http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01pol01290449&day=2006/04/29วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10276
"มีชัย"เตือน"กกต." ระวัง! ฝันร้ายตลอดชีวิต
ที่มา - ส่วนหนึ่งบทความเรื่อง "ภารกิจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง" ของนายมีชัย ฤชุพันธ์ อดีตประธานวุฒิสภาที่เผยแพร่บนเว็บไซต์มีชัยไทยแลนด์ ดอท คอม
กกต.เป็นองค์กรเดียวภายใต้รัฐธรรมนูญที่มีอำนาจมากที่สุด คือ มีอำนาจทั้งการนิติบัญญัติ (การออกกฎระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการเลือกตั้ง) อำนาจในการบริหารจัดการ และอำนาจในการตุลาการ (การวินิจฉัยตีความ การวินิจฉัยชี้ขาดเกี่ยวกับผลการเลือกตั้ง และการสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่อันเป็นผลให้สมาชิกภาพของ ส.ส. หรือ ส.ว.ต้องสิ้นสุดลง)
ด้วยความอิสระและอำนาจที่มากมายเช่นนั้น รัฐธรรมนูญฝากความหวังให้เป็นหน้าที่ของ กกต.เพียงเรื่องเดียว คือ การจัดการเลือกตั้งให้เป็นไป "โดยสุจริตและเที่ยงธรรม"
และเพื่อให้สามารถดำเนินการให้สัมฤทธิผลโดยเร็วภายในเวลาอันจำกัด รัฐธรรมนูญจึงให้เครื่องมือที่เป็นดุลพินิจไว้แก่ กกต. ในการชี้ขาดแตกต่างจากมาตรฐานที่ใช้ในวงการศาล กล่าวคือ เพียงแต่มีหลักฐาน "อันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้ง....นั้น...มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม" กกต.ก็สามารถสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้
อัน "ความเที่ยงธรรม" นั้น มิได้หมายถึงความเที่ยงธรรมเฉพาะตอนไปเลือกตั้ง หากแต่หมายถึงกระบวนการทั้งกระบวนการที่จะต้องมีความเที่ยงธรรม และเป็นความเที่ยงธรรมต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง คือ พรรคการเมืองทุกพรรค ผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคน และประชาชนผู้จะไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ ก่อนที่จะมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาและกำหนดวันเลือกตั้งขึ้นใหม่นั้น ปรากฏตามข่าวว่าฝ่ายบริหารได้หารือกับ กกต.ว่าจะสามารถเลือกตั้งได้เร็วที่สุดเท่าใด เพราะรัฐบาลต้องการให้มีการเลือกตั้งเร็วที่สุด ปรากฏว่า กกต.คำนวณระยะเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมายเกี่ยวกับขั้นตอนต่างๆ แล้ว ก็ตอบกลับไปว่าสามารถจัดการเลือกตั้งได้เร็วที่สุดในวันที่ 2 เมษายน ตามความประสงค์ของรัฐบาล
ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดวันสำหรับการเลือกตั้งในกรณีที่อายุของสภาสิ้นสุดลง ไว้ 45 วัน (เพราะรู้กันล่วงหน้าแล้วว่าอายุของสภาจะสิ้นสุดลงเมื่อไร) และสำหรับการเลือกตั้งในกรณียุบสภา ภายใน 60 วัน (เพราะไม่มีใครรู้ล่วงหน้า ทุกฝ่ายจึงต้องใช้เวลาในการเตรียมการมากขึ้น) การกำหนดระยะเวลาไว้แตกต่างกันเช่นนั้น ก็เพราะคำนึงถึง "ความเที่ยงธรรม" ต่อทุกฝ่าย
ปัญหาอยู่ที่ว่าในการขันอาสาต่อรัฐบาลในการจัดการเลือกตั้งให้รวดเร็วตามความประสงค์ของรัฐบาลนั้น กกต.ได้คำนึงถึง "ความเที่ยงธรรม" ที่จะเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย ตามหน้าที่หลักของ กกต. ด้วยหรือไม่
กกต.จะคำนึงหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่พรรคการเมืองที่ไม่ใช่เป็นฝ่ายรัฐบาลและประชาชนทั่วไปส่วนหนึ่งเขาเห็นว่า กกต.ไม่ได้ให้ความเที่ยงธรรมเพียงพอ อาการ "ประชาต่อต้าน" (civil disobedience) จึงเกิดให้เห็นอยู่ทั่วไปทั้งในการชุมนุม และจากผลของการเลือกตั้งที่ติดตามมา
และเมื่อพรรคการเมืองและประชาชนส่วนหนึ่งไม่เชื่อในความเที่ยงธรรมของ กกต. เสียแล้ว ผลที่ติดตามมาจึงสร้างปัญหาที่กฎหมายมิได้คาดการณ์ไว้และครอบคลุมไม่ถึงหลายเรื่อง ที่ทำให้ กกต.ถึงทางตัน
ในการแก้ไขทางตันแต่ละเรื่อง ดูเหมือน กกต.ก็มีอาการ "แตกตื่น" ต่อปัญหาที่เกิดขึ้น จนลืมภารกิจสำคัญในเรื่อง "สุจริตและความเที่ยงธรรม" อีกเช่นกัน
