•• หลายคนถามมาว่า นพดล ปัทมะ นั้นเป็น นักเรียนทุนอานันทมหิดล จริงหรือ “เซี่ยงเส้าหลง” ตอบได้ว่า จริง ในหนังสือ กึ่งศตวรรษมูลนิธิอานันทมหิดล : 50 ปีนิธีแห่งปัญญา บันทึกไว้ใน หน้า 96 ว่านายคนนี้ได้รับพระราชทานทุนในส่วนของ แผนกธรรมศาสตร์ เป็น ลำดับที่ 18 ในรอบ 50 ปี ไปศึกษาต่อที่ สหราชอาณาจักร(อังกฤษ) ที่ 2 มหาวิทยาลัยชั้นนำ Oxford University และ London University ; Lincoln’s Inn. เป็นเวลารวม 6 ปีระหว่าง ปี 2528 – 2534 ได้ปริญญาบัตร 2 ใบ L.L.M. และ Barrister at Law มาประดับเกียรติ
•• หลายคนถามอีกเช่นกันว่าในเมื่อเป็น นักเรียนทุนอานันทมหิดล แล้วเหตุไฉน นพดล ปัทมะ จึงทุ่มตัวมารับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องข้อกล่าวหา 4 ประการ ของ คมช. โดยเฉพาะในข้อสุดท้ายที่มีทำนองว่า มีพฤติกรรมหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คำถามนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” ตอบไม่ได้เพราะไม่รู้ว่านายคนที่มีสติปัญญาสูงระดับได้รับพระราชทานทุนเล่าเรียนหลวงเช่นนี้จะ เชื่อโดยบริสุทธิ์ใจในความบริสุทธิ์ของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้เป็นนาย หรือเพราะไม่ได้ใช้เวลาพินิจพิจารณาให้รอบคอบหากแต่ทำไปเพราะ สำคัญผิดในความหมาย ของคำว่า วิชาชีพนักกฎหมาย คิดแต่เพียงว่า เมื่อมีคนว่าจ้างด้วยค่าจ้างที่คุ้มค่า – ก็จำเป็นต้องทำให้ ไม่ต้องพิจารณาองค์ประกอบด้าน คุณธรรม, จริยธรรม และ ความกตัญญูกตเวที มาประกอบ
•• ควรเข้าใจว่า ทุนอานันทมหิดล นั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงก่อตั้งขึ้นมาเมื่อ ปี 2498 โดยได้พระราชทานทุนเริ่มแรกเป็นประเดิม 20,000 บาท และในอีก 4 ปีต่อมาเมื่อ ปี 2502 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกระดับขึ้นเป็น มูลนิธิอานันทมหิดล
สิริมงคลสูงสุดประการหนึ่งของผู้ได้รับพระราชทานทุนสำคัญนี้คือ ได้ รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบถวายบังคมทูลลาก่อนเดินทางไปศึกษา และกราบบังคมทูลรายงานผลการศึกษาเมื่อสำเร็จกลับมา และที่พิเศษสุดไปกว่านั้นชนิด แตกต่างจากทุนรัฐอื่น ๆ ก็คือผู้รับพระราชทาทานทุน ไม่ต้องกลับมาทำงานตอบแทนทุน – ไม่ว่าในรูปแบบใด และ ไม่มีสัญญาผูกมัดลักษณะใดทั้งสิ้น กล่าวได้ว่า ไม่มีหน่วยงานใดในประเทศไทยที่ให้อิสระกับผู้รับทุนถึงเพียงนี้ จึงเป็นเรื่องที่ผู้ได้รับพระราชทานทุนส่วนใหญ่ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นที่สุด และแม้จะไม่มีสัญญาผูกมัดแต่ส่วนใหญ่ก็ถือเป็นวัตรปฏิบัติและประเพณีสืบทอดมาว่าเมื่อกลับมาแล้วต่างก็ ยึดมั่นในพันธกิจร่วมกันเสริมสร้างนิธีแห่งปัญญาเพื่อเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศสืบไป ร้อยวันพันปีแทบไม่ปรากฏ แกะดำ ให้เห็น
•• และควรเข้าใจด้วยว่าสังคมไทยแต่ก่อนนั้นคำว่า วิชาชีพ ไม่ว่า วิชาชีพนักกฎหมาย, วิชาชีพสื่อมวลชน หรือ ฯลฯ ล้วนผูกพันกับองค์ประกอบด้าน คุณธรรม, จริยธรรม และ ความกตัญญูกตเวที อย่างแยกกันไม่ออก
•• การที่ นพดล ปัทมะ จะย้ายข้างจาก ชวน หลีกภัย – พรรคประชาธิปัตย์ มาอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร – พรรคไทยรักไทย นั้นไม่ร้ายแรงกับตัวเองมากเท่ากับขณะนี้ในแวดวง ข้าแผ่นดิน ทั้งหลายกำลัง สงสัย, ขึ้งโกรธ บรรทัดนี้ “เซี่ยงเส้าหลง” ไม่อยากพูดอะไรมากเพียงแต่อยากจะมอบของขวัญปีใหม่ 2550 ให้ นพดล ปัทมะ เป็นหนังสือและวิซีดีทุกเล่มทุกชุดที่เกี่ยวกับ คุณทองแดง – สุนัขทรงเลี้ยง ไว้เพื่อศึกษาว่าจาก สุนัขข้างถนนชีวิตหนึ่ง คุณทองแดงที่ความกตัญญูกตเวทีและจงรักภักดีในองค์พระประมุข สร้างเกียรติคุณขึ้นมาเป็นที่ประจักษ์ทั้งแผ่นดิน ศึกษาไว้เพื่อจะได้ เตือนตนเอง อยู่เสมอ ๆ
•• แต่เดิมนั้นคำว่า วิชาชีพ นั้นตรงกับคำว่า อาชีวปฏิญาณ ท่านผู้บัญญัติศัพท์นี้ขึ้นมาคือ พระองค์วรรณ หรือ เสด็จในกรมฯ พระองค์วรรณ หรือขนานพระนามเต็มยศว่า พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ นอกจากภาพรวมของความเป็น ปูชนียบุคคลแห่งชาติ แล้วยังทรงเป็น คนหนังสือพิมพ์ ในฐานะที่เป็นผู้ก่อตั้ง ประชาชาติ ยุคแรกที่มีคำขวัญว่า “...บำเพ็ญกรณีย์ ไมตรีจิต วิทยาคม อุดมสันติ.” ด้วย
•• คำว่า วิชาชีพ มาจากภาษาอังกฤษว่า Profession โดยเสด็จในกรมฯ พระองค์วรรณทรงแปลว่า อาชีวปฏิญาณ เพื่อให้แตกต่างกับคำว่า อาชีพ ที่แปลมาจาก Occupation ความหมายของ อาชีวปฏิญาณ ที่เดี๋ยวนี้นิยมใช้แต่เพียงว่า วิชาชีพ นี้ทรงกล่าวไว้ชัดเจนตามรากฐานที่มาของคำว่า “...การปฏิญาณตนต่อสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า จะประกอบอาชีพตามธรรมเนียมที่วางไว้เป็นบรรทัดฐาน หาใช่เป็นการทำมาหากิน หรือทำมาหาเลี้ยงชีพ แต่เพียงอย่างเดียว.” แรกเริ่มเดิมทีนั้น Profession ที่มาจากคำกริยา to profess จากคำละติน pro + fateri แปลว่า ยอมรับ, รับว่าเป็นของตน นี้ใช้ในทาง ศาสนา หมายความว่า การประกาศตนว่ามีศรัทธาในศาสนา, การประกาศปฏิญาณตน ใช้ในการปฏิญาณตนเป็น นักบวชในศาสนาคริสต์ ซึ่งถือว่าเป็น วิชาชีพแรกของโลก ต่อมาจึงใช้สำหรับ แพทย์ และ ทนายความ ส่วน มาตรวัดทั่วไป ว่าอย่างไรจึงจะเรียกว่า วิชาชีพ นั้น ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์ อรรถาธิบายไว้ครั้งหนึ่งว่าควรจะต้องประกอบด้วย 3 ลักษณะ
•• เป็นอาชีพในแง่ที่เป็น การงานที่มีการอุทิศตนทำไปตลอดชีวิต นี่ประการหนึ่ง
•• การงานนั้นต้อง ได้รับการสั่งสอนอบรมเป็นวิชาชีพชั้นสูง ที่ต้องอบรมกัน หลายปี นี่เป็นประการที่สอง
•• ผู้ทำการงานประเภทนี้จะมี ชุมชน หรือ หมู่คณะ ที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่สำนึกใน จรรยาบรรณ, เกียรติยศ และ ศักดิ์ศรี ตลอดจนมี องค์กรและกระบวนการเพื่อสอดส่องพิทักษ์รักษาขนบธรรมเนียม-เกียรติยศ-ศักดิ์ศรี นี่เป็นประการสุดท้าย
•• ในระยะหลัง Profession ถูกใช้ในความหมายที่ กว้างขึ้น จนกลายเป็นคำที่มี ความหมายตรงข้าม กับคำว่า Amateur ที่ภาษาไทยแปลว่า สมัครเล่น ไป วิชาชีพ กับ อาชีพ ก็เลยกลายเป็นคำที่ ไม่แตกต่างกัน อย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้
http://manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9500000004752