ไทย-สิงคโปร์ : ชกแรง ชกเร็วต้องจบเร็ว...เพราะทักษิณเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว
18 มกราคม 2550 น.
ว่ากันถึง 'กลยุทธ์ทางการทูต' เพื่อให้ได้ผลเปรี้ยงปร้าง และชัดเจนแล้ว เมื่อรัฐบาลไทยประท้วงสิงคโปร์เรื่องทักษิณ เจอกับรองนายกฯ ชัย กุมาร (S. Jayakumar)
และ 'ระงับการติดต่อชั่วคราว' ในระดับเจ้าหน้าที่ถึงรัฐมนตรีแล้ว ก็ควรจะสะสางเรื่องให้เสร็จโดยเร็ว และฟื้นคืนความสัมพันธ์โดยปกติอย่างกระฉับกระเฉงเช่นกัน
เพราะไม่ว่าสิงคโปร์ จะหลวมตัวกระทำการที่ไม่เคารพในความรู้สึกของคนไทยเพราะผลประโยชน์ธุรกิจที่เสียหายเพราะกรณี 'เทมาเส็ก-ชินคอร์ป' เพียงใด ลงท้ายความสัมพันธ์ระดับชาติของสองเพื่อนบ้านก็ต้องกลับฟื้นคืนมาให้ได้
เพราะไม่ควรจะให้คนคนเดียวที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร มาทำให้เกิดความระหองระแหงระหว่างเรากับเพื่อนบ้านประเทศไหนจนเสียหายทั้งคู่นานเกินควร
ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ผลประโยชน์ภาพรวมของชาติต้องมาก่อน ส่วนความรู้สึกส่วนตัวนั้นต้องเก็บเอาไว้ไปเคลียร์กันทีละประเด็นทีหลังในระดับปลัดกระทรวงต่างประเทศของสองชาติต้องต่อสาย 'เคลียร์' กันทันที และเมื่อถึงระดับนายกฯของสองชาติ ต้องให้ 'ปัจจัยทักษิณ' กลายเป็นอดีตไปอย่างถาวร เพราะไม่มีใครได้ประโยชน์อะไรจากการเผชิญหน้ากันในเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัวของคนครอบครัวเดียวเป็นอันขาด
ผมเชื่อว่าการตัดสินใจของรัฐบาลไทยที่ 'สวนหมัดเปรี้ยง' หมัดนี้ แม้อาจจะมองจากมุมว่า 'ยาแรงไป' แต่ก็จำเป็น เพราะการ 'คลายเกลียว' ของความผูกพันระหว่างผลประโยชน์ธุรกิจ และการเมืองของอดีตผู้นำไทยกับรัฐบาลสิงคโปร์ปัจจุบันนั้นมีความเหนียวหนืดพอสมควร...ไม่ออกแรงกระชากอย่างแรงก็อาจจะไม่ได้ผล
แถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ที่ออกมาเย็นวันอังคาร ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากปลัดกระทรวงต่างประเทศไทยเชิญทูตสิงคโปร์ประจำกรุงเทพฯ ไปประท้วง ก็ยังเป็นน้ำเสียง 'ขึงขัง' สไตล์ 'แกล้งโง่' แบบเข้าข้างตัวเองอยู่ดี เพราะโฆษกกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ บอกว่า 'รัฐบาลไทยไม่ได้แจ้งกับเราว่าดร.ทักษิณ ได้ถูกตั้งข้อหาทำผิดอะไรบ้าง'
นี่ถ้าไม่ถือว่าเป็นเพื่อนเก่าที่คบกันมานมนาน พูดอย่างนี้ก็คงจะชกปากกันได้ แต่เพราะรู้นิสัยใจคอกันดี ย่อมจะต้องถามตัวเองว่ารัฐบาลไทยนั้นได้ละเลยที่จะทำอะไรไม่ให้เพื่อนอ้างได้ว่า 'อ้าว ก็เพื่อนไม่ได้บอกทักษิณเป็นตัวปัญหาขนาดนั้นเชียวหรือ?'
อีกประโยคหนึ่งในแถลงการณ์ของสิงคโปร์ บอกว่า 'ไม่มีการจำกัดว่าเขา (หมายถึงทักษิณ) จะเดินทางไปไหนได้หรือไม่ได้' ซึ่งฟังดูแล้วก็มีสิทธิทำให้คนไทยอุทานว่า '
พูดอย่างนี้กวนฝ่าเท้านี่หว่า...'
สิงคโปร์ 'แกล้งโง่' เรื่องนี้ไม่ได้หรอกเพราะเพียงไม่กี่วันก่อนหน้าที่ทักษิณ 'ขอ' ไปพบรองนายกฯสิงคโปร์ นั้น ก็มีข่าวครึกโครมไปทั่วแล้วว่ารัฐบาลไทยได้ประกาศยกเลิก 'หนังสือเดินทางปกสีแดง' หรือ diplomatic passport ของทักษิณ และเมียแล้วความหมายเป็นอย่างไรทางการทูตก็คงไม่ต้องนั่งอธิบายให้เพื่อนผู้เก่งกาจฉลาดเฉลียวอย่างสิงคโปร์ ฟังก็ได้...แต่ถ้าหากนั่นคือประเด็น ก็ย่อมจะแปลว่ารัฐบาลคุณสุรยุทธ์ จะทำตัวอย่าง 'สุภาพบุรุษ' นึกเอาเองว่าประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะรู้ว่าทักษิณกำลังจะใช้ประเทศต่างๆ เป็นเครื่องมือสร้างความปั่นป่วนสำหรับการเมืองในประเทศไทยอย่างไรเห็นจะไม่ได้
รัฐบาลไทยต้องทำหนังสือไปถึงทุกประเทศทั่วโลก แจ้งให้รู้ว่ากำลังสอบสวนอดีตผู้นำและครอบครัวกับอดีตรัฐมนตรีในสมัยนั้นอย่างไร และกำลังตั้งข้อหาฉ้อฉลระดับชาติอย่างไร
นักข่าวซีเอ็นเอ็นและ The Asian Wall Street Journal ที่สัมภาษณ์ทักษิณ ที่สิงคโปร์ วันก่อน และนักข่าวต่างชาติที่อาจจะสัมภาษณ์ทักษิณอีกในวันข้างหน้าจะไม่ทำการบ้านลุ่มลึกในประเด็นคอร์รัปชันอย่างนักข่าวไทย เพราะเขาไม่มีเวลา ไม่มีเนื้อที่ในสื่อของเขาและไม่มีความเข้าใจเรื่องนี้เพียงพอที่จะตั้งคำถามเหล่านี้...เขาเพียงแค่ถามคำถามกว้างๆ และทักษิณก็จะตอบกว้างๆ...เป็นเพียงการเปรียบเทียบระหว่างรัฐบาลจากการเลือกตั้งกับการปฏิวัติเท่านั้น อะไรที่ลึกๆ และสลับซับซ้อนของสังคมไทยนั้น เขาจะไม่สนใจ ไม่เข้าใจ และไม่มีเวลาหรือเนื้อที่ที่จะรายงาน
นี่คือสภาพความเป็นจริงแห่ง 'สงครามข่าวสาร' ที่กำลังดำเนินอยู่...รัฐบาลไทยและกระทรวงต่างประเทศไทยจะใช้ท่าที 'หน่อมแน้ม' และดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบ 'เกรงใจ' เพราะไม่ต้องการ 'เอาเรื่องไม่ดีในบ้านออกไปขายข้างนอก' เห็นจะไม่ได้แล้ว
เพราะทักษิณกำลังเอาเสื้อผ้าสกปรกไปซักนอกบ้าน ทำเสียงเจี๊ยวจ๊าวเรียกคนต่างชาติมาดูเขาถ่มถุยน้ำลายใส่บ้านตัวเองเป็นการใหญ่...นี่คือสงครามข่าวสารที่ต้องทำอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องเพื่อให้ความจริงเป็นที่ประจักษ์ของชาวโลกคมช. ที่ทำการปฏิวัติเพื่อล้มทักษิณ ที่โกงกินก็ต้องประกาศให้ชาวโลกรู้ให้แน่ชัดว่าตนจะไม่สืบทอดอำนาจ
และจะต้องออกข่าวอย่างต่อเนื่องว่ากำลังนำประเทศกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างไร ให้เห็นภาพของสังคมไทยที่กำลังระดมความคิดความอ่านเพื่อร่างกติกาใหม่อย่างเปิดกว้างและวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งกันและกันอย่างเปิดเผยอย่างไร
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยกับสิงคโปร์นั้นต้องมองข้ามทักษิณไปแล้ว...เมื่อรัฐบาลไทยได้แสดงความไม่พอใจต่อสิงคโปร์เรื่องทักษิณแล้ว ก็ควรจะต้องขยับต่อเพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว
เพราะแน่นอนว่า สิงคโปร์ก็รู้ว่าเขามีผลประโยชน์ระยะยาวในความสัมพันธ์กับไทยมากเกินกว่าที่จะเอาตัวเองไปผูกติดกับทักษิณที่ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ 'จบฉาก' ลงแล้ว...เหลือแต่การเก็บฉากและร้องเพลงล่ำลาด้วยเสียงคร่ำครวญเท่านั้นจุดยืนของไทยต้องชัดเจนว่าเรื่องเทมาเส็ก กับชินคอร์ปนั้น ก็ต้องว่าไปตามกฎหมายและขั้นตอน...เมื่อทั้งสองฝ่ายเห็นว่าเป็นเรื่อง 'การตัดสินใจธุรกิจ ไม่เกี่ยวกับการเมือง' (ไม่ว่าในใจจะคิดเป็นอย่างไรก็ตาม) ก็ควรจะต้องเดินหน้าไปตามนั้นเพื่อความถูกต้องชอบธรรมและเป็นบทเรียนสำหรับการติดต่อผูกพันในอนาคตด้วย
เราต้องแสดงความเป็นผู้ใหญ่กว่า หนักแน่นกว่า และมองการณ์ไกลกว่า...เพื่อนกันขอกันกินมากกว่านี้
แลกหมัดสองหมัดกันแล้ว รู้ฤทธิ์และความบึกบึนของกันและกันแล้ว ต่อแต่นี้ไปก็สามารถคบหากันอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ได้ไปอีกยาวนาน
http://www.bangkokbiznews.com/viewOpinionNews.jsp?newsid=148471 คนรักเหลี่ยม ลี สิงคโปรโตก อย่างงมงาย หวังพึ่งพิงผลประโยชน์ ไม่คิดอย่างคุณ'กาแฟดำ'หรอก พวกนี้คิดตามเหลี่ยม ลี สิงคโปรโตก ขายชาติ ขายผลประโยชน์ ขายความมั่นคงของชาติ ก็ยอม ขอให้ได้ผลประโยชน์เข้าตัวเอง.........คอยติดตามต่อไป จะมีประเทศอื่น ๆ ที่ไม่มีผลประโยชน์"พิเศษ" จะยอมแกล้งโง่ จะยอมถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเวทีการฑูตโลกว่า ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมประเพณีการฑูตของชาติที่มีอารยธรรมยาวนานหรือไม่