เมื่อผลการเลือกตั้งปรากฏให้เห็นถึงแรง "ประชาต่อต้าน" แล้ว แทนที่ กกต.จะทบทวนถึงความสุจริตและเที่ยงธรรม เพื่อดำเนินการแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้วเสียให้ถูกต้อง กกต.กลับเดินหน้าต่อไป
ความกริ่งเกรงว่าจะมีการเรียกประชุมรัฐสภาภายในสามสิบวัน น่าจะเป็นความกริ่งเกรงที่ กกต.ไปคิดแทนฝ่ายบริหาร กกต.มีหน้าที่เพียงดำเนินการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จสมบูรณ์และเกิดความสุจริตและเที่ยงธรรม ตราบใดการเลือกตั้งยังไม่แล้วเสร็จ ก็ยังคงมีหน้าที่ต้องดำเนินการต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ
เมื่อพรรคการเมืองที่เคยเป็นฝ่ายค้านไม่ส่งสมาชิกเข้าสมัครรับเลือกตั้ง การสมัครรับเลือกตั้งในแต่ละเขตจึงมีผู้สมัครจากพรรครัฐบาลเพียงคนเดียว ซึ่งถ้าเป็นในเขตที่เป็นฐานเสียงของพรรครัฐบาลก็คงไม่มีปัญหา เพราะถึงอย่างไรก็คงมั่นใจได้ว่าผู้สมัครจะได้รับคะแนนเสียงเกินร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิลงคะแนน แต่ในเขตที่เป็นฐานเสียงของพรรคที่เคยเป็นฝ่ายค้านมาก่อน โดยเฉพาะในภาคใต้และใน กทม. ประกอบกับอาการ "ประชาต่อต้าน" มีแพร่หลายยิ่งขึ้น ย่อมยากที่จะหวังให้ได้คะแนนเสียงถึงร้อยละ 20
การระดมพรรคเล็กๆ ให้ส่งผู้สมัครเข้าแข่งขันในเขตต่างๆ จึงเกิดขึ้นอย่างปิดไม่มิด กกต.ไม่ทราบถึงกระบวนการดังกล่าวจริงๆ หรือ ในเมื่อได้มีการเปิดเผยต่อสาธารณะอย่างโจ่งแจ้งว่ามีการจ้างให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง มีการให้เงินแก่เจ้าหน้าที่ของ กกต. เพื่อแก้ไขข้อมูลของ กกต. ให้สอดรับกับการที่พรรคเล็กๆ จะสามารถหาคนมาลงสมัครแข่งขันได้
จริงอยู่ กกต.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นดำเนินการสอบสวน แต่ กกต.ก็มิได้ดำเนินการตามมาตรา 85/6 คือสั่งงดการลงคะแนนเลือกตั้งไว้ก่อน ตรงกันข้าม กกต.กลับเดินหน้าต่อไปโดยไม่นำพาต่อผลที่จะเกิดขึ้น อันเป็นการปิดหนทางของ กกต.เองในอันที่จะทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
ผลการสอบสวนในเวลาต่อมาก็ปรากฏว่ามีการกระทำความผิดจริง จน กกต.มีมติให้ดำเนินการเพื่อยุบพรรคการเมืองเล็กๆ ที่เกี่ยวข้อง และดำเนินคดีกับหัวหน้าพรรคและเจ้าหน้าที่ของ กกต. ส่วนความเกี่ยวพันกับพรรคการเมืองใหญ่ กกต.ยังคงให้ดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมต่อไป
เมื่อการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายนผ่านไปแล้ว อันที่จริง กกต.ก็ยังมีโอกาสอีกครั้งหนึ่งที่จะแก้ไขให้เกิดความถูกต้อง กล่าวคือ งดการประกาศผลการเลือกตั้งและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่ กกต.ก็มิได้กระทำ
กกต.คงไม่ต้องตอบคำถามใคร เพราะเป็นอำนาจโดยเด็ดขาดของ กกต.ในการใช้ดุลพินิจ แต่ กกต.ต้องตอบคำถามกับตัวเองให้ได้ว่า กกต.ทั้ง 4 ท่าน เชื่อโดยสุจริตใจจริงหรือว่า ด้วยกระบวนการฉ้อฉลที่ปรากฏจากการสอบสวนของคณะอนุกรรมการที่ กกต.ตั้งขึ้นนั้น การเลือกตั้งที่ผ่านมาเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมจริงๆ อย่างไม่มีข้อกังขา
นอกจากนั้น กกต.ยังควรตอบคำถามในใจตัวเองอีกด้วยว่า ในการจัดการเลือกตั้งครั้งที่สองสำหรับเขตที่มีผู้สมัครเพียงคนเดียวซึ่ง กกต.จัดให้มีการรับสมัครใหม่ กกต.ดำเนินการไปเพื่อให้เกิดความสุจริตและเที่ยงธรรม หรือเพื่อให้การเลือกตั้งแล้วเสร็จทันภายในสามสิบวันโดยไม่นำพาต่อความสุจริตและเที่ยงธรรมที่เป็นภารกิจหลักของ กกต.
การที่ กกต.จะทำหน้าที่ต่อไปได้อย่างมั่นใจและน่าเชื่อถือหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคำตอบดังกล่าวที่ กกต.ตอบให้แก่ตัวเองในใจ และการกระทำที่เกิดจากผลแห่งคำตอบนั้น
กกต.ทั้ง 4 ท่าน จะนอนหลับฝันดีหรือฝันร้ายต่อไป ย่อมขึ้นอยู่กับผลแห่งคำตอบของตนที่ตอบโดยอาศัยความสุจริตเป็นที่ตั้ง และการกระทำภายหลังจากตอบคำถามนั้นแล้ว
แม้จะเห็นใจในภาระหน้าที่และเอาใจช่วย แต่ก็ได้แต่เพียงหวังว่า กกต. ทั้ง 4 ท่าน จะไม่ต้องนอนหลับฝันร้ายไปตลอดชีวิต
หน้า 11