สัมพันธ์ลึก "ทักษิณ - CNN"! ป้อนงาน 200 ล้านไม่มีสัญญา
โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 27 มกราคม 2550 08:39 น.
เปิดสัมพันธ์ลึก "ทักษิณ - CNN" ในยุคที่เรืองอำนาจเคยใช้งบหลวงจ้าง CNNโฆษณาโครงการบัตร "อีลิทการ์ด"โดยไม่ต้องมีสัญญา หลังถูกตรวจสอบยอมลดจาก 200 ล้านบาทเหลือเพียง 149 ล้าน ด้านพรรคปชป.ส่ง "แม่เลี้ยงติ๊ก" เข้าร้องคตส.สอบพฤติกรรมฉาวด่วน ระบุ CNN เป็นกระบอกเสียงโจมตี รัฐบาล-คมช.ครั้งนี้ ถือเป็น "เพื่อนช่วยเพื่อน"หรือบุญคุณต้องตอบแทน!
เชื่อว่าหลายๆคนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองมาโดยตลอด คงจะนึกสงสัยอยู่รำไรว่าทำไม!? พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จึงมีอิทธิพลมากพอในการเลือกใช้สื่อระดับโลกอย่าง CNN เป็นเวทีเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง และกดดันรัฐบาลไทยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา จนในที่สุดผลพวงจากการเดินเกมรุกรัฐบาล ตลอดจนคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)ไม่เพียงแต่สร้างปัญหาภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังลุกลามกระทบไปถึงความสัมพันธ์ในทางการทูตระหว่างไทยและสิงคโปร์จากที่ได้ดำเนินมาอย่างยาวนาน...
การเปิดเกมรุกกลับคมช.และรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ โดยอาศัยสื่อระดับโลกเป็นเครื่องมือในครั้งนี้ต้องถือว่าเป็นการตอบโต้ที่ได้ผลทันตาเห็น เนื่องจากทั้งคมช.และรัฐบาลต่างตกเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเห็นได้ชัด แม้ล่าสุดรัฐบาลจะใช้ไม้แข็งตอบโต้รัฐบาลสิงคโปร์ จนกลายเป็นปัญหาระหว่างรัฐบาลสองประเทศไปแล้วก็ตาม จนปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงเดินหน้า เดินสายใช้สื่อระดับโลกโจมตี และดิสเครดิตรัฐบาลและคมช.อย่างต่อเนื่อง ...
เปิดสัมพันธ์ลึก " ทักษิณ - CNN" การใช้สำนักข่าวชื่อดังระดับโลกอย่าง CNN ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ในการเป็นเวทีเคลื่อนไหวเพื่อโจมตีรัฐบาลไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นโดยทั่วไปแล้วย่อมเกิดขึ้นได้ เนื่องจากประเทศสิงคโปร์ถือเป็นแหล่งรวมของสำนักข่าวจากทั่วทุกมุมโลกอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อ "อดีตนายกฯพลัดถิ่น" ของไทย ที่หลุดจากอำนาจไปด้วย "เหตุยึดอำนาจ"ไปเยือน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ความเคลื่อนไหวของเขาจะอยู่ในความสนใจของสื่อ จนถูกนำเสนอต่อสายตาชาวโลกออกมาในที่สุด
อย่างไรก็ตามการเลือกสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นมาเป็นเครื่องมือของพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อขายข่าวครั้งนี้ ไม่อาจใช้หลักการ "ข่าว"หรือการโฆษณาประชาสัมพันธ์มาวิเคราะห์ถึงปรากฏการณ์ได้เพียงมุมเดียว เพราะในข้อเท็จจริงแล้วการที่ซีเอ็นเอ็นเลือกสัมภาษณ์พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นมีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ไม่ควรมองข้ามไปอย่างยิ่ง เนื่องจากแม้ตัวพ.ต.ท.ทักษิณ จะว่าจ้าง 2 บริษัทประชาสัมพันธ์ยักษ์ใหญ่ คือ บริษัท บาร์เบอร์ กริฟฟิธ แอนด์ โรเจอร์ส จำกัด(บีจีอาร์) และบริษัท เอเดลแมน ออฟ นิวยอร์ค ดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้พ.ต.ท.
