ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
25-04-2024, 20:48
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  รวบรวมข้อมูล เรื่องราว เกี่ยวกับ อดีตท่านนายกทักษิณ โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
รวบรวมข้อมูล เรื่องราว เกี่ยวกับ อดีตท่านนายกทักษิณ โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน  (อ่าน 7173 ครั้ง)
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« เมื่อ: 26-01-2007, 11:32 »

*** กระทู้นี้ เจตนาคัดลอกและเปิดประเด็นพูดคุยเกี่ยวกับ บทความ ข้อมูล
 เรื่องราว ภาพ กระทู้ ที่เกี่ยวเนื่อง กับอดีตท่านนายก ฯ ล้วนๆ  ทั้งหมด ในเรื่องที่เกี่ยวกับ
บริหารทุจริตเชิงนโยบาย  หลีกเลี่ยงหุ้น  เอื้อพวกพ้อง  ฯลฯ

  หรือแม้แต่ในแง่มุมบวก ของผลงานในทางที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
อย่างแท้จริงและยั่งยืนในอดีตที่ผ่านมา  โปรดใช้วิจารณญาน
ในการอ่าน ด้วยตัวท่านเอง   จริงเท็จหรือไม่อยู่ที่ตัวท่านเอง

จขกท  เพียงแค่เชิญชวนเพื่อนสมาชิกรวบรวมข้อมูล  มิว่า ไปในทางลบ
หรือทางบวก หรือท่านจะแสดงความคิดเห็นตามมุมมองของท่าน  ถ้าเป็นไปได้บอกแหล่งที่มาที่ไป
แหล่งอ้างอิงได้  จะขอบพระคุณมาก   เพื่อจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านต่อไป ค่ะ


------------------------------------------------------------------


อย่าหาพวกให้ "ทักษิณ"

คอลัมน์ เดินหน้าชน

โดย จำลอง ดอกปิก



ข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่รับฟังได้จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คือสูตรสำเร็จการปฏิวัติ-รัฐประหาร
ยึดอำนาจการปกครองประเทศทุกครั้ง ผู้ก่อการยกปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นมาเป็นเหตุผลหลัก โค่นล้มรัฐบาลเสมอ
 เป็นเช่นนี้ทั่วทุกมุมโลก ใช่แต่ประเทศไทย

ประเด็นนี้อาจเป็นความจริง หรือไม่ก็เพียงข้ออ้างของผู้ก่อการก็ได้ เนื่องจากพฤติกรรมการโกงกินของผู้บริหารประเทศ
ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม การหยิบยกเหตุผลนี้ขึ้นมาก็เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้กำลังฉีกรัฐธรรมนูญ

ในกรณีที่เป็นความจริง การไม่สามารถเอาผิดทางกฎหมายผู้บริหารราชการแผ่นดินที่ถูกโค่นล้มไปได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผล
ความแยบยลของพฤติกรรมโกงกินหรืออื่นใด นำมาซึ่งข้ออ้าง ของอดีตผู้บริหารประเทศเช่นกันว่า เป็นเพียงข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอย

ไม่ว่าโดยเนื้อแท้จะเป็นเช่นไร แม้บางครั้งต้องจำนนต่อหลักฐาน!!

ความจริงอีกด้านอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ก็คือ ไม่มีอดีตนายกฯหรือผู้บริหารประเทศคนไหน ยอมรับว่า ตัวเองผิด ส่วนใหญ่
จะแก้ตัวว่า ถูกกลั่นแกล้ง ยัดเยียดข้อหาให้

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศชัดแจ้งผ่านสื่อต่างประเทศว่า ไม่ได้ทำผิด คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิด
ความเสียหายแก่รัฐที่ตั้งขึ้นมา ไม่สามารถทำอะไรอดีตนายกรัฐมนตรีได้ ในขณะที่กระบวนการตรวจสอบต่างๆ อยู่ในขั้นตอน
การดำเนินการในระดับคณะกรรมการ

ยังอีกยาวไกลกว่าจะถึงขั้นพิพากษา!!

กระนั้น คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐก็ได้ใช้ความพยายามในการตรวจสอบพฤติกรรมการ
บริหารประเทศของรัฐบาลชุดที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก หลายโครงการได้ข้อสรุปในเบื้องต้น ว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้น ถึงขั้นตั้ง
คณะอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวน

หลายโครงการดูเหมือนมีความพยายามเร่งสรุปสร้างผลงาน เน้นไปที่ปริมาณมากกว่าคุณภาพของการตรวจสอบ กระทั่งก่อให้
เกิดความเคลือบแคลง สงสัยว่า มีการจัดวาระปักธงเอาผิดไว้ตั้งแต่แรกหรือไม่

เนื่องจากเหวี่ยงแหเอาผิดยกล็อต ทั้งฝ่ายนโยบาย รวมไปถึงผู้ปฏิบัติในระดับข้าราชการ บางโครงการ ลงมติตั้งอนุกรรมการ
ไต่สวนเอาผิดอดีตคณะรัฐมนตรียกชุด

การดำเนินการเช่นนี้ ด้านหนึ่ง อาจเป็นเพราะคณะกรรมการที่ดำเนินการสอบสวนรู้ว่าบุคคลในระดับนโยบายเหล่านี้ มีส่วนรู้เห็น
หรือสั่งการเป็นการภายในไม่ผ่านลายลักษณ์อักษร แม้ไม่มีข้อมูลชัดแจ้งถึงขั้นสาวเอาผิดผู้ที่อยู่เบื้องหลังสั่งการเช่นนี้ได้ก็ตาม
 แต่ในชั้นต้น ต้องปักชนักเอาไว้ก่อน

โยนภาระรับผิดชอบ ในการพิสูจน์ความผิดให้กระบวนการในลำดับถัดไป!!

ความจริงก็น่าเห็นใจคณะกรรมการชุดต่างๆ อยู่เหมือนกัน มือชั้นเซียนเหล่านี้คงไม่ทิ้งหลักฐาน หรือร่องรอยไว้ให้เอาผิด แต่หาก
ไม่ดำเนินการอะไร บุคคลเหล่านี้ก็จะลอยนวลต่อไป ไม่มีใครสามารถเอาผิดได้เหมือนเช่นที่ผ่านๆ มา เรื่องเหล่านี้คณะกรรมการต้อง
ทำใจบ้าง หากหลักฐานสาวไปไม่ถึงจริงๆ คงต้องปล่อยไป

อย่าได้ลืมเลือนเป็นอันขาดว่า ไม่ว่าจะเป็นการออกหรือขับเคลื่อนนโยบาย การผลักดันโครงการต่างๆ ประการแรกที่ทุกรัฐบาล
ดำเนินการก็คือ ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า ถูกต้องและเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายในหลายระดับ โดยในส่วนของนโยบาย
 จะถูกหรือผิดนั้น รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภา


ตามหลักการแล้วจึงแทบไม่สามารถเอาผิดกับผู้กำหนดนโยบายได้ เว้นแต่ในระดับปฏิบัติที่เกี่ยวข้องหรืออยู่ภายใต้การบังคับใช้
ของกฎหมายแต่ละฉบับ!!

การพยายามเอาผิดแบบเหวี่ยงแห นอกจากในที่สุดจะไม่สามารถเอาผิดอดีตรัฐมนตรีและนักการเมืองที่ถูกลากเข้ามาพัวพันกับ
โครงการในระดับใดระดับหนึ่งได้แล้ว

ยังเป็นการผลัก "นักการเมือง" เหล่านี้ให้กลับไปรวมตัวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือรวมตัวกันเองในรูปแบบใหม่ในฐานะเพื่อน
ร่วมชะตากรรม เพื่อต่อสู้ปกป้องตัวเองให้พ้นข้อกล่าวหา

สุดท้ายอาจสลายไทยรักไทยได้แค่ในนาม!!


http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act06260150&day=2007/01/26&sectionid=0130
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2007, 12:26 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 26-01-2007, 11:52 »

คำสัมภาษณ์ ‘ทักษิณ’ ผ่าน CNN
จากหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 21 มกราคม 2550

หมายเหตุ - พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เปิดใจเป็นครั้งแรกกับรายการทอล์ค เอเชีย
 ของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ตอบทุกข้อซักถามและข้อสงสัย รวมถึงข่าวลือเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับตัวเขาในประเทศไทย
 ซึ่งเทปการให้สัมภาษณ์ฉบับเต็มเพิ่งถูกนำมาออกอากาศเมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 20 มกราคม ตามเวลาในไทย


ขอเริ่มจากข้อกล่าวหามากมายที่ว่าคุณอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์วุ่นวายในไทย

เป็นข้อกล่าวหาที่ปราศจากหลักฐานอย่างสิ้นเชิง ไม่มีใครเชื่ออย่างนั้นเพราะทุกคนรู้จักผมและรู้ว่าผมเป็นคนอย่างไร ผมมาจากการเลือกตั้ง
 มาจากประชาชน ผมเป็นหนี้บุญคุณประชาชน ผมทำทุกอย่างที่จะส่งผลดีต่อประเทศชาติและประชาชน ผมไม่ทำอะไรโง่ๆ อย่างนั้น


คุณคิดว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น..?


มีหลายสมมติฐาน บางสมมติฐานโยงเรื่องดังกล่าวเข้ากับเหตุความรุนแรงในภาคใต้ของไทย และบางสมมติฐานก็เชื่อมโยงผู้ที่ต้องการสร้างสถานการณ์
เพื่อให้คนเชื่อว่าเหตุการณ์ขณะนี้ยังไม่ปกติ แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดผู้ก่อเหตุสมควรถูกประณามอย่างรุนแรง


นี่เป็นครั้งแรกที่ให้สัมภาษณ์สื่อหลังเหตุปฏิวัติในไทยเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา รู้เรื่องปฏิวัติเมื่อไหร่..?

ผมเพิ่งทราบก่อนเกิดเหตุเพียง 4-5 ชั่วโมง และได้พยายามที่จะติดต่อกับสถานีโทรทัศน์ซึ่งทำได้ยากลำบากมากในขณะนั้น จนกระทั่งได้ออกอากาศทาง
สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 สั้นๆ ก่อนหน้านั้นมีข่าวลืออยู่ตลอดเวลา แต่ผมไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21

ผมประหลาดใจมาก สำหรับประเทศที่มีประชาธิปไตยมา 70 ปี และมีการปฏิวัติเกิดขึ้น 17 ครั้ง มันเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในไทย



คุณพูดอย่างไรเมื่อคุณทราบว่าถูกขับออกจากตำแหน่งจริงๆ..?


 คุณรู้ไหม ผมเป็นคนมีน้ำใจนักกีฬา เมื่อจบก็คือจบ ผมเข้าใจ เคารพ และเล่นตามกติกา เมื่อมันผ่านการลงนามรับรองแล้ว ผมก็รู้ว่าผมต้องใช้ชีวิต
อย่างประชาชนธรรมดา และปล่อยให้คนอื่นทำงานของเขา ผมแค่อยากจะให้กำลังใจพวกเขา การบริหารประเทศเป็นเรื่องยากมาก แม้ว่าผมจะไม่
ชอบวิธีหรือแนวทางของเขา แต่ในฐานะประเทศ ผมอยากให้ประเทศไทยสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นและก้าวต่อไปข้างหน้า ดังนั้นผมจึงแค่อยากให้
กำลังใจเพื่อให้พวกเขาทำดีที่สุดเพื่อประเทศของเรา


การขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้กับเทมาเส็กของสิงคโปร์ ทำให้เกิดการโต้เถียงอย่างมากและนำไปสู่
การเดินขบวนประท้วงคุณอย่างกว้างขวาง คุณคิดว่าอะไรคือความผิดพลาด..?




ผมเดินทางมาที่นี่เพียงเพื่อเล่นกอล์ฟและพบกับเพื่อนเก่าบางคนก็แค่นั้น ผมไม่ได้มีแรงจูงใจทางการเมืองใดๆ ก็อย่างที่ผมพูดไปว่าผม
ไม่ได้มีความทะเยอทะยานทางการเมืองอีกแล้ว ผมต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบ และต้องการกลับบ้านเกิด กลับไปอยู่กับครอบครัวของผม
 นั่นคือทั้งหมดที่ผมต้องการ ข้อกล่าวหาต่างๆ เป็นเพียงเครื่องมือทางการเมืองที่นำมากล่าวหาผมและเป็นข้อแก้ตัวสำหรับการปฏิวัติ

คุณคิดว่าคุณควรจ่ายภาษีหรือไม่..?
 

เรื่องภาษีมันมีสองส่วนด้วยกัน การขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แล้วได้รับการยกเว้นภาษีเป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดไว้ แม้ว่าคุณต้องการ
จ่ายภาษีคุณก็จ่ายไม่ได้ เพราะมันได้รับการยกเว้นโดยกฎหมาย ใครก็ตามที่ขายหุ้นของตนเองในตลาดหลักทรัพย์ ไม่มีเรื่องภาษีมาเกี่ยวข้อง
ทั้งนั้น การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์มีมูลค่ามากกว่า 1-9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐมาก แต่ก็ไม่เคยมีการจ่ายภาษีเช่นกันเพราะกฎหมายยกเว้น
 มันไม่ใช่เพราะผมเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ หรือคุณจะต้องจ่ายภาษีหรือไม่ ภาษีไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องเพราะกฎหมายกำหนดไว้เช่นนั้น


คุณก็ต้องเข้าใจว่าคนคิดอย่างนั้น


นั่นเป็นการกล่าวหาเพื่อผลทางการเมือง พวกเขาต้องการสร้างภาพว่าคุณเป็นพวกไม่ใส่ใจเรื่องอื่น แต่ความจริงคือคุณต้องทำตามกฎหมาย
 หากกฎหมายบอกว่าคุณต้องจ่ายภาษีคุณก็ต้องจ่าย แต่เมื่อกฎหมายระบุว่าคุณไม่ต้องเสียภาษีเพราะเป็นหนึ่งในมาตรการจูงใจให้บริษัทต่างๆ
เข้ามาอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เพราะบริษัทเหล่านั้นต้องจ่ายภาษีจากผลกำไรของบริษัทอยู่แล้ว



จะกลับไปให้ปากคำที่เมืองไทยหรือไม่..?


 หากผมต้องไปให้ปากคำ แต่เหตุผลที่ผมไม่กลับไปในขณะนี้ก็เพราะผมต้องการให้เกิดความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันในประเทศ ผมต้องการ
ให้รัฐบาลเดินหน้าในกระบวนการปรองดอง ผมต้องการให้ทุกคนรวมกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปด้วยกัน ไม่ใช่แค่อย่างที่เกิดขึ้นที่มี
การกล่าวหาระหว่างคนไทยด้วยกันเอง ทำให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งไม่เป็นผลดีกับประเทศ เราต้องนำความเชื่อมั่นกลับมา



คุณเรียกร้องให้มีความสามัคคีปรองดองในไทย คุณคิดอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นในไทยขณะนี้..?


 ผมมีความเชื่อมั่นต่อพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และจิตวิญญาณที่รู้จักให้อภัยในวัฒนธรรมไทย ผมต้องการ
เห็นการนิรโทษกรรมให้กับคนไทยในอดีตกับความก้าวร้าวรุนแรงที่เกิดขึ้น ขณะนี้เป็นเวลาสำหรับการปรองดองและสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้
 หากสิ่งนี้เกิดขึ้นนั่นหมายถึงสิ่งต่างๆ กลับสู่สภาวะปกติ หากผมสามารถกลับประเทศไทยได้ ความปรารถนาอย่างแรงกล้าของผมคือการ
สร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขึ้นมาอีกครั้ง ผมไม่ต้องการกลับไปเพื่อสร้างปัญหา ผมต้องการกลับไปเพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวสำหรับคนไทย



คุณจะกลับไปสู่เวทีการเมืองอีกหรือไม่..?


 ไม่ พอก็คือพอ หกปีที่คุณรับใช้ประเทศชาติ คุณต้องทำงานหนัก ต้องเสียสละทั้งเวลา ชีวิต หรือแม้แต่ชีวิตครอบครัว ขณะนี้เป็นเวลาที่ผม
จะกลับไปในฐานะประชาชนธรรมดา และอุทิศตนให้กับสังคมไทยนอกเวทีการเมือง

เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้ กองทัพอาจจะไม่อนุญาตให้การให้สัมภาษณ์ของคุณออกอากาศในไทย


 โปรดบอกเขาว่าอย่าหนักใจเรื่องผม ไปหนักใจเรื่องประชาชนและประเทศชาติ ขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า สร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืน
มาและนำประชาธิปไตยกลับสู่คนไทย นั่นคือภารกิจหน้าที่ของเขาอย่างมาห่วงเรื่องผมเลย ผมจะไม่สร้างปัญหา บางครั้งพวกเขาเป็นกังวล
เกี่ยวกับผมมากเกินไป


สำหรับข้อกล่าวหาเกี่ยวกับว่าคุณคอร์รัปชั่นอย่างมากในไทย ใช้อำนาจโดยมิชอบ ละเมิดกฎหมาย ?


มันเป็นข้อกล่าวหาที่ไร้หลักฐาน เป็นแค่เครื่องมือทางการเมือง ผมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่จนถึงขณะนี้พวกเขา
ก็ยังไม่สามารถหาหลักฐานใดๆ ที่เป็นรูปธรรมต่อผมได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเพียงข้อกล่าวหาเท่านั้น


คุณแต่งตั้งญาติของคุณเป็นผู้บัญชาการทหาร นั่นเป็นเรื่องที่ไม่มีข้อโต้เถียงหรือ ?

 ผมคงไม่สามารถแต่งตั้งญาติขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้หากเขาไม่มีคุณสมบัติที่ครบถ้วน เพราะเรามีกฎ กติกา มารยาท แม้ว่าเขา
จะเป็นญาติของผม แต่เขาก็ได้รับการเลื่อนชั้นตามสายวิชาชีพจนเป็นนายพลก่อนที่ผมจะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีเสียด้วยซ้ำ


ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการเลือกตั้งในเดือนเมษายน ที่ศาลระบุว่าพรรคไทยรักไทยของคุณละเมิดกฎหมาย


ไม่ ไม่มีคำตัดสินของศาล แต่มีการสอบสวนภายใต้ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งดำเนินการอยู่ในขณะนี้ซึ่งผมขอปฏิเสธข้อกล่าวหา ผลการเลือกตั้ง
ไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า แต่พรรคฝ่ายค้านบอยคอตการเลือกตั้งทั้งที่พวกเขาไม่มีสิทธิใดๆ ในทางประชาธิปไตยที่จะทำเช่นนั้น



อนาคตของพรรคไทยรักไทยจะเป็นอย่างไร จะยุบพรรคหรือไม่ ?



ขณะนี้ผมเป็นแค่สมาชิกพรรคเพราะผมลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคไปแล้ว อนาคตของพรรคไทยรักไทยขึ้นกับสมาชิกทั้งหมดและผู้บริหาร
พรรคซึ่งพวกเขาจะต้องจัดประชุมพรรคเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของพรรค แต่นั่นก็ขึ้นกับสมาชิกพรรคทั้ง 14 ล้านคนที่เรามีด้วย



ในเดือนมิถุนายนคุณพูดว่ามีผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญที่พยายามต่อต้านคุณ หมายถึงใคร..?


ผมพูดถึงใครบางคนที่พยายามชักใยอยู่เบื้องหลังทำให้ผมไม่สามารถสั่งการเจ้าหน้าที่รัฐบาลให้ทำในสิ่งที่เขาสมควรจะทำได้



คุณหมายถึง พล.อ.เปรม (ติณสูลานนท์) ประธานองคมนตรี ใช่หรือไม่ ?


ผมไม่ต้องการระบุชื่อใครเป็นการเฉพาะ แต่ผมหมายถึงใครก็ตามที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง และทำให้ขณะเป็นนายกรัฐมนตรีผมไม่
สามารถทำงานได้ เพราะเขาพยายามปัดแข้งปัดขาผม และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผมพูดอย่างนั้น แต่อย่างไรก็ตามเราควรปล่อยให้สิ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านพ้นไป


ในเดือนสิงหาคม พบคาร์บอมบ์ใกล้บ้านของคุณซึ่งถูกมองว่าเป็นความพยายามที่จะลอบสังหารคุณ คุณยังรู้สึกหวาดกลัวหรือไม่..?

 ทุกคนมีคนที่เราห่วงใย ทุกคนมีครอบครัวที่เราจะต้องดูแล ผมไม่ได้ห่วงชีวิตตัวเอง แต่ผมคิดถึงลูกของผม พวกเขายังเด็กและต้องได้รับการดูแล อย่างไร
ก็ตามคุณไม่มีทางรู้หรอกว่าพระเจ้าจะพรากชีวิตของคุณเมื่อไหร่ก็ได้


มีการกล่าวหาว่าใช้มาตรการรุนแรงในการแก้ปัญหาภาคใต้และทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง


คุณต้องเข้าใจเรื่องไม้แข็งไม้อ่อน สำหรับพวกอาชญากรคุณต้องใช้ไม่แข็ง แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ที่เป็นคนดี หรือผู้ที่อาจหลงผิด คุณต้องใช้ไม้อ่อน
นี่คือวิธีที่ผมใช้แต่บางครั้งพวกเขาก็เพ่งมองไปที่ไม้แข็ง ทั้งที่ในความเป็นจริงหลายอย่างที่ผมทำก็คือไม้อ่อน


สงครามยาเสพติดก็ทำให้คนตายกว่า 2,700 คนในเวลาเพียง 7 สัปดาห์

ไม่ใช่เรื่องจริง ทุกๆ ปีมีอาชญากรจำนวนหนึ่งที่ตายเนื่องจากการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ใช่แค่เรื่องยาเสพติด พวกเขาพยายามนำตัวเลขทุก
อย่างมารวมกัน ความจริงนโยบายของผมชัดเจน เราไม่เคยใช้ความรุนแรงแต่ทุกอย่างเป็นไปภายใต้กรอบของกฎหมาย ผมบอกทุกคนให้ยึดมั่น
ตามกรอบกฎหมายเป็นสำคัญ


สามารถพูดได้ไหมว่าไม่เคยละเมิดกฎหมาย ?

ผมไม่เคยทำ แต่เวลาทำงานผมมีความแน่วแน่และต้องการให้ทุกอย่างประสบความสำเร็จ แต่ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ผมไม่เคยตั้งกฎหมาย
หรือวางกรอบใดๆ ขึ้นมาเอง ผมไม่ใช่เผด็จการ ผมมาจากประชาชน จากการเลือกตั้ง ถ้าผมไม่ดี ประชาชนคงไม่เลือกผมเข้ามาอย่างถล่มทลาย


http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P5066216/P5066216.html
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2007, 12:10 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 26-01-2007, 12:56 »

ข้างหลังภาพ  ทักษิณ และสิงค์โปร์



“ลีเซียนลุง” นายกฯ สิงคโปร์ “พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์” นายกฯ ไทย ร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนอยู่ที่ฟิลิปปินส์ ในขณะเดียวกัน “รองนายกฯ สิงคโปร์”

ก็เปิดประตูเมืองต้อนรับขับสู้ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ของไทย ข่าวว่ามีการสันถวะกันด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดียิ่ง




ครับ..ก่อนจะคุยกัน ขอคั่นเวลาซักนิด คือ ท่าน ดร.นิมิตชัย-คุณจุฑาทิพย์ สนิทพันธุ์ ส่งหนังสือเรื่อง “มงคล ๓๘ ประการ” โดย พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
 (จันทร์ สิริจนฺโท) วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร มาให้ผมหลายเล่ม

ในขณะเดียวกัน ก็มีสุภาพสตรีผู้มีน้ำใจงามอีกท่านหนึ่ง ส่ง CD MP3 เป็น “บทสวดทำนองเก่า” มาให้ผมอีกห่อใหญ่ บทสวดนี้เป็นบทสรรเสริญพระรัตนตรัย
 บทพุทธชัยมงคล บทพระคุณบิดา มารดา พระคาถาชินบัญชร และมงคลสูตร

ม.ล.ปัทมาวดี มาลากุล และคุณเทวี-วัฒนะ บุญจับ คือเจ้าของเสียงทำนองสวด และทำนองเสนาะ ใน CD ทั้งแผ่นนั้น

และท่าน ส.ธโนฆาภรณ์ จากชมรมธรรมทานทาง ป.ณ.เป้าเก็งเต๊ก กทม.ส่งหนังสือเรื่อง “ตำนานศาลเจ้า-โรงเจอายุ ๑๐๐ ปีเมืองไทย อริยโพธิสัตว์-แบ่งปัน
วิชาการนั่งสมาธิ” เล่ม ๑ โดย ธ.ธีรทาส มาให้ผมอีกจำนวนหนึ่ง

ทั้ง ๓ สิ่งที่ผมกล่าวถึงนั้น แต่ละสิ่งมีจำนวนระดับหลายสิบ-ไม่ถึงร้อย ผมไม่ได้นับ ถ้าคิดว่ามีประโยชน์ต่อท่าน และประสงค์ได้รับอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๓ สิ่งนั้น

กรุณาโทร.แจ้งไปได้ที่เลขาฯ ผม “คุณภัทรพร สมบูรณ์สินชัย” ไม่ต้องส่งเงิน-ส่งแสตมป์มานะครับ ผมจัดการเอง หมดเมื่อไหร่ก็หมดกันเมื่อนั้น!



กลับมาต่อเรื่อง “ปัญหาบ้านเมืองมั่วๆ” กันบ้าง หนังสือกำลังภายในบอกว่า “อย่าเอาใจวิญญูชนไปวัดใจโจร “หนังสือกำลังภายนอกบอกว่า”
 เอ็นดูเขา ระวัง..เอ็นเราจะขาด”


ผมว่า พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ไม่ใช่คนเก่งเหนือมนุษย์อะไรนักหนาหรอก แต่บังเอิญไปเจอคนที่หน่อมแน้มกว่า เขาก็เลยดูเหมือนเก่ง เดินสะอิ้งบนแคทวอล์ก
การเมืองทั้งในและนอกประเทศได้อย่างยั่วกิเลส

ทั้งที่ “บ่มิไก๊”!

พอรัฐบาลประกาศ “ยกเลิกพาสปอร์ตแดง” ปุ๊บ รุ่งขึ้นไปเป็นแขกบ้าน-แขกเมืองของ “รองนายกฯ สิงคโปร์” ปั๊บ ถึงแม้ผู้นำรัฐบาลไทยบอกว่า “ไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาล”

แต่ผม ภายใต้ยี่ห้อคนไทย “รู้สึกครับ”

รู้สึก “ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพความเป็นคนไทย” ของผม!
ทักษิณจะไปไหนนั้น จริงอยู่-เป็นสิทธิ์ของเขา แต่การที่สิงคโปร์ประเทศเพื่อนบ้าน มิตรสนิทของไทยในอาเซียน ขนาดว่าประเทศไทย “ยกแผ่นดินไทย” ให้สิงคโปร์เข้ามาตั้งฐานทัพ

ซึ่งไม่มีที่ไหน “ในโลก” เขายอมกัน!?

แต่วันนี้สิงคโปร์หยิบเอารัฐบาล คมช.ใส่จานบนตาชั่งข้างหนึ่ง แล้วหยิบเอา “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ใส่จานบนตาชั่งอีกข้างหนึ่ง ปรากฏว่า “น้ำหนักตาชั่งสิงคโปร์-วันนี้

อดีตนายกฯ สัมภเวสี “หนักกว่า” รัฐบาล คมช.!


หน้าชามั้ย!?

รองนายกฯ สิงคโปร์จะอ้างว่า เป็นการพบปะส่วนตัวในฐานะ “คนเคยรู้จักกัน” หรือจะอ้างว่า “ทักษิณเป็นฝ่ายขอมาพบ” จะอย่างไหนก็ตาม

แต่เหตุการณ์ “จริง” ที่เปิดเผยเป็นข่าวปรากฏต่อสังคมโลกก็คือ..รัฐบาลสิงคโปร์ เจ้าของกองทุนเทมาเส็ก...

เปิดเมือง “ต้อนรับ” อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ “หุ้นส่วนใหญ่” ผู้ซึ่งถูกประชาชนคนไทยขับไล่ โทษฐาน “ส่อทุจริตคิดมิชอบ” ด้วยการใช้อำนาจสร้าง
 “ระบอบทักษิณ” ครอบงำประเทศ จนต้องถูก “คณะทหาร” ยึดอำนาจไปเมื่อ ๓-๔ เดือนที่แล้ว พร้อมตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วยข้อหาฉกรรจ์ถึง ๔ ข้อหา!

แล้วท่าทีเช่นนี้ของสิงคโปร์ ต้องการ “ส่งสัญญาณ” อะไรถึงคนไทย ถึงประชาคมโลก?

นี่คือ “ข้อสงสัย” ของประชากรโลก และประชากรไทย?

“สิงคโปร์-เทมาเส็ก” ใช้เจ้าบ่าว “นอมินี” แต่งงานเป็นทองแผ่นเดียวกับไทยผ่าน “ชินคอร์ป” ผู้ดำเนินธุรกิจหลักๆ เป็น “สัมปทานผูกขาดจากรัฐ”
ด้วยการใช้เงินแค่ ๗๓,๐๐๐ กว่าล้าน “ซื้อหุ้นชินคอร์ป” จากตระกูลชินวัตร

เป็นการ “เจาะประตู” ประเทศไทย!

นั่นคือ ขณะนี้ ธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม ธุรกิจดาวเทียม ธุรกิจการบิน ธุรกิจการเงิน ธุรกิจการธนาคาร ธุรกิจการพิมพ์ ธุรกิจวิทยุ-โทรทัศน์
 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ ฯลฯ ซึ่งหลายๆ อย่างต้องห้ามตามบัญชี ๑ และบัญชี ๒ ตามแนบท้าย พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว

สิทธิ และอำนาจ “ควบคุมกลไก” ทั้งด้านเศรษฐกิจ และความมั่นคง ผ่านธุรกิจดังกล่าวนี้ ใครจะเถียงว่า ขณะนี้สิงคโปร์มิใช่ผู้ “คุมเส้นเลือดใหญ่” ของประเทศไทย?

ถ้าผมเป็นสิงคโปร์ผมก็ต้องคิด ด้วยยุทธศาสตร์ที่กำลัง “ไปได้สวย” ในเมืองไทยควบคู่ไปกับการปราบดาอำนาจของรัฐบาลทักษิณ แต่เมื่อมีอันต้องสิ้นสุดสะดุดลงเช่นนี้



ถ้าทักษิณไม่กลับมา...

โลกาไม่วินาศหรอกครับ แต่ยุทธศาสตร์สิงคโปร์ผ่านประเทศไทย มีโอกาส..พินาศสูง!

เมื่อเป็นอย่างนี้ ผมควรจะเลือกเล่น “ไพ่ทักษิณ” หรือ “ไพ่ คมช.?

สิงคโปร์นั้น ด้วยความเป็น “คนเกาะ” อันมีพื้นที่จำกัด ถอยหลังก็ตกทะเล ฉะนั้น ธรรมชาติจึงให้ความ “ฉลาดเหนือ” เป็นทุนสู้ชีวิต

ไม่เพราะความฉลาดดอกหรือ ตอนแยกจากมาเลเซีย เขาจึงพร้อมประกาศตนเป็นคนเชื้อสายจีน ซึ่งเท่ากับเคลียร์-คัทในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนาได้อย่างสิ้นเชิง

คนเกาะ ย่อมดิ้นรนหาแผ่นดิน ถ้าหยิบแผนที่มาดูจะเห็นว่า แผ่นดินสิงคโปร์ใกล้มาเลย์ฯ เลยจากมาเลย์ก็บรูไน แต่สิงคโปร์ “ฉลาด” ไม่เลือกไปเป็น
“ทองแผ่นเดียว” กับทั้ง ๒ ประเทศนั้น

แต่มาเลือกไทย ซึ่งไกลกว่าอีกนิด!

เพราะอะไร คงไม่จำเป็นต้องจาระไนนะครับ และศตวรรษนี้ ผมอยากให้ท่านได้ทำความคุ้นเคยกับคำว่า “จักรวรรดินิยมสหรัฐอเมริกา” เอาไว้ให้ดี เพราะขณะนี้...

แผน “รัฐบาลเดียวครองโลก” มันเริ่มเข้มข้นขึ้นตามลำดับแล้ว! ( เรื่องนี้ถ้าใครเข้าใจอธิบายหน่อยนะคะ)


New World Order การจัดระเบียบโลกใหม่ โดยองค์การ Council on Foreign Relations หรือที่รู้จักกันกว้างขวางทั่วโลกขณะนี้ในชื่อย่อว่า
“องค์การ CFR” ที่พ่อของประธานาธิบดีบุช “เพื่อนรักทักษิณ” เป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนผ่าน “คาร์ลไลส์ กรุ๊ป” สถาบันการเงินใหญ่ของโลกนี้แหละ

ต้องจับตา!

เพราะว่าองค์กรนี้จะเป็นผู้พลิกโลกให้หวนกลับสู่การล่าอาณานิคมรูปแบบใหม่ โดยใช้อำนาจ “เศรษฐกิจ-การเงิน” แทนกำลังอาวุธและกำลัง
ทหารเข้ายึดครองประเทศตามภูมิภาคต่างๆ ด้วยเป้าหมายทางทรัพยากร

แล้วรวมเป็นหนึ่ง!

นี่คือเป้าหมายของความเป็น “จักรวรรดินิยมสหรัฐอเมริกา”

เขาบอกว่า สหรัฐหนุนหลังอิสราเอลไว้เป็น “ไส้ติ่ง” ของชนชาติอาหรับในตะวันออกกลาง

และสหรัฐก็หนุนหลังไต้หวันไว้เป็น “ไส้ติ่ง” ของจีนในภูมิอภาคเอเชีย

ส่วนในอาเซียน สหรัฐจะหนุนหลังสิงคโปร์ไว้เป็น “ไส้ติ่ง” ของภูมิภาคนี้ผ่านประเทศไทย ใช่หรือไม่?

มองไม่ยากใช่ไหมครับ!

อย่าลืมว่าทุกวันนี้ “หุ้นส่วนชีวิต” ของสหรัฐในภูมิภาคนี้ไม่ใช่ไทยอย่างในอดีตแล้ว หากแต่เป็นประเทศเล็กๆ ที่เป็นเกาะ มีพลเมืองแต่ ๓-๔ ล้านคน นั่นคือสิงคโปร์

จะพูดว่า สิงคโปร์คือ “ร่างทรง” หรือ “นอมินีสหรัฐ” ก็คงไม่ผิด

ถ้าอย่างนั้น การที่สิงคโปร์คืบคลานเข้ายึดครองธุรกิจ-การเงินในไทย โดยเฉพาะธุรกิจสัมปทานด้านความมั่นคง และด้านอสังหาริมทรัพย์นั้น
 จะบอกว่า มันคือการคืบคลานเข้ามาของสหรัฐผ่านร่างนอมินี

มันก็ตรรกะอันเดียวกันนั่นแหละ!

ที่ไทยไม่ให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพในไทย แต่ไทยกลับทำสัญญายกแผ่นดินไทย “ให้สิงคโปร์เช่า” ทำเป็นฐานทัพนั้น มันจะเป็นตรรกะไปถึง “นอมินีสหรัฐ” ด้วยหรือไม่?

มันก็ตรรกะอันเดียวกันนั่นแหละ!!

แล้วที่ “สิงคโปร์” เปิดบ้านต้อนรับคนที่ “ประเทศไทย” ขับไสไล่ส่งออกไป มันจะเป็นตรรกะเดียวกันกับ “สิงคโปร์-นอมินีสหรัฐ” ใช่หรือไม่ อันนี้...No Comment.



ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 16 มกราคม 2550



http://www.onopen.com/2007/01/1402
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 26-01-2007, 14:20 »

ระยะเวลา 6 ปีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรกุมอำนาจในการบริหารประเทศ ภายใต้นโยบายประชานิยมที่ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อหว่านลงไปซื้อเสียงและคะแนนความนิยมจากประชาชน แต่ด้วยงบประมาณในแต่ละปีที่มีอยู่อย่างจำกัด ทั้งยังติดข้อแม้ที่ว่าต้องผ่านการตรวจสอบจากสภาฯ พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคไทยรักไทยจึงต้องหาเงินจากแหล่งอื่นๆ มาเพื่อจุนเจือนโยบายประชานิยมของตนเอง
       
        ทั้งนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในบรรดาแหล่งเงินนอกงบประมาณนอกเหนือจากสถาบันการเงินของรัฐต่างๆ แล้ว แหล่งเงินที่สำคัญที่สุดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ นำมาใช้จ่ายอย่างมันมือราวกับเป็นเงินในกระเป๋าตัวเองก็คือเงินจาก สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ที่ พ.ต.ท.ทักษิณส่ง พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ เพื่อนคนสนิทของตัวเองไปนั่งเป็นผู้อำนวยการคุมอยู่

 
   
พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์เพื่อนนักเรียนตท.10 และ นรต.26 รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ
 
 
       พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ เป็นเพื่อนนักเรียนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาตลอดไม่ว่าจะเป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 10 และนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 26
       
        ในปี 2542 พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.นนทบุรี ปี 2544 เป็นผู้บังคับการกองตำรวจทางหลวง และผู้บังคับการกองปราบปราม โดยระหว่างที่เป็น ผบก.ป. นี้เองพล.ต.ต.สุรสิทธิ์ได้ประกอบผลงานเข้าตา พล.ต.ท.ทักษิณ และ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้นด้วยการนำทีมตำรวจกองปราบบุกเข้าล็อกตัว 'เสธ.แดง' พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ที่โรงแรมดิ เอมเมอรัล ระหว่างที่ 'เสธ.แดง' กำลังงัดข้ออยู่กับ ผบ.ตร.
       
        จากนั้นในปี 2545จึงขึ้นตำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และในปีถัดมา (2546) ก็ถูกนายกฯ ดึงตัวข้ามห้วยมานั่งกุมกองเงินกองทองที่ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลแทนนายชัยวัฒน์ พสกภักดี
       
        หลังจากขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลในปี 2546 พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ก็เปรียบเสมือนกระเป๋าเงินส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณไปโดยปริยาย โดยสื่อมวลชนสังเกตว่าไม่ว่านายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปราชการเยี่ยมเยียนประชาชนที่ใด จะจัดครม.สัญจร หรือจัดทัวร์นกขมิ้นที่จังหวัดใดก็มักจะเห็นเพื่อนรักนายกฯ ผอ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลคนนี้เดินติดเป็นเงาตามตัวไปด้วยเสมอ
       
        โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี 2546หลังจากที่รัฐบาลทักษิณมีนโยบายนำหวยใต้ดินขึ้นมาอยู่บนดิน กลายเป็น 'หวยบนดิน' (หรือในชื่ออย่างเป็นทางการคือ สลากแบบเลขท้าย 3 ตัวและ 2 ตัว) และมีมติคณะรัฐมนตรีระบุว่ารายได้ส่วนเกินหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วของ 'หวยบนดิน' นั้นไม่ต้องนำส่งส่วนกลางคือกระทรวงการคลัง แต่ให้นำคืนสู่สังคมโดยใช้จ่ายในกิจกรรมเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนแทน
       
        ด้วยเหตุนี้เองการอนุมัติเงินกำไรจาก 'หวยบนดิน' ที่มีมากถึง 300-500 ล้านบาทต่องวด หรือราว 7,000-12,000 ล้านบาทต่อปีจึงกลายเป็นเงินนอกงบประมาณที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายบริหารคือนายกรัฐมนตรี โดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบจากสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือหน่วยงานภาครัฐต่างๆ แต่อย่างใดเลย
       
        การนำเงินส่วนรวมไปใช้อย่างไม่โปร่งใสของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ และการปฏิบัติตัวเยี่ยงกระเป๋าเงินส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีของพล.ต.ต.สุรสิทธิ์ ผอ.สำนักงานสลากฯ นั้นถึงกับถูกสื่อมวลชนนำไปเปรียบเทียบกับการกระทำของรัฐบาลเผด็จการทหารสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เมื่อ 50 ปีก่อนเลยทีเดียว
       
        หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจฉบับวันที่ 27 มิ.ย. 2548 ระบุว่า จอมพลสฤษดิ์ในยุคเมื่อ 50 ปีก่อนอาจเปรียบได้กับกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้นำประเทศในยุคปัจจุบัน โดยผู้นำทั้งสองคนมีจุดเหมือนกันก็คือมักจะใช้เงินจากกองสลากกินแบ่งรัฐบาล (หรือในปัจจุบันคือสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล) เพื่อเอื้อประโยชน์ทางการเมืองให้กับตัวเอง โดยขณะที่จอมพลสฤษดิ์ส่งน้องชายต่างมารดา นายสงวน จันทรสาขาไปเป็นผอ.กองสลากฯ พ.ต.ท.ทักษิณก็ส่งเพื่อนรักคือ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ไปนั่งเป็นผอ.สำนักงานสลากฯ
       
        นอกจากนี้ แม้จะอยู่ในยุคสมัยที่ห่างกันถึง 50 ปีแต่พฤติกรรมของจอมพลสฤษดิ์กับพ.ต.ท.ทักษิณ กลับมีความคล้ายคลึงกันอย่างเหลือเชื่อ อย่างเช่น ในเดือนมกราคม 2505 จอมพลสฤษดิ์ได้เร่งให้เทศบาลทำโครงการสวัสดิการชุมชนให้แล้วเสร็จโดยใช้เงินทุนจากกองสลากฯ ขณะที่ในเดือนกันยายน ก็ใช้เงินอีก 150 ล้านบาท จากกองสลากเพื่อนำไปสร้างที่พักอาศัยสวัสดิการชุมชน ขณะที่ในยุคปัจจุบัน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็สั่ง พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ให้ถ่ายโอนเงินกำไรจากกองสลากไปให้กับ สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และสำนักนายกรัฐมนตรีที่ตนเองมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการอนุมัติจ่ายหรือไม่จ่ายเงินให้กับใคร
       
        และแม้ว่าเงินกำไรจากสำนักงานสลากฯ บางส่วนจะนำไปใช้คืนสู่สังคมจริงแต่ก็มีเงินอีกจำนวนมากที่ถูกอนุมัติตามความพึงพอใจส่วนบุคคล เนื่องจากฝ่ายการเมืองเป็นผู้ควบคุมเงินในส่วนนี้ทั้งหมด ทำให้ผู้ที่อยากจะได้เงินบริจาคจากกองสลากต้องวิ่งไปขอกับฝ่ายการเมือง และฝ่ายการเมืองก็จะเป็นผู้สั่งผ่าน พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ ให้เป็นผู้จ่ายต่ออีกที
       
        อย่างเช่นกรณีช่วงก่อนเลือกตั้งวันที่ 6 ก.พ. 2548 มีข่าวแฉออกมาว่าทางผู้ยิ่งใหญ่รัฐบาลได้เปิดไฟเขียวให้นักการเมืองของพรรคไทยรักไทยที่มีฐานเสียงอยู่ทางภาคเหนือและอีสานสามารถมาขอเงินบริจาคให้วัดต่างๆ ในท้องถิ่นของตนได้ที่กองสลากจำนวน 200,000 บาทต่อวัด นอกจากนี้ยังมีข่าวฉาวโฉ่ออกมาอีกด้วยว่า ส.ส.กาฬสินธุ์ของพรรคไทยรักไทยได้ยักยอกเงินบริจาคของสำนักงานสลากฯ ที่มอบให้กับวัดแห่งหนึ่งในจ.กาฬสินธุ์ไปจำนวน 140,000 บาทอีกด้วย
       
        โดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจฉบับดังกล่าวระบุว่า ในช่วงก่อนการเลือกตั้งปี 2548 เม็ดเงินกำไรจากสลากฯ 3 ตัว และสองตัว หรือหวยบนดินได้ถูกรัฐบาลพรรคไทยรักไทยนำไปใช้เพื่อผลทางการเมืองมากกว่า 5,754 ล้านบาท!
       
        ขณะที่ในช่วงเดือน พ.ค. 2549 ยังมีข่าวถูกเผยแพร่ออกมาตามสื่ออีกด้วยว่าอดีตคณะกรรมการการเลือกตั้งในยุค 3 หนาที่อยู่ภายใต้อาณัติของฝ่ายบริหารยังได้นำเงินทำกิจกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานสลากฯ เพื่อไปใช้จ่ายอย่างผิดจุดประสงค์จำนวนมากถึง 30 ล้านบาท
       
        นอกจากการรับใช้ฝ่ายการเมืองในการนำเงินกำไรของสำนักงานสลากฯ ไปประเคนให้กับนายกรัฐมนตรีเพื่อใช้ตามอำเภอใจแล้ว พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ในฐานะ ผอ.สำนักงานสลากฯ ก็ยังต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัยอีกด้วยว่า อาจมีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับข่าวลือที่ระบุว่าในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อต้นปี 2548 สำนักงานสลากฯ ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้พิมพ์บัตรเลือกตั้งได้พิมพ์บัตรเลือกตั้งเกินเพื่อให้พรรคการเมืองใหญ่บางพรรคนำไปใช้ในการทุจริตการเลือกตั้ง จนชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายอีกด้วย
       
        ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ นอกจากจะมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นในฐานะเพื่อนสนิท และเจ้านาย-ลูกน้องแล้ว ในยุคทักษิณ พี่ชายของ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ คือ พล.อ.อ.ณรงค์ศักดิ์ สังขพงศ์ ก็ยังได้รับอานิสงส์จากน้องชายโดยได้รับตำแหน่งใหญ่ในคณะกรรมการและรัฐวิสาหกิจต่างๆ อีกหลายแห่งไม่ว่าจะเป็นในบริษัทการบินไทย สถาบันการบินพลเรือน บริษัทท่าอากาศยานสากลกรุเทพแห่งใหม่ บริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย ฯลฯ
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2007, 10:36 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 26-01-2007, 14:25 »




ยรรยง พวงราช - น้องใหม่ระบอบทักษิณ
 
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 25 กันยายน 2549 12:21 น.
 
