด​
​ประ​เทศแคนาดา​เป็น​อีกประ​เทศหนึ่งที่​ใช้​มาตรการบังคับ​ใช้​สิทธิมากที่สุด​ ​โดย​เฉพาะ​ใน​ช่วงปี​ 2506 ​ถึง​ 2530 ​มีการบังคับ​ใช้​สิทธิตามสิทธิบัตรยากว่า​ 100 ​ฉบับ​ส่งผล​ให้​แคนาดา​เป็น​ประ​เทศที่มีราคายาถูกที่สุด​ใน​กลุ่มประ​เทศอุตสาหกรรม​.....​ประ​เทศอังกฤษก็​ใช้​มาตรการบังคับ​ใช้​สิทธิหลายครั้ง​ ​ดังเช่นการ​ใช้​มาตรการบังคับ​ใช้​สิทธิ​โดย​สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ​ (NHS) ​เพื่อผลิตยา​ "Librium" ​และ​ "Valium" ​แจกจ่าย​ให้​สถานพยาบาลของรัฐ​ ​โดย​ไม่​ต้อง​ขออนุญาต​จาก​บริษัทยา​เจ้าของสิทธิบัตรก่อน​
​การประกาศ​ใช้​มาตรการบังคับ​ใช้​สิทธิของ​ "รัฐบาลไทย" ​เพื่อนำ​เข้า​ "ยาต้านไวรัสเอชไอวี​" ​และ​ "ยารักษา​โรคหัวใจ" ​จาก​อินเดีย​ ​ที่ถือ​เป็น​ยาจำ​เป็น​ต่อชีวิตคนไทยกว่าล้านคน​ ​จึง​เป็น​ก้าวสำ​คัญต่อการ​ "ปลดแอก" ​ตัวเอง​จาก​ระบบทรัพย์สินทางปัญญาที่​ไม่​เป็น​ธรรม​ ​และ​การ​ใช้​สิทธิดังกล่าวถือว่ามี​ความ​ชอบธรรม​เป็น​อย่างยิ่ง​
​การตัดสินใจของกระทรวงสาธารณสุขไทย​ใน​การ​ใช้​มาตรการบังคับ​ใช้​สิทธิ​ ​จึง​มิ​ใช่​เพียงการแสดงจุดยืนที่กล้าหาญ​ใน​การปกป้องผลประ​โยชน์ของประชาชน​เท่า​นั้น​ ​แต่​ยัง​เป็น​การสะกิดเตือนไป​ยัง​บริษัทยาข้ามชาติว่า​.....
​ไทย​จะ​ไม่​เปิดโอกาส​ให้​บริษัทเหล่า​นั้น​เข้า​มาผูกขาดตลาดแบบ​ไม่​เป็น​ธรรมอีกต่อไป​.....
​รวม​ทั้ง​เป็น​การประกาศไป​ทั่ว​โลก​ให้​เห็น​ถึง​ความ​เป็น​อิสระ​ ​ไม่​ยึดติด​กับ​ตัวเลขเศรษฐกิจจนละ​เลยชีวิตของประชาชน​!!!

บันทึกการเข้า
Şiłąncē Mőbiuş
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,215



เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 06-02-2007, 15:38 »

อิอิอิ นับเป็นข่าวดี 

ว่าแต่ว่าจะหาเนื้อข่าวจริงๆ ได้ไม๊ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-02-2007, 16:52 โดย Silance Mobius » บันทึกการเข้า



“People should not be afraid of their governments. Governments should be afraid of their people.”

. “ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลต่างหากที่ควรกลัวประชาชน” .

. แวะไปเยี่ยมกันได้ที่ http://silance-mobius.blogspot.com/ นะครับ .
อังศนา
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,860


Can't fight the moonlight!


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 06-02-2007, 19:43 »

..สงสัยว่าเขาพิมพ์เว้นวรรคเป็นภาษาปะกิตยังงั้นทำไมนะคะ 
อ่านยากจะตาย!
แทนที่จะได้ยินดีกลับตาลายอะ.. 


บันทึกการเข้า

แม้ผืนฟ้า มืดดับ เดือนลับละลาย 
ดาวยังพราย ศรัทธา เย้ยฟ้าดิน (จิตร ภูมิศักดิ์)
ริวเซย์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,637


Worrior in The Blue Armor


เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 06-02-2007, 22:20 »

ตาลายเหมือนกันครับ พิมดีๆเต๊อะนาย
บันทึกการเข้า

ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^


หน้า: [1]
    กระโดดไป: