ปัญหานั้นคงจะต้องมองที่ต้นเหตุ นั่นก็คือการเลือกตั้ง
วิธีการเลือกตั้งที่ประเทศไทยนำมาใช้อยู่ในปัจจุบัญนี้ เป็นวิธีการเลือกตั้งตามภูมิศาสตร์ นั่นคือแบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนๆ ตามแต่จะตกลงกัน ประชาชนมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตใด ก็ออกเสียงเลือกผู้แทนราษฎรในเขตนั้น ผู้แทนราษฎรก็ต้องมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตนั้น เป็นหลักการที่เราใช้กัน
ปัญหาก็คือ ประชาชนมีชื่อและทะเบียนราษฎรอยู่ในเขต แต่ตัวไม่ได้อยู่จริง รวมไปถึงผู้แทนก็เช่นกัน บทสรุปของปัญหาข้อแรกก็คือ ไอ้ที่เลือกเข้ามา มันไม่ใช่ผู้แทนจริงๆเป็นส่วนใหญ่ เป็นคนที่มีเงินมีอิทธิพลเข้าไปยึกพื้นที่นั้นเป็นฐานเสียง
อีกประการก็คือ ผู้แทนนั้น เป็นผู้แทนของอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้ผูกพันอะไรกับคนเลือกเข้ามา สักแต่ว่าทั้งคนเลือกและคนถูกเลือก มีตัวอักษรบันทึกไว้ในเอกสารของกรมการปกครองว่า เป็นพลเมืองในพื้นที่นั้น ผลก็คือ แลอกแล้วก็แล้วกัน ต่างคนต่างแยกทาง เลือกครั้งใหม่ มาเจอกันใหม่
และบรรดาผู้เสนอตัวเป็นผู้แทนราษฎรนั้น สถิติจากการทำโพลของหนูเอง ไม่พึ่งพิงสถาบันไหน และไม่อิงหลักการทำสถิติใดๆในโลกนี้ ร้อยละเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้า เข้ามาเพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตน หากนับจำนวนผู้แทนราษฎรเท่าที่เยมีมาทั้งหมดแล้ว เชื่อว่าน่าจะมีไม่ถึง 100 คน ที่เข้ามาโดยไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไป ที่ว่าติดไม้ติดมือกลับไปนั้น ติดกลับไปโดยมิชอบ
เลือกอีก ก็เป็นเช่นนั้นอีก
เขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากผู้แทนเป็นผู้แทนของพื้นที่ ตามทะเบียนราษฎร มันก็จะเป็นเช่นนั้นอีก
วนเวียนไม่รู้จักจบ ฟันธงโดยไม่ต้องพึ่งหมอดูว่า มันก็เข้ามาโกงกันอีก แล้วจบที่ ปฎิวัติอีก
และด้วยระบบเดิมนั้น ไม่มีหนทางใดในการป้องกันการซื้อเสียง ทุจริต คอรัปชั่น ในการเลือกตั้ง