 
       นับตั้งแต่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เข้ามาบริหารประเทศ ได้มีการปฎิรูปรูปแบบการทำงานของข้าราชการอย่างใหญ่หลวง ชนิดที่ว่าไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนกระทำการเช่นนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการข้ามห้วย การแต่งตั้งคนของตัวเอง และพวกพ้องขึ้นมาเป็นใหญ่ เพื่อใช้เป็นรากฐานในการค้ำจุน "ระบบทักษิณ" โดยไม่สนว่าจะมีเสียงคัดค้านจะมากแค่ไหน
       
        ที่สำคัญ คนที่ได้รับความกรุณาจากระบอบนี้ ให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งที่ใหญ่โตขึ้น ต่างก็พร้อมใจพร้อมกายในการทำงานชนิดถวายหัวให้กับระบอบทักษิณ โดยไม่สนใจว่าจะผิดกฎ ผิดระเบียบ หรือธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติมาหรือไม่ ส่วนหนึ่งเกิดจากน้ำเลี้ยงดีกว่ารัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมา
       
        ล่าสุดได้เกิดน้องใหม่ไฟแรงของระบอบทักษิณ เขาคือรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ยรรยง พวงราช

 
 
นายยรรยง พวงราช รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ลิ่วล้อระบอบทักษิณที่เข้ามาจัดการกับกรณี บ.กุหลาบแก้ว บริษัทสัญชาติไทยแต่หัวใจสิงคโปร์
 
 
       จากข้าราชการน้ำดี ที่กำลังจะกลายมาเป็นแขนขาให้กับระบอบทักษิณ ด้วยการเข้ามาปกป้องบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป ให้รอดพ้นจากการถูกกล่าวหาว่าเป็นบริษัทขายสมบัติชาติให้กับคนต่างด้าว
       
        กรณีชินคอร์ป มีปัญหา เพราะครอบครัวชินวัตร ได้ขายหุ้นให้กับกลุ่มทุนเทมาเส็กจากสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 มีมูลค่าสูงถึง 73,300 ล้านบาท โดยดีลซื้อขายนี้ กระทำผ่านบริษัท กุหลาบแก้ว จำกัด และซีดาร์ โฮลดิ้ง ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีการตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทกุหลาบแก้ว ซึ่งทำการซื้อขายแทนกลุ่มทุนจากสิงคโปร์นั้น จะเป็นร่างทรงของสิงคโปร์หรือไม่ มีการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับที่มาของเงินทุนว่ามาจากที่ใด เป็นของใคร
       
        กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ดำเนินการสอบสวนการถือหุ้นแทนคนต่างด้าว (นอมินี) ของบริษัท กุหลาบแก้ว มาตั้งแต่เดือนก.พ.2549 และมาจนถึงวันนี้ ผ่านมาแล้วประมาณ 7 เดือน ก็ยังไม่ได้มีการประกาศผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการออกมา
       
        แต่กลับมีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า ผลการสอบสวนได้ข้อยุติมาแล้วตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม 2549 มีการสรุปผลในเบื้องต้นว่า บริษัท กุหลาบแก้ว เข้าข่ายการเป็นนอมินีจริง และต้องส่งเรื่องให้ตำรวจทำสำนวนส่งอัยการเพื่อฟ้องร้องต่อศาล เพื่อเอาผิดกับบริษัท กุหลาบแก้ว
       
        หลังจากมีการรับรู้ว่าไม่รอดแน่ ก็มีคำสั่งลับจากนายใหญ่ ผ่านนักการเมืองในกระทรวงพาณิชย์ ให้ไปจัดการกับปัญหาของกุหลาบแก้ว ว่าทำอย่างไรก็ได้ ให้กุหลาบแก้วรอดพ้นจากข้อหาการเป็น “นอมินี” เพราะไม่เช่นนั้นจะกระทบถึงชื่อเสียงของพ.ต.ท.ทักษิณ และกระทบดีลค้าขายมูลค่า 73,300 ล้านบาทได้
       
        ทันทีที่คำสั่งมาถึงนักการเมืองในกระทรวงพาณิชย์ ปฏิบัติการยื้อก็เกิดขึ้น แต่จะหาเหตุผลอะไรมาหักล้างผลสอบสวนที่ทำเสร็จแล้ว และรอการประกาศต่อสาธารณชน จึงเป็นที่มาของการไปบอกให้นายสุรินทร์ อุปพันธกุล หรือ ดาโต๊ะสุรินทร์ บุคคลซึ่งเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท กุหลาบแก้ว ให้ทำหนังสือขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมมายังกระทรวงพาณิชย์ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้า ก็มีการส่งข้อมูลต่างๆ ให้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามาแล้ว
       
        เหตุผลก็เพื่อให้การเมืองมีน้ำหนักในการยื้อการประกาศผลสอบนอมินีกุหลาบแก้วออกไปได้ แต่จะทำอย่างไร ก็ต้องส่งเรื่องให้กับคนที่ดูแล ซึ่งในที่นี้ ก็คือ นายยรรยง พวงราช รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ และมีฐานะอีกตำแหน่งหนึ่ง คือ เป็นประธานคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว แต่จะหาเหตุผลอะไรมาหักล้างกับผลสรุปที่ออกมาแล้ว เป็นคำถาม ที่หาคำตอบได้ยาก แต่ในที่สุด ก็มีคำตอบออกมาว่า ให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบกรณีนอมินีกุหลาบแก้วใหม่
       
       นายยรรยงอ้างว่า "ข้อสรุปของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เป็นเพียงแค่การทำงานในระดับกรมฯ แต่ผมในฐานะที่ดูแลกรมฯ นี้ และรับผิดชอบในระดับกระทรวงฯ เห็นว่าควรจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด เพื่อทำให้รัดกุม ชัดเจน เป็นธรรม เพราะหากตัดสินอะไรลงไป จะเป็นบรรทัดฐานของการกระทำที่เป็นนอมินีในอนาคตด้วย"
       
        เป็นการใช้อำนาจและบรรทัดฐานของตัวเองเลียนแบบท่านผู้นำเถื่อน ......
       
        นายยรรยงเติบโตมาทางสายวิชาการ เคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมายกระทรวงพาณิชย์ เป็นรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ และเป็นอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นบุคคลหนึ่งที่ทำให้เรื่องทรัพย์สินทางปัญญาที่เป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย และมีการวางรากฐานระบบทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไว้มากมาย
       
        ต่อมาในสมัยที่นายวัฒนา เมืองสุข เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพาณิชย์ มีการปรับรูปแบบการทำงาน โดยมีรองปลัดกระทรวงเป็นรองปลัดคลัสเตอร์ มีการโยกย้ายนายยรรยงจากอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา มาทำงานในตำแหน่งรองปลัดกระทรวง ดูแลงานด้านการค้าระหว่างประเทศ แต่พอถึงยุคนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรี นายยรรยงถูกโยกกลับไปให้ดูแลงานด้านการค้าภายในประเทศ
       
        จนในที่สุด กลับมาโด่งดังอีกครั้งในฐานะรับหน้าเสื่อ ในการพลิกคดีประวัติศาตร์ ให้กลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง!

 
 
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 26-01-2007, 14:31 »



เหยียนปิน (严彬) ได้สัญชาติไทยและมีชื่อไทยว่า ชาญชัย รวยรุ่งเรือง ปัจจุบันอายุ 52 ปี นายสนธิตั้งสมญานามให้ว่า "นายหน้าค้าไทยรักไทย” เกิดที่มณฑลซานตง อยู่ในครอบครัวลูกกำพร้าและอยู่ในคณะงิ้วแห่งหนึ่ง ในมณฑลซานตง เขาโตและได้รับการศึกษาโตที่เมืองจีน ก่อนจะมาถือสัญชาติไทยโดยการช่วยเหลือของ พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร (ยศเมื่อปี พ.ศ.2527)
       
     


    "มีข่าวน่าสงสัยว่าเหยียนปินนี่ได้สัญชาติเพราะสวมหรือเปล่า โดยได้สัญชาติไทยที่ดอยแม่สลอง จ.เชียงราย มีบัตรประชาชนคนไทยด้วยนะ โดยในช่วงแรกอาศัยอยู่กับบ้านผู้สูงอายุคนหนึ่งแล้วทำตัวเป็นบุตรบุญธรรม พอได้สัญชาติไทยซึ่งไม่รู้ว่าได้ยังไง ก็มาทำธุรกิจชื่อบริษัท หัวปิน กรุ๊ป ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยว การค้าขายระหว่างประเทศ" นายสนธิ แฉกลางรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 9
       
        ปี 2538 นายเหยียนปิน กลับไปทำธุรกิจที่เมืองจีนโดยเป็นตัวแทนเครื่องดื่มกระทิงแดง สร้างอาคารหัวปิน กลางมหานครปักกิ่ง ทำสวนสนุก ทำสนามกอล์ฟ และในปี 2548 นี้เองจากการจัดอันดับของสำนักงานบัญชีที่เซี่ยงไฮ้ ทั้งๆ ที่มีสัญชาติไทย นายเหยียนปินถูกจัดอันดับเป็นเศรษฐีจีนอันดับ 30 โดยมีทรัพย์สินรวมกันถึง 3,500 ล้านหยวน หรือประมาณ 17,500 ล้านบาท
       
        ในจำนวนนี้ ไม่รู้ว่าได้มาจากการสูบเลือดสูบเนื้อคนไทยไปเท่าไหร่...
       
        การทำธุรกิจช่วงหลายปีที่ผ่านมา เหยียนปิน ชอบพูดบนโต๊ะกินข้าวตลอดเวลาว่า ตนเองเป็นผู้ที่ผลักดันนโยบายในประเทศไทยได้ ทั้งยังชอบเชิญผู้หลักผู้ใหญ่พรรคไทยรักไทยไปที่สนามกอล์ฟตัวเองเพื่อเลี้ยงรับรองกันเป็นประจำ
       
        ที่สำคัญในปัจจุบันทางสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงปักกิ่งยังได้เช่าพื้นที่ชั้นล่างขนาด 500 ตารางเมตร ตึกกระทิงแดง (ตึกหัวปิน) ของนายเหยียนปินเพื่อขยายฝ่ายการกงสุล ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2547 โดยต้องเสียค่าเช่าเดือนละ 8 แสนบาท หรือปีละ 9.6 ล้านบาท ... ร่ำลือกันว่านี่ก็เป็นผลประโยชน์หนึ่งจากคอนเนคชั่นที่นายหน้าค้าไทยรักไทยผู้นี้มีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ
       
        อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าแปลกใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับปฏิเสธว่าไม่รู้จักนายเหยียนปิน กระทั่งนายสนธิ แฉหลักฐานว่านายกฯโกหก เพราะมีภาพถ่ายและภาพเคลื่อนไหวปรากฏให้เห็นว่า นายเหยียนปิน และพ.ต.ท.ทักษิณรู้จักและพูดคุยกัน ทั้งในงานเลี้ยงฉลองครบรอบ 83 ปี ของการตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อปี 2547 และที่สนามกอล์ฟของนายเหยียนปินเองเมื่อปี 2548 ที่สนามกอล์ฟดังกล่าวยังมีนายสุชน ชาลีเครือ ประธานสภาฯ ผู้ใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีร่วมอยู่ด้วย แต่พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่เคยชี้แจง!!
       
        พฤติกรรมดังกล่าว แสดงให้เห็นสายสัมพันธ์หัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายสุชน และนายเหยียนปินเป็นอย่างดี
       
        ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องประหลาดใจ คือการที่มีมหาเศรษฐีจากประเทศจีนคนหนึ่งรู้จักกับนายกรัฐมนตรีประเทศไทย หรือประธานรัฐสภา และนักการเมืองอีกมากมาย หรือจะเป็นนายหน้าขายบริษัทใหญ่ๆ ให้บริษัทจีน ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่น่าแปลกใจตรงที่ว่า นอกจากเจ้าหน้าที่รัฐจะไม่เคยมีการตรวจสอบว่าคนคนนี้ปลอมแปลงสัญชาติหรือไม่ นายเหยียนปิน ยังได้อาศัยการรู้จักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจและผลประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะในเมืองไทย หลายธุรกิจหากินบนความเดือดร้อนของประชาชนและเกษตรกรไทย
 

     
        ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2549 มีรายงานจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งกลายสภาพเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีไปแล้วระบุว่า ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ พำนักอยู่ในกรุงปักกิ่งของจีน หลังจากเดินทางไปถึงจีนเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา เพื่อขอพบ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี แต่ได้รับการปฏิเสธ
       
        ทั้งนี้แหล่งข่าวยังระบุด้วยว่า การเดินทางไปประเทศจีนครั้งนี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีนายเหยียนปิน ซึ่งเคยมีความสัมพันธ์กับอดีตนายกรัฐมนตรีมานาน และเคยถูกกล่าวหาว่าได้สัญชาติไทยเป็นผู้เลี้ยงดูปูเสื่อ!

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9490000135894
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
ภัทร
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 581


เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 26-01-2007, 14:38 »

หลานรวงข้าวล้อลมที่รักของปู่ เราช่วยหาให้หน่อยได้มั้ย ว่าตรงไหนที่ท่านนายกฯทักษิน ให้สัมภาษณ์จาบจ้างในหลวงผ่าน CNN ที่เจ้ายกมานั้น เพราะปู่เห็นพวกสนธิพยายามใส่ความว่าท่านนายกฯจาบจ้วง ปู่อยากรู้ว่าท่านนายกฯจาบจ้วยตรงไหน  หรือว่าสนธิ "โกหกหลอกสาวก"   แบบที่ผ่านๆมาหรือเปล่านะ ช่วยปู่หาหน่อยเร้ววว
บันทึกการเข้า

พวกเราต้องได้รู้ความจริงความเป็นไปทั้ง 2 ด้าน ไม่ใช่แค่จากสื่อเพียงด้านเดียวเท่านั้น

http://www.geocities.com/morrowind2545/Politics/Map.pdf

แค่ขอให้ลองอ่านดู แต่อย่าพึ่งเชื่อ ให้พิจารณาด้วยตนเองก่อน แล้ววิเคราะห์ตามไปด้วย จากนั้นถ้ารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ก็ช่วยๆกันน้ำไฟล์ map.pdf นี้ เผยแพร่ไปเรื่อยๆเพื่อให้เพื่อนๆทุกท่านได้อ่านกันอย่างทั่วถึง ขอบคุณครับ
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 26-01-2007, 15:06 »

หลานรวงข้าวล้อลมที่รักของปู่ เราช่วยหาให้หน่อยได้มั้ย ว่าตรงไหนที่ท่านนายกฯทักษิน ให้สัมภาษณ์จาบจ้างในหลวงผ่าน CNN ที่เจ้ายกมานั้น เพราะปู่เห็นพวกสนธิพยายามใส่ความว่าท่านนายกฯจาบจ้วง ปู่อยากรู้ว่าท่านนายกฯจาบจ้วยตรงไหน  หรือว่าสนธิ "โกหกหลอกสาวก"   แบบที่ผ่านๆมาหรือเปล่านะ ช่วยปู่หาหน่อยเร้ววว


 

--ลองอ่านดูนะคะปู่ภัทร  หนูก็ไม่ค่อยสันทัดกับภาษาปะกิตนักหรอกค่ะ----

CNN Thaksin interview sparks row
POSTED: 1:37 p.m. EST, January 17, 2007
By CNN's Dan Rivers
Adjust font size:
BANGKOK, Thailand (CNN ) -- A diplomatic row has erupted between Thailand's military junta and the government of nearby Singapore after CNN's exclusive interview with ousted Thai Prime Minister Thaksin Shinawatra.

Thailand's army rulers issued a statement expressing dissatisfaction that Thaksin had been allowed to meet the Singaporean deputy prime minister.

The meeting was thrust into the limelight when Thaksin broke his four-month public silence by appearing on CNN from Singapore to say "Enough is enough," promising to quit politics for good and expressing the desire to return from exile abroad to private life in Thailand.

Soon afterward, the foreign ministry in Bangkok announced that it was rescinding an invitation to Singaporean Foreign Minister George Yeo, scheduled for the end of January, and was freezing a civil-service exchange program with Singapore.

CNN's transmission of the interview with Thaksin was blocked by satellite company UBC throughout Thailand after the military ordered the country's news media to refrain from carrying any messages or images of him.

During the 30-minute interview, to be broadcast in full this weekend on CNNI's "Talk Asia," Thaksin denied a government claim that he was involved in a series of New Year's Eve bombings in Bangkok in which three people were killed.

He described the allegation as "baseless," adding that he had "no involvement at all" in the attacks and expressing "deepest sympathy for those who lost their loved ones and also all those injured."

Asked if he will return to politics in Thailand, the 57-year-old former leader said, "No. No, enough is enough. Six years you serve the countries. You've been working hard. You sacrifice your time, even your life. And even your family life. So it's, it's time for me to go back as a private citizen. And contribute to the Thai society outside political arena."

The message of reconciliation made front-page news in several of Thailand's newspapers, but local TV stations did not broadcast any portions of the interview.

Giles Ungakaporn, a professor of politics at Bangkok University and anti-coup activist, said the media had been threatened.

Army leaders met last week with Thai media chiefs and asked them not to report what Thaksin was saying. Though possible consequences for disobeying were not spelled out, several media commentators and columnists have said the army leaders implied that doing so could result in sanctions or intervention.

One Thai journalist who asked not to be identified told CNN that members of the Thai television news media were practicing "self-censorship," a decision she described as "not right," but unavoidable.

Martial law remains in place throughout Thailand, despite the army's promise made last October to lift it by the end of 2006. A resolution to do so still has not been approved by the country's constitutional monarch, King Bhumibol Adulyadej.

Life in Thailand has continued largely as normal since Sept. 19, when tanks rolled onto the streets and, claiming Thaksin was involved in corrupt practices, ousted the democratically elected leader.

Since then, the coup leaders -- who call themselves the Council for National Security -- have failed to present persuasive evidence that would prove their allegations that Thaksin is corrupt.

During its four months in power, the CNS has been accused of committing a series of blunders.

For example, its tax on some portfolio investments caused the stock market to plummet 15 percent in one day, a loss of $23 billion. A policy U-turn the next day exempting equities from the law helped trigger a recovery, but left many economists wondering if the army's leaders were competent to run one of Asia's booming economies.

Other announcements restricting foreign companies operating in Thailand have also unsettled investors.

Together with the clamp-down on the news media and continuing martial law, the reputation of Thailand has become tarnished in the eyes of some in the international community, with the Japan External Trade Organization saying several Japanese firms are considering putting off plans to invest there.

Many are left wondering whether 2007 will be even more tumultuous than were the last 12 months and, crucially, whether Thailand and its 62 million inhabitants are descending toward autocracy and economic decline.

http://www.cnn.com/2007/WORLD/asiapcf/01/17/thailand.thaksin/index.html
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
ภัทร
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 581


เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 26-01-2007, 15:08 »

ครับ หลานรวงข้าวล้อลม ..  มีที่แปลเป็นไทยแล้ว อ่านได้ที่นี่นะครับ

http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P5066216/P5066216.html
บันทึกการเข้า

พวกเราต้องได้รู้ความจริงความเป็นไปทั้ง 2 ด้าน ไม่ใช่แค่จากสื่อเพียงด้านเดียวเท่านั้น

http://www.geocities.com/morrowind2545/Politics/Map.pdf

แค่ขอให้ลองอ่านดู แต่อย่าพึ่งเชื่อ ให้พิจารณาด้วยตนเองก่อน แล้ววิเคราะห์ตามไปด้วย จากนั้นถ้ารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ก็ช่วยๆกันน้ำไฟล์ map.pdf นี้ เผยแพร่ไปเรื่อยๆเพื่อให้เพื่อนๆทุกท่านได้อ่านกันอย่างทั่วถึง ขอบคุณครับ
lekapuk
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 279



« ตอบ #9 เมื่อ: 27-01-2007, 01:29 »

ครับ หลานรวงข้าวล้อลม ..  มีที่แปลเป็นไทยแล้ว อ่านได้ที่นี่นะครับ

http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P5066216/P5066216.html


ไม่ต้องเอาลิงค์มาหรอกค่ะ ส่วนมากคนในบอร์ดนี้ไม่อยากเข้าไปที่วอร์รูมหรอก

แล้วอีกอย่าง ไม่เคยสักครั้งที่คำแปลที่มาจาก pantip จะแปลอย่างถูกต้อง ตรงตามความหมายจริงๆ

มีแต่ปรับเปลี่ยน เพิ่มเติม ตะแบงให้ได้ความหมายอย่างที่ตัวเองต้องการ 
บันทึกการเข้า

เกลียดทักษิณ ใช่ว่าจะชอบประชาธิปัตย์ อย่าเหมารวม ใช้ความคิดก่อนแสดงความคิดเห็นนะจ๊ะ
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 27-01-2007, 09:13 »

'สนธิ'เปิดใจซีเอ็นเอ็น 'เราไม่เคยกลัวทักษิณ'


26 มกราคม 2550 23:29 น.
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้สัมภาษณ์เปิดใจกับสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น โดยมี นายแดน ริเวอร์ส ผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นที่เคยสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ตั้งคำถาม

แดน ริเวอร์ส เริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า พวกเขาเคยสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เหตุใดเมืองไทยกลับรับภาพไม่ได้ ทาง คมช.มีการเซ็นเซอร์ หรือบล็อกสัญญาณหรือไม่ ประเด็นนี้ พล.อ.สนธิ ปฏิเสธว่า ไม่มีการบล็อกสัญญาณ แต่เราเห็นความสำคัญเรื่องความมั่นคง และความสงบเรียบร้อย จึงขอความร่วมมือกับสื่อมวลชนไทย ถ้าเป็นไปได้จะกรุณาไม่นำเสนอแถลงการณ์รายละเอียด หรือแนวความคิดใดๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งสื่อก็ให้ความร่วมมือ ถือเป็นการใช้ดุลยพินิจของสื่อ คมช.จะไปบีบบังคับไม่ได้ และไม่มีการบล็อกสัญญาณอย่างแน่นอน
 

แดน ริเวอร์ส ซักว่า มองอย่างไรกับประโยค "อีนาฟ อิส อีนาฟ" (Enough is enough = พอคือพอ) ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งสัญญาณว่าจะพอแล้วเกี่ยวกับเรื่องการเมืองไทย


 พล.อ.สนธิ ตอบว่า ถ้าพอจริงก็นับเป็นประโยชน์ต่อชาติและประชาชน ที่ผ่านมาทุกคนรู้ว่าในช่วงที่อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นรัฐบาลอยู่ มีเรื่องราวต่างๆ ที่คนไทยไม่พอใจ ฉะนั้นถ้าพอแล้วก็จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ แต่ถ้าสิ่งที่พูดบอกว่าพอ แล้วการปฏิบัติกลับตรงกันข้าม ก็ขึ้นอยู่กับประชาชนจะวิเคราะห์


พล.อ.สนธิ ยังบอกด้วยว่า ก่อนหน้านี้เคยคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งหมายถึงช่วงที่ยังเป็นผู้นำรัฐบาล แต่ในระยะหลังไม่ได้คุยกัน มีเพียงการพูดคุยกับคนใกล้ชิดของอดีตนายกรัฐมนตรีเท่านั้น

แดน ริเวอร์ส ถามว่า หลายฝ่ายมองว่า คมช. หวาดกลัวอดีตนายกรัฐมนตรี ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร พล.อ.สนธิ กล่าวว่า "ไม่จริง ไม่ได้หวาดกลัวอะไร สิ่งที่อดีตนายกรัฐมนตรีทำอยู่ถือ ไม่ว่าจะเป็นการให้สัมภาษณ์ หรือพูดในต่างประเทศ แล้วตอบโต้ คมช. ถือว่าเป็นประโยชน์ เพราะประชาชนทุกคนจะได้เห็นบุคลิกที่แท้จริงจากอดีตนายกรัฐมนตรี ว่าสิ่งที่พูดกับการปฏิบัติสอดคล้องกันหรือไม่

 
    นักข่าวซีเอ็นเอ็น ซักว่า หลังจากการสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ รัฐบาลไทยได้มีมาตรการทางการทูตกับสิงคโปร์ ถือเป็นการถอยหลังทางการทูตระหว่างไทยกับสิงคโปร์หรือไม่ พล.อ.สนธิ ตอบว่า เรื่องนี้ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นหลัก มิตรประเทศต้องเข้าใจมิตรประเทศด้วยกัน ถือเป็นมารยาททางการเมือง และเรื่องนี้เป็นความตกลงใจของรัฐบาล


    พล.อ.สนธิ ยังย้ำอย่างหนักแน่นเมื่อถูกถามว่า คมช.เป็นองค์กรที่มีอำนาจเต็มในปัจจุบัน โดยบอกว่า คมช.ไม่ได้มีอำนาจมากมายในการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญชั่วคราว คมช.มีอำนาจเพียงการคัดเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ รับสนองพระบรมราชการโองการให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง แต่งตั้งประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ และดูแลเรื่องความมั่นคงภายในประเทศเท่านั้น คมช.ไม่มีอำนาจคุมรัฐบาล ฉะนั้นเป็นความเข้าใจผิดหากคิดว่า คมช.มีอำนาจเต็มอยู่ในมือ

แดน ริเวอร์ส ยังตั้งคำถามถึงความคืบหน้าการตรวจสอบทุจริตในรัฐบาลชุดที่แล้ว ถึงวันนี้ผ่านมา 4 เดือนดูเหมือนจะยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมออกมา แต่ พล.อ.สนธิ แย้งว่า ที่พูดแบบนี้เป็นความไม่เข้าใจ


"เรามีองค์กรตรวจสอบ ทั้ง คตส. ป.ป.ช. ปปง. ซึ่ง คตส.มีเรื่องที่รับเข้ามาดำเนินการอยู่ทั้งสิ้น 52 คดี และ 13 คดี ได้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนแล้ว พร้อมดำเนินการส่งฟ้อง 5 คดี ซึ่งประกอบไปด้วยซีทีเอ็กซ์ ท่อร้อยสายไฟในสนามบินสุวรรณภูมิ การประมูลซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก โครงการทุจริตกล้ายาง และการขายหุ้นชินคอร์ป ส่วน ป.ป.ช.ก็มีคดีความรับดำเนินการจำนวนมาก แต่ว่ามีอยู่ 23 คดีเข้าสู่กระบวนการไต่สวนแล้ว และภายใน 1 เดือนจะมีการสรุปคดีให้มีความชัดเจนได้"

 
เมื่อถูกถามว่า อยากให้อดีตนายกรัฐมนตรีกลับมาต่อสู้คดีหรือไม่ พล.อ.สนธิ บอกว่า ขึ้นอยู่กับอดีตนายกฯจะตัดสินใจ แต่หลักการที่จะดำเนินการต่อสู้คดีมี 4 วิธี คือ

1.ส่งเอกสารชี้แจง

2.ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์

3.ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. และ คตส.เดินทางไปสอบปากคำที่ต่างประเทศ และ

4.เดินทางมาต่อสู้คดีที่ประเทศไทย ซึ่งก็แล้วแต่อดีตนายกฯว่าจะเลือกวิธีไหน




   อย่างไรก็ดี พล.อ.สนธิ เลี่ยงที่จะระบุตรงๆ เมื่อถูกถามว่า สงสัยหรือไม่ว่าอดีตนายกฯรู้เห็นกับการวางระเบิดอย่างน้อย 8 จุดในกรุงเทพฯ โดยบอกว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจการสอบสวนของตำรวจ ซึ่งผลสรุปยังไม่ชัดเจน แต่ยืนยันว่า ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่มาจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ต่อข้อถามที่ว่า ปัจจุบันมีทหารเข้าไปแทรกแซงอยู่ในทุกองค์กร จะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นเผด็จการทหารหรือไม่ พล.อ.สนธิ ปฏิเสธว่า ไม่ได้แทรกแซง แต่การปฏิรูปการปกครองเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ก็มีพี่น้องประชาชนมาให้กำลังใจกันเป็นจำนวนมาก มีการนำดอกไม้มาให้ทหาร เพราะประชาชนเห็นว่ารัฐบาลชุดเก่าใช้อำนาจเกินขอบเขต ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

"การปฏิรูปก็ทำไปตามคำเรียกร้องของประชาชน อันสืบเนื่องมาจากการใช้อำนาจเกินขอบเขตของรัฐบาลชุดเก่า ก่อนหน้านี้คนไทยอึดกับเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน การปฏิรูปการปกครองจึงถือว่าเป็นการผ่อนคลายความทุกข์ และต่อมาพี่น้องประชาชนยังเกิดความระแวงสงสัยเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน คณะรัฐบาลจึงได้ส่งทหารเข้าไปดูแลในบอร์ดต่างๆ เช่นสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อดูแลการทุจริต หรือองค์การโทรศัพท์ที่รัฐเสียประโยชน์เป็นหมื่นล้าน ทหารจะเข้าไปในองค์กรเหล่านี้ และทำให้องค์กรเกิดความโปร่งใสมากขึ้น"



พล.อ.สนธิ ยืนยันด้วยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตำรวจกับทหารยังดีเหมือนเดิม ไม่มีอะไรที่เป็นปัญหา และจะไม่มีการแทรกแซงการทำงานของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญตามที่หลายฝ่ายกังวล

   สุดท้าย แดน ริเวอร์ส ถามว่า เชื่อว่าระหว่างสัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็น พ.ต.ท.ทักษิณ ก็รับชมอยู่ จะส่งสัญญาณอะไรไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ บ้างหรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ......

"ขอฝากความระลึกถึงไปในฐานะที่เคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บังคับบัญชา เราคุยกันตลอดในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเรื่องของการทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง เราเป็นคนไทย เราต้องรักชาติ เราต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อชาติบ้านเมือง ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็ตาม ทำอะไรก็ให้ระลึกถึงชาติอยู่เสมอ และสงสารชาติบ้าง[/color]



หมายเหตุ ++ ซีเอ็นเอ็น มีปัญหาทางเทคนิคเล็กน้อย จึงไม่สามารถเผยแพร่คำสัมภาษณ์ของ พล.อ.สนธิ ได้ในวันศุกร์ที่ 26 มกราคมตามกำหนดเดิม และคาดว่าจะนำไปออกอากาศในวันจันทร์ที่ 29 มกราคมแทน

http://www.bangkokbiznews.com/viewNews.jsp?newsid=151175


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2007, 09:21 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 27-01-2007, 10:17 »

คอลัมน์ ปิดไม่ลับสเปเชี่ยล


กัญจนา สปินด์เลอร์

 
    ชัดเจน..แจ่มแจ้ง..แล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ ชื่อดังในสหรัฐ "บาร์เบอร์ กริฟฟิธ แอนด์ โรเจอร์ส" และบริษัทประชาสัมพันธ์ "อีเดลแมน" (EDELMAN) ในนิวยอร์ก ให้ช่วยในการเคลื่อนไหวผ่าน "สื่อนอก" เพื่อเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับแผ่นดินเกิดหากต่อ "จิ๊กซอว์" คงจะเห็นภาพชัดขึ้น



   นับจากวันที่หนังสือพิมพ์ฮ่องกง ลงภาพข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ควงแขนไปช็อปปิ้งที่ฮ่องกง ในกลางเดือนพฤศจิกายน 2549

ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะบินไปบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อตีกอล์ฟ และพบรัฐมนตรีคนสำคัญคนหนึ่งของอินโดนีเซียเป็นการส่วนตัว

ทุกอย่างที่ปรากฏเป็น "ข่าว" ผ่าน "สื่อนอก" ถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นสเต็ป

ชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อมีการนัดพบรองนายกฯ 2 คนของสิงคโปร์ การสัมภาษณ์ผ่าน "ซีเอ็นเอ็น" และ "วอลสตรีท เจอนัล" โจมตีนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ทำเงินสูญไปกว่า 7.8 แสนล้าน


  นายอลัน แวนเดอร์โมเลน รองประธานบริษัท อีเดลแมน ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ยอมรับกับนิวยอร์กไทม์สว่า "เราทำงานกับ พ.ต.ท.ทักษิณตามความสามารถของเขาในฐานะเป็นพลเมืองคนหนึ่งและผลักดันให้สื่อบางสื่อได้ช่วยสนับสนุนความพยายามของ พ.ต.ท.ทักษิณในการเดินทางกลับประเทศไทยเท่านั้น"

บรรพต หงส์ทอง

 

แค่นี้ก็ชัดว่า ทุกความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณถูกวางแผนและผ่านกระบวนการของทั้ง 2 บริษัทอย่างเป็นระบบ

โดยทั้ง 2 บริษัท แยกกันทำงาน

บาร์เบอร์ กริฟฟิธฯ" ทำหน้าที่ติดต่อ "รัฐมนตรี" หรือ "บุคคลสำคัญ" รวมถึง "สื่อ" ต่างประเทศ

ขณะที่ บริษัทประชาสัมพันธ์ อย่าง "อีเดลแมน" ทำหน้าที่เผยแพร่ข่าวสารความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ

เหตุผลที่ต้องจ้าง "อีเดลแมน" เพื่อเผยแพร่ข่าวสาร เพราะเป็นบริษัทที่มี "เครือข่าย" ที่เข้มแข็งทั่วโลก



อย่างในเอเชีย ที่ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ www.edelman.com พบว่ามีมือไม้หลายแห่ง อย่าง ประเทศจีน มีเครือข่ายกระจายอยู่ถึง 4 แห่ง กระจายไปตามหัวเมืองใหญ่ๆ ของจีน

นอกจากนั้น ยังมีในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม รวมถึงประเทศไทยด้วย

ที่น่าสนใจคือในประทศไทย บริษัทที่เป็นเครือข่ายของ "อีเดลแมน" คือบริษัท สปินด์เลอร์ แอสโซซิเอท ตั้งอยู่เลขที่ 146 ถนนสุโขทัย กทม.

ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ มีการระบุชื่อผู้ติดต่อไว้ว่า "จูเลียน สปินด์เลอร์"

เป็นคนเดียวกับ "จูเลี่ยน สปินด์เลอร์" บุรุษข้างกาย "กัญจนา สปินด์เลอร์" รองเลขานายกฯฝ่ายการเมือง ในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์




ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมีคิวให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศอย่างไม่ขาดสาย
พล.อ.วินัย ภัททิยกุล

 


แว่วมาว่า ในจังหวะเดียวกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณไปญี่ปุ่น พักอยู่ที่โรงแรมอิมพีเรียล ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นในหัวข้อ "การค้าไทยในญี่ปุ่น" ก็ได้จองโรงแรมอิมพีเรียลเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ หนึ่งในคณะผู้ร่วมทีม มีชื่อของ "บรรพต หงส์ทอง" ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ทราบมาว่า ทันทีที่ "ปลัดบรรพต" ถึงโรงแรมอิมพีเรียล และรู้ว่ามีนายเก่าที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ พักอยู่ที่โรงแรมเดียวกัน แทนที่เจ้าตัวจะเข้าไปทักทายตามประสาคนรู้จักและเคยทำงานร่วมกันมา

"ปลัดบรรพต" สั่งเจ้าหน้าที่ให้ย้ายโรงแรมอย่างกะทันหัน

งานนี้เล่นเอาหลายคนออกมาวิเคราะห์เป็นฉากๆ ว่า ที่ท่านปลัดบรรพตทำเช่นนี้ ถ้าไม่เคยมีเรื่องแค้นเคืองกับนายเก่าแล้ว หรือกลัวว่าจะมีข่าวผิดๆ ว่าดอดหารือนายเก่า

คงมีเหลือประเด็นเดียว คือกลัวถูกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ทวงตำแหน่งคืน เพราะท่านปลัดคือบุคคลที่ถูกย้ายข้ามห้วยจากอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ มาเป็นปลัดกระทรวงเกษตรฯในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ นั่นเอง...


http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01pol07270150&day=2007/01/27&sectionid=0146
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2007, 10:37 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 27-01-2007, 13:36 »

**   ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นหน่อยนะคะว่าแม้   จขกท. จะคัดลอกจากเวบ
ผู้จัดการมาให้อ่านกัน  หลายคนอาจจะไม่ศรัทธาคุณสนธิมากนัก  แต่การอ่านก็แค่การอ่าน
บทความนี้จะเป็นไปได้ จริงเท็จ อย่างไร อยู่ที่ความเป็นเหตุเป็นผล  การวิเคราะห์ของ
ผุ้อ่านเอง  มิใช่หรือ....

 ..... แต่เมื่อท่านอ่านแล้ว  ท่านจะวิเคราะห์แสดงความคิดเห็นว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย 
ก็เป็นสิทธิที่ท่านพึงมีได้ ...ในการเล่นกระทู้ในเวบบอร์ด  ........


... ถ้าท่านอ่านแล้วเงียบๆ บางครั้งก็น่าเสียดาย ความคิดที่ต่าง  ความคิดที่เหมือน  ที่เราสามารถแลกเปลี่ยน
ความคิดกันได้  ...แม้ว่า   กระแส  ....สื่อสารมวลชน  สื่อสิ่งพิมพ์และอีกหลายความคิด จะสรุปว่า.....
 อดีตนายก  โกงจริง ไม่สุจริตจริง  เพราะ หลักฐานมีเพียบอย่างเชิงประจักษ์ แม้จะเถียงว่า...  ไม่โกง
จะฟังยากใน ณ  วินาทีนี้ก็ตาม




...แล้วคนที่รัก  คนที่นิยม ศรัทธา อดีตท่านนายก ท่านไม่สามารถ
ให้เหตผล  หา แหล่งข้อมูล  แหล่งอ้างอิง  ที่จะมาแสดงความคิดเห็น หักกลบลบ..มุมลบ
ของอดีตท่านนายกท่านนี้เชียวหรือคะ  ?///



** จขกท. ก็คือ คนหนึ่งที่เชื่อว่า อดีตนายก โกงจริง ไม่สุจริตจริง
แต่ใจก็อยากฟัง  อยากอ่าน ความคิดทั้งสองมุมมอง  อยากให้
ความคิด การแสดงความคิดเห็นทั้งที่เป็นมุมบวก และมุมลบ มัน
หักล้างกันเอง ในความคิดของผู้อ่าน  อยากได้ที่มันถ่วงดุลย์
ในตัวของมันเอง ...ว่า  ในมุมบวกเค้าเป็นอย่างนี้นะ  ในมุมลบ
เค้าเป็นอย่างนี้นะ ...เพื่อจะได้ประมวลข้อเท็จจริงทั้งหมดว่า
ที่  บวกและที่ลบ  ไหนมากกว่ากัน  และภาพรวมแล้ว....



***อดีตท่านนายก ฯ  ขายชาติ ทำลายชาติ จริงหรือเปล่า
ระหว่างการบริหารงานเชิงนโยบาย ทุจริตเชิงนโยบาย  กับสุจริตเชิงนโยบาย
อันไหนมากกว่ากัน ...  เมื่อหักลบแล้ว เกิดประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวมอันไหน
มากกว่ากัน ????


.........................................................................................................


*จับไต๋ “คำลวง” ทักษิณวางมือการเมือง   


     *บ่งชี้เครือข่ายระบอบทักษิณยังเคลื่อนไหว ส่งน้ำเลี้ยงแบบ “โพยก๊วน” ให้รับเงินจากกระเป๋านายทุน เพื่อหลบการตรวจสอบของระบบธนาคาร
        *คมช.มั่นใจ ผลการชี้ความผิดแกนนำกลุ่มอำนาจเก่า น่าจะดำเนินคดีได้หลายกรณี
        *นักวิชาการวิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อน พร้อมแนวทางแก้จุดอ่อน เพื่อแก้ปัญหาให้สำเร็จ
       
       พลเอกอนุพงศ์ เผ่าจินดา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และผู้ช่วยเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวกับ “ผู้จัดการรายสัปดาห์” ว่า การที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พยายามเคลื่อนไหวนอกประเทศ โดยใช้เครื่องมือสื่อให้ต่างประเทศเข้าใจและทำให้เกิดการรับรู้ว่าสถานการณ์ประเทศไทยว่าเป็นอย่างไร และเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่ แต่ก็ทำให้เกิดผลทำให้ต่างชาติมองคมช.ไม่ดี
       
       “การกลับเข้ามาในประเทศ ในแง่กฎหมาย ส่วนชี้มูลความผิดได้ เมื่อผิดแล้วและกลายเป็นคดีอาญา ซึ่งเมื่อมีการควบคุมตามกฎหมาย จะต้องคิดถึงการแก้ไขสถานการณ์ เพราะมองตามรูปการณ์คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) สามารถเอาผิดได้ และถ้าไม่ผิดก็อยู่เฉยๆ สู้คดีตามกฎหมาย และจะสร้างคะแนนเสียงโดยขอเข้ามาต่อสู้คดีมีทนายต่อสู้กันด้วยหลักฐานตัวบทกฎหมาย ไม่ต้องมีขบวนกองเชียร์มาต้อนรับที่สนามบินที่ไม่เกิดประโยชน์ ตรงกันข้ามถ้าทำเพื่อประเทศชาติ ก็ออกมาประกาศไม่ให้กองเชียร์ที่สนับสนุนมา เพราะจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย”
       
       โดยมั่นใจว่าทักษิณมีความผิดจาก


     1.คดีการยุบพรรค

    2.การชี้มูลความผิดเรื่องการซื้อที่ดินย่านรัชดาของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยาอดีตนายกฯ และการจัดซื้อเครื่องตรวจจับซีทีเอ็กซ์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ
       
       อำนาจเก่าเคลื่อนไหวลับ
       ส่งเงินผ่านช่องทางใหม่
   
 

   
       พลเอกอนุพงศ์ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ขณะนี้มีความเคลื่อนไหวที่มีเหมือนเป็นการส่งสัญญาณโดยนัย โดยเข้ามาในลักษณะทุนแบบตั๋วเงิน ใช้เครดิตแทนเงินที่ไม่ได้เป็นเส้นทางปกติ ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะหากมีการเคลื่อนไหวเงินในระบบเดิมจะมีแบงก์ชาติจับตามองอยู่ และสามารถสาวถึงต้นตอได้ ส่วนการเคลื่อนไหวโดยกลุ่มอำนาจเก่า ร่างทรงเก่า และหัวคะแนนที่เข้าถึงระดับรากหญ้า ที่ต้องการพลิกสถานการณ์กลับมาไม่สามารถทำการเคลื่อนไหวได้ เพราะโดนจับตามองอยู่เช่นกัน
       
       “มั่นใจว่าระบอบทักษิณไม่สามารถกลับมาได้ เพราะทุกอย่างจบแล้ว เมื่อหยุดการใช้อำนาจ มีการตั้งรัฐบาลและมีขั้นตอนการตั้งรัฐธรรมนูญ ไม่มีทางกลับมา” พลเอกอนุพงศ์ กล่าว
       
       ท่ามกลางความพยายามกลับคืนสู่อำนาจนั้น หลายฝ่ายมองกันว่า สิ่งที่กลุ่มอำนาจเก่าพยายามก็คือ ทำให้เกิดภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดี สร้างความระส่ำ ระสาย ก่อให้เกิดความวุ่นวาย ปลุกรากหญ้าพร้อมกับคนในเมืองก่อให้เกิดจราจล ซึ่งต้องการให้เกิดนัยว่า คมช.และรัฐบาลไม่สามารถจะปกครองประเทศได้ เศรษฐกิจเลวลง ความมั่นคงปลอดภัยไม่มี
       
       ถ้ามองในเชิงยุทธศาสตร์ของคมช.และรัฐบาล ที่อยู่ท่ามกลางการเคลื่อนไหวของฝั่งตรงข้าม คือ การบริหารที่อยู่ภายในคอนเซปต์เดิม โดยหยุดการใช้อำนาจของกลุ่มการเมืองเก่า และเหตุผลของการตั้งรัฐบาลขึ้นมาและไม่ทำโครงการใหญ่ เพราะตัวเองไม่ได้เกิดมาจากการเลือกตั้ง หน้าที่เพื่อประคองการบริหารงานราชการแผ่นดินให้เกิดการเลือกตั้ง
       
       แหล่งข่าวกล่าวว่า ต้องยอมรับช่วงที่ผ่านมาคมช.และรัฐบาล มีจุดอ่อน1.สถานการณ์ความมั่นคง ที่มีการวางระเบิด ไม่ว่าจะเป็นฝีมือใครทำ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคมช.และรัฐบาลต้องรับผิดชอบ 2.แนวคิดรัฐบาลไม่ทำการตลาดหวือหวา ดังนั้นวิธีการปิดจุดอ่อนนั้นคือ พยายามผลักดันทุกวิถีทาง แก้ไขด้านเทคโนโลยีเพื่อรักษาความปลอดภัย การก่อวินาศกรรมในเมืองค่อนข้างมั่นใจว่าจบ เพราะไม่ใช่กลุ่มก่อการร้ายจากภาคใต้ และในเมืองกรุงเริ่มตื่นตัวช่วยกันสอดส่องระวังมากขึ้น
       
       สำหรับภารกิจด้านการสื่อสารทำความเข้าใจกับสังคม เพื่อสยบการก่อกวนของกลุ่มอำนาจเก่าและทำให้เกิดการเมืองใหม่นั้น มีการคุยพูดกันภายในและอยู่ระหว่างการออกแบบโปรแกรมกลยุทธ์การสื่อสาร และไม่เห็นด้วยกับการสื่อสารโดยใช้สปอตผ่านช่องทางสื่อทั้งหมดของกองทัพ แต่เห็นจุดอ่อนว่า การยิงสปอตแบบถี่นั้นไม่สามารถสร้างผลกระทบได้มากนัก โดยเห็นว่าการวิจารณ์นำเสนอข่าวทั้ง 2 ด้านของสื่อกลับเป็นช่องทางที่มีศักยภาพสูงและสามารถสร้างการรับรู้ และเข้าถึงประชาชนได้มากกว่า
       
       ยุทธศาสตร์กำจัดจุดอ่อน คมช.   