ทักษิณ ได้กลับประเทศไทยโดยอาศัยช่องทางต่างๆรวมทั้งการผ่าน สื่อระดับโลกอยู่แล้วก็ตาม แต่ยังพบว่าในข้อเท็จจริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่าง พ.ต.ท. ทักษิณ กับ สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น มีความแนบแน่นกันมาก่อนหน้านี้ตั้งแต่ช่วง "ทักษิณ1"เมื่อ4 ปีที่ผ่านมา
การเริ่มต้นความสัมพันธ์ของอดีตนายกฯผู้นี้กับสำนักข่าวดังเริ่มเกิดขึ้นเมื่อมีการอนุมัติโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ หรือ Thailand Privilege Card หรือที่รู้จักกันในนาม "อีลิทการ์ด"ซึ่งเสนอโครงการโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และมีมติคณะรัฐมนตรีออกมาเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2546 เรื่องที่ 36
"อีลิทการ์ด"จุดเชื่อมโยง โครงการดังกล่าวนี้โด่งดังเป็นพลุแตกเนื่องจากมีการตั้งเป้ายอดขายบัตรสมาชิกไว้ในจำนวนที่ค่อนข้างสูง โดยมีเป้าหมายการจัดจำหน่ายบัตรใบละ 1 ล้านบาท ให้ได้ 1 ล้านใบภายใน 5 ปีคิดเป็นรายได้ที่จะเข้าประเทศทั้งสิ้นประมาณ 1 ล้านล้านบาทเป็นขั้นต่ำ เน้นกลุ่มเป้าหมายจากนักธุรกิจ นักท่องเที่ยวในกลุ่ม Hi-end มีกำลังซื้อสูงจากประเทศต่างๆทั่วโลก
ในการนี้ได้มีการจัดตั้งบริษัท Thailand Privilege Card จำกัด (TPC) ขึ้นเพื่อรองรับการดำเนินโครงการดังกล่าว โดยขณะนั้นจุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่รักษาการประธานบริหารบริษัท โครงการดังกล่าวนี้ได้มีการเสนอสิทธิประโยชน์มากมายและที่ถูกเน้นย้ำอยู่เสมอก็คือการมีสิทธิ์เล่นกอล์ฟฟรี 18 หลุม ใช้บริการนวดแผนไทยจากสปาคุณภาพ 1.30 ชั่วโมงพร้อมบริการตรวจสุขภาพฟรีจากโรงพยาบาลมาตรฐานและส่วนลดพิเศษจากบริการต่างๆทั้งที่พัก ตั๋วเครื่องบิน ร้านอาหาร แต่สิ่งที่ดึงดูดใจสมาชิกของบัตรอีลิทการ์ดกลับอยู่ที่การให้สิทธิประโยชน์ด้านอสังหาริมทรัพย์แก่ชาวต่างชาติ
แต่จนแล้วจนรอดโครงการนี้ก็ไม่สามารถที่จะขายบัตรสมาชิกได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ที่สำคัญการดำเนินโครงการตามโครงการต่างๆสร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติด้วยการขาดทุนสะสมมาจนถึงวันนี้เป็นเงินสูงถึง 1,000 ล้านบาท
จ้าง CNN แต่ไร้สัญญา ! การจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดนั้น มีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ถือหุ้น 100% โดยครม.ได้อนุมัติงบประมาณที่ผ่านมาจำนวน 500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบประมาณด้านการโฆษณาและการตลาดจำนวน 250 ล้านบาท ที่เหลือเป็นงบในส่วนของการจัดตั้งบริษัท บุคลากรและพัฒนาการบริการทั้งหมด ซึ่งในส่วนของงบโฆษณานั้นที่ผ่านมาได้มีการอนุมัติงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์กับบริษัท แซสโซ จำกัดไปแล้วมูลค่า 110 ล้านบาท
สำหรับกรณีปัญหาที่เกิดขึ้นกับซีเอ็นเอ็นนั้น เกิดขึ้นในสมัย จุฑามาศ ศิริวรรณ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นรักษาการประธานกรรมการบริษัท
เนื่องจากตัวแทนบริษัท ไทย เรฟพรีเซ็นเทชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทตัวแทนขายโฆษณาของบริษัท ซีเอ็นเอ็น ได้ส่งบิลเรียกเก็บค่าโฆษณาบัตรไทยแลนด์อีลิท การ์ดมายังบริษัท คิดเป็นเงินจำนวน 200 ล้านบาท โดยที่ไม่มีสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแต่ประการใด แต่ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องในขณะนั้นได้ให้เหตุผลในการว่าจ้างโดยไม่มีสัญญาเนื่องจากเป็นช่วงเร่งด่วน แต่ไม่ได้เกิดจากการทุจริต หากใช้การจัดซื้อจัดจ้างตามขั้นตอนจะทำให้เกิดความล่าช้า
ทั้งนี้กรณีดังกล่าวได้กลายเป็นประเด็นปัญหาและถูกนำไปพิจารณาในคณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนฯ ในเวลานั้น โดยคณะกรรมาธิการฯได้เรียกทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง อดีตกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ ยุครัฐบาลทักษิณ ระบุกับ "ผู้จัดการรายสัปดาห์"ว่ากรณีดังกล่าวนี้ได้มีการตรวจสอบมาแล้วระดับหนึ่ง นับจากที่มีการวางบิลค่าโฆษณาจากซีเอ็นเอ็นกับบริษัทไทยพริวิเลจ จำกัด และเรียกจุฑามาศ ศิริวรรณ เข้ามาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2547
"ในตอนนั้นเป็นข่าวโด่งดังมากทำให้เราได้ทราบพฤติกรรมต่างๆที่อดีตนายกรัฐมนตรีที่มีโครงการต่างๆผุดขึ้นมากมายและแต่ละโครงการใช้งบประมาณแผ่นดินทั้งสิ้น ที่สำคัญเรายังได้เห็นถึงพฤติกรรมที่อดีตนายกฯใช้เงินแผ่นดินเพื่อสร้างเครดิตให้กับตัวเองและสามารถใช้เครดิตนั้นมาได้จนถึงวันนี้" ควักเงินรัฐจ่ายค่าโฆษณา 149 ล้านบาท แหล่งข่าวอธิบายต่อไปว่า ในการดำเนินงานของบริษัทไทยแลนด์พริวิเลจ นั้นได้มีการวางแผนด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่างๆมากมายและหนึ่งในโครงการนั้นก็คือการจ้างเครือข่ายของซีเอ็นเอ็นโฆษณาโครงการด้วยงบประมาณถึง 200 ล้านบาท ซึ่งการจ้างซีเอ็นเอ็นนั้นบริษัทฯไทยพริวิเลจได้ซื้อโฆษณาผ่านบริษัทไทยเรฟพรีเซ็นเทชั่น จำกัด ซึ่งเป็นเอเจนซี่ตรงจากซีเอ็นเอ็น
สำหรับบริษัท ไทย เรฟพรีเซ็นเทชั่น จำกัด ( THAI REPRESENTATION ) เป็นตัวแทนขายโฆษณาของเครือข่ายทีวีดังระดับโลกไทม์อิ้งและซีเอ็นเอ็น มีดร. แอนโทนี เซอร์มา เป็นกรรมการผู้จัดการ ได้ส่งบิลเรียกเก็บเงินค่าโฆษณาบัตรไทยแลนด์ อีลิท มายังบริษัทคิดเป็นจำนวนเงินร่วม 200 ล้านบาท โดยไม่มีสัญญาในการจัดซื้อจัดจ้างแต่ประการใด
"เรื่องนี้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากเพราะในราวเดือนกรกฎาคม 2547 ซีเอ็นได้วางบิลมาเก็บค่าโฆษณาจากบริษัทไทยพริวิเลจ จำนวน 200 ล้านบาท ขณะที่มีการตรวจสอบจากคณะกรรมาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไม่พบว่ามีสัญญาการว่างจ้างดังกล่าว" แหล่งข่าว อธิบายต่อว่า ช่วงนั้นคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ได้มีการเชิญบุคคลต่างๆเข้ามาชี้แจงโดยเฉพาะอดีตผู้ว่าการ ททท.แต่ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้จนในที่สุดคณะกรรมาธิการชุดนั้นก็หมดวาระลง จากนั้นเรื่องที่กำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่นี้ก็เงียบหายไปด้วย
"มาทราบอีกทีก็เมื่อมีการสั่งจ่ายเงินค่าโฆษณาให้กับซีเอ็นเอ็นแล้วจำนวน 149 ล้านบาทคือซีเอ็นเอ็นเขารู้ว่าไม่ได้ทำสัญญาไว้ก็เลยลดราคาจาก 200 ล้านมาเป็น 149 ล้านบาท คุณคิดดูว่าคนที่มีอำนาจสั่งจ่ายเงินขนาดนั้นได้จะเป็นใคร"แหล่งข่าวกล่าว อย่างไรก็ดี แหล่งข่าว ได้วิเคราะห์ว่า จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์อันดีระหว่างทักษิณ ชินวัตรและซีเอ็นเอ็นจึงได้เริ่มต้นขึ้น ณ บัดนั้น
เมื่อมาจิกซอร์ระหว่างตัวอดีตนายกฯทักษิณกับซีเอ็นเอ็นเข้าด้วยกันก็จะเห็นการเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีได้ และทำให้สังคมสามารถตอบข้อสงสัยได้ว่าทำไม "ทักษิณ ชินวัตร" ถึงสามารถใช้สื่อยักษ์ใหญ่อย่างซีเอ็นเอ็น เป็นเวทีเคลื่อนไหวตอบโต้รัฐบาลไทยซึ่งเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร และทำไมต้องเลือกใช้ประเทศสิงคโปร์เป็นฐานในการเคลื่อนไหว "การเปิดโอกาสให้คุณทักษิณได้มีโอกาสได้ออกข่าวผ่านสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นนั้นจึงเป็นการได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย คือตัวคุณทักษิณ ได้ออกสื่อระดับโลกตอบโต้คมช. ขณะที่ซีเอ็นเอ็นเอง ก็ยินดีที่จะให้ช่องทางเผยแพร่ข่าวอยู่แล้ว เพราะเคยทำงานกันมาก่อนเคยให้ประโยชน์กันมาก่อน "
แหล่งข่าวระบุและชี้ว่าดังนั้นการที่ซีเอ็นเอ็น เลือกที่จะสัมภาษณ์พ.ต.ท.ทักษิณ เผยแพร่ทั่วโลกเช่นนี้จึงไม่ใช่เพียงแต่ต้องการนำเสนอข่าวของบุคคลพิเศษเท่านั้น แต่ยังเป็นเหมือนเรื่องของ เพื่อนช่วยเพื่อน เพียงแต่ครั้งนี้หากต้องมีการจ่ายเงินเพื่อแลกกับนาทีทองของช่องซีเอ็นเอ็น อาจเป็นเงิน "ส่วนตัว"ของอดีตนายกฯทักษิณ เอง http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9500000009512