การปล่อย"เกียร์ว่าง"คือการเล่นเกมการเมืองกับประชาชน6 มกราคม 2550 น.
คำนี้เกิดความหมายทางการเมืองขึ้นมาอย่างประหลาด แต่เพราะผมขับรถเองไม่เป็น จึงถามคนขับรถว่ามันคืออะไร
"เกียร์ว่าง" แปลว่าไม่ไปข้างหน้า ไม่ไปข้างหลัง แต่ "ถ้าดันด้วยแรง ก็จะไปตามทิศทางที่ถูกผลัก"
"เกียร์ว่าง" แปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า "อยู่เฉยๆ พร้อมที่จะไปข้างหน้าก็ได้ ข้างหลังก็ได้..."
ถ้าคุณมีหน้าที่ทำงานอย่างหนึ่ง แต่ปล่อย "เกียร์ว่าง" ก็ย่อมจะแปลว่าคุณขาดความกระตือรือร้น ไม่ทุ่มสุดตัวอย่างที่คนอื่นคาดหวังว่าคุณจะต้องทำ ไม่ถอยหลัง แต่ก็ไม่เดินหน้า...ไม่รู้ว่าจะเอายังไงกันแน่ ว่างั้นเถอะ
ถ้าเป็นเรื่องจุดยืนทางการเมือง ใครที่ปล่อยเกียร์ว่างก็แปลว่าไม่คิด ไม่อ่าน ไม่รู้ ไม่เห็นกับอะไรทั้งนั้น คล้ายๆ กับการ "นั่งบนภู ดูเสือกัดกัน" คอยดูว่าใครชนะก็เข้าข้างนั้น เพื่อประโยชน์ของตนเอง อย่างที่ฝรั่งเขาเรียกว่า "sitting on the fence" หรือนั่งบนรั้ว ไม่แสดงตนว่าอยู่ข้างไหน
แต่ต้องระวังว่าการ "นั่งบนภู ดูเสือกัดกัน" กับคำว่า "เป็นกลาง" นั้น เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง
เพราะคนเป็นกลางจะฟังความเห็นของคู่กรณีอย่างรอบด้าน และจะตัดสินใจว่าอะไรถูกอะไรผิดเมื่อได้รับรู้เหตุและผลของทุกฝ่าย
แต่คำว่า "เกียร์ว่าง" นั้น ส่อไปทาง "ไร้จุดยืน" และเป็น "นักฉวยโอกาส" และไม่ยืนอยู่ข้างผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ตรงกันข้าม เป็นท่าทีของคนที่พร้อมจะกระโดดเข้ากับกลุ่มที่จะให้ประโยชน์กับตนเองสูงสุด
วันนี้ ข้าราชการจำนวนไม่น้อย ถูกมองว่าเป็นประเภท "ปล่อยเกียร์ว่าง" คือไม่เดินหน้า ไม่ถอยหลัง ซึ่งแปลว่า คอยดูทิศทางลมทางการเมือง คอยดูว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงอะไรต่อมา เพราะมองว่ารัฐบาลชุดนี้อยู่ชั่วคราว และเป็นประเภท "สุภาพบุรุษ" คือจะไม่บังคับขู่เข็ญให้ต้องทุ่มเทกำลังกายและใจ เพื่อสร้างความนิยมให้กับตนเอง
ดังนั้น ข้าราชการ "นักฉวยโอกาส" ทั้งหลายก็จะวางตัวเป็นคนเกียร์ว่างเสีย ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับปัญหาบ้านเมือง, เอาตัวเองให้รอดไปก่อน, ชะเง้อดูว่าใครจะมาเป็นใหญ่ในวันข้างหน้า แล้วค่อยแปลงร่างเป็น "ขุนพลอยพยัก" เพื่อให้ตนได้เป็นใหญ่เป็นโตต่อไปในวันข้างหน้า
เพราะเขามองแล้วว่ารัฐบาลชั่วคราวชุดนี้ ให้ประโยชน์ส่วนตัวพวกเขาไม่ได้ เอาแต่เพียง "ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ" ก็พอแล้ว
เพราะข้าราชการเหล่านี้ขาดความสำนึกสาธารณะ, ไม่รู้บุญคุณข้าวแดงแกงร้อนของภาษีประชาชน, ไม่รู้ว่าความรับผิดชอบของตนนั้นมีต่อประชาชน มิใช่ต่อนักการเมืองหรือกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างที่พวกเขาคิดอยู่
พอเกิดเหตุระเบิดตูมตามกลางเมืองหลวง ตั้งแต่ค่ำวันที่ 31 ธันวาคมเป็นต้นมา ก็เกิดข้อครหาว่านายตำรวจระดับสูงบางคน "ปล่อยเกียร์ว่าง" เพราะท่านไม่ได้แสดงความคึกคักในหน้าที่ให้ปรากฏ ทั้งที่นายกรัฐมนตรีและผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองท่านอื่นๆ ออกมาแสดงบทบาทสะท้อนถึงความเป็นห่วงเป็นใยของชาวบ้าน
เป็นข้อกล่าวหาที่ผู้บัญชาการตำรวจอย่าง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ เห็นจะมองเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเป็นการเมืองระหว่างกลุ่มไม่ได้ เพราะในภาวะที่ "ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์" จะต้องแสดงความรับผิดชอบ และความสามารถให้ประชาชนเห็นเป็นประจักษ์เช่นนี้ หากคนระดับสูงในกองบัญชาการตำรวจถูกมองว่า "รอดูก่อนว่าการเมืองจะไปทางไหน" ก็เท่ากับเป็นความไร้ความรับผิดชอบอย่างไม่น่าให้อภัยอย่างยิ่ง
ตำรวจเป็นส่วนหนึ่งของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. หรือไม่ หรือคำว่า "รัฐตำรวจ" ที่เคยเฟื่องสมัย ทักษิณ ชินวัตร เป็นใหญ่นั้นเป็นเรื่องจริง ทำไมตำรวจไม่วิเคราะห์รายละเอียดแห่งระเบิดและเหตุการณ์รอบด้านให้ประชาชนได้รับทราบ ทำไมตอนทำเรื่อง "คาร์บอมบ์" จึงคึกคักคล่องแคล่วกว่าคราวนี้หลายเท่า
เป็นคำถามที่ประชาชนต้องการคำตอบจากตำรวจ ตั้งแต่เบอร์หนึ่งลงมาอย่างครบถ้วน, รวดเร็ว และตรงไปตรงมา
การปล่อย "เกียร์ว่าง" เป็นท่าทีของคนไร้ความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองในยามนี้
http://www.bangkokbiznews.com/viewOpinionNews.jsp?newsid=145553