   
         ความเคลื่อนไหวของ ทักษิณ ชินวัตร ในการเดินทางไปประเทศต่างๆ และให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศนั้น รวมทั้งการจ้างบริษัท บาร์เบอร์ กริฟฟิธ แอนด์ โรเจอร์ส (บีจีอาร์) ล็อบบี้ยิสต์ชั้นนำของสหรัฐฯ ให้ทำงานให้นั้น เป็นยุทธศาสตร์ที่อดีตนายกรัฐมนตรีจงใจสร้างขึ้นเพื่อให้เกิดแรงกระเพื่อมทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง (อ่านล้อมกรอบ จ้างลอบบี้ยิสต์ เปิดศึกข้ามชาติ)
       
        ล่าสุด สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานเมื่อวันที่ 23 มกราคม ว่า ทักษิณเพิ่งให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์อาซาฮี ในญี่ปุ่นอีกครั้งว่า ที่สุดแล้วประเทศไทยก็จะไม่สามารถอดทนกับระบบเผด็จการได้
       
        และในตอนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์ “ทักษิณ” ยังพูดด้วยว่า ผมคิดว่าผมสามารถเป็นประโยชน์ให้กับประเทศได้บ้าง ผมสามารถบอกกับผู้สนับสนุนผมได้ว่า โอเค ถึงเวลาที่เราจะรวมตัวกันได้แล้ว ผมสามารถฟื้นความน่าเชื่อถือของประเทศไทยได้ โดยเฉพาะด้านปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ
       
        ถือเป็นความเคลื่อนไหวทางด้านสื่อครั้งล่าสุดที่ออกมา “ขย่ม” รัฐบาล พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ คมช. (อ่านล้อมกรอบ เหลี่ยมจ้อผ่านสื่อยุ่น ขย่มไทยอีกระลอก)
       
        รศ.ดร.เสรี วงศ์มณฑา ผู้อำนวยการโครงการหลักสูตรการจัดการดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ในฐานะนักวารสารศาสตร์ชื่อดัง กล่าวว่า การที่ ทักษิณ ชินวัตร เดินทางไปประเทศต่างๆ และให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศนั้น เป็นการจงใจให้เกิดอะไรบางอย่างในทางยุทธศาสตร์ด้านสื่อ ซึ่งจะเห็นว่าขณะที่ ทักษิณ อยู่ที่ประเทศจีนก็พิมพ์ประวัติแจก ไปสิงคโปร์ก็ให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็น และเอเชียนวอลล์สตรีท เจอร์นัล ไปฮ่องกงก็ให้คนของตัวเองไปพบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการกำหนดและวางแผน (plot and plan) ให้เกิดขึ้น
       
               “ทักษิณทำเรื่องเหล่านี้ด้วยความต้องการลึกๆ เพื่อจะบอกว่าเขาไม่ยอมแพ้ เพราะโดยนิสัยส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนไม่ยอมแพ้ใคร แต่ในทางยุทธศาสตร์เขาต้องอาศัยนักยุทธศาสตร์ด้านสื่อเข้ามาช่วยวางแผนให้ ซึ่งในเรื่องนี้ ตนในฐานะเป็นนักยุทธศาสตร์ด้านสื่อคนหนึ่งเคยทำให้บริษัทต่างๆ มานาน”       
                                 
    เหตุกลัวติดภาพเผด็จการ
   
 

 
        หากสังเกตความเคลื่อนไหวทางด้านสื่อของ พลเอกสุรยุทธ์ และคมช. ในช่วงเวลานี้ กับตลอดเวลาที่ผ่านมาจะเห็นว่า เป็นยุทธศาสตร์แบบตั้งรับตลอดเวลา และมีปัญหาในด้านการสื่อสารมาตลอด เรื่องนี้ นักวารสารศาสตร์ และนักวางกลยุทธ์ด้านประชาสัมพันธ์ชื่อดัง มองว่า ในเชิงการตลาดต้องมีสินค้าก่อนแล้วจึงจะมาโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้านั้น ปัญหาเรื่องการสื่อสารเป็นปัญหาที่มาที่หลัง ปัญหาที่มาก่อนคือคมช.ไปติดหล่มภาพลักษณ์ คำว่าติดหล่มภาพลักษณ์คือ คมช.กลัวเกินไปว่าจะเป็นเผด็จการ กลัวเกินไปว่าจะทำการอันใดแล้วเข้าข่ายสืบทอดอำนาจ
       
       “จากความกลัวนี้เองเลยทำให้สิ่งที่เขาควรจะทำเพื่อขยายความ 4 เหตุผลหลักในการยึดอำนาจยังไม่ปรากฏชัด” ดร.เสรี กล่าว และว่า ดังนั้น เมื่อยังไม่ปรากฏชัดเลยทำให้เรื่องของการเผยแพร่สื่อสารประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับเรื่องที่ คทช.กล่าวหารัฐบาลชุดที่แล้วไว้มันไม่เข้มข้น เช่น ทักษิณทำให้เกิดการแตกแยกของแผ่นดินอย่างไรเราก็ยังไม่เห็นชัดเจน ทักษิณทุจริตอย่างไร
       
        หรือเรื่องที่รัฐบาลที่แล้วได้เข้าไปแทรกแซงองค์กรอิสระ ครอบงำองค์กรอิสระ แทรกแซงการทำงานของสื่อ จนทำให้สื่อ และองค์กรอิสระไม่สามารถถ่วงดุลได้ เรื่องนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจน หรือแม้ในเรื่องการล่วงละเมิดพระราชอำนาจก็ยังไม่มีความชัดเจนเช่นเดียวกัน ตอนนี้เหมือนกับว่าทางรัฐบาล และคมช.ไม่มีโปรดักส์ก็เลยไม่มีอะไรที่จะมาโฆษณาประชาสัมพันธ์
       
        “ถ้าจะทำการสื่อสารให้ดีขึ้นเขาจะต้องไปปรับปรุงโปรดักส์ตรงนี้ก่อน คือเรื่องของ 4 เหตุผลนี้ให้มีความชัดเจน” นักวางแผนกลยุทธ์การประชาสัมพันธ์ชื่อดัง กล่าว
       
        ดร.เสรี ยังกล่าวอีกด้วยว่า จากปัญหาที่ คมช.ยังไม่สามารถทำให้สื่อมวลชนทั้งหลายมั่นใจว่าอำนาจเก่าจะไม่กลับ ดังนั้น บรรดาสื่อมวลชนทั้งหลายจึงใส่เกียร์ว่าง ไม่กล้าลุยในการนำเสนอความเลวร้ายของระบบทักษิณอย่างเต็มที่ ไม่กล้าแสดงตนเข้าข้างคมช.อย่างเต็มที่ ทำให้คมช.เกิดความเสียเปรียบ ขณะเดียวกันคมช.และรัฐบาลก็ไม่เข้าใจและไม่ยอมรับว่าการที่จะมีการสื่อสารการประชาสัมพันธ์มันต้องมีงบประมาณ การที่จะขอให้สื่อมวลชนช่วยแบบปกติธรรมดาคงไม่ได้ เพราะสื่อมวลชนเคยชินแล้วว่าการประชาสัมพันธ์ภาครัฐต้องมีงบประมาณ เช่นจะประชาสัมพันธ์ด้านสาธารณสุขต้องมีการจ่ายเงินให้กับเอเยนซีมาวางแผน
       
        “คมช.จะมาหวังว่าตนเองทำเพื่อประเทศชาติ ทำสิ่งดีงามฉะนั้นสิ่งดีเหล่านี้สื่อมวลชนควรจะ pick up เอาไปนำเสนอ อย่างนั้นไม่ใช่ ตามหลักของการประชาสัมพันธ์ที่พวกสื่อเขายึดอยู่ก็คือ ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตัง ฉะนั้นอะไรก็ตามที่คมช.ทำไม่ดีก็ไม่ต้องไปจ้างเขาทำ เขาลงให้เอง แต่ในสิ่งที่คมช.ทำดีหรือรัฐบาลทำดี กลับไม่ได้ลง”
       
        ดังนั้น จึงต้องมีแผนงานการประชาสัมพันธ์ ต้องมีงบประมาณการประชาสัมพันธ์ เพราะการใช้งบประชาสัมพันธ์จะเป็นไปตามหลักของการสื่อสารการตลาดว่า ถ้าต้องการจะสื่อสารอะไรที่เกี่ยวกับสินค้าและบริการ ผู้ต้องการสื่อสารต้องควบคุม (Control)ได้ ควบคุมได้คือต้องจ่ายเงินซื้อสื่อ มิเช่นนั้นประเด็นที่ต้องการให้ลงก็ไม่ลง แต่ประเด็นที่ไม่ต้องการให้ลงกลับไปลง
       
        “สิ่งที่คมช.ขาด คือ ประการแรก ขาดโปรดักส์ที่ดี คือขาดการทำงานที่ชัดเจนเกี่ยวกับ 4 เหตุผลหลักที่จะมาพูดคุย ประการที่สอง คือไม่มีนักยุทธศาสตร์การประชาสัมพันธ์จะมานั่งทำงานอย่างจริงจัง และประการที่สามไม่มีงบประมาณในการประชาสัมพันธ์คาดหวังจิตสำนึกของสื่อว่าทำดีแล้วจะได้รับการเผยแพร่” ดร.เสรี กล่าว
       
        ในส่วนของงบประมาณนั้น ดร.เสรี กล่าวว่า ถ้าจะใช้ก็ใช้ได้ งบกลางมีตั้งมากมาย แต่คมช. และรัฐบาลไม่กล้าใช้ เพราะกลัวว่าจะสร้างภาพแบบรัฐบาลชุดที่ผ่านมา อีกทั้งเมื่อจะเข้าไปขอความร่วมมือกับสื่อก็เกรงสื่อมองว่าแทรกแซง
       
        “จริงแล้วทุกวันนี้ที่คมช.ตกหล่มสมานฉันท์ ตกหล่มกลัวการเป็นเผด็จการ ก็เกิดขึ้นจากสื่อนี่แหละที่เขียนบอกว่าระวังอย่าสืบทอดอำนาจ ระวังอย่าย้ำรอยรสช. ไปพูดอย่างนี้จนเขาทำอะไรต้องระวังมาก จริงแล้วสื่อต้องมองในสถานการณ์บางอย่างต้องช่วยคมช.ด้วย เพราะอย่าลืมว่าเขาบริหารประเทศไม่ใช่ในภาวะปกติ บริหารประเทศภายใต้สภาวะ ดังนั้น ถ้าเขาคุยกับสื่อ เขาเรียกร้องสื่อขอร้องสื่อ อย่าไปเรียกว่าเขาแทรกแซง เพราะถ้าเขาแทรกแซงหมายถึงเขาใช้อำนาจบังคับ นี่ไม่ใช่บังคับ แต่เป็นการขอร้อง ซึ่งควรเข้าไปอยู่ในสำนึกของสื่อบ้าง”
       
       ถึงเวลารุกกลับทักษิณ
       มาช้าดีกว่าไม่มา


     
        ดร.เสรี กล่าวอีกว่า ภาพรวมของการออกมาตอบโต้ของรัฐบาล และคมช.ในวันนี้อาจจะช้า และมุ่งทำงานเชิงรับมาตลอด ดังจะเห็นได้จากทักษิณรุกมาที ทางรัฐบาลก็แก้ข่าวไปที ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่คมช.ต้องมาทำงานเชิงรุก
       
        “มีอะไรที่อยากจะพูดเกี่ยวกับความดีของตนก็ต้องมีการวางแผนงานประชาสัมพันธ์ มีงบประชาสัมพันธ์ ขณะเดียวกันอยากจะชี้แจงความเลวร้ายระบอบทักษิณอย่างไรก็ต้องวางแผนพูดไปก่อน ไม่ใช่ให้ทักษิณมาแก้ตัวว่าผมไม่ผิดกฎหมาย ผมมาจากการเลือกตั้ง แล้วคมช.จึงไปนั่งอธิบายทีหลังว่า การเลือกตั้งแต่มันก็โกง การไม่ผิดกฎหมายมันก็เป็นการออกกฎหมายมารองรับการทำผิดของตนเอง หรือใช้เนติบริกรตีความให้กับตัวเอง สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นแล้วเราจะมาขยับที ขยับทีมันไม่ได้ มันต้องทำงานเป็นแบบเชิงรุก ถึงแม้จะบอกว่าเวลานี้จะช้าไปแต่ไม่ได้บอกว่า ไม่ควรทำ ช้าอย่างไรก็ควรทำ ถ้าเราวิ่งทีหลังคนอื่น เราอาจวิ่งให้เร็วกว่าคนอื่นได้”
       
      วิเคราะห์ทักษิณ-คมช.
       ใครได้เปรียบ-เสียเปรียบ


       
        หากวิเคราะห์ภาพการใช้สื่อระหว่างอดีตนายกรัฐมนตรี กับคมช. และรัฐบาลชุดนี้ ภายใต้กรอบ Swot Analysis ที่มองถึงจุดแข็ง (Strength) จุดอ่อน (Weakness) โอกาส (opportunity) และอุปสรรค (Threat) จะพบว่า จุดแข็งของทักษิณ คือ ใช้สื่อเป็น และมีเงิน จุดอ่อน คือ ในฐานะของผู้ต้องหา และผู้ถูกกล่าวหาในหลายๆเรื่อง ดังนั้น การสื่อสารที่ออกมาจึงถูกมองว่าไม่ใช่เรื่องจริง ส่วนโอกาสของทักษิณมีสื่อพร้อมที่ยอมรับเงิน มีข้าราชการที่ยังเกรงกลัวในอำนาจและอิทธิพล จึงพร้อมใจเข้าเกียร์ว่าง เนื่องจากกลัวการกลับมาของทักษิณ ส่วนอุปสรรคของทักษิณ คือ คมช.เป็นทหาร ซึ่งหากวันใดคิดจะทำอะไรจริงจังขึ้นมา ทักษิณก็คงอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่แน่นอน
       
        สำหรับจุดแข็งของ คมช. คือ ความเป็นทหาร มีกองทัพอยู่ในมือ ได้รับเสียงเชียร์จากประชาชนเมื่อตัดสินใจเข้ามาทำการปฏิวัติ ภาพลักษณ์ทางสังคมของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นสุภาพบุรุษ จุดอ่อน คือ ไม่มีนักยุทธศาสตร์ทางการประชาสัมพันธ์ที่แท้จริงอยู่ในทีม ไม่คิดจะใช้งบประมาณ และเป็นคนที่ห่วงภาพลักษณ์ในการดำเนินงานที่จะต้องเป็นเผด็จการอย่างอ่อนๆ ส่วนโอกาสในเวลานี้ คือ ประชาชนเอาใจช่วย และภาพลักษณ์ของทักษิณไม่ดีค่อนข้างมาก ดังนั้น หากคมช.และรัฐบาลสื่อสารข้อมูลข่าวสารออกไปด้วยความชัดเจนแจ่มแจ้งและความถี่ที่สูงไม่ยากที่จะทำให้ประชาชนที่ยังฝังใจ และชื่นชมกับระบอบทักษิณได้รับรู้ความเป็นจริง และเปลี่ยนใจมาเข้าข้างรัฐบาลและคมช.ในที่สุด ส่วนอุปสรรค คือ ข้าราชการที่ไม่ร่วมมือกับคมช. ยังพบเห็นการใส่เกียร์ว่างที่ยังมีมากทั้งในส่วนของข้าราชการและเอกชน นอกจากนี้ทักษิณมียังเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจทำเงินตกอยู่ในมือสื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพื่อให้ทำการต่อต้านคมช. และเชียร์ทักษิณ หากเป็นจริงคมช.คงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
       
      รัฐบาลเดิมเกมเข้าทาง “เหลี่ยม” 

     
        ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญญาวงศ์ คณบดีคณะรัฐประศาสนศาสตร์สถาบันบัณฑิตพัฒน-บริหารศาสตร์ (นิด้า) วิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ที่ดูเหมือนว่ารัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีเดินเกมเข้าทาง ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรีอยู่เสมอหรือการใช้สื่อของรัฐชี้แจงต่อประชาชนก็ดูล่าช้าไม่ทันใจ ว่า ต้องเข้าใจก่อนว่ารัฐบาลชุดปัจจุบัน คือรัฐบาลเฉพาะกิจเข้ามาสะสางปัญหาบ้านเมืองโดยเฉพาะเรื่องสำคัญๆ ที่รัฐบาลชุดก่อนทำผิดพลาดเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความแตกแยกของคนในสังคม,ปัญหาคอร์รัปชั่น,แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญและเหตุผล4ข้อที่ใช้เป็นเหตุผลในยึดอำนาจรัฐบาลชุดที่ผ่านมาปัญหาเหล่านี้คือปัญหาหลักๆที่ต้องเร่งดำเนินการให้เสร็จทันตามวาระของรัฐบาลปัจจุบัน
       
        อย่างไรก็ดีสิ่งที่หลีกเหลี่ยงไม่ได้คือความคาดหวังของสังคมที่ดูเหมือนรัฐบาลจะทำงานช้าไม่ทันใจดูอืดอาด เพราะหากเปรียบเทียบกับรัฐบาลของทักษิณ การขับเคลื่อนนโยบายเป็นรูปธรรมที่ประชาชนจับต้องได้ชัดเจน มีเป้าหมายตามที่ประกาศไว้ตอนหาเสียงแต่ถูกผิดอีกเรื่องหนึ่งเพราะรัฐบาลชุดที่แล้วมาจากการเลือกตั้งมาจากการอาสาเข้ามาทำหน้าที่จึงตอบโจทย์ประชาชนแบบประชานิยม ซึ่งต่างกับรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ที่มีกรอบระยะเวลาในการทำงานที่จำกัดจึงทำเฉพาะเรื่องที่สำคัญๆประชาชนจึงรู้สึกไม่ทันใจไม่ทันการณ์
       
        “ผมคิดว่ารัฐบาลจะให้ความสำคัญกับเรื่องประชาสัมพันธ์ผลงานมากขึ้น และให้มีประชาชนมีส่วนร่วมในการทำงานของรัฐบาล ซึ่งเท่าที่ผมได้พูดคุยกับนายกรัฐมนรัฐมนตรีท่านก็บอกว่าต่อไปนี้การออกกฎหมายต่างๆประชาชนต้องรับรู้ถึงข้อดี-ข้อเสียให้ครบทุกด้านไม่ใช่ให้เป็นข่าวออกไปแล้วจึงค่อยมาแก้กันทีหลังอย่างนั้นมันไม่ทันการณ์” ดร.สมบัติ ระบุ
       
        นอกจากนี้แล้วที่หลายฝ่ายมองว่ารัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ไม่ทันเกมทักษิณนั้นก็ไม่จริงไปทั้งหมดเพราะรัฐบาลชุดปัจจุบันไม่มีหน้าทำการเมืองเพื่อต่อสู้กับขั้วอำนาจเก่า แต่เข้ามาเพื่อความปรองดองของคนในชาติจึงทำเฉพาะเรื่องที่จำเป็นจริงๆ ส่วนเรื่องนโยบายที่ไม่ต้องเร่งด่วนมากก็ให้รัฐบาลชุดต่อไปที่มาจากการเลือกตั้งเข้ามาหน้าที่นั้นได้
       
       ขาดการวางกลยุทธ์
       เลยเละเป็นโจ๊ก
   
     
        ชลิต ลิมปนะเวช คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ หรือเอแบค กล่าวว่า การที่คมช.ไม่สามารถดำเนินการกับระบอบทักษิณอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เป็นเพราะการที่รัฐบาลไม่ยอมอายัดทรัพย์สินทั้งของอดีตนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรี และแกนนำของรัฐบาลในชุดที่แล้ว ทำให้สามารถนำเม็ดเงินที่มีจำนวนมหาศาลมาเคลื่อนไหวได้
       
        นอกจากนี้ต้องยอมรับว่า รัฐบาลชุดทักษิณมีจุดแข็งตรงที่หัวหน้ารัฐบาลมาจากภาคธุรกิจ ทำให้เข้าใจปัญหาของภาคธุรกิจ และการทำธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีการดึงนักวิชาการทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ นักบริหารกลยุทธ์ชั้นนำเข้ามาร่วมวางแผนแม่บทของประเทศ
       
        จุดอ่อนก็คือ การที่มีบริวาร ญาติพี่น้องในตระกูลเข้ามาหาผลประโยชน์ผ่านโครงการต่างๆ ทำให้ภาพลักษณ์ของทักษิณไม่โปร่งใส ไม่ซื่อสัตย์ ส่วนโอกาสนั้น ชลิต กล่าวว่า เนื่องจากช่วงจังหวะที่ทักษิณเข้ามาบริหารประเทศนั้น เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะย่ำแย่ จนไม่มีอะไรจะย่ำแย่ไปกว่าช่วงเวลานั้นอีกแล้ว และจากการที่สามารถฟื้นเศรษฐกิจกลับมาได้ แม้จะด้วยวิธีการใดก็ตาม จึงกลายเป็นผลงานที่ทำให้หลายคนให้ความเชื่อมั่น อีกทั้งการที่ทักษิณเข้าใจว่าการจะกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งจะต้องเข้าถึงตลาดแมส หรือตลาดระดับรากหญ้า ดังนั้น จึงใช้กลยุทธ์ประชานิยม ฉวยโอกาสหว่านเงินของคนอื่น เพื่อสร้างชื่อ และความนิยมให้กับตนเอง
       
        “เขารู้ว่าจุดอ่อนของประเทศอยู่ที่รากหญ้า ถ้าเขาคุมได้ก็จะคุมประเทศได้ทั้งหมด” ชลิต กล่าว
       
        หันมามองจุดแข็งและจุดอ่อนของ คมช.และรัฐบาลบ้าง เรื่องนี้ ชลิต คณบดี และนักการตลาด กล่าวว่า แม้ว่าจะเป็นรัฐบาลแบบอุบัติเหตุ คือ ปฏิวัติด้วยความจำเป็นจึงไม่มีการตั้งทีมกลยุทธ์ขึ้นมาก่อน แต่เนื่องจากมีจุดแข็งเป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัว และมีภาพที่ซื่อสัตย์ จึงเป็นโอกาสอันดีในการพิสูจน์สิ่งที่ตนเองได้ทำลงไปว่าทำเพื่อต้องการนำคนที่คอรัปชั่นมาลงโทษ และต้องการสร้างสังคมไทยใหม่
       
        ส่วนอุปสรรคที่สำคัญในช่วงเวลานี้คือ การมีคลื่นใต้น้ำมาก อันเนื่องจากการไม่มีนักวางแผนกลยุทธ์เข้ามาร่วม ซึ่งถ้ามีนักวางแผนตั้งแต่แรกปัญหาต่างๆจะไม่เกิดขึ้น และคมช.กับรัฐบาลไม่ต้องประสบกับการแก้ปัญหารายวันเฉกเช่นทุกวันนี้
       
       นักวิชาการชี้วิกฤติ
       ขาดทีมเวิร์ค
       เร่งผนึกคนเสริมจุดแข็ง
   
 

   
       รศ.ดร.ศิริยุพา รุ่งเริงสุข กรรมการบริหารหัวหน้าหลักสูตรการบริหารงานบุคคล สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในความคิดเห็นส่วนตัวมองว่าระยะเวลาของการเข้ามาบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ยังค่อนข้างสั้นหรือประมาณ 3 เดือนเท่านั้น แต่ต้องอาศัยจุดที่ประชาชนส่วนใหญ่ให้การต้อนรับและด้วยเป็นชุดรัฐบาลที่มีความรู้ หรือมีภาพลักษณ์ “คนเก่ง คนดี” มาเป็นโอกาสโดยเร่งทำงานในเชิงรุกมากขึ้น
       
       ทั้งนี้เกี่ยวเนื่องในเชิงของการบริหารบุคคล เพราะยังขาดการทำงานเป็นทีม ซึ่งเป็นรัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้ง ฉะนั้นการทำงานยังประสานกันไม่เกิดความกลมกลืน ถ้าแก้ไขปัญหาต้องจุดนี้ได้จะทำให้สามารถเกิดการทำงานที่คล่องขึ้นและรวดเร็วกว่านี้
       
        แนวทางแก้ไขนั้นต้องยอมรับในจุดหนึ่งว่ารัฐบาลไม่มีสิทธ์ในการจัดการคนเท่าไหร่ แต่การสร้างความเป็นทีมนั้นถ้าชี้แจ้งเป้าประสงค์แต่เริ่มต้น และจัดวางคนทำงานในจุดที่เหมาะสม
       
        ถ้าระบุตัวบุคคลคือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลที่มีความรู้ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษไม่น้อยหน้าใคร เพราะปกติทหารภาษาอังกฤษจะค่อนข้างอ่อน แต่นายกฯ เป็นผู้นำที่มีสง่า ราศี แต่การที่เป็นนักการทหารมาก่อน เวลามาบริหารคน จึงต้องดึงจุดดีของคนในรัฐบาลมาใช้
       
      “เข้าใจว่าชุดรัฐบาลแต่ละท่าน มีประสบการณ์การทำงาน แต่พอมารวมเป็นทีมยังดึงจุดแข็งแต่ละคนมายังใช้ไม่หมด”       
       รศ.ดร.ศิริยุพา กล่าวต่อไปอีกว่า ในแง่ของการบริหารคน ยังมีมิติอื่นๆ อีก แต่ถ้าจะมามองว่าคนไม่มีความสามารถ คนไม่ทำงาน ต้องเอาออกไปเลย ไม่ว่าบุคคลในชุดรัฐบาลหรือข้าราชการ เพราะถึงแม้เป็นคนเก่ง แต่ทำงานเป็นทีมไม่ได้ ไม่ต้องเอาไว้ดีกว่าคนมาทะเลาะกัน
       
       ขณะเดียวกันยังให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การเป็นรัฐบาลในระยะเวลา 1 ปี ประชาชนทั่วไปต้องการมากกว่าเป็นรัฐบาลชั่วคราว หรือเป็นรัฐบาลขัดตาทัพ เพราะยังมีโอกาสที่จะสร้างอะไรให้เกิดขึ้นได้มาก เพราะคนในประเทศค่อนข้างยอมรับและรอคอยรัฐบาลที่สะอาดเข้ามาทำงาน ลำดับต่อไปที่ต้องการคือประสิทธิภาพและการแก้ปัญหา โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพราะขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีข้อที่ชัดเจนว่าทำอะไรไม่ดี แต่คนต้องการเห็นแอคชั่นที่รวดเร็ว ชัดเจนมากกว่านี้ ถ้าทีมที่แพคกันแน่นแล้วน่าจะไปกันได้
       
       “งานของรัฐบาลมีร้อยแปด ต้องหางานที่เป็นจุดสร้างเครดิตให้รัฐบาลให้ได้ หรือพิจารณาลำดับสำคัญของการเริ่มต้น ขอให้ดึงขึ้นภายในหนึ่งปี หรือ 3 เดือน 6 เดือน ให้เห็น เช่น การศึกษา หรือปัญหาภาคใต้ เป็นประเด็นที่ถึงแม้เป็นรัฐบาล 1 ปี แต่คนรอดูผลงานอยู่ ที่จริงการบริหารคนก็ต้องมองดูตลาดลูกค้าด้วยคือประชาชน       
       ไม่ต้องทำหลายชิ้น แต่เอาชิ้นหลักก่อนที่คนมองอยู่ เช่น ปัญหาความมั่นคงเรื่องภาคใต้เพราะกระทบเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองในประเทศ ปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองต้องรีบทำ”
       
       นอกจากนี้ได้มองถึงอุปสรรคที่เกิดขึ้นว่า เกิดจากต่างชาติมากกว่าซึ่งเกิดความไม่เข้าใจ ว่าเป็นรัฐบาลทหารไม่มีประชาธิปไตย ยิ่งมีปัญหาระเบิด ต่างชาติยิ่งมองไม่ดี
       
       ทั้งนี้รัฐบาลต้องมีการให้ข่าวสารข้อมูล เป็นการวางแผนกลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์การสื่อสาร เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่จะแก้ไขปัญหาอุปสรรคและการเข้ามาลงทุนต่างๆ
       
       รวมถึงคนในชุดรัฐบาลต้องการรักษาความโปร่งใส และ รับฟังความเห็นของประชาชนดึงเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานหรือเป็นการเข้าหาประชาชนแก้ไขปัญหาร่วมกัน การใกล้ชิดประชาชน เข้าใกล้ปัญหาจะทำให้ทำงานเชิงรุกได้มากขึ้น
       
       นิด้าแนะเตรียมความพร้อม
       ด้วยศก.พอเพียง

       
       ดร.สมบัติ กุสุมาวลี รองคณบดี คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ แสดงความคิดเห็นถึงการบริหารจัดการของรัฐบาลชุดปัจจุบันในมิติด้านบุคลากรว่า ในมุมมองส่วนตัวเห็นว่าต้องมองด้วยความเห็นใจก่อน เนื่องจากที่มาของรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้มีการเตรียมตัว เพราะจำเป็นต้องจัดตั้งทีมงานขึ้นมาอย่างกะทันหัน และเป็นรัฐบาลชั่วคราว จึงไม่สามารถจะทำงานได้อย่างเต็มที่


       
       อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้มีบุคลากรที่อายุมาก มีประสบการณ์การทำงานสูง ดังนั้น ในแง่ของความรอบคอบ ในการบริหารจัดการ การทำงานอย่างเป็นขั้นตอน และพยายามทำให้เห็นถึงความโปร่งใสถูกต้องตามหลักกติกา จึงเห็นว่าเป็นจุดแข็ง ซึ่งเป็นบุคลิกที่ต่างกับรัฐบาลชุดที่แล้ว


       
       แต่สำหรับการตอบโต้ควรจะมีความรวดเร็วกว่าที่เป็นอยู่ เช่น เมื่อเกิดเหตุระเบิดก่อกวนความสงบที่ผ่านมา ควรจะนำขบวนออกมารณรงค์ปลุกขวัญกำลังใจ และความสามัคคีของคนในชาติ แต่เมื่อรัฐบาลเงียบไปหลายๆ คนจึงไม่ทราบว่ารัฐบาลกำลังส่งสัญญาณอะไรทำให้เกิดความกลัวมากขึ้น

       
       ดร.สมบัติ มองว่า ประเทศไทยมีจุดอ่อนทุกจุดไม่ว่าจะเป็นทั้งสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ในด้านของสังคมเต็มไปด้วยความเครียด การแข่งขันขาดตัวอย่างที่ดีงาม ขณะที่เศรษฐกิจเป็นปัญหาใหญ่ที่จะตามมาในอนาคต ถ้ามองในแง่คนจะเกิดวิกฤตคุณภาพของคนในอนาคตจะเห็นแนวโน้มความได้เปรียบในเชิงเปรียบเทียบของคนจะเริ่มหมดไปเรื่อยๆ เช่น ค่าแรงซึ่งหมดความได้เปรียบไปแล้ว ส่วนทักษะและความรู้จะตามคนอื่นไม่ทัน   

   
       ในด้านเทคโนโลยีของไทย เรียกได้ว่า มีความทันสมัยแต่ไม่พัฒนา เช่น การมีสื่อเสรีที่รวดเร็วแต่เนื้อหาสาระส่วนใหญ่ไม่มีคุณภาพ ด้านการเมืองอ่อนแอเพราะคนทั่วไปเห็นว่าทุนนิยมสำคัญกว่าประชาธิปไตยมากขึ้นเรื่อยๆ และกระบวนการได้มาซึ่งนักการเมืองนั้นมีปัญหา รวมทั้งระบบราชการซึ่งที่ผ่านมาเน้นหนักเรื่องประสิทธิภาพ
       
       ดังนั้น การเตรียมพร้อมโดยการวางแผนระยะยาวให้กับรัฐบาลชุดต่อไปนั้น บางเรื่องเตรียมไว้ดีแล้ว เช่น การสร้างค่านิยมใหม่ โดยการเตรียมปลูกฝังเรื่องหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเห็นว่าเป็นรากฐานที่สำคัญมากสำหรับสังคมไทย และเตรียมความพร้อม ทักษะ ความรู้ และทัศนคติชุดใหม่ให้คนในสังคม ขณะที่สื่อโดยเฉพาะทีวีควรต้องปรับปรุงเพราะหล่อหลวมจิตสำนึกที่ไม่ดีงามให้สังคม
       
       “เป็นเรื่องดีที่ท่านนายากรัฐมนตรีพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงว่าสามารถประยุกต์ใช้ในทุกภาคส่วน แต่ดูเหมือนว่าคณะรัฐมนตรียังไม่มีความพร้อมเพรียงกันในเรื่องนี้ เพราะรับมนตรีบางท่านแทบจะไม่ได้พูดในเรื่องนี้เลย สัญญาณที่ส่งออกมาไม่แรงพอ จึงอาจจะกลายเป็นจุดอ่อนได้ เพราะถ้าทำต้องทุกกระทรวงส่งสัญญาณไปพร้อมๆ กัน
       
       เพราะโดยภาพรวมของความเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ดูจะยังไม่ชัดเจนแม้จะมีการพูดกันมาก มักจะมีการอ้างคำว่าพอ ทั้งที่ต้องเห็นก่อนว่าเราสามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงหรือยัง”
   

   
       สำหรับโอกาส เนื่องจากที่ผ่านมาภาคราชการถูกเน้นเรื่องประสิทธิภาพจากรับบาลชุดเดิมมากเกินไป ทำให้ในภาคราชการหลายคนบ่นถึงเรื่องของความมีคุณภาพ เช่น การทำงานอย่างมีวินัย ความโปร่งใส จึงมองว่าเป็นโอกาสของรัฐบาลชุดนี้ที่จะสนับสนุนให้เกิดคุณภาพในภาคราชการได้เป็นอย่างดี ในภาคเอกชนหลายหน่วยงานมองเห็นความจำเป็นในการสร้างองค์ความรู้ จึงเห็นว่าเป็นโอกาสของรัฐบาลในการส่งเสริมองค์ความรู้ของสังคมไทย โดยควรร่วมมือกับเอกชนรายนั้นเพื่อให้เป็นแบบอย่างที่ดีงาม และขยายวงออกไป เพราะประเทศไทยต้องการจะก้าวไปเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และประเทศอื่นๆ มีเอกชนเป็นตัวนำในเรื่องนี้เช่นกันโดยรัฐบาลร่วมผลักดัน
       
       นอกจากนี้ มองว่าในส่วนภารกิจรัฐบาลมี 2 ประเด็นใหญ่ที่สำคัญ คือ

เรื่องเฉพาะหน้าที่ต้องทำมีรัฐมนตรีหลายคนพยายามแสดงบทบาทที่ชัดเจน เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งออกมาดำเนินการเรื่องค่าเชื่อมโยงโครงข่ายที่ทรูมูฟและดีแทคต้องจ่ายให้กับบริษัท ทีโอที ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ เพราะความต้องการดูแลผลประโยชน์ของประเทศเป็นเหตุผลหนึ่งของการออกมาปฏิวัติในครั้งนี้ ส่วนเรื่องระยะยาว คิดว่าเป็นเรื่องของคน ซึ่งรัฐบาลต้องวางรากฐานที่ดีงาม และกฎกติกาเพื่อสังคมไทยในอนาคต และเตรียมพร้อมให้กับรัฐบาลในชุดต่อมา
       
        ทางด้านอุปสรรคการบริหารจัดการคนให้ก้าวหน้า เนื่องจากจากคนไทยที่ถูกหล่อหลอมมาด้วยทัศนคติ ค่านิยม และวัฒนธรรมแบบไทยๆ เช่น จะเห็นได้ว่านายทุนไทยจำนวนมากยังไม่เห็นถึงความสำคัญของการสร้างองค์กความรู้ซึ่งเป็นประโยชน์ในระยะยาว หรือเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
       
       ขณะที่ ประเทศญี่ปุ่น จะเห็นว่า เอกชน คน ประเทศ มีการมองอย่างเป็นองค์รวมว่าเอกชนได้ประโยชน์ ประเทศก็ได้ด้วย แต่ประเทศไทย เอกชนไม่ได้มองภาพรวมของประเทศเท่าไหร่ มักจะมุ่งผลประโยชน์เฉพาะหน้า นี่คืออุปสรรคใหญ่และเป็นความท้าทายของรัฐบาลที่จะเปลี่ยนทัศนคติของคนไทย รัฐบาลชุดนี้คงทำอะไรไม่ได้มาก มีแต่การเตรียมปูพื้นฐานโดยใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเน้นถึงความยั่งยืน
       
       ************
       
       เหลี่ยมจ้อผ่านสื่อยุ่น
       ขย่มไทยอีกระลอก
 

     
        ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งยังคงอยู่ในญี่ปุ่นได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์อาซาฮี เมื่อวันที่23 มกราคม โดยระบุว่า ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงและไทยจำเป็นต้องฟื้นฟูความเชื่อมั่นของต่างชาติโดยแสดงให้เห็นว่ามีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
       
        “ความน่าเชื่อถือของกฎหมายและระบบศาลยุติธรรมของไทยในสายตาต่างชาติกำลังย่ำแย่ สิ่งที่ประชาคมระหว่างประเทศวิตกกังวลคือการที่รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารล้มล้างรัฐธรรมนูญและไม่เคารพกฎหมาย” 

     
        ทักษิณ ยังแสดงความคาดหวังว่าคงจะไม่ต้องอาศัยอยู่นอกประเทศเนิ่นนานนัก พร้อมกล่าวว่า สามารถแสดงบทบาทที่สร้างสรรค์และทำประโยชน์ในการสร้างความสามัคคีในชาติ และฟื้นฟูความเชื่อมั่นในสายตาประชาคมระหว่างประเทศต่อประเทศไทยให้กลับคืนมา เพราะการปฏิวัติที่ผ่านมาทำลายชื่อเสียงของไทยในประชาคมโลกที่ผู้นำซึ่งได้รับความนิยมจากประชาชนถูกโค่นล้มจากอำนาจ
       
        “คนไทยชอบประชาธิปไตย และไม่เคยต้องการอยู่ภายใต้การปกครองของเผด็จการหรือรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากระบอบประชาธิปไตย พวกเขาอาจสามารถทนได้และยอมให้กับสิ่งนี้ในระยะหนึ่ง แต่ไม่ใช่ในระยะยาว หากรัฐบาลทหารเลื่อนวันเลือกตั้งออกไป ประชาชนและนักลงทุนต่างชาติจะหลีกหนีจากประเทศไทย เพราะคนไทยก็เป็นเหมือนกับนักลงทุนต่างชาติที่จะไม่ทนต่อระบอบเผด็จการทหารเป็นเวลานาน”
       
        นอกจากนี้ เขายังกล่าวว่า ผู้นำกองทัพก็คือข้าราชการซึ่งไม่มีความตั้งใจและความสามารถพอที่จะเท่าทันการแข่งขันที่กำลังเข้มข้นในโลก และหากได้รับอนุญาตให้กลับประเทศต้องขอการรับประกันว่าจะได้รับความปลอดภัย เพราะไม่ได้มีเจตนาใดๆ ที่จะกลับสู่เวทีการเมือง โดยจะปล่อยให้สมาชิกรุ่นใหม่ของพรรคเป็นคนนำประเทศต่อไป
       
        “ผมกำลังรอให้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ เพราะผมต้องการที่จะขอให้รัฐบาลทหารฟื้นฟูความเป็นเอกภาพระหว่างคนไทยด้วยกัน ผมเชื่อว่าผมสามารถทำประโยชน์ให้กับประเทศ และบอกกับกลุ่มผู้สนับสนุนของผมว่า โอเค นี่คือเวลาที่เราต้องหันมาสู่ความสมานฉันท์ ประเทศไทยยังเป็นที่ที่ดีสำหรับเข้ามาทำงานและมาลงทุน นี่คือสิ่งที่ผมจะบอกกับนักลงทุน รัฐบาลต่างชาติ และภาคเอกชน”   

   
        นอกจากนี้ ทักษิณยังให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเกียวโด ของญี่ปุ่นโดยย้ำว่า การเดินทางมาญี่ปุ่นในครั้งนี้ก็เพื่อชอปปิ้งกับครอบครัว และพบกับเพื่อนเก่าจากภาครัฐและภาคเอกชนของญี่ปุ่น แต่ปฏิเสธที่จะระบุชื่อบุคคลที่เข้าพบหรือเปิดเผยรายละเอียดอื่นๆ ซึ่งเกียวโดระบุว่า เป็นเพราะไม่ต้องการให้เกิดความตึงเครียดระหว่างไทย-ญี่ปุ่น หลังจากที่การเดินทางเยือนสิงคโปร์ก่อนหน้านี้ของ ทักษิณซึ่งมีการพบกับ เอส. จายากุมาร รองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเกิดปัญหา
       
       อย่างไรก็ดี เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับปฏิกิริยาของรัฐบาลไทยต่อสิงคโปร์ ทักษิณกล่าวว่า รัฐบาล ควรจะนิ่งกว่านี้ และไม่ปริวิตกจนเกินไป แต่รัฐบาลคงไม่เข้าใจวิธีปฏิบัติแบบสากล
       
       ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ ทักษิณย้ำว่า จะไม่เดินทางกลับไทยเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ แต่ยืนยันว่าตนเองมีสิทธิเต็มที่ที่จะเดินทางกลับไปในฐานะประชาชนไทยคนหนึ่ง แต่ไม่ระบุเวลาแน่ชัดว่าจะเดินทางกลับไทยเมื่อใด

                            **********************
       
        นอกจากนี้ ทักษิณยังปฏิเสธข้อกล่าวหาในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นในรัฐบาลทักษิณรวมถึงการใช้อำนาจโดยมิชอบขณะอยู่ในตำแหน่ง โดยกล่าวว่า คอร์รัปชั่นคือข้ออ้างสำหรับการปฏิวัติทุกครั้ง แต่ตนเป็นผู้ที่อุทิศตนเพื่อประชาธิปไตยจะกระทำสิ่งที่เป็นการละเมิดกฎหมายได้อย่างไร
       
       เมื่อถามว่า ทำไมจึงยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท. ทักษิณอย่างต่อเนื่อง พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า นั่นอาจเป็นผลจากข้อเท็จจริงที่ว่าผลประโยชน์ของคนในกองทัพถูกทำลายด้วยโครงการที่รัฐบาลภายใต้การนำของเขาริเริ่มขึ้น
       
   
?????

     **************
       
             
        http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9500000009513
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 27-01-2007, 15:01 »

  ..ขออนุญาติแทรก ...." โคลนติดล้อ " ..พักยกสักนิดหนึ่งนะ...

----------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้อความต่อไปนี้ คัดมาจากคำนำของบทความเรื่อง "โคลนติดล้อ"
ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในหลวงรัชกาลที่ 6
ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวัน เมื่อ พ.ศ.2458

เมื่ออ่านแล้วจะเข้าใจในทันทีว่า
พระองค์มีความมุ่งหมายจะกล่าวถึงปัญหา และอุปสรรคต่างๆ
ที่กีดขวางเหนี่ยวรั้งความเจริญของชาติบ้านเมือง....
ที่เริ่มส่อเค้าความไม่สงบบ้างแล้วในสมัยนั้น



ย้ำว่าต้องอ่านให้ได้นะคะ
แนะนำให้อ่านช้าๆ ทีละบรรทัด
และค่อยๆ ทำความเข้าใจตามไปด้วย ช้าๆ....


อ่านฉบับเต็มได้ที่นี่..............


http://www.geocities.com/Tokyo/Shrine/6611/a008.htm





บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 27-01-2007, 15:07 »

โคลนติดล้อ


---------------------------------------------------------


คำนำ


ในการกระทำความติดต่อซึ่งกันและกันในหมู่นานาประเทศนั้น
บางทีก็เหลือที่จะแก้ไขป้องกันมิให้เครื่องกีดขวางต่าง ๆ มาติดล้อแห่งความเจริญของชาติได้
ของกีดขวางเหล่านี้ ในชั้นต้นก็ดูไม่สู้จะสลักสำคัญอะไรนัก
แต่ครั้นเวลาล่วงไปก็กลับกลายเป็นของใหญ่โตขึ้นทุกที
จนถึงวันหนึ่งเราจึ่งรู้สึกว่าแทบจะทนทานไม่ได้.........


ธรรมดารถซึ่งขับเร็วไปในถนนซึ่งมีโคลน
โคลนนั้นก็ย่อมกระเด็นเปรอะเปื้อนรถเป็นธรรมดา
และบางทีก็เป็นอันตรายได้โดยเหตุที่ม้าพลาดหรือล้มลง

แต่ล้อแห่งรถนั้นในเวลาที่ถึงที่หยุดแล้ว
จะมีโคลนก้อนใหญ่ๆ ติดอยู่ก็หาไม่
เพราะว่าโคลนซึ่งติดล้อในระหว่างที่เดินทางนั้นได้หลุดกระเด็นไปเสียแล้ว
ด้วยอำนาจความเร็วแห่งรถนั้น

ส่วนรถที่ขับช้า ๆ ไปในถนนซึ่งมีโคลนทางเดียวกัน
ย่อมไม่สู้จะเปรอะเปื้อนหรือเป็นอันตรายด้วยเหตุที่ม้าพลาดหรือล้มนั้นจริง
แต่ล้อแห่งรถนั้นย่อมจะเต็มไปด้วยโคลนอันใหญ่และเหนียวเตอะตัง
ซึ่งนอกจากแลดูไม่เป็นที่จำเริญตาแล้ว
ยังสามารถเป็นเครื่องกีดขวางและทำให้ล้อเคลื่อนช้าลงได้.......


ข้อนี้ย่อมได้แก่ประเทศซึ่งดำเนินไปสู่ความเจริญ
หรือซึ่งโดยมากชอบเรียกกันว่า "ความศิวิไลซ์"
ยกตัวอย่างที่เห็นได้ง่าย คือ ญี่ปุ่นเขาได้ดำเนินขึ้นสู่ความเจริญด้วยความรวดเร็วยิ่งนัก
ประเทศญี่ปุ่นมีรอยโคลนเปรอะเปื้อนอยู่เป็นอันมาก
แต่เราต้องยอมว่าล้อของเขาไม่ใคร่จะมีก้อนโคลนติด

ส่วนประเทศสยามของเรานั้นเล่าเป็นอย่างไรบ้าง ?

เราได้ดำเนินขึ้นสู่ความเจริญด้วยความระวังระไว
เพราะว่าเราเห็นควรที่จะใช้สติและความไตร่ตรองดูโดยรอบคอบ
และถึงแม้เมื่อเปรียบเทียบกับญี่ปุ่น

ความเจริญของเรานั้นช้าก็จริงอยู่ ......
แต่ดูเราไม่สู้จะเปรอะเปื้อนมากนัก
และตัวรถของเราก็นับได้ว่ายังสะอาดดีอยู่

ส่วนล้อของเรานั้นเป็นอย่างไรเล่า ?

ล้อของเรานั้นหรือมีก้อนโคลนติดกรังไปทั้งล้อ !
รถของเรายังเคลื่อนไปได้จริง
แต่ก้อนโคลนเหล่านั้นช่างกีดขวางเสียจริง ๆ
เพราะฉะนั้นวันจะมาถึงเข้าวันหนึ่ง
ซึ่งเราจะรู้สึกว่า ถึงแม้เราจะต้องเดินเร็วจริงๆ เพื่อให้รอดอันตราย
เราก็จะไม่สามารถไปเร็วได้เสียแล้ว..........



เจ้าของรถที่เขามีสติปัญญา เมื่อได้เห็นโคลนติดล้อของเขามากมายเช่นนั้น
ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่เขาจะต้องขวนขวายจัดการเปลื้องโคลนออกเสียจากล้อ
ก่อนที่เขาจะเริ่มออกเดินทางต่อไปในที่อันสำคัญไม่ใช่หรือ ?

เราทั้งหลายควรจะลืมตาของเรา และพิจารณาดูก้อนโคลนต่าง ๆ
ซึ่งติดอยู่กับล้อแห่งความเจริญของชาติเรา

เราจะเห็นได้ว่าโคลนเหล่านี้ บางก้อนได้ติดมานานแล้ว
และเป็นการลำบากที่จะเปลื้องออกให้เกลี้ยงได้ในคราวเดียว

แต่ถ้าประกอบด้วยวิริยภาพและความบากบั่น
เราก็สามารถที่จะชำระโคลนนั้นออกได้หมดในเวลาอันควรเหมือนกัน
ของย่อมมีอยู่ บางอย่างที่เราจะเปลี่ยนแปลงได้ทันใดตามความพอใจ
เพราะไม่เกี่ยวข้องแก่ผู้ใดนอกจากตัวเราเอง
แต่ย่อมมีของบางอย่างเหมือนกัน ซึ่งยากจะเปลี่ยนแปลงได้
ด้วยเหตุว่ามีผู้อื่นเขามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วย..........

เราควรจะพิจารณาในสิ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวเราเองก่อน
และในการพิจารณานี้เราจะได้เห็นของอัศจรรย์ต่าง ๆ มาก
ซึ่งจะทำให้เรานึกพิศวงว่าเหตุใดเราจึงคงมีหรือคงทำสิ่งนั้น ๆ อยู่....................

 
 
 
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 27-01-2007, 15:09 »

**ไปอ่านเจอที่ประชาไท ...เลยเก็บ
เอามาฝากค่ะ ....  ถ้าเป็นไปได้ควรอ่านฉบับเต็ม
ตัวต้นฉบับ ต้นเรื่องเดิมจริง ..เพื่อท่านจะได้ใช้วิจารณญาณ
มาประยุกต์และวิเคราะห์สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเหตุการณ์ที่เกิด
ขึ้นในตอนนี้ ..ด้วยตัวท่านเอง โดยปราศจากการชี้นำ
จากผู้อื่น  **.
.


.......................................................................


บทความเรื่อง "โคลนติดล้อ" แบ่งออกเป็น 12 ตอน
แต่ละตอนเสนอความคิดเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรค
ที่ทำให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าช้ากว่าที่ควร 12 ประการได้แก่
: การเอาอย่างโดยไม่ตริตรอง
: การทำตนให้ต่ำต้อย
: การบูชาหนังสือจนเกินเหตุ
: ความนิยมเป็นเสมียน
: ความเห็นผิด
: ถือเกียรติยศไม่มีมูล
: ความจนไม่จริง
: แต่งงานชั่วคราว
: ความไม่รับผิดชอบของบิดามารดา
: การค้าหญิงสาว
: ความหยุมหยิม
: หลักฐานไม่มั่นคง


ซึ่งในกระทู้นี้จะขอหยิบยกเอามาให้อ่าน เพียง 2 เรื่อง
ที่เห็นว่ายังคงความเป็นบทความร่วมสมัย
ยังนำมาอ้างอิงถึงเหตุการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

ใครสนใจอ่านทั้งหมด ให้ไปคลิ๊กอ่านที่ท้ายหน้า
ของลิ๊งข้างต้นที่ ยกมาให้แล้ว....



http://www.prachatai.com/webboard/topic.php?id=11629


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2007, 15:16 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
room5
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 573



« ตอบ #16 เมื่อ: 28-01-2007, 00:10 »




.......................................................................


บทความเรื่อง "โคลนติดล้อ" แบ่งออกเป็น 12 ตอน
แต่ละตอนเสนอความคิดเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรค
ที่ทำให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าช้ากว่าที่ควร 12 ประการได้แก่
: การเอาอย่างโดยไม่ตริตรอง
: การทำตนให้ต่ำต้อย
: การบูชาหนังสือจนเกินเหตุ (ใครหว่า)
: ความนิยมเป็นเสมียน
: ความเห็นผิด
: ถือเกียรติยศไม่มีมูล
: ความจนไม่จริง
: แต่งงานชั่วคราว
: ความไม่รับผิดชอบของบิดามารดา
: การค้าหญิงสาว
: ความหยุมหยิม
: หลักฐานไม่มั่นคง






บันทึกการเข้า
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #17 เมื่อ: 28-01-2007, 14:17 »

หากอดีตนายกฯ ทักษิณ "พูดอย่างไร-ทำอย่างนั้น" สักครั้งเดียวในชีวิตสังคมไทยจะเปลี่ยนผ่านจากความวุ่นวาย และแตกแยกไปสู่ "สังคมสมานฉันท์" ได้โดยไม่ยากลำบาก

อดีตนายกฯ ทักษิณ กับครอบครัว จะสามารถกลับมาอยู่เมืองไทยได้อย่างไม่หวาดระแวง แล้วหากยืนหยัดต่อสู้ ตามกระบวนการยุติธรรมเพื่อลบล้างข้อกล่าวหาทุจริตคอร์รัปชัน และลบหลู่สถาบัน โดยเลิกนิสัยเล่นเกมการเมืองเหลี่ยมจัด ประชาชนที่เคยชิงชังจะกลับมาชื่นชมว่าอดีตผู้นำคนนี้ ยังเคยทำความดีกับประเทศให้จดจำได้บ้าง



http://www.bangkokbiznews.com/viewOpinionNews.jsp?newsid=151220



..........................................................................................................


สิ่งที่ "ควรทำ" กับ "ไม่ควรทำ" : สุรยุทธ์,สนธิ,ทักษิณ

28 มกราคม 2550 น.
บ้านเมืองของเราในช่วงอีก 1-2 เดือนข้างหน้า จะเป็นไปตามคำทำนายเชิงวิบัติหายนะของเหล่าโหราจารย์หรือไม่ ชะตากรรมประเทศขึ้นอยู่กับ "คนใหญ่คนโต 3 คน" คือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี,พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติและผู้บัญชาการทหารบก และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

แม้ว่า พล.อ.สนธิ จะพยายามหาวิธีชโลมจิตใจคนไทยที่อยู่ในอาการแกว่ง ด้วยการจัดพิธี "ทำบุญประเทศ" ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ นี้ แต่หาก "คนใหญ่คนโต 3 คน" ยังคงทำในสิ่งที่ "ไม่ควรทำ" และ "ไม่ยอมทำ" ในสิ่งที่ควรจะต้องทำโดยเร็ว

คำทำนายร้ายๆ ของโหราจารย์ คงจะใกล้เคียงความจริงอย่างมากในเดือนมีนาคม สังคมไทยมีแนวโน้มจะกลับไปสู่สังคมแห่งความแตกแยกอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับในช่วงก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

สังคมแห่งความสมานฉันท์ และคุณธรรมจะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย แม้ว่าอาจจะร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วสามารถส่งมอบอำนาจการบริหารประเทศผ่านไปยังรัฐบาลเลือกตั้งได้สำเร็จ แต่ประเทศไทยคงจะอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดเช่นเดิม แล้วทุกอย่างจะเลวร้ายลงทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม

เรื่องง่ายๆ เรื่องแรกที่อยากจะแนะนำให้นายกฯสุรยุทธ์ "ทำทันที" ลองหาเวลาเข้าอินเทอร์เน็ตไปดูในเวบไซต์บริษัท ประชาสัมพันธ์ "อีเดลแมน" www.edelman.com ที่เป็นบริษัทประชาสัมพันธ์สัญชาติอเมริกัน "รับงาน" ประชาสัมพันธ์ให้กับอดีตนายกฯทักษิณ ในการเผยแพร่ข่าวสารความเคลื่อนไหวของตัวเองในต่างประเทศ

นายกฯ สุรยุทธ์ ลองคลิกเข้าไปดูภายในเวบไซต์นี้ที่ Affiliates จะพบข้อมูลน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับสาขาในกรุงเทพฯ คือ บริษัท Spindler Associates ระบุชื่อผู้ติดต่อคือ Mr.Julian Spindler

ชื่อเสียงของนายจูเลียน สปินด์เลอร์ ในสังคมไทยได้รับการยอมรับในระดับสูงจากหน่วยราชการไทยที่มีความต้องการติดต่อทำความเข้าใจกับนักลงทุนต่างประเทศ บริษัทนี้มักจะถูกเรียกหาใช้บริการจนกลายเป็น "ขาประจำ" ที่ไว้ใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนและการส่งออก

แต่เพื่อให้รู้จักคุณสปินด์เลอร์ มากขึ้นอีก อยากให้ นายกฯ สุรยุทธ์ ลองถามคุณ "GAP" กัญจนา สปินด์เลอร์ รองเลขาธิการ นายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองอีกครั้ง

ช่วยฝากถาม คุณจูเลียน สปินด์เลอร์ ว่าขอทราบเหตุผลของบริษัท อีเดลแมน ที่เป็นบริษัทแม่ของบริษัท สปินด์เลอร์ ในไทย ทำไมจึง "รับงาน" ประชาสัมพันธ์หรืออีกด้านเป็นการโฆษณาชวนเชื่อให้กับคุณทักษิณได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจว่าอาจจะทำให้เกิดความปั่นป่วนในประเทศไทย ซึ่งบริษัท อีเดลแมน มีผลประโยชน์จากงานประชาสัมพันธ์ในไทยผ่านบริษัท สปินด์เลอร์ที่มีความสัมพันธ์อันดียิ่ง กับหน่วยงานราชการไทยมายาวนานกว่า 20 ปี

ผมยกตัวอย่างเรื่องง่ายๆ เกิดอยู่ "ใต้จมูก" ของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หาก นายกฯ สุรยุทธ์ ปล่อยลอยตามลมไปโดยไม่หาทางทำ "ข้อมูล" นี้ให้กระจ่างชัด สักพักอาจจะเกิดข้อสงสัยว่าทำเนียบรัฐบาลกำลัง "ถูกล้วงตับ" ได้

ด้วยความเป็นคนดีมีคุณธรรม และสุภาพบุรุษของนายกฯ สุรยุทธ์ ทำให้ไม่เคยมีความพยายาม "แก้ต่าง" การปล่อยข่าวทำลายความน่าเชื่อถือ เช่น กรณีบ้านพักเขายายเที่ยง ฯลฯ

มิหนำซ้ำความเป็นคนดีมีคุณธรรมของนายกฯ สุรยุทธ์ ที่ยืนยันว่าหากสอบแล้วผิดจริงพร้อมจะลาออก แทบทำให้ "คนรักสุรยุทธ์" แทบหัวใจสลายด้วยความหวั่นไหวว่านายกฯ สุรยุทธ์ กำลังจะถอดใจ

สิ่งที่นายกฯ สุรยุทธ์ "ควรจะทำ" อย่างเร่งด่วนคือ การ "ผ่าตัด-ยกเครื่อง" ทีมงานของสำนักเลขาธิการนายกฯ และสำนักโฆษกประจำสำนักนายกฯ

แม้ว่าพล.อ.พงษ์เทพ เทพประทีป เลขาธิการนายกรัฐมนตรีกับ ร.อ.นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกฯ เป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริตแบบเดียวกับ นายกฯ สุรยุทธ์ แต่บอกตามตรงว่าผมได้ยินเสียงนินทาจากคนในรัฐบาลจนเบื่อแล้วว่าทีมนี้ "ทำงานไม่เก่ง" ในเชิงรุก

พล.อ.พงษ์เทพ ทำงานแบบตั้งรับไม่ได้ทำหน้าที่แบบ "นายกฯ น้อย" เหมือนกับอดีตเลขาธิการนายกฯ คนอื่นๆ ที่มักจะทำหน้าที่เสมือน "เสนาธิการ" เชิงยุทธศาสตร์การทำงานให้นายกฯ แล้วช่วยติดตามงานที่ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวง และยังประสานงานเพื่อหาทางแก้ต่างการให้ข้อมูลผิดๆ ของฝ่ายต่างๆ ที่เป็นศัตรูทางการเมืองนายกฯ

ในขณะที่คุณหมอยงยุทธ กับทีมงานที่ยอมรับว่ามีความตั้งใจเต็ม 100% แต่ไม่น่าจะเหมาะกับภารกิจรัฐบาลชั่วคราว 1 ปี ที่จะต้องใช้สไตล์การประชาสัมพันธ์เชิงรุกมากกว่านี้ ในการแย่งชิงพื้นที่ข่าวเพื่อ "กลบข่าวเชิงลบ" กับรัฐบาล และ "ขยายพื้นที่ข่าวเชิงบวก" ให้ไปถึงชาวบ้านจริงๆ เพื่อให้ คนยากจนในชนบทค่อยๆ ลดความโหยหาในนโยบายประชานิยมของรัฐบาลทักษิณที่ทำความเสียหายให้กับประเทศอย่างมาก

นายกฯ สุรยุทธ์ "ไม่ควรทำ" คือ การปล่อยมือให้อิสระการทำงานกับรัฐมนตรี "ขิงแก่" หลายคนที่ทำงานแบบ "เกียร์ห้า" ที่ไม่รู้เหนือรู้ใต้ว่าอะไรคือ เรื่องเร่งด่วนของประเทศ อาทิเช่น รมต.สาธารณสุข คุณหมอมงคล ณ สงขลา รีบสั่งให้ประกาศห้ามลงในราชกิจจานุเบกษาโฆษณาเหล้า 24 ชั่วโมง แต่เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกา ตีความว่าคณะกรรมการอาหารและยาไม่มีอำนาจออกประกาศห้าม จนต้องถอนประกาศออกจากราชกิจจานุเบกษา

ผลลัพธ์คือ บริษัทเหล้าทำท่าจะชนะศึกอย่างที่มีเสียงปรามาสแต่ต้นจริง นายกฯ สุรยุทธ์ ถูกเย้ยหยันว่าไหนว่าสังคมคุณธรรม

รมต.ศึกษาธิการ อาจารย์วิจิตร ศรีสอ้าน ตะลุยผลักดันให้มหาวิทยาลัยต่างๆ รีบเสนอร่างกฎหมายเพื่อออกจากระบบราชการเข้าสภานิติบัญญัติ

ผลลัพธ์คือ เกิดอาการระส่ำระสายในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง จนกลายเป็นความชิงชังในรัฐบาลชุดนี้ที่ นายกฯ สุรยุทธ์ ปล่อยให้รัฐมนตรีศึกษา เลือกทำเรื่องนี้ที่มีความเร่งด่วนน้อยกว่าปัญหาอื่น

รองนายกฯ และรมต.คลัง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ที่เสียรังวัดครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่การรับรองความโปร่งใสการขายที่ดินย่านรัชดา ให้คุณหญิงพจมาน ชินวัตร การเร่งรีบเสนอร่าง พ.ร.บ.หวยบนดิน เพื่อแก้สิ่งผิดศีลธรรมให้ถูกกฎหมาย และนโยบายสกัดการเก็งกำไรเงินบาทที่ให้สำรองเงินดอลลาร์ 30 %

ยกตัวอย่างรัฐมนตรี 3 คน ที่ใส่ "เกียร์ห้า" ทำงานด้วยความตั้งใจ แต่ผลลัพธ์กลับบั่นทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาล

แต่ยังมีรัฐมนตรี "เกียร์ว่าง" อีกเป็นจำนวนมาก จนน่าเป็นห่วงว่าคำพูดของนายกฯ สุรยุทธ์ ที่เร่งให้ข้าราชการไม่ใส่เกียร์ว่างจะถูกสวนกลับว่าให้เอาเวลาไป "ลงแส้" รัฐมนตรีเกียร์ว่างจะได้ผลการทำงานมากกว่า

โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐมนตรีที่มีภารกิจงานเกี่ยวข้องกับชาวบ้านในต่างจังหวัด เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์,กระทรวงมหาดไทย,กระทรวงทรัพยากรฯ และกระทรวงแรงงาน

ยังทำงานแบบข้าราชการประจำ โดยไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวว่าภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลชั่วคราวจะต้องหาทางทำให้ชาวบ้านในชนบทเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้แม้ว่าไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ยังเป็นที่พึ่งได้ในยามยากจริงๆ

เพื่อทำให้พวกเขา หายขาดจากอาการโหยหาอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่ทุ่มเงินลงไปกับนโยบายประชานิยมโดยไม่รู้ตัวว่า เคลือบยาพิษ ไว้ จนชาวบ้านเสพติดมากว่า 5 ปีเข้าใจผิดไปว่าอดีตนายกฯ ทักษิณ เป็นนายกฯ คนเดียวที่มีนโยบายช่วยคนยากคนจนอย่างจริงใจ

ผมอยากขอร้องให้นายกฯ สุรยุทธ์ เปลี่ยนสไตล์การทำงานใหม่โดยด่วนที่สุด หลังจากบอกว่าไม่ใช่คนธรรมะธัมโม แต่เป็น "โจรกลับใจ" และตอนนี้เป็น "นักการเมือง 80%"

เลิก "เกรงใจ" รัฐมนตรีเกียร์ว่างกับเกียร์ห้าที่สร้างปัญหากันละแบบ ทำได้ทั้งแบบปลดออกให้กลับไปเลี้ยงหลานจะดีกว่า หรือแขวนไว้ไม่ให้ทำงานมากเกินไป แล้วแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่ที่เป็นคนรุ่นใหม่อีก 6-7 คนที่ไม่ได้ฝักใฝ่จะลงเล่นการเมืองในสมัยหน้าให้เต็มโควตา จะได้ช่วยกันทุ่มเททำงานในเชิงรุก

หากนายกฯ สุรยุทธ์ "คิดและทำ" แบบนักการเมืองได้สัก 50%ไม่ต้องถึง 80% การขับเคลื่อนประเทศด้วยเป้าหมายสังคมคุณธรรม,สมานฉันท์ และเศรษฐกิจพอเพียง จะเต็มไปด้วยความคึกคักที่เกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม

ทำให้สังคมมีความหวังหลุดพ้นจากอาการเนือยๆ แล้วยอมรับชะตากรรมประเทศที่อดีตนายกฯ ทักษิณ อาจจะกลับมาเป็นใหญ่อีกตามวิถีเลือกตั้ง เพราะยังมีทุนมหาศาลกว่านักการเมืองคนอื่นๆ

ส่วน "คนสำคัญ" อย่างพล.อ.สนธิ ที่เริ่มมีลีลาการพูดจาแบบ "นักการเมือง" มากขึ้นทุกวัน รู้จักจังหวะการตอบโต้ทำสงครามข่าวสารมากขึ้น และเริ่มเร่งรัดคณะกรรมการชุดต่างๆ เพื่อจับให้มั่นคั้นให้ตาย พิสูจน์ทราบหลักฐานการทุจริตคอร์รัปชันของรัฐบาลทักษิณที่คงจะเริ่มจับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม นี้

แต่อยากจะขอร้อง "สิ่งที่ไม่ควรทำ" สำหรับเพื่อนพ้องน้องพี่ในคณะ คมช. โดยเฉพาะพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองเลขาธิการ คมช.และผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกที่ "ถ่างขา" นั่งเป็นประธานรัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ 2 แห่งคือ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย กับบริษัท ทศท จำกัด(มหาชน)

แม้ว่าจะยอมรับในความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังของ พล.อ.สพรั่ง ที่จะลุยล้างพวกทุจริตคอร์รัปชันในสนามบินสุวรรณภูมิ กับ ทศท ที่ฝังรากลึกมาก แต่ภาพลักษณ์ของพล.อ.สพรั่ง อาจจะกลายเป็น "นายทหาร" ที่เริ่มออกอาการเสพติดอำนาจ และกำลังนำมาด้วย "เงินตรา" อันเย้ายวน ดังเช่น นายพลคนดังๆ ในอดีตที่พอเกษียณอายุก็เข้ามาจับจองเก้าอี้ประธานรัฐวิสาหกิจ

ในขณะสิ่งที่ "ควรทำ" กับ "ไม่ควรทำ" ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ง่ายมากๆ คือ ใช้เวลาว่างศึกษาธรรมะเพื่อให้เข้าถึงแก่นพุทธศาสนา รู้จักปลงในชีวิตหลังการสูญเสียอำนาจโดยไม่ได้คาดฝันมาก่อน บอกว่าอยากกลับมาอยู่เมืองไทย และจะเลิกเล่นการเมือง ควรจะไปเลิกจ้างบริษัท ล็อบบี้ยิสต์ ฝรั่งให้ทำพีอาร์สงครามข่าวสารจากนอกประเทศโดยทันที



บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #18 เมื่อ: 29-01-2007, 09:25 »

25 ประเด็นหลัก ดีล เทคโอเวอร์  ชินคอร์ป


(ตอนจบ) ชินคอร์ป สะท้อนพฤติกรรม"ทักษิณ"
(ตอน 10) ขายหุ้น "แอมเพิล ริช" ส่วนต่างต้องเสียภาษี
(ตอน 9) ผ่าปมยูบีเอสขายหุ้นชิน "179 บาท"
(ตอน Cool หุ้นชิน "สรรพากร" ตีความผิดเจตนารมณ์
(ตอน7) แอมเพิล ริช ปม "ซุกหุ้น-อินไซเดอร์"
(ตอน 6) "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"กับปมอินไซเดอร์
(ตอน 5) ราคาเทนเดอร์แอดวานซ์ "ถูกต้อง" แต่รายย่อยเสียหาย
(ตอน 4) เทมาเส็กกู้เงิน 2แบงก์กลยุทธ"ลดความเสี่ยง"
(ตอน 3) บทพิสูจน์ว่ากุหลาบแก้วเป็นนอมินีของ Temasek
(ตอน 2) ชินคอร์ปในคราบ"สิงคโปร์" เสี่ยงผิดกฎหมาย
(ตอน 1) ขายชินคอร์ป วิบากกรรม'ทักษิณ'


http://www.bangkokbiznews.com/2007/special/total_article/index.html
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #19 เมื่อ: 29-01-2007, 09:32 »

บทความตอนที่ 1) ขายชินคอร์ป วิบากกรรม'ทักษิณ'


25 ประเด็นดีลชินคอร์ป สร้างกลไกซับซ้อนเปิดทางสิงคโปร์ยึด

            ดีลการขายชินคอร์ป ในมุมมองของผู้ใช้นามปากกาว่า"ม้านอก"และ"เด็กนอกกรอบ" นั้นได้ตั้งชื่อไว้ว่า"เมื่อความถูกต้องทางกฎหมาย อยู่เหนือความถูกต้องทางศีลธรรม:บทวิเคราะห์ 25 ประเด็นหลักในดีลเทคโอเวอร์กลุ่มชินคอร์ป"อย่างไรก็ตาม หากติดตามทั้ง 25ประเด็นเราจะพบว่ามีหลายเรื่อง ที่ไม่เฉพาะผิดศีลธรรมหรือจริยธรรมเท่านั้น แต่สุ่มเสี่ยงจะผิดกฎหมายด้วยซ้ำ

ปมแรกวันนี้ จะเปิดด้วยคำถามประเด็นโครงสร้างการซื้อกิจการของ Temasek ซึ่งมีอยู่ 7ประเด็นหลัก    


          1) ทำไม Temasek จึงไม่ซื้อหุ้น ADVANC ซึ่งเป็นผู้รับสัมปทานมือถือ โดยตรงจาก SHIN ทำไมไปซื้อหุ้น SHIN ซึ่งเป็นเพียงบริษัทโฮลดิ้งของกลุ่มชินคอร์ปเท่านั้น? จริงๆ แล้ว ประเด็นนี้เป็นประเด็นทางธุรกิจ เพราะในฐานะผู้ซื้อ Temasek มีสิทธิเต็มที่ที่จะเลือกว่า อยากซื้อหุ้นของบริษัทใดบ้างในกลุ่ม SHIN แต่ก็มีข้อน่าสังเกตดังนี้

            1.SHIN เป็นบริษัทโฮลดิ้งของกลุ่ม มี ADVANC เป็นบริษัทหลักที่ทำรายได้สูงถึง 94% ของรายได้ทั้งกลุ่ม

            2.การซื้อหุ้นที่ระดับ SHIN ไม่ใช่ ADVANC จะช่วยให้บริษัท SHIN ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ เพราะผู้ถือหุ้นของ SHIN เป็นบุคคลธรรมดา ที่ได้รับการผ่อนผันให้ไม่ต้องเสียภาษีถ้าขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ (แต่ประเด็นนี้ก็มีข้อกังขามาก-ดูประเด็นที่ 21) ถึง 24) ประกอบ) ซึ่งหมายความว่าผู้ถือหุ้น SHIN ที่ขายให้ Temasek จะได้เม็ดเงินสุทธิจากการขายหุ้น มากกว่าในกรณีที่ Temasek ซื้อ ADVANC

            3.Temasek แจ้งในคำขอผ่านผันไม่ต้องทำคำเสนอซื้อหุ้น SATTEL และ ITV ต่อก.ล.ต. ว่า ไม่มีเจตนาที่จะเข้าครอบงำกิจการของบริษัททั้งสองแห่ง อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ Temasek ได้เข้าครอบงำกิจการทั้งสองบริษัทไปแล้ว ซึ่งการครอบงำ ITV นั้นเป็นการละเมิด พ.ร.บ.ต่างด้าว ที่กำหนดชัดเจนว่าห้ามคนต่างด้าวดำเนินกิจการโทรทัศน์

            ความถูกต้องทางกฎหมาย ประเด็นนี้เป็นประเด็นทางธุรกิจ ไม่ใช่ประเด็นกฎหมาย ไม่มีกฎหมายข้อใดที่บังคับว่า Temasek ต้องซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้น SHIN ความถูกต้องทางศีลธรรม "ไม่น่าเกลียด" - เป็นประเด็นทางธุรกิจ ที่ยังไม่มีใครรู้เจตนาของ Temasek อย่างชัดเจน ต้องรอดูว่า หลังเทนเดอร์หุ้น SHIN กับ ADVANC จบแล้วจะจัดโครงสร้างของกลุ่มชินอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะต้องรอดูว่า Temasek จะขายหุ้น SHIN ในบริษัท ITV SATTEL และ Thai Air Asia ออกมาให้กับคนไทยหรือไม่



2) ทำไม Temasek จึงต้องตั้งบริษัทโฮลดิ้งขึ้นมาหลายชั้นหลายบริษัทเพื่อรับซื้อหุ้น SHIN ทำไมไม่ซื้อหุ้น SHIN โดยตรง?

            ประเด็นนี้ส่วนหนึ่งคุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ รองบก.มติชน ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนในบทความเรื่อง "ชิน คอร์ป บริษัทไทย - หัวใจสิงคโปร์?" จึงขออนุญาตตัดตอน เรียบเรียง และเพิ่มเติมเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุผลในการตั้ง Aspen Holdings ดังต่อไปนี้

            2.1) เหตุผลในการตั้งบริษัท กุหลาบแก้ว, บริษัท Cypress Holdings, และบริษัท Cedar Holdings

SHIN ถือหุ้นอยู่ในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจประกอบกิจการด้านโทรคมนาคมและสื่อสารมวลชน ซึ่งถือเป็นบริการที่มีผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง ดังต่อไปนี้ (กรุณาดูแผนผังโครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่ม SHIN ข้างต้นประกอบ)

            1.ADVANC : SHIN ถือหุ้นอยู่ 42.8% ในขณะที่ Sing Tel ของสิงคโปร์ถือหุ้นอยู่ 19.2%

            2.SATTEL : SHIN ถือหุ้นอยู่ 51.38%

            3.ITV : SHIN ถือหุ้นอยู่ 53%

            ตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 และฉบับที่ 2 พ.ศ.2549 ซึ่งเพิ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 21 มกราคม 2549 (เพียง 2 วันก่อนวันเซ็นสัญญาขายหุ้น) นั้น ADVANC และ SATTEL จะมีบุคคลหรือนิติบุคคลที่เป็นต่างด้าวถือหุ้นเกิน 49% ไม่ได้

            สำหรับ ITV ซึ่งทำธุรกิจด้านสื่อสารมวลชน รัฐธรรมนูญมาตรา 39 วรรคห้า บัญญัติไว้ว่า "เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ" ซึ่งหมายความว่า ผู้ถือหุ้นในบริษัทที่ประกอบธุรกิจด้านสื่อสารมวลชนต้องมีต่างด้าวไม่ถึง 50%

            นอกจากนั้น พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ต่างด้าว) ยังกำหนดชัดเจนว่า กิจการสถานีวิทยุโทรทัศน์ เป็นธุรกิจที่ไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบกิจการ

            ถ้าครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ขายหุ้นทั้งหมดให้แก่ Temasek โดยตรง จะทำให้บุคคลต่างชาติถือหุ้นอยู่ใน SHIN ถึงกว่า 90% SHIN จะกลายเป็นนิติบุคคลต่างด้าวทันที ทำให้การถือหุ้นของ SHIN ใน ADVANC และ SATTEL ขัดต่อพ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคมทันที แม้จะมีการขยายสัดส่วนการถือหุ้นให้ต่างด้าวเข้าไปถือหุ้นได้ถึง 49% แล้วก็ตาม

            กล่าวคือ ADVANC จะมีบุคคลต่างด้าวถือหุ้นอยู่กว่า 62% (SHIN 42% + SinTel 19.2%) ขณะที่ SATTEL จะมีบุคคลต่างด้าวถืออยู่ 51.38%

ในขณะที่ ITV จะมีต่างด้าวถืออยู่กว่า 53% ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 39 และ พ.ร.บ.ต่างด้าว

            ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทำให้ Temasek ไม่สามารถซื้อหุ้นจากครองครัวชินวัตร-ดามาพงศ์โดยตรง ต้องตั้งบริษัท โฮลดิ้ง (บริษัท Cedar Holdings) สัญชาติไทยขึ้นมารับซื้อหุ้นแทน เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้ SHIN กลายเป็นนิติบุคคลต่างด้าว


            วิธีการที่หลีกเลี่ยงมิให้ Cedar Holdings ไม่เป็นนิติบุคคลต่างด้าวก็ให้บริษัท Cypress Holdings ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Temasek สัญชาติสิงคโปร์ถือหุ้นในบริษัท Cedar Holdings เพียง 48.99% และจัดตั้งบริษัทสัญชาติไทยคือ บริษัท กุหลาบแก้ว ถือหุ้นสูงถึง 41.1%% และให้ธนาคารไทยพาณิชย์ถือหุ้นอีก 9.9% รวมแล้วเป็น 51.1% แค่นี้ Cedar Holdings ก็แปลงสัญชาติเป็นนิติบุคคลไทยเรียบร้อย

            2.2) เหตุผลในการตั้งบริษัท Aspen Holdings

            ทีนี้ก็มาถึงคำถามสุดท้ายเกี่ยวกับโครงสร้างการถือหุ้นอันสลับซับซ้อน : ทำไม Temasek จึงตั้ง Aspen Holdings ขึ้นมาถือหุ้น SHIN อีกบริษัทหนึ่ง? ทำไมไม่ใช่ Cedar Holdings บริษัทเดียว ถือหุ้นที่รับซื้อจากครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ทั้งหมด 49.59% ไปเลย? ทำไมต้องแบ่งหุ้น 10.97% ให้ Aspen Holdings ถือ?

            คำตอบน่าจะเป็นเพราะ Temasek ต้องการ "ล็อค" สัดส่วนผู้ถือหุ้นไทยใน SHIN ให้อยู่ในระดับต่ำสุดเท่าที่กฎหมายอนุญาตเพื่อคงสถานภาพความเป็น "นิติบุคคลไทย" คือ 50.01%

            การซื้อหุ้น SHIN จำนวน 49.59% ทำให้ Temasek มีภาระต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (mandatory tender offer) หุ้นทั้งหมดของ SHIN เพราะการเข้าซื้อหุ้นจำนวนนี้ทำให้ Temasek "ก้าวข้าม" จุดการถือหุ้น 25% ซึ่งเป็นจุดที่ต้องทำคำเสนอซื้อต่อผู้ถือหุ้น SHIN รายอื่นๆ
     

       ในการทำคำเสนอซื้อหุ้น 100% ของ SHIN นั้น Temasek จะต้องเตรียมเงินทุนให้เพียงพอสำหรับกรณีที่ผู้ถือหุ้น SHIN ทุกรายมาขายหุ้นคืนให้ ในราคาเสนอซื้อที่ 49.25 บาท และต้องเตรียมคำนวณไว้ล่วงหน้าว่าสัดส่วนระหว่างผู้ถือหุ้นไทย กับผู้ถือหุ้นต่างด้าวของ SHIN ในกรณีนั้น จะอยู่ที่ประมาณเท่าไร

            ก่อนวันที่ 20 มกราคม 2549 มีผู้ถือหุ้นต่างด้าวใน SHIN รวมกันประมาณ 39.02% และผู้ถือหุ้นไทยอีกประมาณ 11.39% ดังนั้นถ้าหากผู้ถือหุ้นไทยทั้งหมดมาขายหุ้นให้ Cedar Holdings และไม่มีผู้ถือหุ้นต่างชาติขายหุ้น ก็แปลว่าถ้า Cedar Holdings (ซึ่งโดยนิตินัยมีสัญชาติไทย) ถือหุ้นที่ซื้อมาจากครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ทั้ง 49.59% ก็จะทำให้ SHIN มีผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยอย่างน้อยจำนวน 49.59%+11.39% = 60.98% ซึ่งมากเกินความจำเป็นทางกฎหมายที่จะทำให้ SHIN รักษาสถานภาพนิติบุคคลไทยได้ คือ 50.01% หากมีผู้ถือหุ้นต่างชาติขายหุ้นออกมา สัดส่วนนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก

            ดังนั้น ถ้า Temasek ตั้งบริษัทโฮลดิ้งขึ้นมาอีกหนึ่งบริษัท ที่เป็นบริษัทต่างด้าว ให้ถือหุ้นจำนวน 49.99% (สัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างด้าวที่กฎหมายอนุญาต) - 39.02% (สัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างด้าวก่อนทำดีล โดยใช้สมมติฐานว่าไม่มีผู้ถือหุ้นต่างชาติขายหุ้นออก) = 10.97% ก็จะสามารถ "ล็อค" สัดส่วนผู้ถือหุ้นไทยใน SHIN ให้อยู่ที่ระดับเพียง (49.59%-10.97%) + 11.39% (ผู้ถือหุ้นไทยนอกเหนือจากกลุ่มชินวัตร-ดามาพงศ์) = 50.01% ซึ่งเท่ากับสัดส่วนการถือหุ้นขั้นต่ำ ที่จะทำให้ SHIN ยังถือเป็นบริษัทไทยตามกฎหมาย

          บริษัท Aspen Holdings จึงถือกำเนิดขึ้นมาถือหุ้น 10.97% ด้วยประการฉะนี้!

            โครงสร้างนี้ทำให้มองเห็นเจตนารมณ์ของ Temasek ค่อนข้างชัดเจนว่า ตั้งบริษัท Aspen Holdigns (สัญชาติสิงคโปร์) เพื่อมาถือหุ้น SHIN ส่วนที่เป็นของชาวต่างชาติ และตั้งบริษัท Cedar Holding (สัญชาติไทย) เพื่อฒาถือหุ้น SHIN ส่วนที่เป็นของชาวไทย

            ฉะนั้นอย่าแปลกใจ ถ้าตัวเลขการถือหุ้น SHIN ของทั้งสองบริษัทนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลง หรือเปลี่ยนมือไปมาระหว่างกัน ขณะที่กระบวนการทำเทนเดอร์หุ้น SHIN ยังไม่เสร็จสิ้นลง เพราะไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า ผู้ถือหุ้น SHIN นั้น จะมาเทนเดอร์ (ขายหุ้น SHIN ให้ Temasek) กี่คน เป็นชาวไทยเท่าไหร่ และชาวต่างชาติเท่าไหร่

            (อนึ่ง หากท่านสงสัยว่า ทำไมการบริหารจัดการของบริษัท กุหลาบแก้ว และ Cedar Holdings จึงถูกควบคุมโดยสิงคโปร์ได้ ทั้งๆ ที่มีคนไทยถือหุ้นมากกว่าครึ่งหนึ่ง เชิญอ่านคำตอฐประเด็นที่ 3) ถัดไปโดยพลัน)


            ความถูกต้องทางกฎหมาย ถูกกฎหมาย 100% - แหม อุตส่าห์ตั้งโฮลดิ้งขึ้นมาหลายชึ้นขนาดนี้ ไม่ถูกกฎหมายเรื่องสัญชาติบริษัทก็ให้มันรู้ไป!

            ความถูกต้องทางศีลธรรม "ไม่น่าเกลียด" - การใช้บริษัทโฮลดิ้งหลายชั้นหลายบริษัทในการทำดีลเทคโอเวอร์นั้นไม่ใช่เรื่องแปลก ส่วนหนึ่งเพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ การซื้อหุ้นครั้งนี้อาจทำให้บริษัทลูกของ SHIN ผิดกฎหมายเพราะกลายเป็นบริษัทต่างด้าวไป อยางไรก็ตาม กรุณาพิจารณาคำตอบประเด็นที่ 4) ประกอบ

3) ตอนนี้ SHIN ยังเป็นบริษัทสัญชาติไทยอยู่หรือไม่?

            ประเด็นนี้ คุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ รองบก. มติชน ก็ได้อธิบายไว้ชัดเจนแล้วเช่นกันในบทความเรื่อง "ชินคอร์ป บริษัทไทย - หัวใจสิงคโปร์?" จึงขอตัดตอนบางส่วนมาไว้ ณ ที่นี้

            วิธีการควบคุม SHIN อย่างถูกกฎหมาย คือต้องทำให้ SHIN ยังคงสถานภาพเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทย ในขณะที่ทุนและอำนาจการควบคุมบริษัทซึ่งเป็น "หัวใจ" สำคัญ จะเป็นของสิงคโปร์ก็ตาม

วิธีการดังกล่าวเริ่มจาก

            ขั้นที่หนึ่ง Temasek ต้องจัดตั้งนิติบุคคลสัญชาติไทยขึ้นมาก่อน ซึ่งแน่นอนว่า จะต้องมีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นเกิน 50% ซึ่งในการนี้ Temasek ได้จัดตั้งบริษัท กุหลาบแก้ว (ประชุมตั้งบริษัท เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2549 ก่อนซื้อหุ้น SHIN 11 วัน) โดยให้บริษัท Cypress Holdings (เป็นนิติบุคคลต่างด้าว) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ถือหุ้น 4,900 หุ้น หรือ 49% ในบริษัท กุหลาบแก้ว



            ทว่า แม้บริษัท กุหลาบแก้ว จะเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทย แต่เสียงในการควบคุมบริษัทซึ่งเป็น "หัวใจ" สำคัญอยู่กับฝ่ายสิงคโปร์ทั้งหมด บุคคลสัญชาติไทยเป็นเพียง "นอมินี" หรือ "ตัวแทน" ของฝ่ายสิงคโปร์เท่านั้น

            ขั้นที่สอง เมื่อจัดตั้งบริษัทกุหลาบแก้วเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทยแล้ว ก็ต้องจัดตั้งนิติบุคคลสัญชาติไทยอีกแห่งเพื่อดึงพันธมิตรอื่นเข้ามาร่วม ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ โดยนิติบุคคลแห่งที่ 2 คือบริษัท Cedar Holdings ทั้งนี้ สิงคโปร์ต้องมีอำนาจควบคุมบริษัทแห่งนี้แบบเบ็ดเสร็จ เพราะจะเป็นบริษัทที่เข้าไปซื้อหุ้น SHIN โดยตรง

            บริษัท Cedar Holdings มีบริษัท Cypress เข้าถือหุ้น 48.99% เพื่อมิให้เป็นนิติบุคคลต่างด้าว ขณะที่ให้บริษัทกุหลาบแก้ว ซึ่ง Cypress Holdings ควบคุมอยู่ ถือหุ้น 41.1% ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ถืออยู่ 9.9%




            ดังนั้นแม้ในทางรูปแบบของกฎหมาย Cedar Holdings จะมีบุคคลสัญชาติไทยถืออยู่ 51% แต่เมื่อดูเสียงผู้ถือหุ้นในการควบคุมบริษัทซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจแล้ว Temasek ของสิงคโปร์ มีเสียงผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ถึง 90% (Cypress Holdings 48.99% + กุหลาบแก้ว 41.1%) ซึ่งมีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในการดำเนินกิจการบริษัท

            จากข้อเท็จจริงทั้งหมด คำยืนยันของนายบุญคลี ปลั่งศิริ ประธานกรรมการบริหาร SHIN ที่ว่า "Cedar เป็นบริษัทคนไทย จึงส่งผลให้ SHIN ยังเป็นของคนไทยด้วย" นั้น ถูกต้องในรูปแบบของกฎหมาย

          แต่สิ่งที่นายบุญคลีไม่ได้บอกคือ "หัวใจ" นั้นกลายเป็นของสิงคโปร์เรียบร้อยไปแล้ว

            อย่างไรก็ตาม โครงสร้างการถือหุ้น SHIN ของ Temasek นั้น เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ต่างด้าว เพราะเกี่ยวเนื่องกับกิจการที่รัฐห้ามต่างด้าวทำ เช่น กิจการโทรทัศน์ ซึ่ง พ.ร.บ.ต่างด้าว มีข้อบังคับที่เข้มงวดกว่ากฎหมายทั่วไป

            ความถูกต้องทางกฎหมาย : ถูกกฎหมายแต่ผิดเจตนารมณ์ - กฎหมายไทยยังใช้ "จำนวนหุ้น" ในการตัดสิน "สัญชาติ" ของบริษัท มิใช่ "สิทธิออกเสียง" ของหุ้นทั้งหมดอย่างที่ควรจะเป็น (เพราะในความเป็นจริงอำนาจควบคุมบริษัทมาจาก "สิทธิออกเสียง" ของหุ้น มิใช่จำนวนหุ้น) ซึ่งกฎนี้นับว่ายังล้าหลังประเทศพัฒนาแล้วอยู่มาก

            ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดเป็นปกติ" - การออกหุ้นบุริมสิทธิให้กับคนไทยที่ถือหุ้นในสัดส่วนที่มากกว่า เพื่อให้มีสิทธิออกเสียงน้อยกว่าหุ้นที่ออกให้คนต่างด้าวนั้น เป็น "ทริค" ของบริษัทต่างด้าวในการเทคโอเวอร์บริษัทไทย ที่รู้และใช้กันมานานหลายสิบปีในหลากหลายธุรกิจ ดังนั้นถึงการกระทำของ Temasek จะ "น่าเกลียด" ในแง่ที่มีเจตนาจะเลี่ยงกฎหมาย แต่ก็เป็นสิ่งที่มีตัวอย่างให้เห็นก่อนหน้านี้มากมายหลายกรณี

            ดังนั้นประเด็นที่สำคัญกว่าคือ เมื่อไหร่ที่เราจะแก้กฎหมายให้นับ "สัญชาติ" ของบริษัทตาม "สิทธิออกเสียง" ของหุ้นเสียที เพื่อมิให้นักธุรกิจเจ้าเล่ห์ทั้งหลายอาศัยช่องโหว่นี้ไปเรื่อยๆ (อ่านต่อตอนสอง)


 

บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #20 เมื่อ: 29-01-2007, 09:32 »

'จารย์จ๊ะ' คิดว่าเรื่องทักษิณกลายเป็นเรื่องเล็กไปแล้วเมื่อเทียบกับ สถานะการณ์ของประเทศไทยด้านเศรษฐกิจ และการปกครอง ลองๆไปถามคนทำมาหากินทุกวันนี้ดูว่าเค้าคิดยังไงกับคุณภาพชีวิตและสถานะทางเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน


เอาเรื่องใกล้ๆตัวที่จะทำให้เกิดพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงที่กำลังก่อตัวขณะนี้ดีกว่าไปสนใจทักษิณ!!
บันทึกการเข้า
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #21 เมื่อ: 29-01-2007, 09:36 »

บทความ ตอนที่2 : ชินคอร์ปในคราบ"สิงคโปร์" เสี่ยงผิดกฎหมาย


4) SHIN มี "หัวใจ" เป็นสิงคโปร์ได้อย่างไร และผิดกฎหมายหรือไม่?
            ก่อนจะวิเคราะห์ประเด็นนี้ ลองมาทำความรู้จัก พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ต่างด้าว) กันก่อน

            มาตรา 36 ผู้มีสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่มิใช่คนต่างด้าวตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนหรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว อันเป็นธุรกิจที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติ โดยคนต่างด้าวนั้นมิได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจดังกล่าว หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยแสดงออกว่าเป็นธุรกิจของตนแต่ผู้เดียว หรือ ถือหุ้นแทนคนต่างด้าว ในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัดหรือนิติบุคคลใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ รวมทั้งคนต่างด้าวซึ่งยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่มิใช่คนต่างด้าวตามพระราชบัญญัตินี้กระทำการดังกล่าว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งให้เลิกการให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุน หรือสั่งให้เลิกการร่วมประกอบธุรกิจ หรือสั่งให้เลิกการถือหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนนั้นเสีย แล้วแต่กรณี หากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลต้องระวางโทษปรับวันละหนึ่งหมื่นบาทถึงห้าหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่


 บัญชีท้าย พ.ร.บ.ฉบับนี้แยกประเภทธุรกิจออกเป็นสามประเภท ได้แก่ :

            1) บัญชีหนึ่ง คือธุรกิจที่ไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบกิจการเลย อาทิ เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ การทำนา เลี้ยงสัตว์ ประมง ป่าไม้ ฯลฯ

            2) บัญชีสอง คือธุรกิจที่เกี่ยวกับความปลอดภัยหรือความมั่นคงของประเทศหรือมีผลกระทบต่อศิลปวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม อาทิเช่น การผลิตอาวุธปืน การขนส่งทางบก ทางน้ำ รวมทั้ง กิจการการบินในประเทศ การค้าของเก่า การทำเหมือง ฯลฯ บุคคลต่างด้าวที่อยากประกอบธุรกิจในบัญชีนี้ต้องได้รับอนุญาตจากคณะรัฐมนตรีก่อน

            3) บัญชีสาม คือธุรกิจที่คนไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะแข่งขันกับคนต่างด้าว อาทิเช่น บริการทางบัญชี กฎหมาย สถาปัตยกรรม วิศวกรรม ฯลฯ บุคคลต่างด้าวที่อยากประกอบธุรกิจในบัญชีนี้ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการประกอบธุรกิจต่างด้าวก่อน

            โดยเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น เห็นชัดว่า คนต่างด้าวที่ประกอบกิจการการบินในประเทศนั้น ต้องได้รับอนุญาตจากคณะรัฐมนตรีก่อน และเห็นชัดว่า ธุรกิจเกี่ยวกับสถานีโทรทัศน์ ซึ่งเป็นกิจการที่ ITV ดำเนินการอยู่ ไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจเลย

            จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เจตนารมณ์ของกฎหมายจงใจเขียนมาตรานี้ เพื่อกันมิให้ชาวต่างด้าวเข้ามาทำธุรกิจที่สงวนไว้ให้คนไทย โดยอาศัยชื่อของคนไทยบังหน้า แต่เป็นกลุ่มชาวต่างชาติมีอำนาจควบคุมอยู่เบื้องหลัง หรือใช้โครงสร้างที่เรียกกันว่า "นอมินี" (ตัวแทน) นั่นเอง

            ผู้เขียนขออธิบายความหมายของคำว่า "นอมินี" ก่อน คำนี้ในที่นี้มีความหมายกว้างๆ ว่าองค์กรหรือหน่วยงานที่ได้รับการจดทะเบียนในชื่อของบุคคลหนึ่ง แต่อำนาจในการควบคุมที่แท้จริงกลับตกเป็นของอีกบุคคลหนึ่ง

            ในกฎหมายบริษัทจำกัดนั้น การนับอำนาจควบคุมจะดูที่ทุนจดทะเบียน นั่นคือในการตั้งบริษัท ใครลงเงินมากกว่าก็เป็นผู้มีอำนาจควบคุมนั่นเอง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทุกคนอาจคิดว่าเป็นสามัญสำนึกธรรมดาๆ

            แต่ในความเป็นจริงนั้น การดูทุนจดทะเบียนเพียงอย่างเดียว ไม่อาจสืบสวนไปถึงอำนาจควบคุมที่แท้จริงได้ ยกตัวอย่างเช่น อาจมีการเซ็นสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นว่า ในการออกเสียงลงมติในที่ประชุมนั้น ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งสามารถมอบคะแนนเสียงของตนให้ผู้ถือหุ้นอีกคนหนึ่งออกเสียงแทนได้ หรือในการจัดตั้งบริษัท ผู้ถือหุ้นกลุ่มหนึ่งอาจได้รับหุ้นบุริมสิทธิแทนที่จะเป็นหุ้นสามัญ ซึ่งน้ำหนักในการออกเสียงลงคะแนนไม่จำเป็นต้องเท่ากัน เช่น 10 หุ้นบุริมสิทธิสามารถออกเสียงได้เท่ากับ 1 เสียงหุ้นสามัญ ทั้งๆ ที่หุ้นทั้งสองแบบมีราคาที่ตราไว้เท่ากัน เป็นต้น ซึ่งทำให้คนที่ถึงแม้ในกระดาษหุ้นดูเหมือนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ แต่ในทางปฏิบัตินั้นไม่มีสิทธิในการควบคุมอะไรเลย พูดง่ายๆ ก็คือมีลักษณะเป็นหุ่นเชิดนั่นเอง

            แน่นอน ในกรณีของ SHIN นั้น กฎหมายยังรับรองว่าเป็นบริษัทไทยอยู่ โต้โผสูงสุดของ SHIN นายบุญคลี ปลั่งศิริ ก็เคยออกมาให้สัมภาษณ์แล้วว่า ผู้ถือหุ้น SHIN ยังเป็นคนไทยมากกว่าครึ่ง ไม่ใช่คนสัญชาติสิงคโปร์แต่อย่างใด แต่จริงๆ แล้วเป็นเช่นนั้นหรือไม่ หรือมีอะไรสลับซับซ้อนไปกว่านั้น

          โครงสร้างการถือหุ้นในปัจจุบันของ SHIN ที่เกี่ยวข้องกับ ITV

          โครงสร้างการถือหุ้นของ SHIN นั้น ค่อนข้างสลับซับซ้อน ขอนำข้อมูลจากส่วนต้นมาอธิบายซ้ำเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น

            ในกรณีของ SHIN นั้น ประเด็นเรื่องการถือหุ้นโดยบริษัทต่างชาติไม่ได้มีผลกระทบกับบริษัท SHIN โดยตรง เนื่องจากว่าธุรกิจโฮลดิ้งส์ของ SHIN ไม่ได้เป็นธุรกิจที่จำกัดไว้ให้แต่เฉพาะชาวไทยเท่านั้น แต่ประเด็นปัญหาจะอยู่ที่บริษัท ซึ่ง SHIN ไปถือครองหุ้นอยู่ อันได้แก่ ADVANC (42.86%) , SATTEL (51.38%) และ ITV (53%) ซึ่งล้วนเป็นกิจการที่กฎหมายห้ามชาวต่างชาติถือหุ้นเกิน 49% (หรือไม่ถึง 50% ในกรณีของ ITV)

            ถึงแม้ว่า Temasek จะได้ประกาศออกมาแล้วว่า ไม่มีเจตนาที่จะครอบงำ ITV แต่ข้อเท็จจริงในขณะนี้ ก็คือ Temasek ได้มีอำนาจการบริหารใน ITV แล้ว เพราะฉะนั้น หาก SHIN มีสถานะเป็นบริษัทต่างด้าว จะทำให้การถือหุ้นใน ITV ผิดกฎหมายทันที เนื่องจาก Temasek จะมีสถานะครอบงำกิจการของ ITV โดยอัตโนมัติ ซึ่ง พ.ร.บ.ต่างด้าว ระบุชัดว่า บุคคลต่างด้าวไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์ ทำให้ถึงแม้ว่าไม่มีเจตนาจะครอบงำ แต่ตามหลักกฎหมายคือ ผิดกฎหมายเต็มประตู เจ้าหน้าที่สมควรต้องปฏิบัติตามหน้าที่ในการตรวจสอบและเอาผิด หากมีความผิดเกิดขึ้นจริง เพื่อให้ถูกต้องตามครรลองคลองธรรมของสังคม

            ถ้าดูโครงสร้างการถือหุ้นของ SHIN ในปัจจุบันนั้น จะพบว่ากลุ่ม Temasek ถืออยู่ทั้งสิ้น 49.59% โดยนับเป็นขาที่ถือโดยบริษัทต่างด้าว 10.97% และขาที่ถือโดยบริษัทไทย 38.62% นอกจากนี้ ยังมีการถือหุ้นโดยชาวต่างด้าวอื่นๆ อีกมากกว่า 10% เพราะฉะนั้นหาก Cedar Holdings เป็นบริษัทต่างด้าว ก็จะทำให้ SHIN มีลักษณะเป็นบริษัทต่างด้าวเช่นกัน และยิ่งกว่านั้นก็จะทำให้การถือหุ้นใน ITV ขัดต่อกฎหมายในทันที

            ผู้เขียนอยากจะเพ่งการพิจารณามาที่สัญชาติของสองบริษัท คือบริษัทกุหลาบแก้ว และ Cedar Holdings จากโครงสร้างการถือหุ้นตามแผนผังด้านบน หากกุหลาบแก้วเป็นบริษัทต่างชาติ จะทำให้ Cedar Holdings เป็นบริษัทต่างชาติ ส่งผลให้ SHIN กลายเป็นบริษัทต่างชาติในทันทีเช่นกัน

(ตอนที่สาม- จะได้บทสรุปว่าบริษัทกุหลาบแก้ว เป็นนอมินีได้อย่างไร)

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2007, 10:43 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #22 เมื่อ: 29-01-2007, 09:40 »

(ตอน 3) บทพิสูจน์ว่ากุหลาบแก้วเป็นนอมินีของ Temasek

---------------------------------------------------------------

            สิ่งที่ผู้เขียนจะพยายามพิสูจน์ซึ่งเป็นเนื้อหาหลักของประเด็นนี้ คือ บริษัทกุหลาบแก้วนั้น จริงๆ แล้ว คือนอมินี ของ Temasek ดีๆ นั่นเอง ถึงแม้ว่าจะถือหุ้นโดยคนไทยเกิน 50% แต่หุ้นของคนไทยนั้นโดยพฤตินัยแล้ว ไม่มีความหมายในการควบคุม เป็นเพียงหุ้นลม ซึ่งกรณีนี้เข้าข่ายการละเมิดมาตรา 36 ของ พ.ร.บ.ต่างด้าว เพราะคนไทย "ถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัด หรือนิติบุคคลใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติ"

            การพิสูจน์นั้นดูได้จาก 2 วิธีหลัก ดังนี้

            โครงสร้างเงินทุน การถือหุ้น อำนาจควบคุมในบริษัท

            A. การถือหุ้น : ถ้าดูเพียงเปอร์เซ็นต์การถือหุ้นเพียงอย่างเดียว จะเห็นว่า กลุ่มคนไทยคือ นายพงส์ และนายศุภเดช ถือหุ้นรวมกัน 51% ซึ่งมากกว่ากึ่งหนึ่ง ทำให้ถือได้ว่าเป็นบริษัทไทย ถ้านับตามจำนวนหุ้น

            แต่การนับจำนวนหุ้นนั้น ไม่ใช่วิธีที่จะสามารถแบ่งบอกอำนาจควบคุมได้ ด้วยเหตุผลที่อธิบายไปแล้ว แม้กระทั่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็รู้ถึงข้อจำกัดนี้ เพราะฉะนั้น กฎของตลาดหลักทรัพย์ จะอิงอำนาจในการควบคุมเป็นสำคัญ และจะไม่ได้ดูที่จำนวนหุ้นเพียงอย่างเดียว

            B. การควบคุม : หากมองด้านอำนาจการควบคุมบริษัท เราสามารถแบ่งประเด็นออกไปได้อีกหลายประเด็นย่อย :

            ๐ สิทธิในการออกเสียงของผู้ถือหุ้นเป็นของคนต่างด้าว : คนไทย 2 คน ที่ถือหุ้นข้างมากจำนวน 51% ของกุหลาบแก้วนั้น แท้จริงแล้วเป็นการถือหุ้นบุริมสิทธิ ซึ่งข้อบังคับข้อ 20 ของบริษัท กุหลาบแก้ว กำหนดให้หุ้นบุริมสิทธิดังกล่าว 10 หุ้น ออกเสียงได้เพียง 1 เสียง ดังนั้น คนไทยจะออกเสียงรวมกันได้ไม่ถึง 10% ในขณะที่ Cypress (ซึ่งเป็นคนต่างด้าวจะออกเสียงได้ถึง 90.59%)

            จากตารางด้านบน จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นคนไทย ถือจำนวนหุ้นเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นทั้งหมด แต่กลับมีสิทธิออกเสียงเพียงนิดเดียว ซึ่งแน่นอน หมายความว่า ในการประชุมผู้ถือหุ้นนั้น ชาวต่างชาติจะเป็นผู้มีอำนาจควบคุมกำหนดทิศทางของบริษัทกุหลาบแก้ว

            ๐ สิทธิในผลประโยชน์ของบริษัท : คนไทย 2 คน ที่ถือหุ้นข้างมากจำนวน 51% เป็นการถือหุ้นบุริมสิทธิ ซึ่งข้อบังคับบริษัท (ในข้อ 25) กำหนดให้ได้รับเงินปันผลจำกัดเพียง 3% ของจำนวนเงินที่ลงหุ้นไว้กับบริษัท ซึ่ง 3% ของเงินลงทุน 51,000 บาท จะเท่ากับ 1,530 บาทเท่านั้น โดยไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผลมากกว่าจำนวนดังกล่าวอีก

            ข้อบังคับบริษัท กุหลาบแก้ว

            ข้อ 25 ระบุเงื่อนไขการจ่ายเงินปันผล ดังนี้

            (ก) ผู้ถือหุ้นกลุ่ม ก จะได้รับเงินปันผลก่อนผู้ถือหุ้นกลุ่ม ข ในอัตราร้อยละ 3 ตามจำนวนเงินที่ผู้ถือหุ้นกลุ่ม ก ได้ลงหุ้นไว้กับบริษัท

            (ข) หลังจากการแบ่งเงินปันผลตามที่ระบุไว้ใน (ก) เงินปันผลที่เหลือจะแบ่งในจำนวนเท่าๆ กันในระหว่างผู้ถือหุ้นกลุ่ม ข ตามสัดส่วนที่ได้ลงหุ้นไว้

            (ค) เงินปันผลที่จ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นกลุ่ม ก ในแต่ละปี จะจ่ายอัตราที่กำหนดไว้ตาม (ก) เท่านั้น และจะไม่มีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มเติมอีกสำหรับหุ้นกลุ่ม ก

            (ง) เงินปันผลจะถูกสะสมเฉพาะในส่วนของผู้ถือหุ้นกลุ่ม ก เท่านั้น

            ถ้าพิจารณาตามนี้ เห็นได้ชัดเจนว่า ผู้ถือหุ้นคนไทยไม่ใช่ฝ่ายที่จะได้รับประโยชน์มากมายอะไรจากบริษัทกุหลาบแก้ว กลับเป็นผู้ถือหุ้นต่างด้าวที่ได้รับประโยชน์ส่วนใหญ่จากบริษัทนี้

            สมมติว่าถ้าท่านผู้อ่านเป็นพ่อค้าทำธุรกิจ และท่านเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทแห่งหนึ่ง ท่านจะเขียนข้อบังคับมาเพื่อจำกัดผลประโยชน์ของท่านให้ได้ไม่คุ้มเสียหรือเปล่า ก็คงไม่มีใครที่ไหนเขาทำกัน ในกรณีที่เป็นการดำเนินธุรกิจตามปกติ ซึ่งทำให้อนุมานได้ว่า สิ่งที่บริษัทกุหลาบแก้วทำอยู่ ต้องมีนัยอันไม่ปกติแอบแฝงอยู่ด้วยอย่างแน่นอน

            ๐ อำนาจในการจัดการบริหารเป็นของคนต่างด้าว : บริษัท กุหลาบแก้ว มีกรรมการตามรายนามดังต่อไปนี้

            1.นางพงส์ สารสิน

            2.นายเอส ไอสวาราน

            3.นางสาวไช ยู จู

            โดยอำนาจในการลงนามเรื่องต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการติดต่องานราชการไทยนั้น ให้ใช้กรรมการ 2 คนลงนาม และประทับตราสำคัญของบริษัท ส่วนในการติดต่องานราชการนั้นให้กรรมการคนเดียวลงนามและประทับตราสำคัญของบริษัทก็พอ นัยว่าเป็นการประหยัดเวลาจะได้ไม่ต้องส่งเอกสารไปที่สิงคโปร์ให้เสียเวลา

            นอกจากนี้ ในการประชุมคณะกรรมการของบริษัทกุหลาบแก้ว กำหนดองค์ประชุมกรรมการไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง (เท่ากับ 2 คน) แต่ต้องมีกรรมการที่ถูกเสนอชื่อโดยผู้ถือหุ้นกลุ่ม ก (ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิที่เป็นคนไทย) เข้าร่วมด้วย (ข้อบังคับบริษัท ข้อ 11) รวมทั้งสามารถลงมติเวียนได้ (ข้อบังคับบริษัท ข้อ 14) โดยที่มาตรา 1161 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) กำหนดให้การลงมติของคณะกรรมการใช้เสียงข้างมาก ถ้าเสียงเท่ากันให้ประธานชี้ขาด ดังนั้น กรรมการต่างด้าวดังกล่าวจึงสามารถควบคุมการบริหารจัดการบริษัทได้เกือบทั้งหมด

            ผู้เขียนเคยเข้าร่วมประชุมกรณีหนึ่ง ที่ฝรั่งต่างชาติมาเจรจาเพื่อร่วมลงทุนกับชาวไทย ประสบการณ์โดยตรงที่ผู้เขียนพบก็คือ ประเด็นการสรรหาคณะกรรมการนั้นเป็นประเด็นที่มักจะถกเถียงกันอย่างร้อนแรง และไม่จบลงง่ายๆ คนไทยและคนต่างด้าวทั้งสองฝ่ายมักจะไม่อยากให้ตัวเองต้องเสียอำนาจควบคุมในระดับคณะกรรมการ ผลลัพธ์ท้ายที่สุดมักจะออกมาในรูปของการแบ่งอำนาจ นั่นคือ กรรมการที่มาจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้เลย หากไม่ได้รับคะแนนเสียงจากกรรมการที่มาจากผู้ถือหุ้นของอีกฝ่ายหนึ่ง

            จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า ในบริษัทกุหลาบแก้วนั้น ผู้ถือหุ้นชาวไทยช่างเป็นคนที่อะลุ่มอล่วยเหลือเกิน ถือหุ้นมากกว่าครึ่ง แต่ยอมให้กรรมการที่มาจากผู้ถือหุ้นต่างชาติมีอำนาจตัดสินใจเรื่องสำคัญทุกเรื่องของบริษัท

            2.เส้นทางเงินทุนที่นำมาซื้อหุ้น SHIN : หากดูจากมูลค่าการซื้อขายหุ้น SHIN ซึ่งสูงถึง 73,000 ล้านบาทแล้ว หมายความว่า Cedar Holdings ซึ่งซื้อหุ้น SHIN จำนวน 38.62% ต้องใช้เงินมากถึง 56,851 ล้านบาท เป็นเงินจำนวนมหาศาล แต่หากดูจากจำนวนทุนจดทะเบียนและชำระแล้ว โดย Cedar Holdings ทุนจดทะเบียน 160,000,000 บาท และบริษัทกุหลาบแก้ว ทุนจดทะเบียน 100,000 บาท

            มีข้อน่าสงสัย 2 ประการคือ ทุนจดทะเบียน Cedar Holdings มีเพียง 160 ล้านบาท แต่ไปหาเงินที่ไหนมากว่า 56,000 ล้านบาท เพื่อซื้อหุ้น SHIN ประการที่สอง กุหลาบแก้วมีทุนจดทะเบียนเพียง 100,000 บาท แต่ถือหุ้นใน Cedar Holdings ถึง 41.1% แสดงว่าต้องมีการใช้เงินถึงกว่า 40 ล้านบาท เงินเหล่านี้มาจากไหน

            ในการซื้อหุ้น SHIN นั้น มีการกู้เงินจากธนาคารกรุงเทพ และธนาคารไทยพาณิชย์ จำนวน 26,000 ล้านบาท ซึ่งหมายความว่าเงินอีก 30,000 ล้านบาท ต้องมาจากไหนสักแห่ง ซึ่งคาดเดาได้ว่า Cypress Holdings น่าจะเป็นผู้ที่ออกเงินที่เหลือให้ครบจำนวน โดยที่เงินกู้ 26,000 ล้านบาทนั้น Cypress ก็เป็นผู้กู้โดยตรงจากธนาคารกรุงเทพ และธนาคารไทยพาณิชย์ และนำมาให้ Cedar กู้ต่อแผนผังการไหลของเงินน่าจะเขียนได้ดังนี้

            จะสังเกตเห็นได้ว่า เงินไม่ได้มาจาก Cedar Holdings เลย แต่มาจาก Cypress Holdings ซึ่งเป็นบริษัทต่างด้าว แม้แต่เงินกู้เองก็กู้โดยใช้เครดิต (standby letter of credit) ที่มาจากทาง Cypress Holdings ส่วนในตัวกุหลาบแก้วนั้น แน่นอนว่า ไม่สามารถลงเงินอะไรได้ เพราะมีเงินอย่างมากที่สุดก็ 100,000 บาท

            เพราะฉะนั้น น่าจะเป็นที่ชัดเจนว่า บริษัทที่ซื้อ SHIN จริงๆ แล้วคือ Cypress Holdings โดยที่ Cedar Holdings และกุหลาบแก้วมีตัวตนอยู่เพียงเพื่อ แปลงสัญชาติเงิน ให้เป็นเงินสัญชาติไทย ในทางพฤตินัยนั้น กุหลาบแก้ว และ Cedar Holdings ไม่ได้เป็นผู้ลงทุนที่แท้จริงแต่อย่างใด

            ถึงตรงนี้ก็ควรอ้างมาตรา 36 ใน พ.ร.บ.ต่างด้าวอีกครั้ง ห้ามบุคคลหรือนิติบุคคลไทย "ถือหุ้นแทนคนต่างด้าว ในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัดหรือนิติบุคคลใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจ โดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้"

            จะเห็นได้ว่า ถึงแม้คนไทยจะถือหุ้นมากกว่าในบริษัทกุหลาบแก้ว แท้ที่จริงแล้ว อำนาจควบคุม การบริหารจัดการ และผลประโยชน์ทางธุรกิจนั้น ตกเป็นของผู้ถือหุ้นชาวต่างชาติซึ่งคือ Cypress Holdings แทบทั้งสิ้น นอกจากนี้ จากการศึกษาเส้นทางเงินที่นำมาซื้อหุ้น และโครงสร้างเงินทุนของกุหลาบแก้ว ก็เห็นชัดว่า บริษัทนี้เป็นเพียงหุ่นกระบอก และทางผ่านของเงินทุนเพื่อที่จะทำให้เงินนั้นกลายเป็นเงินสัญชาติไทย แท้ที่จริงแล้ว บริษัทกุหลาบแก้ว เป็นเพียงนอมินีให้กับ Cypress Holdings เท่านั้น

            ซึ่งก็หมายความว่า บริษัท Cypress เป็นผู้ที่มีอำนาจควบคุมโดยตรงใน Cedar Holdings เนื่องจากถือหุ้นโดยตรง 49% และถือผ่านบริษัทกุหลาบแก้วอีก 41.1% รวมทั้งสิ้น 90.1% รวมทั้งสิ้น 90.1% และ Cedar Holdings ก็เป็นเพียงนอมินีให้กับ Cypress Holdings ล้างสัญชาติตัวเองชุบตัวให้เป็นนิติบุคคลไทย ซึ่งได้เข้าไปควบคุม ITV ผ่าน SHIN เรียบร้อย

            ความถูกต้องทางกฎหมาย : คนไทยที่ไปถือหุ้นเป็นนอมินีในโครงสร้างนี้ ผิดมาตรา 36 ใน พ.ร.บ. ต่างด้าวอย่างเห็นได้ชัด! เพราะเท่ากับว่าในบริษัททั้งสอง ผู้ถือหุ้นชาวไทยเป็นเพียงผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นให้กับคนต่างด้าว เพื่อให้คนต่างด้าวสามารถประกอบธุรกิจในสัดส่วนการถือหุ้นที่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด

            ถึงแม้ Temasek จะแจ้งเจตนาต่อ ก.ล.ต. แล้วว่า ไม่ต้องการครอบงำ ITV ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตัวเองนั้นกำลังทำผิดกฎหมายอยู่ และศาลสามารถสั่งให้ผู้ถือหุ้นไทยของกุหลาบแก้ว และ Cedar Holdings "เลิกการให้ความช่วยเหลือ หรือสนับสนุน หรือสั่งให้เลิกการร่วมประกอบธุรกิจ หรือสั่งให้เลิกการถือหุ้น หรือการเป็นหุ้นส่วนนั้นเสีย แล้วแต่กรณี" ได้ตามกฎหมาย

            แต่เนื่องจากผลประโยชน์ในการทำธุรกรรมครั้งนี้สูงลิบลิ่ว และบทลงโทษก็เพียงให้ปรับแค่วันละ 50,000 บาท ในช่วงที่ยังทำความผิด ก็คงจะไม่น่าแปลกใจหากบริษัทเหล่านี้ จะยอมเสียค่าปรับไปเรื่อยๆ

            ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดสุดขั้ว" - เป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองไทย เป็นสถาบันที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองไทยมานาน เข้ามามีส่วนร่วมในการถือหุ้น Cedar Holdings ซึ่งถึงแม้การถือหุ้นดังกล่าวจะไม่อยู่ในลักษณะนอมินี เนื่องจากธนาคารมีสัดส่วนในการออกเสียงตามสัดส่วนเงินทุนที่ได้ลงไป (คือ 1 หุ้น ต่อ 1 เสียง) แต่จะปฏิเสธไม่ได้จากหลักฐานข้างต้นว่า Cedar Holdings เป็นเพียงหุ่นเชิดของ Temasek ในการล้างสัญชาติเงิน และธนาคารไทยพาณิชย์ ก็เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการนี้ด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2007, 10:44 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #23 เมื่อ: 29-01-2007, 09:43 »

ตอน 4) เทมาเส็กกู้เงิน 2แบงก์กลยุทธ"ลดความเสี่ยง"

-----------------------------------------------------------------------

 

5) ทำไม Temasek จึงต้องกู้เงินส่วนหนึ่งที่ใช้ซื้อหุ้น คือ 26,000 ล้านบาท จากธนาคารพาณิชย์ไทยสองแห่ง ?

            การใช้เงินกู้เป็นแหล่งเงินทุนส่วนหนึ่งในการเทคโอเวอร์ เป็นเรื่องปกติในการทำธุรกรรมแบบนี้ เพราะเป็นการลดความเสี่ยงจากการใช้เงินทุนของผู้ซื้อ (กรณีนี้คือ Temasek) และมีต้นทุนทางการเงินที่ "ถูกกว่า" การใช้หุ้นด้วย

            นอกจากนี้ การกู้ยืมเงินเป็นบาทจากธนาคารในประเทศ ยังช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เพราะการซื้อหุ้น 49.59% ของครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ มีมูลค่าสูงถึง 73,000 ล้านบาท แปลว่าถ้า Temasek  เอาเงินสิงคโปร์ดอลลาร์มาแลกเป็นเงินบาทจำนวนขนาดนี้เพื่อมาซื้อหุ้นในไทย จะต้องเผชิญกับภาวะ "บาทแข็ง" อย่างไม่ต้องสงสัย (ซึ่งแปลว่าเงินสิงคโปร์ดอลลาร์อ่อนลงเมื่อเทียบกับเงินบาท ทำให้ต้นทุนของ Temasek ในรูปเงินสิงคโปร์ดอลลาร์สูงขึ้น) ดังนั้น การใช้เงินซื้อหุ้นส่วนหนึ่งเป็นเงินกู้บาทจากธนาคารไทย สามารถช่วยลดความเสี่ยงในจุดนี้ได้

ความถูกต้องทางกฎหมาย : ประเด็นนี้เป็นประเด็นทางธุรกิจ ไม่ใช่ประเด็นกฎหมาย

ความถูกต้องทางศีลธรรม : "ไม่น่าเกลียด"-Temasek มีสิทธิและความชอบธรรมที่จะหาแหล่งเงินทุนในการซื้อหุ้นจากที่ไหนก็ได้ที่ไม่ผิดกฎหมาย ในขณะเดียวกัน ธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกรุงเทพ ก็มีสิทธิที่จะปล่อยกู้ให้กับลูกค้าบริษัทใดก็ได้ ที่ธนาคารวิเคราะห์สถานะทางการเงินแล้วเห็นว่า มีความสามารถในการชำระหนี้คืน Temasek เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของรัฐบาลสิงคโปร์ ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง จึงไม่น่าจะมีข้อครหาในเรื่องนี้

6) ธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกรุงเทพ ทำผิดกฎหมายหรือไม่?

ในแง่ธุรกิจ การปล่อยกู้ให้กับกลุ่ม Temasek ของธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกรุงเทพ เป็นการกระทำที่สมเหตุสมผล และน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระดับความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ เพราะ Temasek มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง มีระดับความน่าเชื่อถือสูงถึง AAA จาก Standard & Poors สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก ดังที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ในประเด็นที่ 4) ข้างต้น

            นอกจากนี้ การเข้าถือหุ้น 9.9% ในบริษัท Cedar Holdings ของธนาคารไทยพาณิชย์ ก็เป็นการลงทุนที่ "ชาญฉลาด" ในแง่ธุรกิจ เพราะเท่ากับว่าธนาคารใส่เงินเพียง 39.6 ล้านบาท (9.9% ของทุนจดทะเบียน Cedar Holding = 9.9% x 400 ล้านบาท = 39.6 ล้านบาท) ก็สามารถถือหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง SHIN ทางอ้อมได้ถึง 3.8% (เท่ากับสัดส่วนการถือหุ้นของธนาคารไทยพาณิชย์ใน Cedar Holdings คือ 9.9% คูณด้วยสัดส่วนการถือหุ้นของ Cedar Holdings ใน SHIN คือ 38.62%)

            แถมยังได้ที่นั่งกรรมการบริษัท SHIN มา 1 ที่นั่งด้วย

            ในแง่กฎหมาย ทั้งสองธนาคารไม่น่าจะเข้าข่ายผิดกฎหมายใดๆ เพราะการปล่อยกู้ หรือแม้แต่ลงทุนในผู้กู้ที่มีศักยภาพที่จะชำระหนี้ เป็นธุรกิจปกติของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้กำกับดูแลอยู่แล้ว

            อย่างไรก็ตาม มาตรา 12 (9) ใน พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 ระบุว่า ห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์ "กระทำการใดๆ อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือแก่ประโยชน์ของประชาชน หรือเป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างไม่เป็นธรรม หรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาหรือต่อการแข่งขันในระบบสถาบันการเงิน หรือเป็นการผูกขาดหรือจำกัดตัดตอนทางเศรษฐกิจ"

            อาจกล่าวได้ว่ามาตรานี้เป็นการบังคับให้ธนาคารพาณิชย์ตั้งอยู่ใน "กรอบของศีลธรรม" ในภาษากฎหมาย

            ท่านผู้อ่านอาจตกใจที่เห็นข้อบังคับเกี่ยวกับศีลธรรมปรากฏในกฎหมายธุรกิจ แต่จริงๆ แล้วนี่เป็นเรื่องเหมาะสม เพราะกิจการธนาคารมีความสำคัญยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นผู้ดูแลเงินฝากของประชาชนหลายล้านคน ดังนั้นการที่ธนาคารจะเอาเงินของประชาชน ไปปล่อยกู้หรือทำอะไร ก็ควรต้องคิดให้รอบคอบเสียก่อน และเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

            ในดีลนี้ เห็นชัดว่าโครงสร้างการจัดตั้งโฮลดิ้งหลายชั้นขึ้นมาถือหุ้น SHIN ของกลุ่ม Temasek นั้น มีเจตนารมณ์ที่จะหลบเลี่ยงข้อกฎหมายไทยเรื่องจำกัดผู้ถือหุ้นต่างด้าวไว้ที่ 49% ทั้งๆ ที่ SHIN มี "หัวใจ" เป็นสิงคโปร์ไปแล้ว ซึ่งการที่ Temasek มีอำนาจควบคุม ITV และ Thai Air Asia แปลว่า SHIN น่าจะเข้าข่ายผิดมาตรา 36 ใน พ.ร.บ.ต่างด้าว ดังคำอธิบายก่อนหน้านี้ในประเด็นที่ 2), 3) และ 4) ข้างต้น

            ดังนั้น จึงน่าคิดว่าธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกรุงเทพ เข้าข่ายผิดมาตรา 12 (9) ใน พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 หรือไม่ เพราะการปล่อยกู้ของธนาคารทั้งสองแห่ง เป็นการสนับสนุนให้กลุ่ม Temasek ให้เข้ามามีอำนาจควบคุมกิจการโทรทัศน์ (ITV) ที่ พ.ร.บ.ต่างด้าว บัญญัติไว้ว่าห้ามคนต่างด้าวทำ และกิจการการบินในประเทศ (Thai Air Asia) ที่ พ.ร.บ.ต่างด้าว บัญญัติว่าคนต่างด้าวที่อยากทำต้องได้รับอนุญาตจากคณะรัฐมนตรีก่อน

            การปล่อยกู้ของธนาคารทั้งสองแห่ง จึงเป็นการกระทำที่ "...อาจก่อให้เกิดความเสียหาย...แก่ประโยชน์ของประชาชน" ตามมาตรา 12 (9) ดังกล่าว

            ระดับ "ความผิด" ของธนาคารในกรณีนี้ขึ้นอยู่กับว่า ธนาคารทั้งสองแห่ง ล่วงรู้ล่วงหน้าหรือไม่เพียงใด ว่า Temasek มีเจตนารมณ์ที่จะหลบเลี่ยงกฎหมายไทยอย่าง "น่าเกลียด" แบบนี้

            ยกตัวอย่างเช่น ถ้าธนาคารทั้งสองแห่งไม่ได้ปล่อยกู้ให้กับ Cedar Holdings โดยตรง แต่ไปปล่อยกู้ให้กับบริษัทแม่ของ Cedar คือ Cypress Holdings แทน (ดังที่ผู้เขียนสันนิษฐานในประเด็นที่ 4) ก่อนหน้านี้) ก็อาจอ้างได้ว่า ไม่รู้เรื่องที่ Temasek จะไปจัดตั้งบริษัทกุหลาบแก้ว และ Cedar Holdings ขึ้นมาเลี่ยงกฎหมาย ภายหลังจากที่อนุมัติเงินกู้ให้กับ Cypress Holdings ไปแล้ว

            ธนาคารทั้งสองแห่งอาจคิดว่า Temasek จะไปตั้งบริษัทขึ้นมาถือหุ้น SHIN แบบตรงไปตรงมา คือตั้งใจถือหุ้น 49% และมีอำนาจควบคุม 49% ด้วย ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย

            ซึ่งกรณีนั้นก็นับว่าไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ เพราะไม่รู้จริงๆ ถ้าเข้าข่ายผิดมาตรา 12 (9) ก็ผิดด้วยความประมาทเลินเล่อมากกว่า ไม่ถึงขนาด "จงใจ" ช่วย Temasek

            ธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้มีหน้าที่กำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ไทย จึงควรเข้ามาตรวจสอบกระบวนการปล่อยเงินกู้ดังกล่าวอย่างละเอียดถี่ถ้วน สามารถตอบข้อกังขาข้อนี้ได้อย่างกระจ่างชัด

            โดยเฉพาะในระหว่างที่ Temasek มีอำนาจควบคุม ITV และ SATTEL อย่างชัดเจน ยังไม่ขายหุ้นไปให้กับคนไทยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ความถูกต้องทางกฎหมาย : ผิดเจตนารมณ์ - ธนาคารแห่งประเทศไทยควรตรวจสอบเงื่อนไข และกระบวนการปล่อยกู้ของธนาคารทั้งสองอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะหากธนาคารทั้งสองไม่รู้จริงๆ ว่า Temasek จะใช้โครงสร้างน่าเกลียดแบบนี้ การอนุมัติเงินกู้ก็สมเหตุสมผลกว่าถ้าล่วงรู้ข้อมูลทั้งหมด

            แต่ไม่ว่าธนาคารทั้งสองจะ "ตั้งใจ" ช่วย Temasek หลบเลี่ยงกฎหมายไทยหรือไม่ เพียงใดก็ตาม การปล่อยกู้ในครั้งนี้น่าจะเป็นการละเมิด "เจตนารมณ์" ของมาตรา 12 (9) ใน พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ อย่างชัดเจน

ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดสุดขั้ว" - มาตรา 12 (9) ใน พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ เป็นข้อบังคับทางศีลธรรม ซึ่งเป็นเรื่องนามธรรมและยากต่อการพิสูจน์ ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ไทยหลายแห่งก็ได้ทำธุรกรรมกับกลุ่มธุรกิจที่บางคนอาจมองว่า "ทำความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน" อาทิเช่น อาบอบนวด สุรา บุหรี่ เป็นต้น ในขณะที่อีกหลายคนอาจมองว่าไม่เสียหาย

            อย่างไรก็ตาม ดีลการขายหุ้น SHIN นี้เกี่ยวข้องกับธุรกิจโทรทัศน์ ซึ่งรัฐห้ามต่างด้าวเป็นผู้ดำเนินการด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของประเทส และดีลนี้ยังเกี่ยวโยงกับบุคคลสำคัญระดับนายกรัฐมนตรี ระดับ "ความน่าเกลียด" จึงอยู่สูงกว่าธุรกิจอื่นๆ ที่กล่าวถึงข้างต้น

            7) ทำไม Temasek จึงไม่ซื้อหุ้น 10.98% จาก Ample Rich โดยตรงในวันที่ 23 มกราคม 2549 เหมือนที่ซื้อจากผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ แทนที่จะซื้อผ่าน น.ส.พินทองทา และนายพานทองแท้ก่อนในวันที่ 20 มกราคม 2549?

ตามกฎหมายสิงคโปร์ Temasek ไม่สามารถซื้อหุ้นจากบริษัทที่เป็นนอมินีของผู้ถือหุ้นที่แท้จริงได้ แต่ถึงแม้ Temasek จะขอผ่อนผันเรื่องนี้กับรัฐบาลสิงคโปร์ Temasek ก็ไม่น่าจะอยากซื้อหุ้นจาก Ample Rich โดยตรง เพราะรู้ดีว่า Ample Rich เป็นเพียงบริษัทนอมินีของกลุ่มชินวัตร ที่จดทะเบียนอยู่ใน BVI ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็น "สวรรค์" สำหรับนักธุรกิจไม่สุจริตที่ต้องการเลี่ยงภาษี และฟอกเงิน การซื้อหุ้นโดยตรงจากบริษัทนอมินีสัญชาติ BVI อาจทำให้ Temasek ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐบาลสิงคโปร์ ตกเป็นที่ครหาของประชาชน และสื่อมวลชนในสิงคโปร์ได้ ดังนั้น Temasek น่าจะยืนกรานที่จะซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ เท่านั้น ไม่ใช่จากบริษัทนอมินีใดๆ ของกลุ่ม

ความถูกต้องทางกฎหมาย : ประเด็นนี้เป็นประเด็นทางธุรกิจ ไม่ใช่ประเด็นกฎหมาย การตัดสินว่าจะซื้อหุ้น SHIN จากใคร ขึ้นอยู่กับดุลยพินจของ Temasek และการเจรจากับผู้ถือหุ้น SHIN จริงๆ แล้วข้อนี้เราต้องขอบคุณกฎหมายสิงคโปร์ และนโยบายของ Temasek ที่บังคับให้ Ample Rich ต้องขายหุ้นคืนมาให้ น.ส.พินทองทา และนายพานทองแท้ก่อน ทำให้คนไทยตาสว่างเมื่อเห็นชัดว่า Ample Rich คือนอมินีของใคร ว่าพฤติกรรม "ซุกหุ้น" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น ไม่ได้จืดจางลงในรอบ 4 ปีที่ผ่านมาแม้แต่น้อย

ความถูกต้องทางศีลธรรม : "ไม่น่าเกลียด" - ด้วยเหตุผลเดียวกับประเด็น "ความถูกต้องทางกฎหมาย" ข้างต้น
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #24 เมื่อ: 29-01-2007, 09:45 »

(ตอน 5) ราคาเทนเดอร์แอดวานซ์ "ถูกต้อง" แต่รายย่อยเสียหาย



            -------------------------------------------------------------

            ถาม-ตอบ ประเด็นกระบวนการทำ tender offer และราคา tender offer

            การทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ตามมาตรา 247 หรือ mandatory tender offer นั้น เป็นกรณีที่บริษัทผู้ซื้อถูก "บังคับ" ตามกฎหมาย ให้ทำเทนเดอร์ แต่โดยปกติ บริษัทใดๆ ก็สามารถยื่นเทนเดอร์เองโดยที่ถือหุ้นยังไม่ถึง 25% ก็ได้ กรณีนี้เรียกว่าเป็นการ "ทำคำเสนอซื้อโดยสมัครใจ" (voluntary tender offer) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ Temasek ใช้ในการทำเทนเดอร์หุ้น ADVANC (จะกล่าวถึงในลำดับต่อไป)

            นอกจากนี้ ก.ล.ต.ยังมีกฎเกณฑ์ว่าด้วย "การครอบงำกิจการผ่านนิติบุคคลอื่น" (chain principle) ซึ่งใช้สำหรับกรณีที่กลุ่มบริษัทใดมีบริษัทจดทะเบียนใน ตลท.มากกว่าหนึ่งแห่ง (เช่น กลุ่ม SHIN มี SHIN, ADVANC, SATTEL, ITV และ CSL เป็นบริษัทจดทะเบียนใน ตลท.) กฎนี้บอกว่า ถ้าผู้ซื้อเข้ามามีอำนาจควบคุมอย่างมีนัยสำคัญในนิติบุคคล (เช่น SHIN) ที่เป็นผู้ถือหุ้นของกิจการอื่นที่จดทะเบียนอยู่ก่อนแล้ว (เช่น ADVANC ซึ่ง SHIN ถือหุ้นอยู่ 42.86%) ไม่ว่าการมีอำนาจควบคุมนั้นจะเกิดขึ้นโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม ผ่านการถือหุ้นหรือการควบคุมในนิติบุคคลอื่นเป็นทอดๆ จนถึงนิติบุคคลที่เป็นผู้ถือหุ้นของกิจการ บุคคลนั้นต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ ถ้าได้หุ้นมาถึง Trigger point ต่างๆ ยกเว้นว่าการได้มานั้นมิได้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อการครอบงำกิจการ (เช่น สมมติว่าถ้าการเทนเดอร์หุ้น SHIN ทำให้ Temasek กลายเป็นผู้มีอำนาจควบคุมใน ADVANC ทั้งๆ ที่ไม่ได้ต้องการธุรกิจของ ADVANC กรณีนี้ Temasek ก็ขอผ่อนผันไม่ต้องทำเทนเดอร์ ADVANC ต่อ ก.ล.ต.ได้)

            ตามกฎ ก.ล.ต.ระยะเวลาในการทำเทนเดอร์ต้องไม่น้อยกว่า 25 วัน เพื่อให้ผู้ถือหุ้นมีเวลาตัดสินใจเพียงพอว่าอยากขายหรือไม่

            Cool ทำไม Temasek จึงต้องยื่นคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ SHIN?


            การซื้อหุ้น 49.59% ของครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ทำให้ Temasek ต้องยื่นเทนเดอร์สำหรับหุ้น SHIN ทั้งหมด เพราะ 49.59% เกินจุดการถือหุ้นแรกที่ต้องทำคำเสนอซื้อตามมาตรา 247 คือ 25%

            ความถูกต้องทางกฎหมาย ถูกต้อง 100% - เรื่องนี้ Temasek ปฏิบัติตามมาตรา 247 ชัดเจน

            ความถูกต้องทางศีลธรรม "ไม่น่าเกลียด" - ด้วยเหตุผลเดียวกับประเด็น "ความถูกต้องทางกฎหมาย" ข้างต้น



            9) ราคาที่ Temasek เสนอซื้อหุ้น SHIN นั้น สมเหตุสมผลหรือไม่?


            ตามกฎ ก.ล.ต. ราคาที่ใช้ในการทำ mandatory tender offer จะต้องเป็นราคาสูงสุดที่ผู้ทำคำเสนอซื้อ (คือ Temasek ในกรณีนี้) ได้หุ้น SHIN มา ภายใน 90 วันก่อนวันยื่นเทนเดอร์ ดังนั้น Temasek จึงต้องใช้ราคาเดียวกับราคาที่ซื้อหุ้นจากครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ คือ 49.25 บาทต่อหุ้น

            ต่อคำถามว่าราคา 49.25 บาทต่อหุ้น เป็นราคาที่ "เหมาะสม" หรือไม่นั้น ผู้เขียนมองว่าเป็นราคาที่ค่อนข้าง "แพง" เมื่อเทียบกับดีลเทคโอเวอร์อื่นๆ ในธุรกิจโทรคมนาคม กล่าวคือ ราคานี้คิดเป็นเกือบ 4 เท่าของมูลค่าทางบัญชีของ SHIN ในขณะที่อีกสองดีลที่เกิดเมื่อเร็วๆ นี้ คือการซื้อหุ้น 10% ในบริษัทเกาหลีใต้ชื่อ KT Freetel โดยยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมญี่ปุ่น NTT DoCoMo และการขายหุ้นของครอบครัวเบญจรงคกุลให้กับพันธมิตรชาวนอร์เวย์คือ Telenor ASA ราคาซื้อคิดเป็นประมาณ 2 เท่าของมูลค่าทางบัญชีเท่านั้น นอกจากนี้ข้อมูลจากบริษัท Dealogic ซึ่งเก็บข้อมูลดีลเทคโอเวอร์อย่างละเอียด ชี้ว่า อัตราส่วนราคาซื้อต่อมูลค่าทางบัญชีของบริษัทโทรคมนาคมในทวีปเอเชีย ตลอดทั้งปี 2548 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.2 เท่านั้น

            อย่างไรก็ดี เมื่อมองว่าบริษัทลูกของ SHIN คือ ADVANC นั้นเป็นผู้ให้บริการมือถือรายใหญ่ที่สุดในประเทศที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มว่าจะได้ใบอนุญาตให้ทำคลื่น 3G ค่อนข้างแน่นอน ราคานี้ไม่ถึงกับ "แพงจนไร้เหตุผล" ทีเดียวนัก

            ความถูกต้องทางกฎหมาย ถูกต้อง 100% - เรื่องนี้ Temasek ปฏิบัติตามกฎ ก.ล.ต. เรื่องราคาที่ต้องใช้ในการทำ mandatory tender offer คือใช้ราคาสูงสุดที่ได้หุ้นมาภายใน 90 วัน

            ความถูกต้องทางศีลธรรม "ไม่น่าเกลียด" - ดังกล่าวข้างต้น ราคา 49.25 บาทต่อหุ้นดู "แพงไป" แต่ก็ไม่ได้เป็นราคาที่สูงเสียจนทำให้ใครแคลงใจได้ว่า Temasek ได้รับ "ผลประโยชน์แอบแฝง" อื่นใดที่มีมูลค่ามหาศาล ในการซื้อหุ้นครั้งนี้หรือไม่ (จริงอยู่ นายกฯ อาจให้ "คำสัญญา" เกี่ยวกับ 3G ที่ยังไม่มีสิทธิให้เพราะกทช. ยังไม่ได้กำหนดโครงสร้าง แต่ด้วยความแข็งแกร่งของ ADVANC ก็คงเป็นเรื่องแปลก หาก ADVANC จะไม่ได้รับใบอนุญาต 3G ดังนั้นเรื่องคำสัญญานี้ จึงไม่น่าเกลียดเท่าไรนัก)



            10) ทำไม Temasek จึงต้องยื่นคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ ADVANC


            ก่อนการซื้อหุ้น SHIN นั้น Temasek ถือหุ้น ADVANC อยู่ 19.26% ผ่านบริษัทลูกคือ SingTel ซึ่ง SHIN ถือหุ้น 60% ในขณะที่ SHIN ถือหุ้น ADVANC  อยู่ 42.86% ดังนั้น เมื่อ Temasek มาถือหุ้น 49.59% ใน SHIN และมีเจตนาครอบงำกิจการ SHIN เพราะทำเทนเดอร์หุ้นทั้งหมดของ SHIN อยู่ จึงเท่ากับว่า Temasek และบริษัทในเครือจะถือหุ้น ADVANC รวม 42.86% + 19.26% = 62.12% ซึ่งมีอำนาจควบคุมแน่นอน และ ADVANC ก็เป็นบริษัทหลักในกลุ่ม SHIN (มีรายได้คิดเป็นสัดส่วน 94% ของรายได้บริษัททั้งหมดในกลุ่ม) ที่ Temasek ต้องการครอบงำแน่นอน

            ดังนั้น ตามกฎ "การครอบงำกิจการผ่านนิติบุคคลอื่น" (chain principle) ของ ก.ล.ต. Temasek จึงต้องเทนเดอร์หุ้นทั้งหมดของ ADVANC ด้วย เพียงแต่มีประเด็นเทคนิคเล็กน้อย คือทำเทนเดอร์ด้วยความสมัครใจแทนที่จะรอให้ช่วงเวลาเทนเดอร์หุ้น SHIN จบลงก่อน (ซึ่งหลังจากนั้น Temasek ก็จะมีอำนาจควบคุม SHIN จริงๆ ตามกฎหมาย เพราะจะถือหุ้นเกิน 50%) ซึ่ง ก.ล.ต.ได้ชี้แจงประเด็นนี้เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2549 ว่า "การทำคำเสนอซื้อหุ้น ADVANC ในครั้งนี้มีข้อเสนอและเงื่อนไขเช่นเดียวกับการทำ mandatory tender offer ทุกประการเพียงแต่ทำเร็วขึ้นก่อนที่จะมีหน้าที่ตามกฎหมายเท่านั้น (จึงเรียกว่าเป็น voluntary tender offer) ซึ่งการทำคำเสนอซื้อหุ้น ADVANC โดยเร็วจะช่วยป้องกันความสับสนและการคาดการณ์ต่างๆ"

            ความถูกต้องทางกฎหมาย ถูกต้อง 100% - เรื่องนี้ Temasek ปฏิบัติตามกฎเรื่อง chain principle ของ ก.ล.ต. ถูกต้อง และการขอทำ voluntary tender offer นั้นก็ทำได้ตามกฎหมาย

            ความถูกต้องทางศีลธรรม "ไม่น่าเกลียด" - ด้วยเหตุผลเดียวกับประเด็น "ความถูกต้องทางกฎหมาย" ข้างต้น


            11) ราคาที่ Temasek เสนอซื้อหุ้น ADVANC นั้น สมเหตุสมผลหรือไม่?


            เนื่องจากการทำเทนเดอร์หุ้น ADVANC ของ Temasek นั้นเป็นการทำภายใต้เกณฑ์ "การครอบงำกิจการผ่านนิติบุคคลอื่น" (chain principle) คือเป็นการเทนเดอร์หุ้นบริษัทลูกของบริษัทที่ Temasek ต้องการซื้อจึงต้องใช้หลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาเทนเดอร์ กรณี chain principle ซึ่งกำหนดให้ใช้เงินลงทุนของ SHIN ใน ADVANC หารด้วยส่วนผู้ถือหุ้นของ SHIN ก่อน แล้วเอาอัตราส่วนที่ได้มาคูณมูลค่าหุ้นทั้งหมดของ SHIN (market cap) ผลที่ได้ถือเป็นมูลค่าปัจจุบันของเงินลงทุนใน ADVANC ของ SHIN เมื่อเอาตัวเลขนี้หารด้วยจำนวนหุ้นของ ADVANC ที่ SHIN ถือ จะได้ราคาเทนเดอร์ ADVANC ต่อหุ้น

            แน่นอน ตัวเลขที่ได้นี้ย่อมต่ำกว่าราคาตลาดของหุ้น ADVANC พอสมควร เพราะต้นทุนของ SHIN ในการซื้อหุ้น ADVANC (cost of investment) ย่อมต่ำกว่าต้นทุนของผู้ถือหุ้นที่ไปไล่ซื้อหุ้น ADVANC เอาไว้ในตลาด ในกรณีนี้ ราคาเทนเดอร์ที่ได้ คือ 72.31 บาทต่อหุ้น หรือต่ำกว่าราคาตลาดประมาณ 30%

            ก.ล.ต. อธิบายหลักการเรื่องนี้ไว้เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2549 ว่า "หลักเกณฑ์ในการกำหนดราคาเสนอซื้อหุ้นบริษัทลูกมีกำหนดตั้งแต่ปี 2545 แล้ว โดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนหลายท่านได้เข้าร่วมพิจารณาและร่วมกันกำหนดเกณฑ์...โดยเห็นว่า ไม่ควรใช้ราคาตลาด แต่ให้ใช้ราคาที่ได้มา ทั้งนี้ เพื่อให้สะท้อนมูลค่าหุ้นที่แท้จริงของบริษัทลูกในขณะที่มีการทำ Temasek บริษัทแม่...โดยวิธีการคำนวณราคาลักษณะนี้เคยใช้มาแล้วในกรณีการทำคำเสนอซื้อ NPC โดย SCC  ซึ่งเป็นกรณี chain principle เช่นเดียวกัน"

            สรุปคือ ต้องถือเป็น "คราวเคราะห์" ของผู้ถือหุ้น ADVANC ที่เจอราคาเทนเดอร์ต่ำกว่าตลาดขนาดนี้ ซึ่งใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาที่ตรงตามข้อกฎหมายทุกประการ ทั้งๆ ที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ทุกสถาบันประเมินว่า ราคาที่เหมาะสมของ ADVANC อยู่ที่ 111 บาทโดยเฉลี่ย หรือสูงกว่าราคาเทนเดอร์ถึง 53.5%

            อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมีข้อสังเกตว่า กฎข้อนี้ของ ก.ล.ต. "ไม่เป็นธรรม" กับผู้ถือหุ้นของ ADVANC เท่าไรนัก ด้วยเหตุว่า SHIN นั้น เป็นเพียงบริษัทโฮลดิ้งของกลุ่มชิน ที่ตั้งมาถือหุ้นในบริษัทต่างๆ ของกลุ่ม ไม่มีธุรกิจอะไรเป็นของตัวเอง และมี ADVANC เป็นกิจการหลัก ทำรายได้ถึง 94% ของรายได้ทั้งกลุ่ม ดังนั้นเกณฑ์การคำนวณ "มูลค่าหุ้นที่แท้จริงของบริษัทลูก" ในกรณีนี้ ไม่ควรใช้ราคาที่บริษัทแม่ คือ SHIN ได้มา เพราะราคาตลาดของหุ้น ADVANC น่าจะเป็นตัววัด "มูลค่าหุ้นที่แท้จริงของบริษัทลูก" ได้ใกล้เคียงกว่า สะท้อนนัยสำคัญของ ADVANC ที่มีต่อ SHIN ได้ดีกว่า โดยเฉพาะเมื่อคำนึงว่า จริงๆ แล้ว Temasek น่าจะต้องการเพียง ADVANC เท่านั้น แต่ที่มาซื้อหุ้น SHIN ก็เพราะกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SHIN ไม่ต้องการให้ SHIN เสียภาษี

            แผนผังด้านล่างเปรียบเทียบดีลนี้ กับดีล SCC (ปูนซิเมนต์ไทย) ที่ต้องทำเทนเดอร์หุ้น NPC ตามกฎ chain principle ทั้งๆ ที่ SCC ต้องการเทนเดอร์เฉพาะ TPC เท่านั้น จะเห็นว่าในกรณีของ SCC นั้น รายได้ของกลุ่มธุรกิจ TPC และรายได้ของกลุ่มธุรกิจ NPC นั้น มีสัดส่วนพอๆ กัน คือ 54% และ 45% นอกจากนี้ TPC ก็ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติกของตัวเอง ที่ต่างจากธุรกิจของ NPC คือผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ในขณะที่ SHIN ไม่มีธุรกิจของตัวเองดังที่กล่าวไปแล้ว ดังนั้น การที่ SCC สามารถเทนเดอร์หุ้นของบริษัทที่ตัวเองไม่สนใจจะครอบงำ ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด จึงสมเหตุสมผลมากกว่าการที่ Temasek สามารถเทนเดอร์หุ้นของบริษัทที่ตัวเองสนใจจะครอบงำ (และที่ทำรายได้คิดเป็น 94% ของทั้งกลุ่ม) ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด

            ความถูกต้องทางกฎหมาย : ถูกต้อง 100% - เรื่องนี้ Temasek ปฏิบัติตามกฎ ก.ล.ต. เรื่องเกณฑ์การกำหนดราคาเทนเดอร์กรณีเข้าข่าย chain principle ทุกประการ แม้จะทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยของ ADVANC เสียเปรียบอย่างมากมายมหาศาล

            อย่างไรก็ตาม ความ "ไม่เป็นธรรม" ของราคาเทนเดอร์ในกรณีนี้ น่าจะเป็นจุดกระตุ้นให้ ก.ล.ต.หันมาทบทวนอีกครั้งว่า ควรแก้กฎ chain principle ให้เข้มงวดขึ้น (เช่น กำหนดให้ใช้เกณฑ์เดียวกับการทำ mandatory tender offer) สำหรับการเทนเดอร์บริษัทลูกของบริษัทลักษณะที่เป็น "โฮลดิ้ง" ที่บริษัทลูกทำรายได้กว่า 90% หรือไม่

            ความถูกต้องทางศีลธรรม : "ไม่น่าเกลียด" - ระดับความน่าเกลียดในประเด็นนี้ สืบเนื่องมาจากประเด็นที่ 1) ของบทความนี้แล้ว ใครคิดว่าเหตุผลหลักที่ Temasek มาซื้อหุ้น SHIN แทนที่จะเป็นหุ้น ADVANC นั้น คือ ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ไม่ต้องการให้ SHIN เสียภาษี ก็อาจคิดว่าข้อนี้เข้าข่าย "น่าเกลียดเป็นปกติ" ได้ แต่ผู้เขียนคิดว่าต้องรอดูพฤติกรรมของ Temasek หลังจากได้อำนาจควบคุมเบ็ดเสร็จในกลุ่ม SHIN ก่อน ว่าจะดำเนินธุรกิจอะไรบ้าง และอย่างไร

            บุคคลนั้นต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ ถ้าได้หุ้นมาถึง trigger point ต่างๆ ยกเว้นว่าการได้มานั้นมิได้มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อการครอบงำกิจการ (เช่น สมมติว่าถ้าการเทนเดอร์หุ้น SHIN ทำให้ Temasek กลายเป็นผู้มีอำนาจควบคุมใน ADVANC ทั้งๆ ที่ไม่ได้ต้องการธุรกิจของ ADVANC กรณีนี้ Temasek ก็ขอผ่อนผันไม่ต้องทำเทนเดอร์ ADVANC ต่อ ก.ล.ต.ได้)

            ตามกฎ ก.ล.ต. ระยะเวลาในการทำเทนเดอร์ต้องไม่น้อยกว่า 25 วัน เพื่อให้ผู้ถือหุ้นมีเวลาตัดสินใจเพียงพอว่าอยากขายหรือไม่

            (ฉบับวันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ นี้ ลองมาประเมินกันต่อว่า การขายหุ้นของผู้บริหาร ADVANC เข้าข่าย อินไซเดอร์ หรือไม่)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2007, 10:41 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #25 เมื่อ: 29-01-2007, 09:52 »

(ตอน 6)"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"กับปมอินไซเดอร์   


         -------------------------------------------------

            ประเด็นกระบวนการซื้อขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลภายใน (insider trading) และการเปิดเผยข้อมูล

            13) การทยอยขายหุ้น ADVANC ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อนที่จะมีการประกาศดีลนี้ต่อสาธารณชน เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 เข้าข่าย insider trading หรือไม่?

            มาตรา 241 (ข้อห้ามการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายในเพื่อประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่น) ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ เขียนชัดเจนว่า "ห้ามมิให้บุคคลใดทำการซื้อหรือขายหรือเสนอซื้อหรือเสนอขาย หรือชักชวนให้บุคคลอื่นซื้อหรือขายหรือเสนอซื้อหรือเสนอขาย ซึ่งหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ ไม่ว่าโดยทรงตรงหรือทางอ้อม

 ในประการที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบต่อบุคคลภายนอก โดยอาศัยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหลักทรัพย์ที่ยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชน และตนได้ล่วงรู้มาในตำแหน่งหรือฐานะเช่นนั้น และไม่ว่าการกระทำดังกล่าวจะกระทำเพื่อประโยชน์ต่อตนเองหรือผู้อื่น หรือนำข้อเท็จจริงเช่นนั้นออกเปิดเผยเพื่อให้ผู้อื่นกระทำดังกล่าว โดยตนได้รับประโยชน์ตอบแทน"

            ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มิได้เป็นเพียงผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ADVANC เท่านั้น หากยังเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น SHIN ที่ขายหุ้นให้กับ Temasek เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ดังนั้น จึงไม่มีทางปฏิเสธว่า ตนไม่รู้เรื่องที่ Temasek จะทำเทนเดอร์หุ้น ADVANC ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดถึง 30% ก่อนวันเซ็นสัญญา

            ข้อมูลจากรายการการซื้อขายหลักทรัพย์ของผู้บริหาร ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 ต่อเนื่องถึงมกราคม 2549 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ายิ่งลักษณ์ ขายหุ้น ADVANC เพื่อประโยชน์ของตัวเอง โดย "อาศัยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหลักทรัพย์ที่ยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชน" คือช่วงก่อนวันที่ 23 มกราคม 2549

            คำตอบของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ว่า "การขายหุ้นทุกครั้งมีการแจ้งเรียบร้อย" และ "ถ้าไม่ขายก็ติด silent period ของหุ้น ESOP" จึงฟังไม่ขึ้น เพราะมันไม่ตรงประเด็นทั้งคู่

            ประเด็นอยู่ที่ การขายหุ้นกว่า 288,000 หุ้น ที่ราคา 105-113 บาท (ซึ่งก็ต้องบอกว่า "แม่น" เหลือเกินที่ขายได้ทั้งหมดช่วงก่อนที่ราคาหุ้น ADVANC จะขึ้นไปสูงสุด แล้วก็หล่นลงมาเรื่อยๆ) นั้น เข้าข่าย "การขายหุ้นโดยใช้ข้อมูลภายใน" (insider trading) ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมาย หรือไม่

            ที่อ้างว่า "ถ้าไม่ขายก็ติด silent period ของหุ้น ESOP" นั้น ก็น่าหัวเราะสิ้นดี ก็เพราะคุณจะผิดกฎหมายเรื่อง insider trading น่ะสิ คุณถึงไม่ควรขายหุ้นออกมาช่วงนั้น!

            คำ "แก้ตัวแทน" ของ กิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ว่า "เขาก็ซื้อๆ ขายๆ อย่างสม่ำเสมอ" ก็ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน เพราะมันไม่ได้ตอบคำถามว่า ไอ้หุ้นที่ขายไปช่วงนี้ มันผิดกฎหมายหรือไม่

สรุปประเด็นนี้ได้ทางเดียวว่า

            ความถูกต้องทางกฎหมาย  ผิดกฎหมายเรื่อง insider trading 100% เต็มประตู - เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน กรณีเดียวที่ยิ่งลักษณ์จะขายหุ้น ADVANC ไป 288,400 หุ้น แล้วไม่ผิดกฎนี้ คือ ถ้าเธอไม่รู้เรื่องการเจรจาขายหุ้น SHIN ของพี่ชายเลย (หรือหลานชายและหลานสาว ถ้าหากว่าคุณพี่ชายจะยืนยันต่อไปว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นประการใด) อยู่ดีๆ เช้าตรู่ของวันที่ 23 มกราคม 2549 ก็มีคนมาปลุกให้ไปเซ็นสัญญาขายหุ้น SHIN ให้ Temasek ซะดื้อๆ อย่างนั้น....

            ความถูกต้องทางศีลธรรม "น่าเกลียดสุดขั้ว" - อะไรที่มัน "ผิดกฎหมาย" แบบเห็นกันชัดๆ อย่างนี้ ไม่น่าเกลียดธรรมดาแน่นอน จริงๆ แล้วถ้า ก.ล.ต. ไม่เอาเรื่องยิ่งลักษณ์ข้อนี้ ก็แปลว่ากฎหมาย insider trading ของเราไม่มีความหมาย ฉีกทิ้งไปเลยดีกว่า

            14) ทำไม ตลท. ไม่สั่งขึ้นเครื่องหมายพักการซื้อขายหุ้นชั่วคราว (H) ของหุ้น SHIN ทั้งๆ ที่เกิดข่าวลือเรื่องดีลนี้มาตั้งแต่ก่อนเดือนพฤศจิกายน 2548?



            นี่เป็นตัวอย่างค่อนข้างชัดเจน ที่แสดงให้เห็นความ "ลำเอียง" แบบกระเท่เร่ของ ตลท. ที่มีต่อดีลนี้ หุ้น SHIN ช่วงต้นเดือนธันวาคม 2548 อยู่ในระดับราคาประมาณ 37 บาท หลังจากนั้นเมื่อกระแสข่าวลือกระพือหนักว่า มีต่างชาติจะเข้ามาซื้อหุ้นกลุ่มดังกล่าว ราคาหุ้นก็ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่า 30% แต่ ตลท. ไม่ได้ขึ้นเครื่องหมาย "พักหรือห้ามซื้อขายหุ้น" เลยแม้แต่วันเดียว ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาจนกระทั่งวันที่ 23 มกราคม 2549 คือวันที่มีการลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น

            การขึ้นเครื่องหมาย H  (ย่อมาจาก Halt คือ หยุดพักการซื้อขายชั่วคราว) และเครื่องหมาย SP (ย่อมาจาก Suspend คือห้ามการซื้อขายหุ้นจนกว่า ตลท. จะได้รับคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรจากบริษัทจดทะเบียน) นั้น เป็น "เครื่องมือ" ของ ตลท. ที่สำคัญต่อการควบคุมดูแลตลาดหลักทรัพย์ ให้มีความโปร่งใส ช่วยให้นักลงทุนทุกรายสามารถเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญต่อการตัดสินใจซื้อขายหุ้น ได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่เสียเปรียบ "คนวงใน" กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่มีข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทมากกว่านักลงทุนทั่วไป

            ช่วงที่ข่าวลือการเทคโอเวอร์สะพัด การที่ ตลท. ไม่ขึ้นเครื่องหมายเหล่านี้เพื่อบังคับให้ SHIN ส่งจดหมายชี้แจงอย่างเป็นทางการ และเปิดเผยข้อมูลที่บริษัทล่วงรู้ (หรือไม่รู้ เพราะบริษัทอาจไม่ทราบการกระทำของผู้ถือหุ้นก็ได้) ต่อนักลงทุน ก็เท่ากับเป็นการเปิด "ไฟเขียว" ให้กับ "คนวงใน" ทั้งหลายของ SHIN ที่รู้ความคืบหน้าการเจรจาเป็นอย่างดี ได้มีโอกาสปั่นหุ้น และซื้อขายทำกำไรแบบ insider trading กันอย่างสบายใจเฉิบ

ลองมาฟังความเห็นจากแหล่งข่าวในแวดวงการเงินดู

            "ที่ผิดปกติก็คือ ทั้ง ก.ล.ต.และตลาดหุ้นต่างไม่เทคแอ็คชั่นเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ดูง่ายๆ วันที่ 23 มกราคม ทั้งๆ ที่มีข่าวว่าชินคอร์ปจะชี้แจงดีลประวัติศาสตร์ 7 หมื่นล้านบาท แต่ตลาดหลักทรัพย์ ทำได้แค่ขึ้นเครื่องหมาย H หยุดพักการซื้อขายหุ้นชั่วคราวเมื่อเวลา 11.37 น. แต่ไม่ขึ้นเครื่องหมาย SP ห้ามการซื้อขายหุ้น แต่ทางบริษัทชินคอร์ปเป็นผู้ขอขึ้นเครื่องหมายเอง จึงทำให้ดูเหมือนเป็นการเลือกปฏิบัติ"            ความถูกต้องทางกฎหมาย กฎหมายเรื่องการขึ้นเครื่องหมายนั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ ตลท. เอง แต่ก็ต้องนับว่า ตลท. ทำให้นักลงทุนผิดหวัง เพราะเป็นการ "เลือกปฏิบัติ" ค่อนข้างชัดเจน มีอย่างที่ไหน ปล่อยให้ข่าวลือแพร่สะพัดเป็นเดือนๆ หุ้น SHIN โลดแล่นติดลมบน โดยไม่สั่งพักการซื้อขายเลยแม้แต่วันเดียว

            ความถูกต้องทางศีลธรรม "น่าเกลียดสุดขั้ว" - ทุกอย่างที่แสดงพฤติกรรมการ "เลือกปฏิบัติ" ของหน่วยงานรัฐ เพื่อเข้าข้างบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เป็นความน่าเกลียดสุดขั้วอย่างไม่ต้องสงสัย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2007, 10:38 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #26 เมื่อ: 29-01-2007, 09:55 »

(ตอน7)แอมเพิล ริช ปม "ซุกหุ้น-อินไซเดอร์"
---------------------------------------------

ถาม-ตอบ ประเด็นเกี่ยวกับ Ample Rich Investments

            เมื่อคำนึงว่า บริษัทที่จดทะเบียนใน BVI นั้น หลายบริษัทมีจุดประสงค์เพื่อฟอกเงิน หรือซื้อขายหุ้นในลักษณะปั่นหุ้น (ด้วยการซื้อขายหุ้นในกระดานต่างประเทศ) แล้ว เราก็อาจตั้งสมมติฐานได้ว่า การถือหุ้น SHIN ผ่านบริษัทนอมินีชื่อ Ample Rich Investments ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ของครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์นั้น ไม่น่ามี "เจตนาดี" ใดๆ

            การกระทำนี้ น่าจะเป็นการซุกหุ้นแบบ "บกพร่องโดยสุจริต" ไม่ต่างจากพฤติกรรมเมื่อปี 2543

            ประเด็นเรื่อง Ample Rich นั้น ซับซ้อนและต้องใช้เวลารอข้อมูลที่ครอบครัวชินวัตร ต้องชี้แจงต่อ ก.ล.ต. แต่จากข้อมูลล่าสุด ณ 14 กุมภาพันธ์ 2549 รวมทั้งจากปากคำของนายกฯ เอง ก็ทำให้เห็นภาพค่อนข้างชัดเจนระดับหนึ่ง

...ชัดเจนว่า นายพานทองแท้ ยังไม่ได้ส่งรายละเอียดการซื้อขายหุ้น SHIN ในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา ที่ทำผ่าน Ample Rich ให้กับ ก.ล.ต. ทั้งๆ ที่ล่วงเลยกำหนดเวลาที่ ก.ล.ต. บอกให้ส่ง (ภายใน 7 วัน คือ ภายในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2549) มาแล้วกว่าหนึ่งสัปดาห์ ก.ล.ต. เองก็ไม่ติดตามเรื่องนี้อย่างเข้มงวด ทั้งๆ ที่เป็นประด็นสำคัญที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน และเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะพิสูจน์ว่า นี่เป็นการ "ซุกหุ้นภาค 2" หรือไม่ ซึ่ง ส.ว. กลุ่มหนึ่งได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้ว

            ...ชัดเจนว่า การที่คนในครอบครัวชินวัตร ถือหุ้น SHIN ผ่าน Ample Rich ใน 6 ปีที่ผ่านมา มีเจตนา "ซุกซ่อน" ให้ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับหุ้น SHIN ส่วนนี้หลุดรอดสายตาของ ก.ล.ต. ไม่ว่าเจตนานั้นจะเป็นของนายกฯ ทักษิณ หรือของนายพานทองแท้ก็ตาม

            ...ชัดเจนว่า การซื้อขายหุ้น SHIN ผ่าน Ample Rich นั้น น่าจะเข้าข่ายผิดกฎ "insider trading" คือมาตรา 241 ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ตลอดจนผิดกฎการรายงาน มาตรา 246 ใน พ.ร.บ.เดียวกันด้วย

            ...ชัดเจนว่า การที่ Ample Rich ซึ่งมีทุนจดทะเบียนเพียง $1 (ประมาณ 40 บาท) สามารถไปซื้อขายหุ้น SHIN หลายครั้ง มูลค่านับร้อยนับพันล้านบาท โดยไม่มีหลักฐานการได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ให้นำเงินออกนอกประเทศเลยนั้น น่าจะเป็นประเด็นที่สำนักงานคณะกรรมการปราบปรามการฟอกเงินหรือ ป.ป.ง. ควรตั้งข้อสงสัยว่า มีการฟอกเงินหรือไม่ และออกมาตรวจสอบธุรกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง (แต่ก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ ว่า ป.ป.ง.นั้น เป็น "หน่วยงานของรัฐบาล" จึงไม่น่าแปลกใจที่ ป.ป.ง. ออกมาชี้แจงไปแล้วว่า ไม่มีอะไรต้องตรวจสอบ)

            ชนวนเรื่อง Ample Rich นั้น คุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ เคยเขียนบทความตีแผ่อย่างละเอียดมาแล้วในชื่อ "ความลับของ Ample Rich ความลับของทักษิณ" จึงขอนำบางตอนมาเผยแพร่ และเพิ่มเติมรายละเอียดในบางประเด็น

            เมื่อนายกฯ โอนหุ้น Ample Rich ที่ตัวเองถืออยู่ 100% ให้แก่นายพานทองแท้ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2543 นั้น เท่ากับว่านายพานทองแท้ ได้กรรมสิทธิ์หุ้น SHIN ที่ Ample Rich ถืออยู่ 32.92 ล้านหุ้น หรือ 11.87% มาด้วย ซึ่งตามมาตรา 258 ตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ ต้องนับรวมหุ้นที่ Ample Rich ถืออยู่กับหุ้นที่นายพานทองแท้ถืออยู่แล้ว 73.39 ล้านหุ้น หรือประมาณ 24.99% (ได้มาเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 43) ด้วย ซึ่งจะทำให้นายพานทองแท้ถือหุ้น SHIN รวมทั้งสิ้น 36.86% หรือประมาณ 106.3 ล้านหุ้น
15) ในการรับโอนหุ้น Ample Rich เมื่อปี 2543 นายพานทองแท้ ละเมิด พ.ร.บ. หลักทรัพย์ เรื่องการเปิดเผยข้อมูลต่อ ก.ล.ต. หรือไม่?

            มาตรา 246 ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์ กล่าวว่า "บุคคลใดได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการใดในลักษณะที่ทำให้ตนหรือบุคคลอื่นเป็นผู้ถือหลักทรัพย์ในกิจการนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลง เมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนทุก 5% ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการนั้น...บุคคลนั้นต้องรายงานถึงจำนวนหลักทรัพย์ในทุก 5% ดังกล่าวต่อสำนักงานทุกครั้งที่ได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ภายในวันทำการ ถัดจากวันที่ได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการนั้น เว้นแต่ในกรณีการจำหน่ายที่ไม่มีผลทำให้มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารหรือธุรกิจของกิจการ"

            ในกรณีนี้ นายพานทองแท้ได้หุ้นมาข้ามเส้นทุกร้อยละ 5 คือ 25% 30% และ 35% แม้ว่าการได้มาในแต่ละครั้งจะ "ไม่มีผลทำให้มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารหรือธุรกิจของกิจการ" ข้อนี้ยกเว้นเฉพาะกรณีการจำหน่ายเท่านั้น ไม่ใช่การได้มา ซึ่งเป็นกรณีของนายพานทองแท้

            ดังนั้น นายพานทองแท้ จึงมีความผิดที่ไม่ได้รายงานการได้มาของหุ้น SHIN จากการเข้าเป็นผู้ถือหุ้น 100% ใน Ample Rich ตามมาตรา 246

            ก.ล.ต.ได้ชี้แจงเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2549 ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่านายพานทองแท้ เข้าข่ายผิดกฎข้อนี้ เพราะมีหน้าที่ต้องรายงานการได้มา ตามมาตรา 246

ความถูกต้องทางกฎหมาย ผิดกฎหมาย - ก.ล.ต. ได้แถลงผลการสอบเบื้องต้นแล้วว่า นายพานทองแท้เข้าข่ายผิดมาตรา 246 ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์

ความถูกต้องทางศีลธรรม "น่าเกลียดเป็นปกติ" - ถ้านายพานทองแท้ต้องรายงานแต่ไม่รายงาน ก็อาจนับเป็นความหลงลืม ความเข้าใจผิด หรือความประมาท แต่ ก.ล.ต.มีหน้าที่จะต้อง "จี้" จุดนี้ และปรับนายพานทองแท้ตามกฎหมาย

            16) ในการรับโอนหุ้น Ample Rich เมื่อปี 2543 นายพานทองแท้ ละเมิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ เรื่องการทำเทนเดอร์หุ้น SHIN หรือไม่?

            การรับโอนหุ้น Ample Rich (ซึ่งถือเป็น "บุคคลเกี่ยวข้องกัน") ทำให้นายพานทองแท้ถือหุ้น SHIN รวมทั้งสิ้น 36.86% เพิ่มจาก 24.99% จึงเป็นการ "ข้ามเส้น" 25% ที่ต้องทำเทนเดอร์หุ้น SHIN ทั้งหมด ตามมาตรา 247 ใน พ.ร.บ.หลักทรัพย์

การโอนหุ้นจากบิดามาบุตรนี้ หากมองด้วยสายตาของคนทั่วไปอาจเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เข้าเรื่อง เพราะก็เหมือนแค่เป็นการโอนหุ้นให้กันในหมู่ญาติครอบครัว ไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่ ซึ่งก็จริง และได้มีการแก้ไขในประกาศ ก.ล.ต. ฉบับ กจ. 58/2545 โดยเพิ่มเติมเข้าไปว่า ผู้ถือหุ้นสามารถเลือกรายงานการถือหุ้นเป็นกลุ่มได้ ซึ่งกลุ่มจะเป็นกลุ่มแบบไหนก็ได้ เช่น เพื่อน แต่โดยทั่วไปก็จะเป็นการนับตามวงศาคณาญาติ

เพราะฉะนั้น ตระกูลชินวัตร และตระกูลดามาพงศ์ สามารถรายงานการถือครองหลักทรัพย์ต่อ ก.ล.ต. ว่าเป็นกลุ่มเดียวกันได้ ซึ่งประกาศฉบับนี้ได้มีการลงนามโดย คุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในขณะนี้ และมีผลบังคับใช้เมื่อ 1 มกราคม 2546 เป็นต้นไป

            ประกาศ กจ. 58/2545 นั้นจะทำให้การโอนหุ้นระหว่างนายกฯ และนายพานทองแท้ ไม่เป็นปัญหา ไม่ต้องทำเทนเดอร์หุ้น SHIN เพราะถือว่าเป็นการโอนหุ้นภายในกลุ่มกันเอง แต่ว่าข้อเท็จจริงก็คือ การโอนหุ้นนั้นเกิดเมื่อปลายปี 2543 ซึ่งนับเป็นเวลา 2 ปีก่อน กจ. 58/2545 จะมีผลบังคับใช้ ดังนั้นจะเอาการนับรวมกลุ่มตาม กจ.58/2545 มาคิดในกรณีนี้ไม่ได้

            ดังนั้น เนื่องจากนายพานทองแท้ มิได้ทำเทนเดอร์หุ้น SHIN และมิได้ขอผ่อนผันการทำเทนเดอร์ จึงผิดมาตรา 247 ค่อนข้างชัดเจน

            ก.ล.ต.ได้ชี้แจงเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2549 ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า นายพานทองแท้เข้าข่ายผิดกฎข้อนี้ เพราะมีหน้าที่ต้องทำ mandatory tender offer ตามมาตรา 247

ความถูกต้องทางกฎหมาย : ผิดมาตรา 247 พ.ร.บ.หลักทรัพย์ มีโทษทั้งจำทั้งปรับ

ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดสุดขั้ว" - ตอนนี้ก็ต้องรอดูอย่างเดียวว่า ก.ล.ต.จะกล้าปรับคนนามสกุลชินวัตรหรือไม่

17) ที่ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร โฆษกครอบครัวชินวัตร แถลงว่าต้องตั้ง Ample Rich ขึ้นมาเพื่อเตรียมเอา SHIN จดทะเบียนในตลาด NASDAQ ของอเมริกานั้น เชื่อถือได้แค่ไหน?

            ข้ออ้างนี้ปาหี่มาก ถ้า SHIN อยากจดทะเบียนใน NASDAQ จริง ก็ตั้งบริษัทที่อเมริกาได้ ไม่จำเป็นต้องไปจดทะเบียนที่ "สวรรค์ของนักหนีภาษี" อย่าง BVI แล้วก็มีขั้นตอนมากมายมหาศาลที่ SHIN ต้องทำ มากกว่านายกฯ โอนหุ้น 10.98% ไปไว้ในบริษัทนอมินี ก่อนจะได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนในตลาด NASDAQ ได้ ทำไมไม่มีใครเคยรู้แผนนี้เลย? แล้วทำไมนายกฯ (หรือนายพานทองแท้  ถ้านายกฯ ยังอยากอ้างว่าไม่รู้เรื่องนี้) ไม่เคยโอนหุ้นส่วนนี้กลับมาเมืองไทยเลย ทั้งๆ ที่ตลาด NASDAQ ตกฮวบไปแล้วตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งเป็นเหตุผลที่ ดร.สุวรรณ บอกว่า ทำให้ SHIN ล้มเลิกแผนนี้?

            นอกจากนั้น หุ้น SHIN ที่ Ample Rich ถือนั้น มีการซื้อๆ ขายๆ อย่างต่อเนื่องระหว่างปี 2543-2548 โดยมี UBS โบรกเกอร์สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ สาขาสิงคโปร์ เป็นผู้ดำเนินการแทน (ดูรายละเอียดเส้นทางหุ้นได้ในประเด็นที่ 19) ถัดไป) ถ้า SHIN อยากจดทะเบียนใน NASDAQ จริง ก็ต้องถือหุ้นเหล่านี้ไว้เฉยๆ เพื่อ "สำรอง" หุ้นไว้จดทะเบียน ไม่ใช่ซื้อไปขายมาอยู่ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ความถูกต้องทางกฎหมาย : ไม่มีกฎหมายข้อไหนห้ามไม่ให้บริษัทไทยไปจดทะเบียนใน NASDAQ หรอก...

ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดสุดขั้ว"...กฎหมายไม่ได้บังคับให้เราต้องเชื่อ ข้ออ้างข้างๆ คูๆ แบบนี้ซะหน่อย

18) ถ้า Ample Rich เป็นนอมินีถือหุ้น SHIN แทนนายกฯ จริง ผิดกฎหมายหรือไม่?     

       ถ้าหลักฐานการทำธุรกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับหุ้น SHIN ใน Ample Rich พิสูจน์ได้จริงว่า Ample Rich เป็นนอมินีของนายกฯ จริง นายกฯ ก็มีความผิดตามมาตรา 209 ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดห้ามไม่ให้รัฐมนตรี มีส่วนได้เสียในธุรกิจใดๆ ซึ่งก็เป็นประเด็นที่ ส.ว.กลุ่มหนึ่ง นำโดยคุณแก้วสรร อติโพธิ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ไต่สวนเรื่อง "ซุกหุ้นภาค 2" ไปแล้ว

            แต่ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า ก.ล.ต.หรือแม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีวันเห็นหลักฐานเหล่านี้หรือไม่ เพราะที่ ดร.สุวรรณ อ้างว่านายกฯ โอนหุ้น Ample Rich 100% ให้บุตรชายในวันที่ 1 ธันวาคม 2543 นั้น ก็ยังไม่มีใครเห็นหลักฐาน รวมทั้ง ก.ล.ต.เองด้วย

ความถูกต้องทางกฎหมาย : ผิดกฎหมายถ้าพิสูจน์ได้ว่า Ample Rich เป็นนอมินีของนายกฯ - กรณีนี้จะผิดมาตรา 209 ในรัฐธรรมนูญ ต้องติดตามผลการตรวจสอบของ ก.ล.ต.และการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญต่อไป

ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดสุดขั้ว" - แค่คนในครอบครัวมี "เจตนาซุกหุ้น" ก็น่าเกลียดสุดขั้วแล้ว ไม่ว่าเจตนานั้นจะเป็นของนายกฯ (ผู้ก่อตั้ง Ample Rich) หรือบุตรชาย (เจ้าของ Ample Rich คนปัจจุบัน) ก็ตามแต่

            19) การซื้อขายหุ้น SHIN ที่ Ample Rich ถือ ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ผิดกฎหมายหรือไม่?



            น่าสังเกตว่า หุ้นไทยที่ถืออยู่นอกประเทศไทย ในมือนอมินีนั้น เป็นหุ้นแบบที่สามารถใช้ปั่นหุ้นในกระดานต่างประเทศของ SHIN ได้ง่าย เวลาซื้อขายที คนจะได้นึกว่าเป็นฝรั่งอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่เป็น "ฝรั่งหัวดำ" ทั้งนั้น...

            คำชี้แจงเรื่อง Ample Rich ไม่ว่าจะจากปากของ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร หรือนายกฯ เอง ล้วน "ฟังไม่ขึ้น" หรือไม่ก็ไร้พยานหลักฐานประกอบ

            เส้นทางหุ้น SHIN ส่วนที่ Ample Rich ถือ สรุปเป็นแผนผังโดยคร่าวได้ดังนี้

ลำดับเหตุการณ์ในเส้นทางหุ้น SHIN ส่วนที่ Ample Rich ถือ โดยคร่าวได้ดังนี้

1.นายกฯ โอนหุ้น SHIN 32.92 ล้านหุ้น ไปให้ Ample Rich ถือ เมื่อต้นปี 2543

2.Ample Rich ลดสัดส่วนการถือหุ้น SHIN เหลือ 22.92 ล้านหุ้น โดยไม่รายงานการถือครองหลักทรัพย์ (แบบ 246-2) กับ ก.ล.ต.ว่า โอนหรือขายที่เหลืออีก 10 ล้านหุ้น ให้กับใคร

            ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2543 ปรากฏชื่อ Vicker Ballas ซึ่งเป็นบริษัทนายหน้าค้าหลักทรัพย์ของสิงคโปร์ เป็นผู้ถือหุ้น SHIN จำนวน 11.56 ล้านหุ้น ดังนั้น 10 ล้านหุ้น ในนี้ จึงไม่น่าจะเป็นอื่นไปได้นอกจากหุ้นเดิมของ Ample Rich

              บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของ SHIN ณ วันที่ 30 เมษายน 2544 ที่สำเนาโพสต์ในเวบไซต์ของคุณกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (www.korbsak.com) แสดงให้เห็นชัดเจนว่า จำนวนหุ้นเดิมทั้งหมด 32.92 ล้านหุ้น มีการแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกให้ Ample Rich สัญชาติ BVI ถือ จำนวน 22.92 ล้านหุ้น

            ส่วนที่สองให้ Ample Rich "คู่แฝด" สัญชาติอังกฤษ ถือจำนวนที่เหลือ 10 ล้านหุ้น ซึ่งทั้ง ดร.สุวรรณ และนายกฯ ออกมาปฏิเสธว่าไม่มี Ample Rich นี้ ทั้งๆ บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นบ่งชัดว่า Ample Rich นี้มีจริง และเป็นผู้รับโอนหรือรับซื้อหุ้น 10 ล้านหุ้น ไปจาก Vicker Ballas

            3.ปี 2544 SHIN มีการแตกพาร์จาก 10 บาทต่อหุ้น เป็น 1 บาทต่อหุ้น ทำให้หุ้น SHIN ที่ Ample Rich ทั้งสองสัญชาติถือ เพิ่มเป็น 10 เท่า จาก 32.9 ล้านหุ้น เป็น 329.2 ล้านหุ้น

            4.Ample Rich สัญชาติ BVI ถือหุ้น SHIN จำนวน 229.2 ล้านหุ้น มาเรื่อยๆ แต่หุ้นอีก 100 ล้านหุ้น ที่ Ample Rich สัญชาติอังกฤษเป็นผู้ถือ อยู่ดีๆ ก็ "หาย" เข้ากลีบเมฆ สันนิษฐานว่าโอนไปไว้ที่ UBS สาขาสิงคโปร์ ประมาณเดือนกันยายน หรือตุลาคม 2544 เพราะปรากฏชื่อ "UBS AG SINGAPORE BRANCH-FIXED INCOME" ถือหุ้น SHIN จำนวน 100.52 ล้านหุ้น ณ วันที่ 22 ตุลาคม 2544 (ในวันเดียวกันก็ปรากฏชื่อ "UBS AG, SINGAPORE BRANCH-PLEDGE A/C"  เป็นผู้ถือหุ้น SHIN อีกจำนวน 53.6 ล้านหุ้น ชื่อบัญชีหุ้นที่มีคำว่า "PLEDGE" (แปลว่า "จำนำ") นั้น ปกติใช้สำหรับเรียกหุ้นที่เอามาจำนำเป็นหลักประกันเงินกู้ แต่หุ้นตรงนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับ Ample Rich เพราะยังเห็น Ample Rich สัญชาติ BVI ถือหุ้น SHIN 229.2 ล้านหุ้น เหมือนเดิม)

            5.ระหว่างปี 2545-2547 จำนวนหุ้น SHIN 100 ล้านหุ้น ในบัญชี "UBS AG SINGAPORE BRANCH-FIXED INCOME" ซึ่งต่อมาใช้ "UBS AG, SINGAPORE BRANCH" และชื่ออื่นๆ ด้วย มีจำนวนเปลี่ยนแปลงขึ้นลงในระดับไม่เกิน 5 แสนหุ้น

            6.ระหว่างเดือนพฤษภาคม และเดือนสิงหาคม 2547 Ample Rich สัญชาติ BVI โอนหุ้น SHIN ทั้งหมดที่ตนถือ คือ 229.2 ล้านหุ้น ให้กับ UBS โดยไปไว้ในบัญชีชื่อ "UBS AG SINGAPORE BRANCH-PB SECURITIES CLIENTS" (ย่อมาจาก Private Banking Securities Client คือลูกค้าบุคคลรายใหญ่ของ UBS) โดย ดร.สุวรรณ อ้างว่า UBS เป็นเพียงผู้ดูแลหุ้น (คัสโตเดียน หรือ custodian) ให้กับ Ample Rich เท่านั้น แต่ข้ออ้างนี้ฟังดูน่ากังขา เมื่อคำนึงว่า UBS รายงานการซื้อหุ้น 10 ล้านหุ้น มาจาก Ample Rich สัญชาติอังกฤษ เมื่อปี 2544 (ดูรายละเอียดในประเด็นที่ 20) ถัดไป)

            ตามทะเบียนผู้ถือหุ้น บัญชีที่มีชื่อ UBS ทั้งหมดมีหุ้น SHIN เพิ่มมาตลอด จาก 15.405% ในปี 2544 เป็น 39.09% ในปี 2548 และเนื่องจากปี 2548 เป็นช่วงเดียวกับที่ครอบครัวชินวัตร เริ่มเจรจาขายหุ้นให้กับ Temasek ดังนั้น ถ้า UBS เป็นคัสโตเดียนให้กับครอบครัวชินวัตร จริง การซื้อขายหุ้น SHIN ก็ควรถือว่าเป็นการใช้ข้อมูลภายใน (insider trading) ก่อนที่จะมีการซื้อขายหุ้นวันที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา

            ทั้งหมดนี้แปลว่าเราต้องติดตามการสอบสวนเส้นทางการซื้อขายหุ้น SHIN ของบริษัท Ample Rich และหุ้นในบริษัท Ample Rich เอง ของ ก.ล.ต.อย่างไม่กะพริบตา !

ความถูกต้องทางกฎหมาย : ถ้า Ample Rich เป็นนอมินีที่เอาไว้ปั่นหุ้น SHIN จริง ก็ต้องนับว่าผิดกฎหมาย insider trading ไมรู้กี่ครั้ง และอาจผิดกฎหมายฟอกเงินด้วย เพราะ Ample Rich มีทุนจดทะเบียนเริ่มแรกเพียง $1 (40 บาท) ซึ่งภายหลังเพิ่มเป็น $5 (200 บาท) คนไทยเป็นเจ้าของ 100% หากบริษัทนี้สามารถซื้อขายหุ้น SHIN ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยได้เป็นร้อยเป็นพันล้านบาท ก็น่าจะทำให้ ป.ป.ง.และธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลียวใจว่า เอาเงินซื้อหุ้นมาจากไหน? และเงินนั้นออกนอกประเทศไปได้อย่างไร?

            อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่กับว่า ก.ล.ต.มีข้อมูลการซื้อขายหุ้น SHIN ของ Ample Rich ย้อนหลัง ละเอียดขนาดไหน และเมื่อไหร่ผู้จัดการของนายพานทองแท้ จะยื่นหลักฐานต่อ ก.ล.ต.เสียที

ความถูกต้องทางศีลธรรม : ถ้า Ample Rich เป็น "ฝรั่งหัวดำ" ปั่นหุ้น SHIN มาตลอดจริง ก็ต้องเรียกว่า "น่าเกลียดสุดขั้ว" แน่นอน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2007, 10:34 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #27 เมื่อ: 29-01-2007, 09:58 »

ตอน Cool หุ้นชิน "สรรพากร" ตีความผิดเจตนารมณ์

            -----------------------------------------------------

ถาม-ตอบ ประเด็นเกี่ยวกับภาระทางภาษี

            ประเด็นที่เกี่ยวกับภาระทางภาษีของผู้ขายหุ้นในดีลนี้ ค่อนข้างซับซ้อนซ่อนเงื่อน เพราะหุ้น SHIN ส่วนใหญ่ที่ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ นำมาขายให้กับ Temasek นั้นเป็นหุ้น "โบราณ" ที่คนในครอบครัวได้รับโอนหรือซื้อในราคาพาร์ (10 บาท หรือ 1 บาท หลังแตกพาร์แล้ว)

 จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และภรรยา ช่วงระหว่างปี 2542-2543 ก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งตอนนั้นหลายฝ่ายก็ตั้ง "ข้อกังขา" หลายประการเกี่ยวกับพฤติกรรม "เลือกปฏิบัติ" ของกรมสรรพากร เพราะสรรพากรออกมาชี้แจงอย่างออกนอกหน้าว่า รายการเหล่านี้ไม่เสียภาษี ทั้งๆ ที่คนไทยคนอื่นถูกเก็บภาษีกรณีเดียวกันนี้มาโดยตลอด

            แต่ตอนนั้นกระแส "ไทยรักไทยฟีเวอร์" กำลังแรง แรงจนไม่ค่อยมีใครสนใจกับข้อกังขาเหล่านี้ หรือคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ที่อาจเข้าข่าย "การใช้อำนาจโดยมิชอบ" ของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร

            หลายปีผ่านไป ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ เอาหุ้นเดียวกันนี้ไปขายให้กับ Temasek ในราคา "กำไรเห็นๆ" คือหุ้นละ 49.25 บาท สูงกว่าราคารับซื้อหรือโอนที่ 1 บาท ถึง 4,925%

            เพราะหุ้น SHIN ที่นำมาขายนั้นมี "ที่มาที่ไป" หลายทาง หลายช่วงเวลา การทำความเข้าใจว่า รายการขายหุ้นตรงไหน ส่วนไหน "ต้องเสียภาษี" ตามกฎหมาย จึงต้องค่อยๆ ใช้เวลาไล่เลียงลำดับเหตุการณ์ เส้นทางของหุ้นทั้งหมดก่อน อย่าเพิ่งไปด่วนสรุปว่า หุ้นทั้งหมดนั้นไม่ต้องเสียภาษีเลยเพราะเป็นการ "ขายผ่านตลาด" โดยไม่จำเป็นต้องดูที่มาที่ไปของหุ้นนั้นๆ

            เส้นทางของหุ้น SHIN ที่ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ นำมาขายให้กับ Temasek  และภาระทางภาษีของผู้ขายหรือโอนหุ้นในแต่ละทอดนั้น

(ดูตารางประกอบ เส้นทึบแสดงรายการที่ผู้ขายหรือโอนมีภาระภาษี "เส้นประ" แสดงรายการที่ผู้ขายหรือโอนไม่มีภาระภาษี จำนวน และวันที่แสดงจำนวนหุ้น และวันที่ขายหรือโอน)

            การซื้อขายหุ้นในไทยจะยกเว้นภาษีเงินได้เพียงกรณีเดียว คือ การซื้อขายหุ้นของบุคคลธรรมดาในตลาดหลักทรัพย์ ถ้านอกเหนือจากกรณีนี้ ต้องเสียภาษีทั้งหมด แต่อย่างไรก็ดี ต้องเน้นว่าตามเจตนารมณ์ของกฎหมายและหลักเหตุผลทั่วๆ ไป (common sense) นั้น หุ้นอะไรที่กรมสรรพากรเคย "ตีความ" ว่าเป็นทรัพย์สินประเภทอื่นที่พึงประเมินเงินได้เพื่อการเสียภาษีแล้วไซร้ (เช่น เป็นหลักทรัพย์ที่ให้โอนเสน่หา ตาม "ธรรมจรรยา") ก็ต้องจัดว่าเป็นประเภทนั้นตลอดไป ไม่ใช่ว่าวันหนึ่งสรรพากรนึกอยากตีความหุ้นนั้นว่าเป็น "หุ้น" ก็ดี แล้วอีก 4 ปี มาบอกว่าหุ้นจำนวนนั้นเป็น "หลักทรัพย์" ไม่ได้ ไม่มีเหตุผล ไม่มีสรรพากรที่ไหนเขาทำกัน


21) หุ้นที่โอน/ขายใน ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ระหว่างปี 42-45 ต้องเสียภาษีหรือไม่?     

       เอาละ ถ้าคุณคิดว่าคุณกล้าพอที่จะทำความเข้าใจกับกฎหมายภาษีอันวกวนน่าเวียนหัว เชิญอ่านบางตอนจากบทความเรื่อง "ตีความเอื้ออาทร? ว่าด้วยเรื่องส่วนต่างราคาหุ้น กับการเสียภาษี" โดยนักข่าวหัวเห็ดคนเดิมคุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์

            (ก่อนปี 2544) ผู้ที่เคยซื้อหุ้นราคาพาร์เพียงหุ้นละ 1 บาท จาก พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน ได้แก่ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่บุญธรรม คุณหญิงพจมาน จำนวน 268 ล้านหุ้น (แตกพาร์แล้ว) นายพานทองแท้ ชินวัตร 733 ล้านหุ้น, นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 20 ล้านหุ้น หรือแม้แต่ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร ซื้อหุ้นต่อมาจาก นายพานทองแท้ 367 ล้านหุ้น

            ตอนนั้นก็เกิดคำถามคล้ายกับตอนนี้ คือ การซื้อหุ้นมาในราคา 1 บาท จะต้องเสียภาษี "ส่วนต่าง" ระหว่างราคาหุ้นที่ซื้อ กับราคาตลาดหรือไม่

            เมื่อปรากฏเป็นข่าวอื้อฉาวขึ้นมา กรมสรรพากรได้ยืนยันหลายครั้งว่า การซื้อขายหุ้นกันระหว่างเครือญาติชินวัตร ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดนั้น ไม่ต้องเสียภาษีดังนี้

            ครั้งแรก นายวิชัย จึงรักเกียรติ รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร (นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปัจจุบันเป็นปลัดกระทรวงการคลัง) ทำหนังสือ ลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2545 (ที่ กค.0811/6312) ระบุว่า การซื้อขายหุ้นดังกล่าว ถือไม่ได้ว่า ผู้ซื้อได้รับประโยชน์จากการโอนหุ้นซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน ซึ่งไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 (4) (ช) ตามประมวลรัษฎากร เนื่องจากยังมิได้ก่อให้เกิดรายได้แก่ผู้ซื้อแต่ประการใด จนกว่าผู้ซื้อจะได้ขายหุ้นดังกล่าวไปโดยได้รับผลประโยชน์ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินที่ลงทุน

            ต่อมา เมื่อนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นักบัญชีหุ้น บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ ซื้อจากบิดาในราคา 10 บาท จากราคาตลาด 21 บาท มีส่วนต่างประมาณ 55,000 บาท ปรากฏว่าถูกกรมสรรพากรคำนวณเป็นภาษีเงินได้ จึงมีการร้องเรียนว่า กรมสรรพากรเลือกปฏิบัติ ไม่ยอมเก็บภาษี "ส่วนต่าง" ราคาหุ้น SHIN ทำให้นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงการคลัง ชี้แจงในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2549 ว่าเป็นความผิดพลาดและเข้าใจผิดกรมสรรพากรพร้อมที่จะคืนเงินภาษีที่เก็บไปจากนายเรืองไกรไป นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กรมสรรพากรคืนเงินให้ผู้เสียภาษีโดยผู้เสียภาษีมิได้ขอคืน

            ครั้งที่สอง บันทึกคำให้การของนายเรืองไกร (ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2548) ที่นายพิชเยนทร์ กองทอง นิติกร 8 กรมสรรพากรเขียนขึ้นระบุว่า สำหรับเงินได้พึงประเมินที่เป็นผลประโยชน์จากการซื้อหุ้น ยังคงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี เพราะเงินได้ในส่วนนี้ยังมิได้มีการก่อให้เกิดรายได้ต่อท่าน (นายเรืองไกร) ท่านจะเสียภาษีเงินได้ในส่วนนี้ก็ต่อเมื่อ ท่านได้ขายหุ้นดังกล่าวไปโดยได้รับผลประโยชน์ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินที่ลงทุน ทั้งนี้ ตามมาตรา 40 (4) (ช)

            ครั้งที่สาม นายสุเทพ พงษ์พิทักษ์ สรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 3 ทำหนังสือ ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2548 (ที่ กค.0709.03 (ภค.)/12123) ถึงนายเรืองไกร เรื่องแจ้งคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2546 โดยระบุว่า ในกรณีดังกล่าว ยังไม่อาจถือได้ว่าท่านมีเงินได้พึงประเมินเพราะเป็นเพียงขั้นลงทุน หาใช่ผลประโยชน์ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินลงทุน  ตามมาตรา 40 (4) (ช) ท่าน (นายเรืองไกร) จึงยังคงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้สำหรับตัวเลขผลประโยชน์จากการซื้อหุ้น จนกว่าท่านจะได้ขายหุ้นดังกล่าวไปโดยได้รับผลประโยชน์ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้ เกินกว่าเงินลงทุน

            สรุปแล้วทั้ง 3 ครั้ง กรมสรรพากรยืนยันว่า การที่บุคคลธรรมดาซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ยังไม่ต้องเสียภาษีที่เกิดขึ้นจาก "ส่วนต่าง" ราคาดังกล่าว จนกว่าบุคคลผู้นั้นจะขายหุ้นออกไปในราคาสูงกว่าราคาที่ซื้อมา จึงจะนำ "ส่วนต่าง" ดังกล่าวมาคำนวณภาษี ซึ่งคำวินิจฉัยของกรมสรรพากรนั้น ใช้ทั้งกับกรณีนายเรืองไกร ที่ซื้อหุ้นมาจากบิดามูลค่ากว่า 50,000 บาท หรือกรณีครอบครัวชินวัตร ซื้อหุ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท (ราคาหุ้น SHIN หุ้นละ 1 บาท)

            ดังนั้น นายเรืองไกร ขายหุ้นไปได้กำไร 50,000 บาท ก็ต้องนำ "ส่วนต่าง" 50,000 บาท ดังกล่าวมาคำนวณเป็นภาษีเงินได้ประจำปี

            เช่นเดียวกับถ้าครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ นำหุ้น SHIN ที่ซื้อมาในราคาหุ้นละ 1 บาท ไปขายให้ Temasek ได้ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท เป็นเงินรวมเกือบ 70,000 ล้านบาท หรือมีส่วนต่างกว่า 60,000 ล้านบาท ก็ต้องนำ "ส่วนต่าง" กว่า 60,000 ล้านบาท ไปคำนวณภาษีเงินได้ประจำปี ซึ่งแน่นอนว่าต้องเสียภาษีสูงสุด 37% ซึ่งเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท

            การที่ทั้ง นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนางไพฑูรย์ เกสร รองอธิบดีกรมสรรพากร รีบออกมารับหน้าว่า การขายหุ้น  SHIN ของครอบครัวชินวัตรให้ Temasek ครั้งนี้ ไม่ต้องเสียภาษีใน "ส่วนต่าง" ที่เกิดขึ้น (จากที่ซื้อมาราคาหุ้นละ 1 บาท) ด้วยเหตุผลเป็นการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ได้รับการยกเว้นภาษีอยู่แล้ว

            ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า เป็นการรักษาผลประโยชน์ของใครกันแน่ และให้ดูกันต่อไปว่า จะมีข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลัง รายใดจะได้รับการปูนบำเหน็จเหมือนที่ผ่านๆ มา

            แต่ดูเหมือนว่า กรมสรรพากรจะยังไม่แน่ใจว่าจะปิดช่องการเสียภาษีของการซื้อขายหุ้นชินหมดหรือยัง จึงมีหนังสืออีกฉบับหนึ่งลงวันที่ 29 ธันวาคม 2548 (ที่ กค.0709.31/18325 ลงนามโดยนางจิตรมณี สุวรรณพูล สรรพากร ภาค 1 ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร) ชี้แจงเรื่องนี้ต่อนายเรืองไกรซึ่งเป็นการพลิกคำวินิจฉัยเดิมทั้งหมดว่า การซื้อขายทรัพย์สิน (หุ้น) ราคาต่ำกว่าราคาตลาด "ส่วนต่าง" ดังกล่าว ไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 39 ของประมวลรัษฎากรตั้งแต่ต้น

            หนังสือดังกล่าวพยายามอธิบายว่า การซื้อทรัพย์สินโดยปกติจะมีราคาตลาดสำหรับซื้อทรัพย์สินนั้น โดยราคาตลาดจะมีหลายราคา หากเป็นการซื้อเพื่อนำไปใช้เองหรือเป็นผู้บริโภค ผู้ซื้อจะซื้อตามราคาของผู้ขายปลีก หากเป็นการซื้อเพื่อนำไปขายซึ่งต้องซื้อเป็นจำนวนมาก ผู้ซื้อจะต้องซื้อในราคาต่ำโดยอาจซื้อราคาตลาดที่เป็นของผู้ผลิตหรือผู้ขายส่ง

            ดังนั้น ทรัพย์สินชนิดเดียวกัน อาจมีราคาซื้อแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสถานะของผู้ซื้อ ซึ่งเป็นเรื่องปกติทั่วๆ ไปของการซื้อขายตามมาตรา 453 แห่ง ป.พ.พ.

            นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ราคาซื้อดังกล่าวถูกกว่าราคาตลาด เช่น การส่งเสริมการขาย สินค้าตกรุ่นเลหลังสินค้า เลิกกิจการ ขายทอดตลาด ความพอใจ ความสัมพันธ์ส่วนตัว ฯลฯ ซึ่งเป็นการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย อันเป็นเรื่องปกติทั่วๆ ไปตามมาตรา 453 ป.พ.พ.

            "การซื้อทรัพย์สินในลักษณะดังกล่าว จะเป็นเรื่องของทุนซึ่งกระทบต่อจำนวนเงินของผู้ซื้อที่มีอยู่ ทั้งจำนวนเงินที่เหลืออยู่ และที่ได้จ่ายไป ดังนั้น ไม่ว่าการซื้อทรัพย์สินผู้ซื้อจะซื้อตามราคาตลาดหรือซื้อในราคาถูกกว่าตลาด ผู้ซื้อต้องเสียเงินสำหรับการซื้อขายจำนวนมากน้อยตามราคาที่ตกลงกัน...การที่ ซื้อทรัพย์สินราคาถูกจะทำให้เหลือเงินมากกว่าซื้อทรัพย์สินในราคาปกติ เงินที่เหลือดังกล่าวไม่ว่าจะเหลือมากน้อยเท่าใด ก็เป็นเงินของผู้ซื้อเอง เป็นเรื่องของทุน มิใช่เงินที่ผู้ซื้อได้รับหรือเข้าลักษณะเป็นประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับจาก ผู้อื่นแต่อย่างใด ด้วยเหตุผลข้างต้น การซื้อทรัพย์สินในราคาถูก ไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับ อันเข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 เช่นเดียวกับส่วนลดปกติ และส่วนลดพิเศษที่จะลดให้ทันที เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าตามเกณฑ์ที่กำหนด" หนังสือของกรมสรรพากรระบุ

            จากนั้นสรุปว่า กรณีของนายเรืองไกรซึ่งซื้อหุ้นบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จากบิดาต่ำกว่าราคาตลาดที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เป็นการซื้อขายทรัพย์สินกันระหว่างนายเรืองไกรกับบิดา ซึ่งเป็นการซื้อขายอันเป็นเรื่องปกติในทางการค้า ส่วนราคาที่ตกลงซื้อขายกันต่ำกว่าราคาตลาด ผู้ขายและผู้ซื้อมีสิทธิตกลงกันได้โดยผู้ซื้อต้องใช้ราคาทรัพย์สินตามที่ตกลงกันนั้นตามมาตรา 453 แห่ง ป.พ.พ.

            "ดังนั้น กรณีท่าน (นายเรืองไกร) ซึ่งเป็นผู้ซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ส่วนต่างของราคาซื้อกับราคาตลาด ไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับ อันเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 39 ตามเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น" หนังสือระบุ

            จากคำชี้แจงดังกล่าวสรุปได้ว่า การซื้อขายหุ้นต่ำกว่า ราคาตลาด "ส่วนต่าง" ที่เกิดขึ้น มิได้เป็นผลประโยชน์ที่ได้รับมาตั้งแต่ต้น จึงไม่เข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินมาตั้งแต่ต้น เพราะเป็นการซื้อขายทรัพย์สินตามปกติ โดยมีเงื่อนไข เช่น ความสัมพันธ์ส่วนตัว ความพอใจ ดังนั้นต่อไปไม่ว่า ผู้ซื้อจะขายหุ้นนั้นไปในราคาสูงเท่าใด ก็ไม่ต้องเสียภาษีที่เกิดขึ้นจาก "ส่วนต่าง" มาตั้งแต่ต้น

            เป็นการพลิกแนวคำวินิจฉัย 3 ครั้งแรก ที่ระบุว่า ถ้าขายหุ้นไปแล้วมีกำไร เกิด "ส่วนต่าง" เกินกว่าที่ได้ลงทุน (ซื้อมา) ต้องเสียภาษี "ส่วนต่าง" ดังกล่าว

            การที่กรมสรรพากรเปลี่ยนคำวินิจฉัยดังกล่าวแบบกลับหลังหันช่างสอดคล้องกับห้วงเวลาการขายหุ้นชิน ให้กับ Temasek มูลค่าเกือบ 70,000 ล้านบาท ซึ่งมีส่วนต่างกว่า 60,000 ล้านบาท

            เป็นการปิดทางเรียกร้องมิให้เก็บภาษี "ส่วนต่าง" ดังกล่าวกว่า 25,000 ล้านบาท !!

            ชัดเจนว่า สรรพากรต้องพลิกลิ้นโดยอ้างหลักการของ "กฎหมายทั่วไป" คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งโดยธรรมชาติเป็นกฎหมายที่ "กว้าง" และเปิดให้ตีความได้หลายแง่ แทนที่จะอ้างกฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวกับการคำนวณภาษี คือ ประมวลรัษฎากร เพราะในประมวลรัษฎากรนั้นมีข้อความชัดเจนเกี่ยวกับรายได้พึงประเมิน ซึ่งก็เป็นข้อกฎหมายที่สรรพากรใช้เรียกเก็บภาษีจากประชาชนคนไทยมาตลอด รวมทั้งคุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ด้วย

            สรุปว่า ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อน "ดีลประวัติศาสตร์" อยู่ดีๆ กรมสรรพากรก็เลิกอ้างอิงประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับการประเมินภาษีที่เคยใช้ตลอดมา กลับไปอ้างกฎหมายทั่วไป ซึ่งกว้างกว่าและคลุมเครือกว่าโดยธรรมชาติ เพียงเพื่อต้องการสร้าง "ความชอบธรรม" ให้กับคำตอบที่สนองความต้องการของคนสี่คนในครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์

            ถ้าการพลิกลิ้นครั้งนี้กลายเป็นบรรทัดฐานในการเก็บภาษี ประเทศชาติจะสูญเสียรายได้ปีละมหาศาลในปีต่อๆ ไป เพราะการซื้อขายในราคา "ต่ำกว่าราคาตลาด" นั้น เป็นเทคนิคการเลี่ยงภาษีที่นักธุรกิจทุกคนรู้ดี

            เป็นการพลิกลิ้นแบบ "จับแพะชนแกะ" ที่มีราคาแพงยิ่งนัก !

ความถูกต้องทางกฎหมาย : กรมสรรพากรตีความแบบผิดเจตนารมณ์ของกฎหมาย - พลิกลิ้น เลือกปฏิบัติขนาดนี้ แปลว่าสรรพากรอยากตะแบงหาข้อกฎหมายที่ทำให้อ้างได้ว่า "ไม่ต้องเสียภาษี"

            คงไม่มีใครแปลกใจ ถ้าในภายภาคหน้ากรมสรรพากรจะเลิกอ้างข้อกฎหมายแพ่ง กลับไปอ้างประมวลรัษฎากรเหมือนเดิม หลังจากที่ดีลนี้เสร็จสิ้นลงอย่างเรียบร้อยโรงเรียนชินวัตร

ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดสุดขั้ว" - หน่วยงานรัฐพลิกลิ้น เลือกปฏิบัติเพื่อเอาประโยชน์เข้ากระเป๋านาย อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่า "ไร้ยางอาย" ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร
 


 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2007, 10:31 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #28 เมื่อ: 29-01-2007, 10:04 »

ตอน 9) ผ่าปมยูบีเอสขายหุ้นชิน "179 บาท"
            --------------------------------------------------

20) การซื้อหุ้น SHIN 10 ล้านหุ้น ของ UBS ในปี 2544 ราคา 179 บาท ผิดกฎหมายหรือไม่?

            ประเด็นนี้เกี่ยวเนื่องกับประเด็นที่แล้วที่ผู้เขียนอธิบายว่า ระหว่างเดือนพฤษภาคม และเดือนสิงหาคม 2547 Ample Rich สัญชาติ BVI โอนหุ้น SHIN ทั้งหมดที่ตนถือ คือ 229.2 ล้านหุ้น ให้กับ UBS โดยไปไว้ในบัญชีชื่อ "UBS AG SINGAPORE BRANCH-PB SECURITIES CLIENTS" โดย ดร.สุวรรณ อ้างว่า UBS เป็นเพียงผู้ดูแลหุ้น (คัสโตเดียน หรือ custodian) ให้กับ Ample Rich เท่านั้น

            ปรากฏว่า ในแบบรายงานการได้มา 246-2 ที่ UBS ยื่นต่อก.ล.ต. เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2544 นั้น UBS แจ้งว่าได้ซื้อหุ้น 10 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 179 บาท ตรงนี้ชัดเจนว่าเป็นการซื้อหุ้น SHIN มาจาก Ample Rich สัญชาติอังกฤษ

            และชัดเจนว่า UBS กระทำการนี้ในฐานะโบรกเกอร์ (นายหน้าค้าหลักทรัพย์) เพราะคัสโตเดียนเป็นเพียงผู้รับฝากหุ้นให้กับลูกค้า ไม่มีอำนาจเคาะซื้อหรือเคาะขายหุ้นใดๆ ทั้งสิ้น

            ดังนี้ ก.ล.ต.จะต้องตรวจสอบว่า UBS มีฐานะเป็นเพียงคัสโตเดียนของ Ample Rich จริงหรือไม่ และเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะหลักฐานต่างๆ ส่อให้เห็นว่า UBS อาจไม่ได้เป็นแค่คัสโตเดียนเท่านั้น หากเป็น "โบรกเกอร์ส่วนตัว" ที่ทำหน้าที่ซื้อขายหุ้น SHIN ให้กับเจ้าของ Ample Rich ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา

            รายการมูลค่า 1,790 ล้านบาท รายการเดียวนี้ (10 ล้านหุ้น คูณด้วยราคาหุ้นละ 179 บาท) อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายหลายข้อ ตั้งแต่เรื่องการรายงานการได้มาตามมาตรา 246 ในพ.ร.บ.หลักทรัพย์ กฎหมาย insider trading กฎหมายภาษี รวมทั้งกฎหมายฟอกเงินด้วย

            ความถูกต้องทางกฎหมาย อาจจะผิดกฎหมาย -ถ้า ก.ล.ต.มีหลักฐานชัดเจนว่า UBS เป็นโบรกเกอร์ซื้อหุ้น SHIN ของ Ample Rich สัญชาติอังกฤษ โดยทำตามคำสั่งของเจ้าของ Ample Rich นั้น กรณีนี้เข้าข่ายเป็นการ "ปั่นหุ้น" เพราะคนขายกับคนซื้อจริงๆ แล้วเป็นบุคคลเดียวกัน (เหมือนโยกเงินจากกระเป๋าซ้าย มาใส่กระเป๋าขวา) นอกจากนี้ การขายหุ้นที่ราคา 179 บาท จากราคาเดิมที่นายกฯ โอนไปที่พาร์ คือ 10 บาท ก็ต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 70 ประมวลรัษฎากร และ ปปง. และธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ควรเข้ามาตรวจสอบเส้นทางของเงินด้วย

            อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ก็ขึ้นอยู่กับ ก.ล.ต.มีข้อมูลการซื้อขายหุ้น SHIN ของ Ample Rich ย้อนหลังละเอียดขนาดไหน และเมื่อไหร่ผู้จัดการของนายพานทองแท้ จะยื่นหลักฐานต่อก.ล.ต.เสียที

ความถูกต้องทางศีลธรรม "น่าเกลียดสุดขั้ว" อย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2007, 10:29 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #29 เมื่อ: 29-01-2007, 10:06 »

(ตอน 10) ขายหุ้น "แอมเพิล ริช" ส่วนต่างต้องเสียภาษี ----------------------



22) หุ้น SHIN ส่วนที่ Ample Rich ขายให้พานทองแท้ และพิณทองทา ในราคา 1 บาท เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549 ต้องเสียภาษีหรือไม่?


            รายการซื้อขายหุ้นที่วิเคราะห์ในประเด็นนี้ คือ รายการที่ Ample Rich ขายหุ้น SHIN ให้กับพานทองแท้ และพิณทองทา ชินวัตร ที่ราคา 1 บาทต่อหุ้น ในวันที่ 20 มกราคม 2549

            เมื่อตัวแทนนายพานทองแท้ ออกมายอมรับผิดว่า รายการซื้อหุ้นจาก Ample Rich ที่ตอนแรกกาเครื่องหมายว่าเป็นการทำรายการ "ผ่านตลาด" นั้น จริงๆ แล้ว "ติ๊กผิด" เพราะเอาเข้าจริง รายการนี้เกิดขึ้นนอกตลาดหลักทรัพย์

            เป็นอีกหนึ่งรายการ "บกพร่องโดยสุจริต" ที่บังเอิ๊ญ บังเอิญมีแนวโน้มที่จะช่วยประหยัดภาษีให้ตระกูลได้อีกหลายร้อยล้านบาท

            เมื่อรายการนี้เกิดขึ้นนอกตลาด ก็เกิดคำถามทันทีว่า ทำไมหุ้น SHIN ที่ Ample Rich ซึ่งเป็นเพียงบริษัทนอมินีของนายพานทองแท้ ขายในราคา 1 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด (ราคาปิดหุ้น SHIN วันที่ 20 มกราคม 2549 อยู่ที่ 47.25 บาท) จึงไม่ต้องนำมาคำนวณภาษี??

            ทั้งๆ ที่ประมวลรัษฎากร ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สรรพากรอย่างเต็มที่ในการใช้ "ราคาตลาด" ของสินทรัพย์ในการประเมินภาษีเงินได้ เพราะการ "ขายในราคาต่ำกว่าทุน" นั้นเป็นหนึ่งในเทคนิคการหลบเลี่ยงภาษีที่โบราณที่สุดในโลก

            และสถานภาพการจดทะเบียนของ Ample Rich ใน BVI ก็ไม่ใช่ข้ออ้าง เพราะเป็นบริษัทของคนไทย 100% แถมสิ่งที่ขายนั้นยังเป็นหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนใน ตลท. คือ SHIN

            เพราะประมวลรัษฎากร มาตรา 70 บัญญัติไว้ชัดเจนว่า "บริษัทนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่ได้รับเงินได้พึงประเมินที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย ให้บริษัทนิติบุคคลนั้นเสียภาษี โดยให้ผู้จ่ายหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล แล้วนำส่งอำเภอท้องที่พร้อมกับยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเจ็ดวัน นับแต่สิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมินนั้น"

            ในประเด็นนี้ ทนายความอาชีพ คุณสุวัตร อภัยศักดิ์ เขียนอธิบายในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 ไว้อย่างชัดเจนดังต่อไปนี้

            "การที่แอมเพิล ริช ขายหุ้นในราคาหุ้นละ 1 บาท ต่ำกว่าราคาตลาดประมาณ 48 บาท เป็นการเลี่ยงภาษีอย่างชัดแจ้ง ต้องถือว่าส่วนต่างของราคาขายกับราคาที่แท้จริง เป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้ และบุตรชายนายกรัฐมนตรีผู้ซื้อหุ้นซึ่งอยู่ในประเทศไทย มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายส่งกรมสรรพากรแทนแอมเพิล ริช ซึ่งอยู่ต่างประเทศ

            ถ้าหากจะตีความหลีกเลี่ยงภาษีอีกว่า แอมเพิล ริช ขายหุ้นในราคาเท่าทุนจึงไม่มีกำไร ตามที่ ดร.สุวรรณ กล่าวอ้าง ก็ต้องพิจารณาต่อไปว่าใครได้ประโยชน์หรือกำไรจากการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ ซึ่งจะเห็นได้ชัดแจ้งว่าขณะที่บุตรชายนายกรัฐมนตรีรับโอนหุ้น 300 กว่าล้านหุ้น ในราคาเพียงหุ้นละ 1 บาท ทั้งๆ ที่ราคาซื้อขายที่แท้จริงในตลาดหลักทรัพย์มีราคาถึงหุ้นละเกือบ 50 บาท ย่อมถือได้ว่า ในขณะที่มีการรับโอนหุ้นจำนวนดังกล่าวในราคาหุ้นละ 1 บาทนั้น บุตรชายนายกรัฐมนตรีได้รับประโยชน์จากการซื้อขายหุ้น ซึ่งสามารถคำนวณได้เป็นเงินเท่ากับส่วนต่างของราคาซื้อกับราคาที่ซื้อขายกัน ในตลาดหลักทรัพย์ ณ วันที่ได้รับโอนหุ้น

            จำนวนเงินส่วนต่างดังกล่าวจึงเป็นเป็นได้พึงประเมินที่จะต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 ที่บัญญัติไว้ว่า " "เงินได้พึงประเมิน" ให้หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน ประกอบกับมาตรา 40 (Cool"
   



         แนวทางการตีความข้างต้นเคยมีคำวินิจฉัยที่ 28/2538 ของคณะกรรมการประเมินภาษี และหนังสือของอธิบดีกรมสรรพากรที่ตอบข้อหารือของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีความเห็นตรงกันว่า ผู้รับโอนหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้จากผลประโยชน์ส่วนต่างของราคาขายกับราคาตลาดดังกล่าว

            เมื่อกรมสรรพากรมีหน้าที่เรียกเก็บภาษีจากผู้มีเงินได้พึงประเมิน จึงต้องเรียกเก็บภาษี และค่าปรับจากบุตรชายนายกรัฐมนตรีให้ครบถ้วน เพราะไม่มีกฎหมายยกเว้นภาษีให้แก่ผู้รับโอนหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ที่มีเงินได้พึงประเมิน และต้องตรวจสอบการหลีกเลี่ยงภาษีย้อนหลังไปถึงการโอนหุ้นระหว่างคนในครอบครัวชินวัตรกรณีซุกหุ้นรอบแรกเสียด้วย

            กรมสรรพากรต้องไม่ตีความกฎหมายภาษีอากรให้เลือกปฏิบัติเป็น 2 มาตรฐาน เพื่อเอื้อประโยชน์แก่บุคคลในครอบครัวชินวัตร โดยไม่เรียกเก็บภาษีที่จะต้องชำระ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย

            หากมีข้อสงสัยประการใด ก็ควรให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีไปฟ้องร้องต่อศาลภาษีอากรหลางให้วินิจฉัยชี้ขาดคดี

            กรณีข้างต้นเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า หากนักกฎหมายไม่ได้นำวิชาความรู้ทางกฎหมายไปใช้อย่างตรงไปตรงมา ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติ และจะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคม

            นักกฎหมายที่ดีย่อมทราบว่า กฎหมายมีเจตนารมณ์คุ้มครองเฉพาะบุคคลที่กระทำการโดยสุจริตเท่านั้น กฎหมายจะไม่คุ้มครองบุคคลที่ไม่สุจริต และไม่มีคำว่า "บกพร่องโดยสุจริต" ในกฎหมายฉบับใด ไม่ว่าในประเทศหรือต่างประเทศ"

            กรมสรรพากรไทย ไม่เคยน้อยหน้าสรรพากรอื่นใดในโลก ในการ "ไล่บี้" ทุกคนให้มาจ่ายภาษีตรงนี้ โดยมักจะคิดรายได้ในการคำนวณภาษี จาก "ราคาตลาด" ของสิ่งที่ขายออกไปเป็นเกณฑ์ ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อกันไม่ให้มีความพยายามหลีกเลี่ยงภาษีในการทำธุรกรรม ยกตัวอย่างเช่น เวลามีการซื้อขายที่ดิน สรรพากรจะไม่ประเมินภาษีจากราคาซื้อขายจริงอย่างเดียว แต่จะเทียบกับราคาประเมินกลางที่หน่วยงานราชการทำขึ้นประกอบอีกด้วย

            ขนาดที่ดินที่หาราคาตลาดได้ยาก เนื่องจากว่าที่ดินผืนหนึ่งๆ ไม่มีการซื้อขายกันบ่อย กรมสรรพากรยังอุตส่าห์สามารถหาราคาอื่นมาใช้เป็นบรรทัดฐานเปรียบเทียบ เพื่อกันไม่ให้การทำธุรกรรมเป็นไปอย่างฉ้อฉล เพื่อหลบเลี่ยงภาษี

            นับประสาอะไรกับหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์อย่างหุ้น SHIN ที่มีการซื้อขายคล่องและมีราคาตลาดที่ชัดเจน ซึ่งไม่น่าจะเป็นปัญหาที่สรรพากรจะหาราคาตลาดมาเทียบ เพื่อดูว่าพอมีการซื้อปุ๊บ หากราคาขาย (1 บาท) ต่ำกว่าราคาตลาด (47.25 บาท) ก็สามารถนำส่วนต่างมาเทียบคิดภาษีได้ทันที

            แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นตรงกันข้าม กรมสรรพากร "เข้าข้าง" ครอบครัวชินวัตร อย่างออกนอกหน้า พลิกลิ้นพลิกตำรา ตะแบงตีความข้อกฎหมายให้ประกาศว่างานนี้ "ไม่เสียภาษี"

            หากเรายอมให้สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นบรรทัดฐาน จะทำให้ในอนาคต ใครที่อยากเลี่ยงภาษีก็ทำธุรกรรมที่ฉ้อฉล แสดงใบเสร็จที่โชว์ว่าขายของทุกอย่างต่ำกว่าราคาทุน แล้วสรรพากรก็ไม่สามารถจะเรียกเก็บภาษีได้ เพราะว่าการซื้อขายเป็นไปตามราคาที่ไม่มีกำไร ใครจะโกงภาษีก็โกงได้ แล้วภาษีก็จะกลายเป็นเพียงสิ่งที่คนไม่มีเงินต้องจ่าย ในขณะที่คนรวยสามารถหาวิธีการหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีได้

            สิ่งที่ผู้เขียนรับไม่ได้คือความจริงที่ปรากฏว่า กรมสรรพากรออกมายืนยันในทันทีว่า การซื้อขายหุ้น SHIN ไม่มีภาระภาษี ไม่มีแม้กระทั่งส่งคนเข้าไปตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมนี้ ทั้งๆ ที่อาจจะเก็บเงินภาษีได้เพิ่มขึ้นหลายร้อยล้านบาท หรืออย่างน้อยก็เข้าไปสอดส่องว่ามีอะไรที่เป็นปัญหาหรือเปล่า


            ในขณะที่กรมสรรพากรที่พวกเราประชาชนชาวไทยรู้จัก มีความสามารถเหลือเกินในการส่งคนเข้าไปตรวจนับเงิน และข่มขู่ผู้ประกอบการรายย่อยให้เสียภาษี แม้จะต้องนั่งนับชามก๋วยเตี๋ยวก็เอา

ความถูกต้องทางกฎหมาย : ผิดกฎหมาย - เนื่องจากการขายหุ้นในข้อนี้ไม่ได้ทำในตลาด สรรพากรจึงหาข้อตะแบงยืนยันว่า "ถูกกฎหมาย" ได้ ยากกว่าข้อ 18) ข้างต้น

ความถูกต้องทางศีลธรรม : "น่าเกลียดสุดขั้ว" - หน่วยงานรัฐพลิกลิ้น เลือกปฏิบัติเพื่อเอาประโยชน์เข้ากระเป๋านาย อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่า "ไร้ยางอาย" ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2007, 10:27 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #30 เมื่อ: 29-01-2007, 10:08 »

 ตอนจบ) ชินคอร์ป สะท้อนพฤติกรรม"ทักษิณ"
---------------------------------------------------------------

23) หุ้นที่ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ขายในตลาดหลักทรัพย์ให้กับ Temasek ไม่ต้องเสียภาษีจริงหรือ?


            รายการซื้อขายหุ้นที่วิเคราะห์ในประเด็นนี้ คือ รายการที่ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ขายหุ้น SHIN ให้กับ Temasek ในวันที่ 23 มกราคม 2549

            เนื่องจากหุ้น SHIN ทั้งหมดที่ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ขายให้กับ Temasek ในวันที่ 23 มกราคม 2549 เป็นหุ้นที่ "เคาะขาย" กันในตลาดหลักทรัพย์ และผู้ขายหุ้นทั้ง 4 ราย เป็นบุคคลธรรมดา จึงได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามข้อ 23 ในกฎกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ซึ่งเขียนไว้ชัดเจนว่า "เงินได้จากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย" ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมมาคำนวณภาษีเงินได้ ตามมาตรา 42(17) ในประมวลรัษฎากร

            แต่การยกเว้นภาษีในกรณีนี้ ต้องยกเว้นหุ้น 45 ล้านหุ้น ที่คุณหญิงพจมานโอนให้กับบรรณพจน์ ดามาพงศ์ "โดยเสน่หา" เมื่อปี 2540

            อย่างไรก็ตาม ควรคำนึงว่าการยกเว้นภาษีเงินได้จากการขายหุ้นในตลาดนั้น สะท้อนเจตนารมณ์รัฐในการส่งเสริมให้นักลงทุนมา "เล่นหุ้น" ในตลาดหลักทรัพย์ คือ ซื้อขายหุ้น "บนกระดาน" ตามราคาตลาด คือ ราคาหุ้นที่เสนอซื้อหรือเสนอขาย ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นภาวะที่นักลงทุนทุกคนมีสิทธิซื้อขายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบใคร ใครอยากขายหุ้นที่ราคาสูงกว่าราคาตลาด ณ ตอนนั้น ก็ต้องต่อแถวรอคิวตามกฎ

            ฉะนั้น การขายหุ้นจำนวนเป็นพันล้านหุ้น ที่ตกลงราคากันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายนอกตลาดหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้วไป "เคาะขาย" ระหว่างกันในตลาดหลักทรัพย์ (ที่แวดวงการเงินเรียกกันว่า "big lot crossing") แบบที่นักลงทุนรายอื่นไม่มีสิทธิแย่งซื้อหรือขาย จึงเป็น
พฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายในการยกเว้นภาษีข้อนี้



            ในประเด็นนี้ ทนายความอาชีพคนเดิม คุณสุวัตร อภัยศักดิ์ มีมุมมองที่ตรงกับผู้เขียน ดังอธิบายในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549

            "....หากเป็นนักกฎหมายที่มีจิตใจรักความเป็นธรรม และมีจิตวิญญาณรับใช้สังคมแล้ว ควรจะต้องพิจารณาตามเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งจะเห็นได้ว่ากฎหมายยกเว้นภาษีจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เฉพาะกรณีที่ผู้ซื้อ และผู้ขายได้เข้าไปแสดงความจำนงตกลงซื้อขายหุ้นโดยวิธีการซื้อขายตามปกติในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น

            มิได้ยกเว้นภาษีให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ขายที่ไปทำความตกลงซื้อขายหุ้นกับนอกตลาดหลักทรัพย์ แล้วใช้วิธีการแยบยลโอนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์โดยการสมรู้กัน อันเป็นการซื้อขายที่มิได้มีเจตนากระทำในตลาดหุ้นตามปกติ และเป็นธรรมแก่ผู้ซื้อและผู้ขายรายอื่น

            จึงต้องถือว่า การซื้อขายหุ้นรายนี้เป็นการซื้อขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์

            เพราะวิธีการดังกล่าวทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายรายอื่นๆ ไม่มีสิทธิซื้อหุ้นจำนวนดังกล่าวได้อย่างเท่าเทียม และเป็นธรรมเท่ากับผู้ซื้อชาวต่างชาติที่แอบไปทำสัญญาซื้อขายหุ้นจำนวนมากมหาศาลนอกตลาดหลักทรัพย์ (แต่เชื่อว่าคนวงในตลาดหลักทรัพย์น่าจะทราบข้อมูลดี)"

            ความถูกต้องทางกฎหมาย ถูกกฎหมายแต่ผิดเจตนารมณ์ - การขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์โดยบุคคลธรรมดา ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามกฎหมาย แม้ว่ากรณีนี้จะเป็นการขายแบบ "เตี๊ยม" กันนอกตลาดระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย แล้วมาเคาะขายกันในตลาด ซึ่งผิดเจตนารมณ์ของกฎหมายก็ตาม

            ต้องยอมรับว่า การทำ big lot crossing เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนั้น เป็นสิ่งที่ทำกันแพร่หลายมาช้านานในตลาดหุ้น จนเป็นพฤติกรรมที่สุดแสนจะ "ธรรมดา" ในวงการไปแล้ว ดังนั้น หากเราจะบังคับให้นักลงทุนทำตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย จึงจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเรื่องนี้ ให้รัดกุมและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยไม่อนุญาตให้การทำ big lot crossing รวมเป็นหนึ่งในธุรกรรมที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้



            ความถูกต้องทางศีลธรรม "น่าเกลียดเป็นปกติ" - ด้วยเหตุผลเดียวกับประเด็น "ความถูกต้องทางกฎหมาย" ข้างต้น


24) หุ้นที่โอนให้เปล่า "โดยเสน่หา" เมื่อปี 2540 ให้กับ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ แล้วเป็นส่วนที่นายบรรณพจน์ นำมาขายต่อให้กับ Temasek ต้องเสียภาษีหรือไม่?

            ถ้าท่านผู้อ่านยังจำกันได้ เมื่อ พ.ศ.2540-2544 มีการโอนหุ้นในหมู่ญาติพี่น้องทั้งสองตระกูลหลายครั้ง ซึ่งมีอยู่ตรงนั้นที่เป็นการโอนหุ้นให้เปล่า โดยอาศัยหลักธรรมจรรยา เมื่อคุณหญิงพจมาน โอนหุ้น SHIN จำนวน 4.5 ล้านหุ้น (หรือเทียบกับ 45 ล้านหุ้น ในปัจจุบันภายหลังจากการแตกพาร์แล้ว) เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 ให้กับนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์

            ซึ่งการโอนในครั้งนั้น กรมสรรพากรได้ตีความโดยอาศัยความตามมาตรา 42(10) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นมาตราที่ระบุยกเว้นถึงเงินได้ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ โดยระบุไว้ว่า "เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา เงินได้ที่ได้รับจากการรับมรดก หรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี" ไม่ต้องนำไปคิดรวมกับเงินได้ที่ต้องเสียภาษี
   

        อย่างไรก็ดี อาจารย์สุวรรณ วลัยเสถียร ปรมาจารย์แห่งกฎหมายภาษี ผู้ผันกายมาช่วยนักธุรกิจที่โด่งดังหลายคน อาทิ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี เลี่ยง...เอ๊ย! "บริหาร" ภาษีของกิจการหมื่นล้านต่างๆ เคยได้ให้อรรถาธิบายในเรื่องนี้ไว้ว่า "การที่พี่ชายโอนทรัพย์สินให้น้องชาย ผู้รับต้องเสียภาษี เพราะถือว่าเป็นมรดกที่ได้มาโดยเสน่หา ต้องนำมาแสดงรายการเสียภาษีและคุณก็ไม่มีต้นทุนด้วย หากรับโอนมา 100,000 บาท ก็ต้องเสียภาษีเต็มจำนวนจากอัตราที่ใช้บังคับ" และก็เป็นธรรมเนียมบรรทัดฐานที่ปฏิบัติกันมาโอนตลอดว่ากรมสรรพากรจะเรียกเก็บภาษีของทรัพย์สินที่ให้โดยธรรมจรรยา

            ในขณะนั้นหุ้น SHIN มีมูลค่าประมาณ 140 บาท มูลค่าทางตลาดของหุ้นที่โอนให้นายบรรณพจน์รวมทั้งสิ้นประมาณ 630 ล้านบาท ถ้าหากเราคิดว่านายบรรณพจน์เสียภาษีในระดับภาษีที่สูงที่สุดอยู่แล้ว (37%) ก็เท่ากับว่าหุ้นที่รับมา ณ วันนั้นต้องเสียภาษีรวมทั้งสิ้น 233.1 ล้านบาท

            แต่ปรากฏว่า วันนั้นกรมสรรพากรกลับลำ ไม่นำบรรทัดฐานที่เคยปฏิบัติมาใช้ โดยอ้างมาตรา 42(10) แห่งประมวลรัษฎากร วันนั้นประเทศชาติสูญเสียรายได้ไปกว่า 233 ล้านบาท

            แต่สรรพากรก็บอกทิ้งทวนไว้ว่า หากขายหุ้นส่วนนี้เมื่อไหร่ก็ต้องชำระภาษี

            ทีนี้มาวันที่ 23 มกราคม 2548 เมื่อครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์จะขายหุ้น SHIN ให้ Temasek ก็ทำให้ประเด็นทางภาษีในอดีตตามกลับมาหลอกหลอนอีกครั้งหนึ่ง

            ถ้าเรามาดูว่าหุ้น 4.5 ล้านหุ้น ซึ่งกลายเป็น 45 ล้านหุ้น ไปแล้ว ต้องเสียภาษีหรือไม่ ก่อนอื่นขอให้ผู้อ่านพิจารณาข้อความต่อไปนี้ซึ่งคัดลอกมาจากประกาศกฎกระทรวงฉบับที่ 126 ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ลงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2509 ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมประเภทเงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี โดยข้อ (17) ได้เพิ่มเติมรายการนี้เข้ามา เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดกหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หา ที่ตั้งอยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร เทศบาล สุขาภิบาล หรือเมืองพัทยา หรือการปกครองท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ ทั้งนี้ เฉพาะเงินได้จากการขายในส่วนที่ไม่เกิน 200,000 บาท ตลอดปีภาษีนั้น

            จะเห็นได้ชัดว่ามีการตั้งจำกัดวงเงินที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำไปคิดภาษีเงินได้ ขอตั้งข้อสังเกตว่าถึงแม้ตัวบริษัท SHIN นั้นน่าจะเป็นสังหาริมทรัพย์เสียเป็นส่วนใหญ่ และน่าจะอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ด้วย แต่ใบหุ้นของ SHIN นั้นเป็นสังหาริมทรัพย์แน่นอน เคลื่อนย้ายได้ เอาไปฝากในตู้เซฟที่ธนาคารใน สวิตเซอร์แลนด์ก็ได้ เพราะฉะนั้นน่าจะอ้างได้ว่าใบหุ้นนั้นอยู่ "นอกเขตกรุงเทพมหานคร เทศบาล สุขาภิบาล หรือเมืองพัทยา หรือการปกครองท้องถิ่นอื่นที่มีกฎหมายจัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะ" และต้องเสียภาษีเงินได้

            ซึ่งจะมีผลได้ว่าการขายหุ้นของนายบรรณพจน์ ในครั้งนี้นั้น เข้าข่ายการขายสินทรัพย์ที่ได้มาด้วยเสน่หาและต้องนำรายได้ส่วนที่เกิน 200,000 บาทไปคิดหักภาษีเงินได้ คิดเป็นมูลค่าเงินได้คือ 45 ล้านหุ้น คูณ 49.25 บาท ลบด้วย 200,000 หรือประมาณ 2,216 ล้านบาท ถ้าคิดอัตราภาษีที่ 37% เท่าเดิมก็จะเป็นเงินภาษี ทั้งสิ้น 819.92 ล้านบาท

            แต่กรมสรรพากรออกมารับประกันเสียแล้วว่า ไม่ต้องเสียภาษีเนื่องจากว่าเป็นการขายผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

            ดังนั้น หุ้นที่เคยถูกตีกรอบ นิยามไว้แล้วว่าเป็น "เงินได้จากการให้โดยเสน่หา" จึงถูกพลิกแพลง ผ่านกระบวนการ "จับแพะชนแกะ" อันแยบยลของกรมสรรพากรให้กลายเป็น "หุ้นที่บุคคลธรรมดาขายในตลาดหลักทรัพย์" ไปด้วยประการฉะนี้

            ความถูกต้องทางกฎหมาย กรมสรรพากรตีความแบบผิดเจตนารมณ์ของกฎหมาย - การพลิกลิ้น และเลือกปฏิบัติขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าสรรพากรอยากตะแบงหาข้อกฎหมายที่ทำให้อ้างได้ว่า "ไม่ต้องเสียภาษี"

            ความถูกต้องทางศีลธรรม "น่าเกลียดสุดขั้ว" - หน่วยงานรัฐพลิกลิ้น เลือกปฏิบัติเพื่อเอาประโยชน์เข้ากระเป๋านาย อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่า "ไร้ยางอาย" ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร

            25) พฤติกรรมของนายกฯ ในเรื่องนี้ เหมาะสมแล้วหรือไม่?            อันนี้คุณต้องตอบเอง หวังว่าบทความนี้ของเราได้ช่วยทำหน้าที่ให้คุณ "ใช้เหตุผล" แยกแยะประเด็นต่างๆ ออก เพียงพอที่จะตอบคำถามข้อนี้
 


 

http://www.bangkokbiznews.com/2007/special/total_article/index.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2007, 10:22 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #31 เมื่อ: 29-01-2007, 10:12 »

สมุดปกขาว ชี้ซื้อขายหุ้นชินฯ ผิดกฎหมาย

สมุดปกขาว ชี้ซื้อขายหุ้นชินฯ ผิดกฎหมาย

http://www.bangkokbiznews.com/2006/special/whitebook.pdf
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #32 เมื่อ: 29-01-2007, 10:48 »




.......................................................................


บทความเรื่อง "โคลนติดล้อ" แบ่งออกเป็น 12 ตอน
แต่ละตอนเสนอความคิดเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรค
ที่ทำให้ประเทศไทยเจริญก้าวหน้าช้ากว่าที่ควร 12 ประการได้แก่
: การเอาอย่างโดยไม่ตริตรอง
: การทำตนให้ต่ำต้อย
: การบูชาหนังสือจนเกินเหตุ (ใครหว่า)
: ความนิยมเป็นเสมียน
: ความเห็นผิด
: ถือเกียรติยศไม่มีมูล
: ความจนไม่จริง
: แต่งงานชั่วคราว
: ความไม่รับผิดชอบของบิดามารดา
: การค้าหญิงสาว
: ความหยุมหยิม
: หลักฐานไม่มั่นคง








  :slime_smile: ประเด็นการบูชาหนังสือ  เราจะเอาอะไรมาวัดคะ
ว่า  บูชาหนังสือแค่ไหนพอดี  แล้วคนที่ไม่บูชาหนังสือ ไม่บูชาข้อมูล
แต่กลายมาเป็นบูชาคนแทน  จะแก้ไขยังไงดีล่ะ 
[/b] [/color]
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #33 เมื่อ: 29-01-2007, 10:53 »

ครับ หลานรวงข้าวล้อลม ..  มีที่แปลเป็นไทยแล้ว อ่านได้ที่นี่นะครับ

http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P5066216/P5066216.html


ไม่ต้องเอาลิงค์มาหรอกค่ะ ส่วนมากคนในบอร์ดนี้ไม่อยากเข้าไปที่วอร์รูมหรอก

แล้วอีกอย่าง ไม่เคยสักครั้งที่คำแปลที่มาจาก pantip จะแปลอย่างถูกต้อง ตรงตามความหมายจริงๆ

มีแต่ปรับเปลี่ยน เพิ่มเติม ตะแบงให้ได้ความหมายอย่างที่ตัวเองต้องการ 


    ถนนราชดำเนิน  มีแต่น้ำไหลผ่านไปทางเดียว
ก้อนดิน  ก้อนหินไปขวางๆไว้ก็งั้นๆๆล่ะ  ไม่เกิดแง่คิดอะไรที่สร้างสรรค์ในสมอง
หรอกค่ะ  มีแต่รับรู้ข้อมูลมุมเดียวตลอด
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #34 เมื่อ: 29-01-2007, 16:15 »

นายก ...สุรยุทธิ์ ..หรืออดีตนายกทักษิณ   ใครกันแน่เข้าใจธรรมาภิบาลมากกว่ากัน?.

               *******************************************


   หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวญี่ปุ่นโจมตีการดำเนินนโยบายของรัฐบาลปัจจุบันและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ว่า ไม่มีความน่าเชื่อถือโดยเฉพาะต่อนักลงทุน

พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า "คงไม่มีผลเสียหายมากนัก ประเด็นสำคัญผมขอเรียนว่าคงไม่มีใครที่อยากจะให้มีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะเช่นที่ผ่านมา เพียงแต่ว่าถ้ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้วมีการปฏิบัติที่ถือว่าเป็นไปตามธรรมาภิบาลก็คงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ทหารจำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซง รัฐบาลจะมาจากไหนก็แล้วแต่ ถ้ามีธรรมาภิบาลในการบริหารงาน ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นตัวสำคัญทำให้เกิดความเชื่อถือ"


 เป็นคำสัมภาษณ์ที่มีนัยสำคัญทางการเมือง ตอบโต้ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างตรงไปตรงมาครั้งแรก ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ทันกลเกมทางการเมืองของฝ่ายตรงข้าม


http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01col02290150&day=2007/01/29&sectionid=0116


นายก ...สุรยุทธิ์ ..หรืออดีตนายกทักษิณ   ใครกันแน่เข้าใจธรรมาภิบาลมากกว่ากัน?.

               *******************************************


 
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01col02290150&day=2007/01/29&sectionid=0116




.........................................................................................................



คตส.เตรียมชี้มูลความผิด 5 คดี

http://www.nationchannel.com/xnews/index.php?news_id=5261
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-01-2007, 16:33 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #35 เมื่อ: 29-01-2007, 17:09 »

ตรรกะง่ายๆครับว่าหากข้อมูลที่ปรากฎในหนังสือเป็นจริงเพียง 70-80% ป่านนี้ คตส. คมช. และรัฐบาลคงไม่วิ่งพล่านโบ้ยโยนบาปว่าข้าราชการไม่ให้ความร่วมมือหรอกครับ  ฮ่าๆๆๆ
บันทึกการเข้า
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #36 เมื่อ: 29-01-2007, 19:55 »

ตรรกะง่ายๆครับว่าหากข้อมูลที่ปรากฎในหนังสือเป็นจริงเพียง 70-80% ป่านนี้ คตส. คมช. และรัฐบาลคงไม่วิ่งพล่านโบ้ยโยนบาปว่าข้าราชการไม่ให้ความร่วมมือหรอกครับ  ฮ่าๆๆๆ


---

---แล้วไงคะ  สื่อแต่ละฉบับถึงนำเสนอข่าวเท็จ  ได้เหมื๊อน  เหมือนกันเด๊ะ  จารย์จ๊ะ----
คิดไงเรื่องนี้   ยังไงจารย์จ๊ะลองเอาข้อมูลที่หักล้างข่าวเหล่านี้มาหน่อยสิคะ  แต่ต้องบอกที่มาของแหล่ง
ข้อมูลนั้นด้วยนะ   รู้สึกว่า  คิดว่า  ไม่เอา--- 
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #37 เมื่อ: 30-01-2007, 09:42 »

 
-----อย่าให้ทุกอย่างสายเกินแก้เลย  เรื่องสำคัญของประเทศจะทำทองไม่รู้ร้อนไม่ได้หรอก
หรือเห็นแก่ผลประโยชนืส่วนตนเล็กๆน้อยๆได้อย่างไร---   !!!!



------------------------------------------------------------------------------------------------------------


"คมช.-รัฐบาล-คตส."วิกฤติ จับเข่าปรับแผนฟัน“ทักษิณ”



แปดโมงเช้า วันจันทร์ที่ 29 มกราคมนี้ เป็นฤกษ์ดีที่จะมีการจับเข่าคุยกัน 3 ฝ่าย

 ระหว่าง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)

 โดย คตส.ส่ง นาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส.นำทีม พร้อมด้วย คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อำนวย ธันธรา และ สัก กอแสงเรือง โฆษก คตส.เข้าร่วมวง

 เพื่อปรับแผนการทำงานใหม่ หลังจากยื่นดาบอาญาสิทธิ์ให้แก่ คตส.แล้วแต่ไม่สามารถที่จะฟันคอนักการเมืองกังฉินได้

 นั่นเป็นเพราะหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเกิดอาการแข็งข้อ เพื่อรอขั้วอำนาจเปลี่ยน ซึ่งอาจจะทำให้ "คมช.-รัฐบาล-คตส." ถึงจุดวิกฤติได้

 ด้วยเหตุผลนี้จึงต้องจับเข่าคุยกันอย่างหนัก !!!



 เพื่อวางแนวทางการทำงานให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการเข้ายึดอำนาจจากระบอบทักษิณ และพิสูจน์ข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น ในห้วงเวลาที่เหลือน้อยเต็มทีนับจากนี้

 เพื่อกระชากหน้ากาก ทักษิณ ชินวัตร ออกมาให้ประชาชนทั้งประเทศ และนานาชาติได้รับรู้ หลังจาก "ทักษิณ" เล่นเกมนกขมิ้นเหลืองอ่อนเดินสายแก้ตัวผ่าน "สื่อนอก" เป็นว่าเล่น

 ประเด็นหลักๆ ในการหารือก็คือ "คตส." ต้องการให้ คมช.และรัฐบาล หามาตรการลงแส้ หน่วยงานรัฐที่จงใจใส่ "เกียร์ว่าง" ให้หนัก

 โดยยึดเอากรณีของกองทุนเพื่อการพัฒนาและฟื้นฟูระบบสถาบันการเงิน กรณีการซื้อที่ดินย่านรัชดาฯ กับกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง กรณีทุจริตพันธุ์กล้ายางพารา มาเป็นตุ๊กตาในการปรับกลยุทธ์ใหม่

 นั่นเพราะทั้ง 2 เคสนี้ ทำเอา คตส.ถึงกับปวดหัว ที่เล่นเกม "ยื้อเวลา" นานร่วมเดือนกว่าจะลงรอย



  เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีความจงใจหาช่อง เล่นแง่ เพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากความผิดในครั้งนี้ด้วย

 ทั้งๆ ที่ คตส.ก็ได้ให้ความปรานีด้วยการ "ไม่ชี้มูล" ความผิดร่วมไปด้วย เพราะจะว่าไปแล้วหน่วยงานเหล่านี้ถือว่าเข้าข่ายตกเป็นจำเลยร่วมในการกระทำผิดอย่างชัดเจน

 ดังนั้นจึงจำเป็นต้อง "ตัดไฟแต่ต้นลม" เพื่อไม่ให้หน่วยงานของรัฐเอาเยี่ยงอย่าง เพราะยังเหลือคดีที่จ่อคิวเชือดอีกตั้ง 9 คดี

 มีความเป็นไปได้สูงเหลือเกินที่ "คตส." อาจจะมีการเสนอเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานนั้นเพื่อไม่ให้เป็นหอกข้างแคร่

 และอาจถึงระดับ "รองนายกรัฐมนตรี" !!!

 ขณะที่ก่อนหน้านี้มี คตส.บางคนได้เสนอมาตรการ "เชือดไก่ให้ลิงดู" โดยงัดกฎหมายอาญามาตรา 157 เรื่องการละเว้นปฏิบัติหน้าที่มาเล่นงาน

 แต่ก็ต้องพับไป เพราะต้องการเก็บไว้เป็น "มาตรการขั้นสุดท้าย"




 นับจากการเจรจาหารือ 3 ฝ่ายจบลง ก็น่าจะคาดหวังได้ว่า เมื่อ "คตส." ส่งสัญญาณออกไป หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต้องขานรับทันที เพื่อดำเนินงานตรวจสอบให้รวดเร็วขึ้น

 โดยเฉพาะตามกรอบของกฎหมาย ป.ป.ช.ตามมาตรา 66 และ 67 ที่ต้องมีผู้เสียหายมาร้องทุกข์กล่าวโทษ

 เนื่องจากเมื่อคดีไปสู่ชั้น "ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" แล้ว แต่องค์ประกอบในการฟ้องร้องไม่ครบ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ศาลจะยกคำร้อง

 นอกจากนั้นสิ่งสำคัญที่เร่งด่วนอีกอย่างก็คือ คตส.ต้องการให้ คมช.และ รัฐบาล เร่งรัด "กระทรวงการต่างประเทศ" ให้เข้ามาช่วยงานด้านการแปลเอกสาร

 เพราะ คตส.ไม่มีงบประมาณไปจ้างคนนอก ที่สำคัญก็เพื่อป้องกันเอกสารรั่วไหล

 เพราะในเชิงของการต่อสู้รูปคดีความ ต้องมีการแปลเอกสารเป็นจำนวนมากซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศ ลงตราประทับความถูกต้องก่อนที่จะนำไปประกอบสำนวนส่งอัยการ

 ก่อนหน้านี้กระทรวงการต่างประเทศได้แสดงอาการยักท่า เล่นตัว ไม่ยอมยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เหตุเพราะยังมีเครือข่าย "กลุ่มอำนาจเก่า" แฝงกายใส่เกียร์ว่างอยู่เป็นจำนวนมาก

 โดยเฉพาะบุคคล "ระดับหัว" ที่มีอิทธิพลต่อการข้าราชการระดับล่าง !!!

 ว่ากันว่า นอกจากจะหามาตรการจัดการกับหน่วยงานแล้ว "คตส." ยังต้องให้ คมช.และรัฐบาล ปรับบทบาทให้สอดรับกับการทำงานของ คตส.ด้วย

 โดยการออกมาร่วมกันแถลงข่าวในประเด็นที่ คตส.ได้ชี้มูลความผิด  !!!

 เพื่อเพิ่มน้ำหนักและความน่าเชื่อถือ พร้อมทั้งกำชับหน่วยงานรัฐห้ามเสนอข้อมูลที่สวนทางกับ คตส.เหมือนที่ผ่านมา เพราะจะเป็นการลดน้ำหนักการชี้มูล

 พร้อมกันนี้ จะมีการหามาตรการรองรับหากการทำงานของ คตส.เสร็จไม่ทันตามกำหนดภายในระยะเวลา 1 ปี

 โดยต้องการให้รัฐบาลและ คมช.ผลักดันนโยบายการปราบปรามทุจริตคอรัปชั่น เป็น "วาระแห่งชาติ"

 นั่นเป็นเพราะขณะนี้ "คตส." เริ่มได้กลิ่นของการวิ่งเต้นคดีโชยมาแล้ว ซึ่งเกรงว่าคดีจะไปหลุดในชั้นศาล

 ณ นาทีนี้ คตส.ได้ประเมินเบื้องต้นไว้แล้วว่า กว่าที่จะตั้งอนุกรรมการไต่สวนและสรุปเรื่องส่งให้อัยการสั่งฟ้องได้ต้องกินเวลานานอาจเป็นครึ่งปีนี้

 หากเรื่องอยู่ในชั้นศาลล่วงเลยไปถึงการเลือกตั้ง หลักจากมีการแก้รัฐธรรมนูญเสร็จสิ้น

 เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว และ "กลุ่มอำนาจเก่า" กลับเข้ามามีอำนาจทางการเมืองอีกครั้ง

 คดีต่างๆ จะพลิกกลับตาลปัตร พยานจะถูกข่มขู่ จนผู้ต้องหา "หลุดคดี" ไปในที่สุด




 สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และกำลังจะเกิดขึ้นต่อไป เมื่อบวกกับเงื่อนเวลา 1 ปี จึงเป็นแรงบีบให้ "คตส." ต้องตัดสินใจหารือครั้งสำคัญสามฝ่าย

 ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป !!!

 บัญชา แข็งขัน

 
 http://www.komchadluek.net/2007/01/column/m018_86261.php?news_id=86261
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-01-2007, 09:49 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #38 เมื่อ: 30-01-2007, 10:18 »

----เสียเวลา---  มาช่วยบอกดีกว่าว่า-----

อะไรบ้างที่  ผิด และความผิดนั้นมีหลักฐานอะไรบ้าง
มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร  มิดีกว่าหรือ  น่าจะเกิด
ประโยชน์มากกว่านะ-----



---เมื่อหามุมบวกมาโต้มาสู้  ณ  วินาทีนี้ไม่ไหว
แถไปก็เสียเวลา  มาช่วยกันสรุปประเด็นความผิด
กันดีมั๊ย---
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #39 เมื่อ: 30-01-2007, 11:50 »


กลายเป็นวัฒนธรรมของอำนาจเก่าไปแล้วเหรอ

ทำอะไรไม่ได้ก็อัดเงินท่อน้ำเลี้ยง ?....


---------------------------------------------------------------------------------


จับตา"ขั้วอำนาจเก่า"ชักใย 2พรรค ลูกพ่อขุนชนคมช.


กลายเป็นประเด็นข่าวร้อนๆ แทรกขึ้นมาเพิ่มอุณหภูมิของสถานการณ์ที่กลิ่นอายของความขัดแย้งและการต่อสู้ระหว่างขั้วอำนาจเก่าและขั้วอำนาจใหม่ยังคงคุกรุ่น

 ภายหลังมีรายงานข่าวดังมาจากองค์การนักศึกษา ม.รามคำแหง ดังแว่วๆ ว่า มีสมาชิก "ขั้วอำนาจเก่า" แอบดอดเคลื่อนไหว

 ปลุกระดมกลุ่มนักศึกษา ม.รามคำแหง ในระหว่างที่มีวาระการเลือกตั้งอศ.มร. โดยมีการต่อท่อทุ่มน้ำเลี้ยงกว่า 2 ล้าน

 เพื่อดึงเป็นแนวร่วมเตรียมออกมาเคลื่อนไหวปะทะกับ "รัฐบาล" และ "คมช."

http://www.komchadluek.net/
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #40 เมื่อ: 30-01-2007, 12:31 »

ไปเก็บตกมาจากราชดำเนิน  อยากฟังคนห้องนี้บ้าง---



---จดหมายโต้ตอบทางการฑูต 2 ฉบับนี้คุณคิดว่าส่งผลอย่างไรต่อไทยบ้าง
จดหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ ลงพิมพ์ไว้ที่ เนชั่น ตามลิงค์นี้





http://www.nationmultimedia.com/2007/01/29/headlines/headlines_30025408.php

--------------------------------------------------------------------------------------------------



"Thaksin Curse" sparks fresh diplomatic row

Their languages are extremely polite yet subtle. The following exchange between an official of the Thai Foreign Ministry and an EU embassy underlines ongoing diplomatic tension between Bangkok and the West in the wake of the September 19 coup. And analysts familiar with the "Thaksin Curse" strongly believe that this is far, far from over.


Foreign affairs: friendship and challenges

Kulkumut Singhara na Ayudhaya

Last year was an extraordinary one for Thai people as we celebrated the 60th Anniversary of His Majesty the King's Accession to the Throne as well as a pivotal point in Thai politics as our political gridlock was untangled.


During Thailand's prosperous times, our foreign friends rejoice. Through our challenging moments, many show their goodwill and understanding, while others merely point their fingers and preach.


Let me begin with the memory of the grave losses we all suffered when the tsunami swept across the Indian Ocean two years ago.


No one can deny that all Thai people extended their hearts and hospitality to help those affected, regardless of nationality or religion. The Thai government not only promptly accommodated our friends' requests, but also went all out to facilitate foreign rescue efforts doing all we could from providing surveillance helicopter around the clock, to expediting the opening of foreign consulate offices in Phuket within a few days in order to send our friends and their love ones home. The Thai people have shown their goodwill and sincerity, and yet our benevolence has been looked upon with suspicion by those we helped. It would be such a pity if we were to let our good deeds be marred or diluted by these doubts. In any case, after meticulous investigations conducted by the Thai police, I hope all misunderstandings and mishandled claims will be cleared up in due course so that we are able to regain the confidence of our foreign friends.


Speaking of confidence, from my encounters with those in the European private sector both in Thailand and abroad, I have come to learn that they have much confidence in Thailand's strong economic fundamentals and continued progress in our political reform process.


After September 19, it is time to move forward toward a strengthened Thai democracy. Some high business representatives from European countries even offered to convey their direct experiences and opinions to their governments about the political situation in Thailand, to let them know that ours was not just another "textbook" coup d'etat and, therefore, cannot be measured by any benchmark set by foreign governments. It is ironic that the duty has fallen to foreign businesspeople, rather than their embassies in Bangkok, to provide an accurate account about Thailand to their governments.


Counting true friends in difficult times, I admire Ambassador Ralph Boyce of the United States and Ambassador Zhang Jiuhuan of China for consistently showing their goodwill towards Thailand.


I also appreciate the efforts of many European representatives who have taken a positive stand on Thailand's issues during European Union consultations when others have been persistently opposed for one reason or another. Time will prove that Thailand is in good hands and on its way to a full-fledged democracy. Elections are expected before the end of this year.


I believe that Thailand is on the right track and many friends have made an effort to demonstrate their goodwill toward us, such as the recent visits made by three former US presidents and a Thai-style wedding ceremony by a high rank European official. Yet, I am saddened to learn that some foreign VIPs have been advised by their embassies in Bangkok to cancel personal trips to Thailand. Hopefully, positive indications of Thailand's political progress will convince these people to change their stance before long. In 2007, Germany will assume the EU presidency for the first six months, followed by Portugal. Looking back to our respective histories, Germany and Thailand share some painful lessons that elections do not always lead to so-called "democracy" and, with support and understanding from friends and allies, one can bounce back and be stronger than before. Throughout Germany and Thailand's long lasting relations, Germany has proven to be our trustworthy European partner.


Therefore, I very much hope that under Germany's leadership, the relationship between Thailand and the EU relationships will be more constructive than in the past.

Kulkumut Singhara Na Ayudhya is the director-general of the Foreign Ministry's European Affairs Department. The views expressed in this article are personal and do not reflect the official position of the Royal Thai Government.

 

Letter to the editor "The Nation"


by the German Ambassador, Dr Christoph Bruemmer

Under "Foreign Affairs: friendship and challenges" (Jan 27) Kulkumut Singhara Na Ayudhya, the esteemed Director General of European Affairs at the Foreign Ministry, offered some remarkably straightforward observations.


Representing the EU presidency and as Ambassador of Germany I feel entitled to a clarifying answer.


Dear Khun Kulkumut: For us Europeans Thailand is (and remains to be) not only one of the most important regional players in South East Asia but also a friendly country. It is only against this basic assumption that you should evaluate the European common reaction to the coup in Thailand (EU-statement of September 29, 2006). If we are not ready to embrace a military take-over as something positive per se you should not blame us but ask about your own realities first. In other words: I would like to hope that our concerns about democracy in Thailand are first of all your own concerns. Lamentations about good and not so good friends are missing the point.


As head of the European Affairs Department you should know: It is the formulated and expressed common EU-policy which counts - as difficult and divisive the decision and expressed common EU-policy which counts - as difficult and divisive the decision making process leading up to it sometimes proves to be. The various groups of EU diplomats including Heads of Mission convening at least once a month also here in Bangkok are bodies and instruments of excellent consultation, co-operation and fine-tuning of common assessments and recommendations to capitals and to Brussels. The highly successful and commendable Finnish presidency just handed over to Germany. I wonder how there could be a "more constructive leadership".


To you denigrating "any benchmark set by foreign governments": You should know, that it was PM Surayud Chulanont himself who - in an early stage of his government and in reaction to our expressed interest in a speedy return to democracy in Thailand - told European ambassadors: "Your benchmarks are my benchmarks."


Needless to mention that we liked this kind of understanding because it reconfirms the common ground and lacks any self-complacency.


Secondly you seem to perceive an overriding "business-as-usual" and affirmative approach in the foreign business community in Thailand. I refrain from lengthy comments. I just would like to ask you not to underestimate growing concern in this field. But again: It is a basically friendly concern and I appreciate very much the Prime Minister having just made it clear that Thailand wants to keep credentials as a country open and friendly towards foreign economic engagement.


Thirdly you are putting the blame on people like me having asked for an independent audit concerning certain allegations about possible misuse of Tsunami-related funds. Dear Khun Kulkhumit, please don't tarnish the excellent record of Thai-foreign Tsunami related relief co-operation. This was a prime example for what can be achieved by the spirit of sympathy and friendship in times of disaster. And this praise which I would not like to see diminished includes, of course, the highly professional end extremely successful cooperation of international and Thai police forces to identify the victims. In comparison the mentioned allegations and our humble request to clear things up have a very limited proportion.


More important, however, and you should know about it, they were allegations from Thai sources on which we could not close our eyes.


So, my final request to you, Khun Kulkumut: Don't ask from your friends to close their eyes. But even more important and first of all: Don't put into question our friendship either.

Yours sincerely,


Christoph Bruemmer,


Ambassador of Germany.

บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #41 เมื่อ: 30-01-2007, 12:38 »

คำแปล
การต่างประเทศ: มิตรภาพและความท้าทาย
โดย นาย กุลกุมุท สิงหรา ณ อยุธยา อธิบดีกรมยุโรป กระทรวงต่างประเทศ ความเห็นข้างล่างนี้เป็นความเห็นส่วนตัว มิได้เป็นความเห็นในนามรัฐบาลไทย

ปีที่แล้วเป็นปีที่พิเศษสำหรับชาวไทย เนื่องจากเป็นปีที่เราเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ 60 ปี
และยังเป็นปีที่การเมืองไทยเข้าสู่จุดสำคัญ เนื่องจากทางตันทางการเมืองได้ถูกผ่าออกจนได้   เมื่อประเทศไทยของเราอยู่ในคราวเจริญรุ่งเรือง
เพื่อนของเราก็มาร่วมยินดีมีสุข แต่เมื่อเราถึงคราวคับขัน เพื่อนหลายคนก็แสดงน้ำใจและให้ความเข้าใจแก่เรา
ในขณะที่เพื่อนบางคนกับชี้นิ้วตราหน้าเรา และสั่งสอนอบรมเรา

ขอให้ผมได้เริ่มจากความทรงจำของการสูญเสียที่เราทั้งหมดได้รับร่วมกัน เมื่อคลื่นสึนามิ ได้พัดพาจากมหาสมุทรอินเดียเข้าสู่ชายฝั่งไทย เมื่อสองปีที่แล้ว
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าคนไทยทั้งหมด ได้ทุ่มเทแรงใจ และความโอบอ้อมอารีในฐานะเจ้าบ้าน เพื่อช่วยผู้ประสบเคราะห์ โดยไม่เลือกสัญชาติ หรือศาสนา
รัฐบาลไทยไม่เพียงแต่ตอบสนองการร้องขอความช่วยเหลือของเพื่อนในทันที แต่เรายังช่วยให้ความสะดวกทุกประการเท่าที่จะเป็นไปได้
ในการให้ความช่วยเหลือชาวต่างชาติ ตั้งแต่ให้เฮลิคอบเตอร์ออกบินตลอด 24 ชั่วโมง จนถึงการจัดการอนุญาตให้เปิดสถานกงสุลที่ภูเก็ตอย่างเร่งด่วน
ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันหลังเกิดเหตุการณ์ เพื่อช่วยส่งให้เพื่อนและผู้เป็นที่รักของเพื่อนของเรากลับบ้าน
ชาวไทยได้แสดงความปรารถนาดี และความจริงใจต่อเพื่อน แม้กระนั้นความเอื้ออารีของเราก็ถูกมองข้ามด้วยความสงสัยจากผู้ที่เราช่วยเหลือ
จะเป็นที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งหากการทำดีของเราจะต้องมาเปรอะเปื้อน หรือถูกทำให้ด้อยค่าลงด้วยข้อข้องใจต่างๆ เหล่านี้
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ตำรวจไทยได้ทำสืบสวนอย่างถี่ถ้วนแล้ว  ผมหวังว่าความเข้าใจผิดต่างๆ จะถูกแก้ไขในไม่ช้า
เพื่อที่เราจะได้รับความเชื่อมั่นจากเพื่อนต่างชาติของเรากลับคืนมา

เมื่อกล่าวถึงความเชื่อมั่น หลังผมได้พบกับภาคเอกชนยุโรป ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ผมก็ได้รับทราบว่าพวกเขามีความเชื่อมั่นในความแข็งแกร่ง
ของพื้นฐานเศรษฐกิจไทย และการที่การปฏิรูปทางการเมืองของเรามีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง  หลังเหตุการณ์วันที่ 19 กันยายน ก็เป็นเวลาที่เราจะเดินไปข้างหน้า
เพื่อสร้างประชาธิปไตยของเราให้เข้มแข็ง ตัวแทนธุรกิจระดับสูงบางคนจากประเทศในทวีปยุโรป ถึงกับเสนอที่จะเป็นผู้สื่อสารกับรัฐบาลของตัวเอง
โดยใช้ประสบการณ์และความคิดของตน เพื่อให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปได้เข้าใจถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
ว่าการรัฐประหารในประเทศไทย ไม่เหมือนการรัฐประหารในประเทศอื่นๆ ที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปตามตำรา ดังนั้นรัฐบาลต่างชาติจะมาใช้มาตรฐานของตน
มาวัดการรัฐประหารครั้งนี้มิได้ มันช่างน่าแปลก ที่การอธิบายปรากฎการณ์รัฐประหารในประเทศไทยแก่รัฐบาลต่างชาติด้วยความเข้าใจอย่างถูกต้องดังกล่าว
กลับตกอยู่ในมือของนักธุรกิจ ไม่ใช่ในมือของสถานฑูตต่างชาติในประเทศไทย

เมื่อพูดถึงเพื่อนในยามยาก ผมขอแสดงความชื่นชมเป็นอย่างสูงต่อท่านเอกอัครราชฑูต ราล์ฟ บอยซ์ แห่งสหรัฐอเมริกา และท่านเอกอัครราชฑูต จาง จิวหวน แห่งประเทศจีน
สำหรับการแสดงความปรารถนาดีต่อประเทศไทยมาโดยตลอด   ผมขอแสดงความขอบคุณความพยายามของตัวแทนจากยุโรปหลายประเทศในระหว่างการประชุมสหภาพยุโรป
ที่ได้แสดงจุดยืนที่เป็นบวกต่อการพัฒนาการทางการเมืองไทย ในขณะที่บางประเทศกลับมีท่าทีต่อต้านประเทศไทยอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง
เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าประเทศไทยได้อยู่ในกำมือของคนที่เหมาะสมแล้ว และประเทศไทยก็กำลังก้าวไปสู่การเป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มตัว
เราจะมีการเลือกตั้งก่อนสิ้นปีนี้

ผมเชื่อมั่นว่าประเทศไทยกำลังเดินไปในแนวทางที่ถูกต้อง และเพื่อนของเราหลายๆ ประเทศก็ได้พยายามที่จะแสดงความปรารถนาดีต่อเรา เช่นการเยือนประเทศไทย
จากอดีตประธานาธิบดีสหรัฐทั้งสามท่าน เมื่อเร็วๆ นี้ และการที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงชาวยุโรปได้เดินทางมาจัดพิธีแต่งงานตามประเพณีไทย
แต่ผมก็เศร้าใจเมื่อได้รับทราบว่าชาวต่างชาติระดับวีไอพีบางคน ได้รับคำเตือนจากสถานฑูตของประเทศของพวกเขาในกรุงเทพฯ ให้งดเดินทางเข้ามาในประเทศไทย
ผมหวังว่าสัญญาณที่เป็นบวกในเรื่องความก้าวหน้าทางการเมืองของไทย จะทำให้คนเหล่านี้เปลี่ยนใจในไม่ช้า

ในช่วง 6 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2550 นี้ ประเทศเยอรมันนี จะเข้ารับตำแหน่างประมุขของสหภาพยุโรป แล้วจะต่อด้วยประเทศโปรตุเกส เมื่อมองย้อนกลับไปดู
ประวัติศาสตร์ของประเทศของเรา  เยอรมันนีและประเทศไทยล้วนแต่เป็นประเทศที่มีบทเรียนร่วมกันในเรื่องที่ว่า การเลือกตั้งมิได้นำไปสู่สิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตย
และการที่ถึงแม้จะไม่ได้รับการสนับสนุนและความเข้าใจจากเพื่อน ประเทศของเราก็สามารถพัฒนาได้และกลับมาเข้มแข็งมากกว่าที่เคยเป็นอยู่เสียอีก
ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ของเราทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน ประเทศเยอรมันนีได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่าท่านเป็นมิตรแท้ฝ่ายยุโรปของเรา

ดังนั้นผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ภายใต้การนำของเยอรมันนี สัมพันธภาพระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรปจะเป็นไปในทางสร้างสรรค์กว่าที่ผ่านมา

บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #42 เมื่อ: 30-01-2007, 12:42 »

ฉบับที่ 2 เป็นการตอบกลับจาก EU ถึง บก. เนชั่น
Letter to the editor "The Nation"

by the German Ambassador, Dr Christoph Bruemmer
Under "Foreign Affairs: friendship and challenges" (Jan 27)
Kulkumut Singhara Na Ayudhya, the esteemed Director General of European Affairs at the Foreign Ministry, offered some remarkably straightforward observations.

Representing the EU presidency and as Ambassador of Germany I feel entitled to a clarifying answer.
Dear Khun Kulkumut: For us Europeans Thailand is (and remains to be) not only one of the most important regional players in South East Asia but also a friendly country.
It is only against this basic assumption that you should evaluate the European common reaction to the coup in Thailand (EU-statement of September 29, 2006).
If we are not ready to embrace a military take-over as something positive per se you should not blame us but ask about your own realities first. In other words:
I would like to hope that our concerns about democracy in Thailand are first of all your own concerns. Lamentations about good and not so good friends are missing the point.

As head of the European Affairs Department you should know: It is the formulated and expressed common EU-policy which counts - as difficult and divisive the decision
and expressed common EU-policy which counts - as difficult and divisive the decision making process leading up to it sometimes proves to be.
The various groups of EU diplomats including Heads of Mission convening at least once a month also here in Bangkok are bodies and instruments of excellent consultation,
co-operation and fine-tuning of common assessments and recommendations to capitals and to Brussels. The highly successful and commendable
Finnish presidency just handed over to Germany. I wonder how there could be a "more constructive leadership".

To you denigrating "any benchmark set by foreign governments": You should know, that it was PM Surayud Chulanont himself who - in an early stage of his government
and in reaction to our expressed interest in a speedy return to democracy in Thailand - told European ambassadors: "Your benchmarks are my benchmarks."
Needless to mention that we liked this kind of understanding because it reconfirms the common ground and lacks any self-complacency.

Secondly you seem to perceive an overriding "business-as-usual" and affirmative approach in the foreign business community in Thailand.
I refrain from lengthy comments. I just would like to ask you not to underestimate growing concern in this field. But again: It is a basically friendly concern
and I appreciate very much the Prime Minister having just made it clear that Thailand wants to keep credentials as a country open and friendly towards foreign economic engagement.

Thirdly you are putting the blame on people like me having asked for an independent audit concerning certain allegations about possible misuse of Tsunami-related funds.
Dear Khun Kulkhumit, please don't tarnish the excellent record of Thai-foreign Tsunami related relief co-operation. This was a prime example for what can be achieved by
the spirit of sympathy and friendship in times of disaster. And this praise which I would not like to see diminished includes, of course, the highly professional end extremely
successful cooperation of international and Thai police forces to identify the victims. In comparison the mentioned allegations and our humble request to clear things up
have a very limited proportion.

More important, however, and you should know about it, they were allegations from Thai sources on which we could not close our eyes.
So, my final request to you, Khun Kulkumut: Don't ask from your friends to close their eyes. But even more important and first of all: Don't put into question our friendship either.

Yours sincerely,
Christoph Bruemmer,
Ambassador of Germany.

คำแปล
จากเอกอัครราชฑูตเยอรมันประจำประเทศไทย ดร. คริสตอฟ เบรมเมอร์

ในข้อเขียนเรื่อง การต่างประเทศ: มิตรภาพและความท้าทาย (27 ม.ค.) กุลกุมุท สิงหรา ณ อยุธยา อธิบดีกรมยุโรป แห่งกระทรวงต่างประเทศไทย
ได้ให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจหลายประการอย่างตรงไปตรงมา  ผมขอตอบข้อสังเกตดังกล่าว ทั้งในฐานะตัวแทนของประมุขสหภาพยุโรป
และในฐานะเอกอัครราชฑูตเยอรมันประจำประเทศไทย

เรียนคุณกุลกุมุท

สำหรับเราชาวยุโรป ประเทศไทยนั้นนอกจากจะเป็น (และยังคงเป็น) ประเทศหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญสูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังเป็นมิตรประเทศอีกด้วย สิ่งที่คุณประเมินเกี่ยวกับปฏิกริยาของสหภาพยุโรปต่อการรัฐประหารในประเทศไทย
(คำแถลงการณ์ของ สหภาพยุโรป วันที่ 29 กันยายน 2549) นั้น เป็นไปในทางขัดแย้งกับสิ่งดังกล่าวข้างต้น หากเราไม่ร่วมนิยมยินดีต่อการยึดอำนาจโดยกองทัพ
ว่าเป็นสิ่งที่ดี คุณไม่ควรจะตำหนิเรา แต่ควรจะยอมรับความเป็นจริงกับตัวเองก่อน  กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผมอยากจะหวังเป็นอย่างยิ่งว่า  ความกังวลใจของเรา
ต่อประชาธิปไตยในประเทศไทยนั้น เป็นความกังวลเดียวกันกับความกังวลใจของประเทศไทย การที่พร่ำเพ้อเกี่ยวกับเพื่อนที่ดีและเพื่อนที่ไม่ค่อยดีนั้น
เป็นการพูดที่หลงประเด็น

ในฐานะที่เป็นอธิบดีกรมยุโรป คุณควรจะทราบดีว่านโยบายออกมาเป็นมติร่วมจากสหภาพยุโรปเท่านั้น ที่ถือเป็นท่าทีอย่างเป็นทางการของสหภาพยุโรป
ไม่ว่าเบื้องหลังการลงมติต่อนโยบายนั้นจะมีความขัดแย้งกันในหมู่สมาชิกอย่างไรก็ตาม   แม้ว่ากระบวนการตัดสินใจในนโยบายดังกล่าวจะยากลำบาก
และขัดแย้งกันอย่างมากก็ตาม กลุ่มนักการฑูตสหภาพยุโรปหลายคณะ  รวมทั้งหัวหน้าคณะ ที่ได้ประชุมกันเดือนละหนึ่งครั้ง ที่กรุงเทพฯ นี้ด้วย
ล้วนเป็นบุคลากรและมือไม้ของสหภาพยุโรป ในการให้คำแนะนำปรึกษา ร่วมมือ และประเมินสถานการณ์ทั่วไปโดยละเอียด สู่กรุงบรัสเซลล์
เมืองหลวงของสหภาพยุโรป   ประเทศฟินแลนด์เพิ่งจะส่งผ่านวาระการเป็นประมุขของสหภาพยุโรปมาสู่ประเทศเยอรมันนี   ซึ่งในวาระของประเทศฟินแลนด์
ก็ได้ทำหน้าที่ได้ประสบความสำเร็จอย่างสูง และน่าชื่นชมยกย่องเป็นอย่างยิ่ง   ผมสงสัยว่าการที่จะทำหน้าที่  ผู้นำอย่างสร้างสรรค์มากขึ้นกว่าที่ประเทศฟินแลนด์
ได้ทำไปนั้น  จะทำได้อย่างไร

สำหรับการที่คุณได้กล่าวในเชิงทับถม เกี่ยวกับ มาตรฐานของรัฐบาลต่างชาติว่า  ไม่สามารถนำมาใช้กับเหตุการณ์ในประเทศไทยได้นั้น คุณควรจะทราบดีว่า
นายกรัฐมนตรีสุรยุทธ์ จุลานนท์ ของคุณ ได้เป็นผู้กล่าวไว้เอง ในช่วงเริ่มต้นของรัฐบาลปัจจุบัน  หลังจากที่เราได้แสดงให้ทราบว่าเราต้องการเห็นการกลับสู่
ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศไทยโดยด่วน นายกรัฐมนตรีสุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้กล่าวกับคณะเอกอัครราชฑูตจากสหภาพยุโรปว่า
"มาตรฐานของคุณก็คือมาตรฐานเดียวกับของผม"   ผมคงไม่ต้องกล่าวว่า เราชอบคำตอบด้วยความเข้าใจแบบนี้ เพราะมันย้ำให้เราเชื่อว่า ประเทศทั้งสองมีจุดยืนร่วมกัน
และยังเป็นการตอบที่ไม่หยิ่งยโสอีกด้วย

ประการที่สอง ดูเหมือนคุณจะสัมผัสได้ว่านักธุรกิจต่างชาติส่วนใหญ่ในประเทศไทย ต่างทำธุรกิจกันตามปกติ และมีปฏิกริยาในเชิงบวกต่อสถานการณ์ในประเทศไทย
ซึ่งผมจะไม่กล่าวถึงเรื่องนี้ให้ยืดยาวไป แต่ผมอยากจะขอให้คุณอย่าได้ประเมินความกังวลของนักธุรกิจที่กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ต่ำเกินไป   ซึ่งความกังวลต่างๆ
ก็เป็นความกังวลอย่างเป็นมิตร และผมก็รู้สึกขอบคุณอย่างมากต่อการที่ นายกรัฐมนตรีสุรยุทธ์ เพิ่งจะกล่าวอย่างชัดเจนว่าประเทศไทยยังต้องการมีเครดิตว่า
เป็นประเทศที่เปิดและเป็นมิตรต่อการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศ

ประการที่สาม คุณกำลังตำหนิคนอย่างผม ในการที่ทวงถามให้มีการตรวจบัญชีจากนักบัญชีที่เป็นกลาง สำหรับการกล่าวหาว่ามีการใช้เงินช่วยเหลือภัยพิบัติ สึนามิ
อย่างผิดจุดประสงค์  คุณกุลกุมุทที่รัก ขอได้โปรดอย่าทำให้ความสัมพันธ์อันยอดเยี่ยมระหว่างประเทศไทยกับต่างชาติในเรื่องการบรรเทาทุกข์สึนามิ ต้องมาแปดเปื้อนเลย
กรณีนี้เป็นตัวอย่างอันประเสริฐ ของความสำเร็จ ที่มาจากการมีสปิริต และความเห็นอกเห็นใจกันของเพื่อนในยามเกิดภัยพิบัติ และความน่าสรรเสริญนี้
ผมไม่อยากจะเห็นมันสูญหายไป จะต้องยกให้กับการร่วมมือกันอย่างมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จระหว่างนานาชาติ กับตำรวจไทย ในการพิสูจน์ศพ
สิ่งที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ จะเอามาเปรียบกับข้อกล่าวหาในการใช้เงินผิดประเภท และในการที่เราร้องขออย่างถ่อมตัวให้มีการตรวจสอบข้อกล่าวหาดังกล่าว ไม่ได้เลย
อย่างไรก็ตามที่สำคัญมากกว่านั้น และคุณควรจะทราบดีก็คือ ข้อกล่าวหาเหล่านั้นมาจากฝ่ายไทยเอง ซึ่งสิ่งที่เราทำก็เพียงแต่ ไม่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่เท่านั้นเอง

ดังนั้นสำหรับการขอร้องเรื่องสุดท้ายจากผมถึงคุณ คุณกุลกุมุท ก็คือ อย่าขอให้เพื่อนของคุณปิดหูปิดตา และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ อย่าสงสัยในมิตรภาพระหว่างเราอีกด้วย

คริสตอฟ เบรมเมอร์
เอกอัครราชฑูตเยอรมันนี

เครดิตผู้แปล คุณมิสซิสตุ้ยนุ้ย ครับ

บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
หน้า: [1]
    กระโดดไป: