ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
29-03-2024, 14:53
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ศาลพิพากษากรมสรรพากรปฎิบัติมิชอบ ไม่เก็บภาษีโอนหุ้น'เรืองไกร' 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: 1 [2]
ศาลพิพากษากรมสรรพากรปฎิบัติมิชอบ ไม่เก็บภาษีโอนหุ้น'เรืองไกร'  (อ่าน 7887 ครั้ง)
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #50 เมื่อ: 31-12-2006, 16:43 »

เคยมีญาติผู้ใหญ่ให้เงิน หรือยกรถยนต์ ที่ดินให้บ้างไหม
การให้โดยเสน่หาโดยเฉพาะจากญาติผู้ใหญ่แลบุพการี
เงินทองข้าวของก็รับมาเลย ไม่เห็นว่าใครต้องไปเสียภาษี
ทรัพย์ที่ต้องมีกรรมสิทธิ์ เช่น ที่ดิน รถยนต์ และหุ้น ก็ไปเสียแต่ค่าโอน

ไม่สงสารสังคมไทย แพร่พิษร้ายใส่ปัญญา จนสังคมฟั่นเฟือนไปหมด
ความฝั่นเฟือนเหล่านี้จะหลอกหลอนสังคมไปอีกนาน
ไปดูในเวปอื่น เยาวชนตกใจถามกันให้แซดว่าของที่พ่อแม่ให้ ต้องเสียภาษีแล้วหรือ
ผู้รู้ในทีต่างๆก็พยายามอธิบายกันว่าไม่ใช่ คำอธิบายก็อย่างเดียวกับของผม
บันทึกการเข้า
banana_dot
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 187



« ตอบ #51 เมื่อ: 31-12-2006, 16:49 »

คุณกะลา ผมว่าก่อนที่จะไปศึกษาการขยายฐานภาษี...ของกรมสรรพากร
ผมแนะนำให้ไปศึกษาการขยายกะลาที่ท่านอาศัยอยู่ก่อนนะครับ ...พี่น้อง
บันทึกการเข้า

-"ภาพแห่งความทรงจำ แม้จะเลือนรางไปตามการเวลา หากแต่เป็นเรื่องที่มีคุณค่าทางจิตใจ ย่อมจะย้อนกลับมาทำให้มีความสุขทุกครั้งที่นึกถึงเสมอ "
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #52 เมื่อ: 02-01-2007, 23:32 »

เคยมีญาติผู้ใหญ่ให้เงิน หรือยกรถยนต์ ที่ดินให้บ้างไหม
การให้โดยเสน่หาโดยเฉพาะจากญาติผู้ใหญ่แลบุพการี
เงินทองข้าวของก็รับมาเลย ไม่เห็นว่าใครต้องไปเสียภาษี
ทรัพย์ที่ต้องมีกรรมสิทธิ์ เช่น ที่ดิน รถยนต์ และ หุ้น ก็ไปเสียแต่ค่าโอน

ไม่สงสารสังคมไทย แพร่พิษร้ายใส่ปัญญา จนสังคมฟั่นเฟือนไปหมด
ความฝั่นเฟือนเหล่านี้จะหลอกหลอนสังคมไปอีกนาน
ไปดูในเวปอื่น เยาวชนตกใจถามกันให้แซดว่าของที่พ่อแม่ให้ ต้องเสียภาษีแล้วหรือ
ผู้รู้ในทีต่างๆก็พยายามอธิบายกันว่าไม่ใช่ คำอธิบายก็อย่างเดียวกับของผม



ฮืมม์............ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
qazwsx
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


นักธุรกิจและตำรวจ ต้องออกไปจากการเมือง


« ตอบ #53 เมื่อ: 02-01-2007, 23:43 »

กาลามชน
...มั่ว


อ้อ...ในกาลามสูตร ไม่มีข้อไหนระบุว่า ห้ามเชื่อเพราะคนคนนั้นใช้นามสกุล "ชินวัตร" นี่นะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-01-2007, 23:48 โดย qazwsx » บันทึกการเข้า

ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #54 เมื่อ: 03-01-2007, 00:19 »

เคยมีญาติผู้ใหญ่ให้เงิน หรือยกรถยนต์ ที่ดินให้บ้างไหม
การให้โดยเสน่หาโดยเฉพาะจากญาติผู้ใหญ่แลบุพการี
เงินทองข้าวของก็รับมาเลย ไม่เห็นว่าใครต้องไปเสียภาษี
ทรัพย์ที่ต้องมีกรรมสิทธิ์ เช่น ที่ดิน รถยนต์ และ หุ้น ก็ไปเสียแต่ค่าโอน

ไม่สงสารสังคมไทย แพร่พิษร้ายใส่ปัญญา จนสังคมฟั่นเฟือนไปหมด
ความฝั่นเฟือนเหล่านี้จะหลอกหลอนสังคมไปอีกนาน
ไปดูในเวปอื่น เยาวชนตกใจถามกันให้แซดว่าของที่พ่อแม่ให้ ต้องเสียภาษีแล้วหรือ
ผู้รู้ในทีต่างๆก็พยายามอธิบายกันว่าไม่ใช่ คำอธิบายก็อย่างเดียวกับของผม


ฮืมม์............ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า




ถ้าคุณ"กาลามชน" เป็นคนดีที่สุจริตใจจะแก้ต่างให้ทักษิณ และ ครอบครัวของเขาในเรื่องภาษีอากรนี้ ให้คนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่คนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม และ ลูกจ้างบริษัทเทียมรักเทียมจำกัด ยอมรับ.....

คุณ"กาลามชน" ต้องไปศึกษาประมวลรัษฏากร ม.42(10) การยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีของการซื้อ-ขายหุ้น
และผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการ ปปช. เข้าข่าย ไม่เข้าข่าย

และ ผลการวินิจฉัยของศาลฏีกา และ เหตุผลการไล่ออก 5 ข้าราชการสรรพากรก่อน  แล้วค่อยมาแก้ตัวให้ทักษิณ ครอบครัว และญาติพี่น้อง ให้มีเหตุผลหน่อย.....

การแสดงความคิดเห็น การอ้างอิงต่าง ๆ ที่ผ่านมาเป็นพฤติกรรมของ "ทาสในเรือนเบี้ย" ที่พยายาม"ตะแบง"ให้"นายผู้ชาย" แทนการใช้เหตุผล และ ข้อเท็จจริงอย่างสาธุชน จะประพฤติ......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า



บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #55 เมื่อ: 03-01-2007, 06:59 »

ดูเหมือนว่า คตส ยอมแพ้ในประเด็นว่าเป็นการ ให้ มิใช่การ ซื้อขายนอกตลาด
มาตราที่อ้างมานั้น มิต้องไปดูแล้วนะครับ

ควรทราบว่า คตส กำลังปั้นประเด็นว่าโอ๊ค ควรต้องเสียภาษี
โดยสาธกเทียบเข้ากับกรณีการให้หุ้นแก่กรรมการบริษัท ว่าต้องเสียภาษี
ซึ่งเป็นการเลี่ยงไม่มองข้อเท็จจริงว่า โอ๊ค เป็น ลูก เป็นผู้สืบสันดาน
เป็นการให้โดยเสน่หาฉันท์บุพพการี.. มิใช่การให้ในแบบเป็นส่วนหนึ่งของสินตอบแทนค่าจ้าง

ให้เปล่า ต่างจากการ ให้เป็นสินตอบแทน... ลองคิดให้ดี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-01-2007, 07:24 โดย กาลามชน » บันทึกการเข้า
นู๋เจ๋ง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,877



« ตอบ #56 เมื่อ: 03-01-2007, 07:05 »

แล้วการให้เปล่า เนื่องจากเหตุใดเล่า ?

ไม่ใช่สิเหน่หา แน่นอน แต่เป็นการยักย้ายถ่ายเท

ไม่ใช่ การให้ด้วยเหตุปกติ ... ซุกไว้ตั้งกะคนใช้ คนขับรถ เลี่ยงบาลีมาโดยตลอด !!
บันทึกการเข้า

~จะแน่วแน่...แก้ไข...ในสิ่งผิด~
คนในวงการ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,393


FLY WITH NO FEAR !!


เว็บไซต์
« ตอบ #57 เมื่อ: 03-01-2007, 07:19 »

ควรทราบว่า คตส ปั้นประเด็นว่าโอ๊คต้องเสียภาษี
โดยสาธกเทียบเข้ากับกรณีการให้หุ้นแก่กรรมการบริษัท ว่าต้องเสียภาษี
เลี่ยงไม่มองข้อเท็จจริงว่า โอ๊ค เป็น ลูก เป็นผู้สืบสันดาน
เป็นการให้โดยเสน่หาฉันท์บุพพการี.. มิใช่การให้ในแบบสินตอบแทนค่าจ้าง

ให้เปล่า ต่างจากการ ให้เป็นสินตอบแทน... ลองคิดให้ดี


ต้องรีบ quote ไว้เป็นหลักฐาน 555

คุณกาลามชนเอ้ย นี่แหละเป็นการโพสแบบหยิบโหย่งอย่างที่ อะไรจ๊ะ เค้าพูดบ่อย ๆ ไม่แม่นข้อมูลแล้วจะยังมาแถ

นายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา ได้รับหุ้นจาก บ.แอมเพิลริช จ้า ท่องเอาไว้นะ แอมเพิลริช

ถ้าเป็นการให้โดยเสน่หาเพราะว่าเป็นผู้สืบสันดานอย่างที่คุณว่า ก็เท่ากับขัดแย้งกับคำพูดของทักษิณที่ว่า ทักษิณไม่เกี่ยวข้องกับแอมเพิลริชอีกต่อไป นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เป็นเจ้าของแอมเพิลริช นายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา เป็นกรรมการบริษัทแอมเพิลริช แอมเพิลริชโอนหุ้นที่ถือในนามบริษัทไปให้ทั้งสองถือในนามบุคคล และแอมเพิลริช มีกรรมการอยู่สองคน ทักษิณมาจากใหนไม่ทราบ? ก้าก ๆๆๆๆๆๆ

หรือที่แท้ ทักษิณคือแอมเพิลริช? ก้าก ๆๆๆๆๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-01-2007, 07:23 โดย คนในวงการ » บันทึกการเข้า

"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee.
Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath."
- Balian of Ibelin -
คนในวงการ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,393


FLY WITH NO FEAR !!


เว็บไซต์
« ตอบ #58 เมื่อ: 03-01-2007, 07:29 »

ดูเหมือนว่า คตส ยอมแพ้ในประเด็นว่าเป็นการ ให้ มิใช่การ ซื้อขายนอกตลาด
มาตราที่อ้างมานั้น มิต้องไปดูแล้วนะครับ

ควรทราบว่า คตส กำลังปั้นประเด็นว่าโอ๊ค ควรต้องเสียภาษี
โดยสาธกเทียบเข้ากับกรณีการให้หุ้นแก่กรรมการบริษัท ว่าต้องเสียภาษี
ซึ่งเป็นการเลี่ยงไม่มองข้อเท็จจริงว่า โอ๊ค เป็น ลูก เป็นผู้สืบสันดาน
เป็นการให้โดยเสน่หาฉันท์บุพพการี.. มิใช่การให้ในแบบเป็นส่วนหนึ่งของสินตอบแทนค่าจ้าง

ให้เปล่า ต่างจากการ ให้เป็นสินตอบแทน... ลองคิดให้ดี


555

แอบมาแก้อีก ต้อง quote ไว้อีก ก้าก ๆๆๆๆๆๆๆๆ
บันทึกการเข้า

"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee.
Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath."
- Balian of Ibelin -
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #59 เมื่อ: 03-01-2007, 07:37 »

เพิ่มคำอธิบายส่วนนำ เพื่อให้ชัดขึ้น แต่ใจความไม่เปลี่ยน จริงไหม
คุณตีรวนแบบไร้สาระ

กรณีนี้ อยู่ที่ศาลจะตีความละครับ

ตัวอย่างห้างหุ้นส่วน ประเภทกิจการในตรอบครัว
มีหุ้นคือ ห่อ -แม่ -และลูกๆ ไม่มีคนอื่นเกี่ยว แต่ลูกทุกคนมีชื่อเป็นกรรมการ
ตอนที่พ่อแม่โอนกิจการให้ลูก ทางกฎหมายอาจสามารถตีความตามข้อเท็จจริง
มองข้ามความเป็นกรรมการของลูกได้..

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-01-2007, 07:42 โดย กาลามชน » บันทึกการเข้า
คนในวงการ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,393


FLY WITH NO FEAR !!


เว็บไซต์
« ตอบ #60 เมื่อ: 03-01-2007, 07:43 »

เพิ่มคำอธิบายส่วนนำ เพื่อให้ชัดขึ้น แต่ใจความไม่เปลี่ยน จริงไหม

กรณีนี้ อยู่ที่ศาลจะตีความละครับ

ตัวอย่างห้างหุ้นส่วน ประเภทกิจการในตรอบครัว
มีหุ้นคือ ห่อ -แม่ -และลูกๆ ไม่มีคนอื่นเกี่ยว แต่ลูกทุกคนมีชื่อเป็นกรรมการ
ตอนที่พ่อแม่โอนกิจการให้ลูก ทางกฎหมายอาจสามารถตีความตามข้อเท็จจริง
มองข้ามความเป็นกรรมการของลูกได้..



พลาดก็พลาดสิ คุณกาลามชน ไม่ตายหรอกน่า ไม่เสียหน้าอะไรนักหนา ยิ่งคุณดิ้นเท่าไหร่ คุณก็เปิดจุดอ่อนให้ผมตีได้มากฃึ้นเรื่อย ๆ แหละ เอาแบบอะไรจ๊ะสิ ถ้าจนมุมจะฉีกแนวแถไปเรื่องอื่นเลย ทำเป็นเบลอซะอย่างนั้น เรื่องที่คุณเพิ่งจะพูดนี่ก็ทำให้ผมขำเสียจนจะตกเก้าอี้เอา จะบอกให้เอาบุญศาลไม่ตีความอะไรทั้งสิ้นครับ ศาลจะตัดสินไปตามพยาน หลักฐาน ที่นำสืบ และ ประโยคนี้ "ตอนที่พ่อแม่โอนกิจการให้ลูก ทางกฎหมายอาจสามารถตีความตามข้อเท็จจริง มองข้ามความเป็นกรรมการของลูกได้.." กฏหมายซิมบับเว่เหรอครับ (ฮา)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-01-2007, 07:45 โดย คนในวงการ » บันทึกการเข้า

"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee.
Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath."
- Balian of Ibelin -
คนในวงการ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,393


FLY WITH NO FEAR !!


เว็บไซต์
« ตอบ #61 เมื่อ: 03-01-2007, 07:44 »

เพิ่มคำอธิบายส่วนนำ เพื่อให้ชัดขึ้น แต่ใจความไม่เปลี่ยน จริงไหม
คุณตีรวนแบบไร้สาระ

กรณีนี้ อยู่ที่ศาลจะตีความละครับ

ตัวอย่างห้างหุ้นส่วน ประเภทกิจการในตรอบครัว
มีหุ้นคือ ห่อ -แม่ -และลูกๆ ไม่มีคนอื่นเกี่ยว แต่ลูกทุกคนมีชื่อเป็นกรรมการ
ตอนที่พ่อแม่โอนกิจการให้ลูก ทางกฎหมายอาจสามารถตีความตามข้อเท็จจริง
มองข้ามความเป็นกรรมการของลูกได้..



ก้ากกกกกกกกกกกกก quote quote quote เก็บหลักฐานก่อน ก้าก ๆๆๆๆๆๆ
บันทึกการเข้า

"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee.
Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath."
- Balian of Ibelin -
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #62 เมื่อ: 03-01-2007, 07:50 »

ผมก็ยังยืนยันความเห็นว่าในกรณีกิจการภายในครอบครัว ที่ลูกมีชื่อเป็นกรรมการ
เมื่อมีการโอนระหว่างคนในครอบครัว ทางกฎหมายสามารถมองข้ามตำแหน่งในกิจการนั้นได้

แล้วรู้ไหมว่าครั้งหลังผมเติมข้อความลงไป ล่อให้คุณเก็บเองหละ
ผมอุตสาห์ใส่ตัวแดง ดูให้ให้ดีซืว่าผมเขียนว่าอะไร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-01-2007, 07:53 โดย กาลามชน » บันทึกการเข้า
คนในวงการ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,393


FLY WITH NO FEAR !!


เว็บไซต์
« ตอบ #63 เมื่อ: 03-01-2007, 07:54 »

ผมก็ยังยืนยันความเห็นว่าในกรณีกิจการภายในครอบครัว ที่ลูกมีชื่อเป็นกรรมการ
เมื่อมีการโอนระหว่างคนในครอบครัว ทางกฎหมายสามารถมองข้ามตำแหน่งในกิจการนั้นได้

quote เก็บหลักฐานตามระเบียบ

มาแนวยืนกระต่ายขาเดียว ระยะหลัง ๆ นี่ คนรักทักษิณเค้าไม่เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายเหรอครับ ถึงได้ปล่อยให้คุณกาลามชนหัวเดียวกระเทียมลีบเช่นนี้ คุณกาลามชนยืนกระต่ายขาเดียว อ้างข้อกฏหมาย ดีหละครับ ดูดีมีหลักการ ใหนลองค้นให้ผมอ่านหน่อยสิครับ ว่าเป็นกฏหมายฉบับใหน มาตราอะไร?

อ้อ กฏหมายประเทศใดด้วย ก้าก ๆๆๆๆๆ (ซิมบับเว่ ชัวร์)
บันทึกการเข้า

"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee.
Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath."
- Balian of Ibelin -
คนในวงการ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,393


FLY WITH NO FEAR !!


เว็บไซต์
« ตอบ #64 เมื่อ: 03-01-2007, 07:56 »

ผมก็ยังยืนยันความเห็นว่าในกรณีกิจการภายในครอบครัว ที่ลูกมีชื่อเป็นกรรมการ
เมื่อมีการโอนระหว่างคนในครอบครัว ทางกฎหมายสามารถมองข้ามตำแหน่งในกิจการนั้นได้

แล้วรู้ไหมว่าครั้งหลังผมเติมข้อความลงไป ล่อให้คุณเก็บเองหละ
ผมอุตสาห์ใส่ตัวแดง ดูให้ให้ดีซืว่าผมเขียนว่าอะไร



หูย คุณปุถุชน ต้องชอบแน่ ๆ เลย ผมเก็บมุกเอาไว้ให้ตั้งเยอะ วันหลังไปซื้อของที่ห้าง จะได้ส่วนลดพิเศษรึปล่าวนะ ก้าก ๆๆๆๆ
บันทึกการเข้า

"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee.
Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath."
- Balian of Ibelin -
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #65 เมื่อ: 03-01-2007, 08:07 »

ก็บอกมานานแสนนานแล้วว่าผมไม่ได้เป็นกลุ่มปกป้องทักษิณ
ผมอยู่ของผมอย่างนี้คนเดียว มีความเห็นที่เป็นของตัวเอง ไม่ได้คิดตามที่ใครสั่ง
ผมชอบทักษิณอย่างชอบนักการเมืองสักคน ชอบแค่นิดหน่อย เพราะเขามีทั้งส่วนดีและส่วนเสีย
แต่ที่ไม่ชอบพวกที่ใส่ความเขา (รวมทั้งการใส่ความ คมช หรือนายกสุรยุทธ์ เช่นกัน)

อ้อแล้วก็ดูนาที ที่ผมแก้ มันเกิดก่อนการโพสท์ของคุณนะครับ ไม่ใช่ย้อนหลังไปแก้
จะมีแค่ครั้งแรก เพราะไม่ทันดูว่ามีคนมาต่อ

จะไม่อยู่แล้ว เพราะสองโมงกว่าแล้ว
บันทึกการเข้า
คนในวงการ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,393


FLY WITH NO FEAR !!


เว็บไซต์
« ตอบ #66 เมื่อ: 03-01-2007, 08:10 »

ก็บอกมานานแสนนานแล้วว่าผมไม่ได้เป็นกลุ่มปกป้องทักษิณ
ผมอยู่ของผมอย่างนี้คนเดียว มีความเห็นที่เป็นของตัวเอง ไม่ได้คิดตามที่ใครสั่ง
ผมชอบทักษิณอย่างชอบนักการเมืองสักคน ชอบแค่นิดหน่อย เพราะเขามีทั้งส่วนดีและส่วนเสีย
แต่ที่ไม่ชอบพวกที่ใส่ความเขา (รวมทั้งการใส่ความ คมช หรือนายกสุรยุทธ์ เช่นกัน)

อ้อแล้วก็ดูนาที ที่ผมแก้ มันเกิดก่อนการโพสท์ของคุณนะครับ ไม่ใช่ย้อนหลังไปแก้
จะมีแค่ครั้งแรก เพราะไม่ทันดูว่ามีคนมาต่อ

จะไม่อยู่แล้ว เพราะสองโมงกว่าแล้ว

คร้าบบบ ไม่ย้อนหลังไปแก้ ใครเค้าว่าคุณย้อนหลังไปแถ เอ้ย ไปแก้กันหละ เอาหละ ทำถูกแล้วคุณกาลามชน แพ้ก็ลงจากเวทีไปซะ แล้วค่อยมาใหม่ให้เนียนกว่านี้ ผมแพ้ผมยังยอมรับเลยว่าแพ้ หรือว่าคนรักทักษิณแพ้ไม่เป็นกันนะ?

ปล. ลืมไป ถ้าคุณกาลามชนยังคาใจ ช่วยไปค้นข้อกฏหมายมาด้วยนะ เดี๋ยวคนเค้าจะว่าเอาได้ว่าคนรักทักษิณโพสเป็นแต่แบบหยิบโหย่ง ก้าก ๆๆๆๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-01-2007, 08:13 โดย คนในวงการ » บันทึกการเข้า

"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee.
Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath."
- Balian of Ibelin -
อังศนา
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 1,860


Can't fight the moonlight!


เว็บไซต์
« ตอบ #67 เมื่อ: 03-01-2007, 08:16 »

 
บันทึกการเข้า

แม้ผืนฟ้า มืดดับ เดือนลับละลาย 
ดาวยังพราย ศรัทธา เย้ยฟ้าดิน (จิตร ภูมิศักดิ์)
คนในวงการ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,393


FLY WITH NO FEAR !!


เว็บไซต์
« ตอบ #68 เมื่อ: 03-01-2007, 08:17 »

 
บันทึกการเข้า

"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee.
Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath."
- Balian of Ibelin -
p
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,264


« ตอบ #69 เมื่อ: 03-01-2007, 08:27 »


1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
คุณกาลามชนครับ
นับ 10 แล้วครับ
ลุกขึ้นได้แล้วครับ


 
บันทึกการเข้า

ถ้ามัวคิดแต่จะโกงและเอาเปรียบคนอื่น จะสอนลูกหลานให้เป็นคนดีได้อย่างไร
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #70 เมื่อ: 03-01-2007, 08:49 »

ขออนุญาต update เรื่องการทำงานของสรรพากรหน่อยครับ เพราะหลังจากที่มีการเอาผิดร้ายแรงกับ อธิบดีกรมฯ+ผู้บริหารเรื่องการไม่เก็บภาษีหุ้นชินฯ....ตอนนี้การทำงานของสรรพากรออกแนวsuperข้าราชการเต็มๆเพราะกำลังใจและอาการฝ่อมันระบาดไปทั่วองค์กรเรียบร้อยแล้ว เป้าจำนวนเงินเก็บภาษีในปี 2550 ก็คงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน


yeahhh....ดีใจจังที่เราจะอยู่กันแบบพอเพียงซะที!!
บันทึกการเข้า
คนในวงการ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,393


FLY WITH NO FEAR !!


เว็บไซต์
« ตอบ #71 เมื่อ: 03-01-2007, 08:52 »

ขออนุญาต update เรื่องการทำงานของสรรพากรหน่อยครับ เพราะหลังจากที่มีการเอาผิดร้ายแรงกับ อธิบดีกรมฯ+ผู้บริหารเรื่องการไม่เก็บภาษีหุ้นชินฯ....ตอนนี้การทำงานของสรรพากรออกแนวsuperข้าราชการเต็มๆเพราะกำลังใจและอาการฝ่อมันระบาดไปทั่วองค์กรเรียบร้อยแล้ว เป้าจำนวนเงินเก็บภาษีในปี 2550 ก็คงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน


yeahhh....ดีใจจังที่เราจะอยู่กันแบบพอเพียงซะที!!


สวัสดีปีใหม่ อะไรจ๊ะ มาสอนมวยรุ่นน้องเหรอ ก้าก ๆๆๆๆ อะไรจ๊ะ นี่รู้ดีไปหมดเนอะ เพิ่งเริ่มวันทำงานปีใหม่วันแรก อะไรจ๊ะ ก็รู้ว่าเจ้าหน้าที่สรรพากรเป็นอย่างไรเสียแล้ว ว่าแต่ว่าตอนนี้ เจ้าหน้าที่สรรพากร เข้าออฟฟิตกันครบรึยังน้า
บันทึกการเข้า

"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee.
Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath."
- Balian of Ibelin -
เก็ดถวา
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 2,753



« ตอบ #72 เมื่อ: 03-01-2007, 09:45 »


กระทู้แรกประจำวันนี้ของหนู

ก็ทำให้อารมณ์ดีทั้งวันเลยนะคะนี่

อ่านไป ขำไป อ่านไป ขำไป 


บันทึกการเข้า

Avada Kedavra!!!!!!!
buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #73 เมื่อ: 03-01-2007, 12:06 »

คนรักทักษิณ นี่ทำไปได้นะครับ ทักษิณ คือ ความถูกต้อง ไม่มี ผิดพลาด ทุกอย่าง บริสุทธิ์ผุดผ่อง คือ ตรรกะ ไปแล้วเหรอ ไม่เข้าใจจริงๆ

หน้าเหลี่ยมๆ ตัวเดียว ทำให้ อะไร มันเพี้ยนได้ขนาดนี้

กรณีคุณ เรืองไกร ผมก็เคยติดตามอ่านข่าวนี้มานานแล้ว ไม่เห็นมีอะไรต้องบิดเบือนมากมายเลย

มันเรื่องหุ้นล้วนๆ ครับ อย่า ตะแบง หรือ อย่าแถ เลย มันจะไม่เกิด ความรู้อะไรขึ้นมา สังคม ควรได้รับความรู้ที่เป็นความจริงนะครับ

นี่อะไรไปรู้ใจ คุณ เรืองไกร เค้าอีก เฮ้อ คนเรา

เรื่องนี้ ไม่เห็นต้องตีความครับ

นายเรืองไกร ทำเพื่อผลประโยชน์ ตัวเองตั้งแต่แรก และ เค้าทำไปตามกฎหมาย

ตอนแรกให้เสียภาษี เค้าก็เสีย ตามหน้าที่ประชาชนชาวไทย คนหนึง แต่ต่อมา อยู่ดีๆ ก็มาคืนภาษีให้เค้า

เค้าจึงฟ้องศาล เพราะมันหลายแสตนดาร์ดเหลือเกิน ศาลตัดสิน แล้ว ว่ายังไงบ้าง ก็ควรจะยอมรับบ้างนะครับ คนที่รักทักษิณนิดหน่อย หรือ รักทักษิณมากก็ตาม
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #74 เมื่อ: 03-01-2007, 12:14 »

ขออนุญาต update เรื่องการทำงานของสรรพากรหน่อยครับ เพราะหลังจากที่มีการเอาผิดร้ายแรงกับ อธิบดีกรมฯ+ผู้บริหารเรื่องการไม่เก็บภาษีหุ้นชินฯ....ตอนนี้การทำงานของสรรพากรออกแนวsuperข้าราชการเต็มๆเพราะกำลังใจและอาการฝ่อมันระบาดไปทั่วองค์กรเรียบร้อยแล้ว เป้าจำนวนเงินเก็บภาษีในปี 2550 ก็คงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้แน่นอน


yeahhh... ดีใจจังที่เราจะอยู่กันแบบพอเพียงซะที!! .


คนแอบอ้างเป็น"อาจารย์" บิดเบือนความหมายของ"พอเพียง" อีกแล้ว........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #75 เมื่อ: 03-01-2007, 12:18 »

ถ้าคุณ"กาลามชน" ได้พลิกอ่านประมวลรัษฏากรของกรมสรรพากร
ได้อ่านผลการสอบสวน ไต่สวน การวินิจฉัยของคณะกรรมการ คตส. คณะกรรมการ ปปช.
และการวินิจฉัยของศาลฯ แล้วยังดันทุรังแสดงความคิดเห็นอย่างนี้อยู่อีก.........

ผมคิดว่าป่วยการที่จะชี้ความคิดเห็นหรือ ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องให้คุณ"กาลามชน"แล้ว
ปล่อยให้สาธุชน พิจารณาเอาเองเถอะครับ.............ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #76 เมื่อ: 03-01-2007, 13:17 »

คุณ buntoshi
ผมไม่ได้เดาใจคุณเรืองไกร ผมจำได้ว่าก่อนไปยื่นภาษี เขาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนด้วย ตอนนั้นกระแสต่อต้านทักษิณเพิ่งเริ่มรวมกลุ่ม และยกเรื่องภาษีมาโจมตีเป็นชุดแรกๆ แล้วสรรพากรก็ออกความเห็นที่ทำให้กลุ่มต่อต้านผิดหวังว่าไม่ต้องเสียภาษี สองสามวันหลังจากนั้น คุณเริงไกรก็เป็นข่าวโดยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เขาจะเอารายได้จากหุ้นไปยื่นภาษีเพื่อให้เกิดเป็นบรรทัดฐานแก่สังคม จำได้เช่นนั้น

คุณปุถุชน
รู้สึกว่าจะมีที่เวปนี้แห่งเดียว ที่ตีความคำตัดสินของศาลอย่างที่คุณเข้าใจ คุณเรืองไกรเขาฟ้องศาลมาตรา 39 ว่าปฏิบัติมิชอบ ศาลก็ตัดสินตามมูลฟ้อง คือมติของคณะกรรมการอุทธรณ์ฯถือเป็นที่สุด การคืนภาษีจึงมิชอบ ซึ่งไม่ได้เป็นข้อยุติว่าต้องสำแดงหรือไม่ต้องสำแดง (แต่ถ้าสำแดง ก็ต้องเสียภาษี)

กระทู้นี้ผมอาจจะนานๆเข้ามา และอาจจะไม่ตอบอีก เพราะรู้สึกว่าเริ่มจะเป็นการพายเรือในอ่าง
บันทึกการเข้า
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #77 เมื่อ: 07-01-2007, 22:54 »

คตส.แบะท่ารอเชือด “แก๊งอ้อ-โอ๊ค-เอม” เลี่ยงหุ้นชินฯ พรุ่งนี้
 
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 7 มกราคม 2550 19:07 น.
 
 

  ทายาทพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
 

 
 
อนุฯ ไต่สวน 13 คณะ เตรียมรายงานความคืบหน้า คตส.ชุดใหญ่พรุ่งนี้ ประกาศิตให้โอกาส “บรรณพจน์-คุณหญิงพจมาน” แจงเลี่ยงหุ้นภาษีชินฯ ภายใน 15 วัน พร้อมตั้งทีมรอซัก “โอ๊ค-เอม” โดยปราศจากเงื่อนไข 10 ม.ค.นี้
       
       วันนี้ (7 ม.ค.) นายสัก กอแสงเรือง โฆษกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวถึงการประชุม คตส.ในวันพรุ่งนี้ (8 ม.ค.) ว่า คณะอนุกรรมการทั้ง 13 โครงการจะรายงานความคืบหน้าในการทำงานให้ที่ประชุมทราบ สำหรับคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาอดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมพวกหลีกเลี่ยงภาษีที่ตนเป็นประธานอยู่นั้นก็จะรายงานให้ที่ประชุมทราบว่าได้มีผู้ถูกกล่าวหามารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว 2 ราย ส่วนที่เหลือทางอนุกรรมการจะส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาให้รับทราบในวันพรุ่งนี้ จากนั้นต้องนับเวลาไปอีก 15 วันหลังจากได้รับหนังสือ ผู้ถูกกล่าวหาต้องเข้าแก้ข้อกล่าวหา โดยอาจจะมาด้วยตัวเองหรือส่งเป็นเอกสารแก้ข้อกล่าวหามาก็ได้
       
      นายสัก ในฐานะอนุกรรมการตรวจสอบการซื้อขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัท แอมเพิลริช อินเวสเมนต์ จำกัด จาก 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐว่า เป็นการเพิ่มทุนช่วงไหน และมีที่มาของเงินอย่างไร ทั้งนี้ จากการที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เข้าชี้แจง เป็นการชี้แจงตามข้อมูลรายงาน 246-2 ซึ่งเป็นการรายงานการดำเนินการในปี 2548-2549 โดย ก.ล.ต.มีอำนาจเพียงตรวจสอบว่า รายงานดังกล่าวถูกต้องหรือไม่ โดยไม่สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ โดยเฉพาะบริษัท แอมเพิลริช จดทะเบียนเพิ่มทุนในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน จึงยากต่อการตรวจสอบ
       
       “แต่ประเด็นใดที่ข้อเท็จจริงยังไม่ชัดก็ต้องตรวจสอบให้ชัด เพราะจะมีผลต่อการสรุปสำนวน ซึ่งในการเชิญนายพานทองแท้ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวอดีตนายกรัฐมนตรี และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เข้าชี้แจงในวันที่ 10, 12, 24 ม.ค.นี้นั้น อนุกรรมการฯ จะสอบถามเรื่องนี้ด้วย เพราะต้องการความชัดเจน แต่ถ้าการชี้แจงของบุคคลทั้ง 3 คนยังไม่ชัดเจน คตส.ก็สามารถตรวจสอบข้อมูลจากข้างนอกได้” นายสัก กล่าว



http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9500000001708




ผมต้องเลือกที่ให้ความเชื่อถือกับข้อมูล ผลการสอบสวนของคณะกรรมการ คตส.
 คณะกรรมการ ปปช. หรือ องค์กรอิสระอื่น ๆ ที่เป็นที่ยอมรับของประชาชนในขณะนี้ว่า
เชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ บริสุทธิ์ เที่ยงธรรม ไม่นำความเท็จมากล่าว
หรือยกข้อมูลอื่น ๆ มาเบี่ยงเบน หรือสร้างความสับสนด้วยการให้ข้อมูลเพียงส่วนเดียว
ที่คนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม และลูกจ้างบริษัทเทียมรักเทียม พูดลอย ๆ........



 
 
 
 
 
 
 
บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #78 เมื่อ: 07-01-2007, 23:35 »

ลงมติไล่ออก 5 ขรก.สรรพากร อธิบดี ยัน ซี 8

มติชน Hot News วันที่ 25 ธ.ค. 2549

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า ช่วงเช้าวันนี้ (25 ธ.ค.) มีการประชุมคณะ
อนุกรรมการข้าราชการพลเรือนกระทรวงการคลัง (อ.ก.พ.) โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบ
ให้ไล่ออกกลุ่มข้าราชการ 5 ราย คือ

นายศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมสรรพากร
นายวิชัย จึงรักเกียรติ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.)
น.ส. สุจินดา แสงชมภู สรรพากรภาค 10
น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร และ
น.ส.กุลฤดี แสงสายัณห์ นิติกร 8 ว. และเป็นหน้าห้องนายศิโรตม์

ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดว่า
ผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานละเว้นไม่เก็บภาษี และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 154 และมาตรา 157

ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติให้ไล่ออกสถานเดียวทั้ง 5 คน ตามข้อบังคับของมติครม. ที่ระบุให้
การลงโทษข้าราชการที่มีความผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยจะต้องออกจากราชการและ
ไม่ได้รับเงินเดือน บำเหน็จบำนาญแต่อย่างใด ส่วนทั้ง 5 คนสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน
30 วัน




ถ้าการวินิจฉัย การปฏิบัติหน้าที่ของ 5 ข้าราชการกรมสรรพากร ในขณะที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ถูกต้องตามประมวลรัษฏากรและระเบียบกรมสรรพากรอย่างแท้จริง....

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะไม่วินิจฉัยอย่างนี้ และคณะ
อนุกรรมการข้าราชการพลเรือนกระทรวงการคลัง (อ.ก.พ.) โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบ
ให้ไล่ออกกลุ่มข้าราชการ 5 ราย


คนไทยที่มีสติปัญญา สามารถเข้าใจว่าการดำเนินการของทักษิณและครอบครัว ในการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปให้กองทุนต่าวด้าว เทมาเส็คนั้น ถูกต้อง โปร่งใส หรือไม่....


บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #79 เมื่อ: 09-01-2007, 09:18 »

คุณ buntoshi
ผมไม่ได้เดาใจคุณเรืองไกร ผมจำได้ว่าก่อนไปยื่นภาษี เขาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนด้วย ตอนนั้นกระแสต่อต้านทักษิณเพิ่งเริ่มรวมกลุ่ม และยกเรื่องภาษีมาโจมตีเป็นชุดแรกๆ แล้วสรรพากรก็ออกความเห็นที่ทำให้กลุ่มต่อต้านผิดหวังว่าไม่ต้องเสียภาษี สองสามวันหลังจากนั้น คุณเริงไกรก็เป็นข่าวโดยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า เขาจะเอารายได้จากหุ้นไปยื่นภาษีเพื่อให้เกิดเป็นบรรทัดฐานแก่สังคม จำได้เช่นนั้น

คุณปุถุชน
รู้สึกว่าจะมีที่เวปนี้แห่งเดียว ที่ตีความคำตัดสินของศาลอย่างที่คุณเข้าใจ คุณเรืองไกรเขาฟ้องศาลมาตรา 39 ว่าปฏิบัติมิชอบ ศาลก็ตัดสินตามมูลฟ้อง คือมติของคณะกรรมการอุทธรณ์ฯถือเป็นที่สุด การคืนภาษีจึงมิชอบ ซึ่งไม่ได้เป็นข้อยุติว่าต้องสำแดงหรือไม่ต้องสำแดง (แต่ถ้าสำแดง ก็ต้องเสียภาษี)

กระทู้นี้ผมอาจจะนานๆเข้ามา และอาจจะไม่ตอบอีก เพราะรู้สึกว่าเริ่มจะเป็นการพายเรือในอ่าง

ถ้าสำแดงต้องเสีย ถ้าไม่สำแดงไม่ต้องเสีย สุดยอดครับ กฎหมายภาษี ประเทศไทย ผมอยากให้คุณกาลามชน อ้างมาตราการสำแดงมาให้ผมดูหน่อย หุ้นนะครับ อย่าเอาไปแถกับมรดกตกทอด เพราะซื้อหุ้นนอกตลาด กับ การให้โดยเสน่ห์หา เค้ามีกฎหมายต่างกัน

ที่ผมว่าคุณไปรู้ใจ ก็เนื่องจากแรกๆ เค้าก็ทำการรักษาผลประโยชน์ของเค้า ก่อน ที่จะขายหุ้นชินอีก สรรพกร บอกให้เสียเค้าก็เสีย ไม่ได้ ตั้งใจ ติ๊กผิดหรือติ๊กถูกแต่อย่างใด คุณไปเดาใจเค้า ว่าเค้ากรอกผิด กรอกถูก เพื่อการขายหุ้นชิน เหรอ คุณพิจารณาดีแล้วเหรอครับ คุณกาลมชน เค้ากรอกก่อนมีดิล กัน กี่ปีครับ ถามหน่อย

แต่เมื่อสรรพกร คืนเงินให้ เนื่องจาก จะสร้างมาตรฐาน ว่าหุ้นชินไม่ต้องเสียภาษี คนดีๆ ของบ้านเมือง มันจะยอมได้อย่างไร ในเมื่อมาตรฐาน ของข้าราชการเป็นแบบนี้

เค้าก็เลยฟ้องศาลภาษี ซึ่ง ถ้าศาลบอกว่า ไม่ต้องเสีย เค้าก็ยินดียอมรับ แต่นี่ ศาลบอกต้องเสีย การคืนภาษีเป็นความผิด ก็แสดงว่าเค้าต้องเสียภาษี มันจะตีความอะไรยากเย็น ให้ยุ่งยากเพื่อให้งง หนักหนาครับ
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #80 เมื่อ: 10-01-2007, 08:04 »

คุณ buntoshi

ทักษิณถูกกล่าวหาจากสังคมว่าไม่เสียภาษี แยกเป็นสองกรณี
กรณีแรกคือ ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ทักษิณโอนหุ้นให้ลูกแบบยกให้ ไม่มีการซื้อขาย เสียภาษีเฉพาะค่าโอน ไม่เสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล
กรณีที่สอง ลูกของทักษิณขายหุ้นให้ เทมาเสก ผ่านตลาดหลักทรัพย์ เสียภาษีเฉพาะค่าโอน ไม่เสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล

ขอให้สังเกตุว่า สองกรณีนี้ไม่เหมือนกัน ต่างกันโดยสิ้นเชิง

กรณีของเรืองไกร เหมือนกรณีแรก คือพ่อยกหุ้นให้ลูก ไม่ใช่การซื้อขายนอกตลาดแน่นอน เพราะโอ๊คไม่มีเงินจะมาซื้อหุ้นจากพ่อเป็นหมื่นๆล้าน ตรงนี้มีความสำคัญนะครับ ถ้าได้ยินใครบอกว่าเป็นการซื้อขายนอกตลาด ต้องเสียภาษี ก็ขอให้ทราบว่าคุณกำลังถูกหลอก กรณีของโอ๊คนั้นเข้าข่าย "ให้โดยเสน่หา" ซึ่งกฎหมายยกเว้นไม่ต้องสำแดงภาษีเงินได้ส่วนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นการให้กันระหว่าคนในครอบครัวยิ่งมีความชัดเจนมาก

การให้โดยเส่นหา ไม่ใช่การซื้อขายนอกตลาด คิดภาษีค่าโอนหุ้นเท่าราคาพาร์ ข้อนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่สังคมไม่พอใจ กล่าวหาว่าสรรพากรช่วยให้ลุกทักษิณเสียภาษีน้อย แต่จริงๆแล้วการคิดภาษีจากราคาพาร์เป็นเรื่องปกติกับทุกคน การรับมรดกที่เป็นหุ้น ก็คิดภาษีจากราคาพาร์แบบเดียวกันนี้

โอ๊คนั้น เมื่อได้รับโดยเสน่หา ซึ่งตามกฎหมายไม่ต้องไปสำแดง ก็ไม่สำแดงลงในภาษีเงินได้ประจำปี แต่เรืองไกรเอาไปสำแดงรวมลงไป ก็เลยต้องเสียภาษี

ส่วนการซื้อขายชินคอร์ปกับ เทมาเสก นั้น เขาดีลราคากันนอกตลาด แต่มาซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ โดยลูกของทักษิณโอนหุ้นกลับเข้าตลาดอย่างเงียบๆล่วงหน้าสามวัน แล้วจับคู่กับ เสนอซื้อ-เสนอขาย กับเทมาเสกอย่างสายฟ้าแลบในเช้าตรู่ของวัน โดยที่นักลงทุนรายอื่นไม่รู้ตัวล่วงหน้า ตลาดหลักทรัพย์ถึงกับตกใจแขวนป้ายชินคอร์ป เพราะอะไรก็ไม่รู้ อยู่ๆมีดีลอภิมหามหึมาโผล่ขึ้นมา พอจับคู่ซื้อขายเสร็จแล้ว ทักษิณจึงแจ้งให้ตลาดทราบ ผู้คนพากันโมโหเป็นการใหญ่

ทักษิณดีลหุ้นนอกตลาก แต่การซื้อขายจริงๆเกิดขึ้นในตลาด จึงเสียภาษี 0.5% เป็นภาษีแค่สามร้อยกว่าล้าน ประเด็นนี้มีคนพยายามโยงว่าผิดในทำนองนิติกรรมอำพราง

ประเด็นที่นำมาใช้ฟ้องนั้น คตส ถือโอกาสที่ลูกทักษิณมีชื่อเป็นกรรมการบริษัทแอมเพิลริช ก็เลยตั้งประเด็นว่าหุ้นนั้นเป็นสินตอบแทนที่บริษัทให้แก่กรรมการ ถือว่าเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ถ้าจะอ้างข้อกฎหมายแบบนั้นก็ได้ แต่คิดว่าตลกไหม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2007, 08:13 โดย กาลามชน » บันทึกการเข้า
qazwsx
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


นักธุรกิจและตำรวจ ต้องออกไปจากการเมือง


« ตอบ #81 เมื่อ: 10-01-2007, 08:37 »

คุณ buntoshi

ทักษิณถูกกล่าวหาจากสังคมว่าไม่เสียภาษี แยกเป็นสองกรณี
กรณีแรกคือ ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ทักษิณโอนหุ้นให้ลูกแบบยกให้ ไม่มีการซื้อขาย เสียภาษีเฉพาะค่าโอน ไม่เสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล
กรณีที่สอง ลูกของทักษิณขายหุ้นให้ เทมาเสก ผ่านตลาดหลักทรัพย์ เสียภาษีเฉพาะค่าโอน ไม่เสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล

ขอให้สังเกตุว่า สองกรณีนี้ไม่เหมือนกัน ต่างกันโดยสิ้นเชิง

กรณีของเรืองไกร เหมือนกรณีแรก คือพ่อยกหุ้นให้ลูก ไม่ใช่การซื้อขายนอกตลาดแน่นอน เพราะโอ๊คไม่มีเงินจะมาซื้อหุ้นจากพ่อเป็นหมื่นๆล้าน ตรงนี้มีความสำคัญนะครับ ถ้าได้ยินใครบอกว่าเป็นการซื้อขายนอกตลาด ต้องเสียภาษี ก็ขอให้ทราบว่าคุณกำลังถูกหลอก กรณีของโอ๊คนั้นเข้าข่าย "ให้โดยเสน่หา" ซึ่งกฎหมายยกเว้นไม่ต้องสำแดงภาษีเงินได้ส่วนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นการให้กันระหว่าคนในครอบครัวยิ่งมีความชัดเจนมาก

การให้โดยเส่นหา ไม่ใช่การซื้อขายนอกตลาด คิดภาษีค่าโอนหุ้นเท่าราคาพาร์ ข้อนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่สังคมไม่พอใจ กล่าวหาว่าสรรพากรช่วยให้ลุกทักษิณเสียภาษีน้อย แต่จริงๆแล้วการคิดภาษีจากราคาพาร์เป็นเรื่องปกติกับทุกคน การรับมรดกที่เป็นหุ้น ก็คิดภาษีจากราคาพาร์แบบเดียวกันนี้

โอ๊คนั้น เมื่อได้รับโดยเสน่หา ซึ่งตามกฎหมายไม่ต้องไปสำแดง ก็ไม่สำแดงลงในภาษีเงินได้ประจำปี แต่เรืองไกรเอาไปสำแดงรวมลงไป ก็เลยต้องเสียภาษี

ส่วนการซื้อขายชินคอร์ปกับ เทมาเสก นั้น เขาดีลราคากันนอกตลาด แต่มาซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ โดยลูกของทักษิณโอนหุ้นกลับเข้าตลาดอย่างเงียบๆล่วงหน้าสามวัน แล้วจับคู่กับ เสนอซื้อ-เสนอขาย กับเทมาเสกอย่างสายฟ้าแลบในเช้าตรู่ของวัน โดยที่นักลงทุนรายอื่นไม่รู้ตัวล่วงหน้า ตลาดหลักทรัพย์ถึงกับตกใจแขวนป้ายชินคอร์ป เพราะอะไรก็ไม่รู้ อยู่ๆมีดีลอภิมหามหึมาโผล่ขึ้นมา พอจับคู่ซื้อขายเสร็จแล้ว ทักษิณจึงแจ้งให้ตลาดทราบ ผู้คนพากันโมโหเป็นการใหญ่

ทักษิณดีลหุ้นนอกตลาก แต่การซื้อขายจริงๆเกิดขึ้นในตลาด จึงเสียภาษี 0.5% เป็นภาษีแค่สามร้อยกว่าล้าน ประเด็นนี้มีคนพยายามโยงว่าผิดในทำนองนิติกรรมอำพราง

ประเด็นที่นำมาใช้ฟ้องนั้น คตส ถือโอกาสที่ลูกทักษิณมีชื่อเป็นกรรมการบริษัทแอมเพิลริช ก็เลยตั้งประเด็นว่าหุ้นนั้นเป็นสินตอบแทนที่บริษัทให้แก่กรรมการ ถือว่าเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ถ้าจะอ้างข้อกฎหมายแบบนั้นก็ได้ แต่คิดว่าตลกไหม

ใครบอกคุณล่ะว่าเขาจะเอาผิดเรื่อง "จ่าย - ไม่จ่ายภาษี"
แต่เอาเถอะ "รับรู้อยู่แค่นั้น" น่ะ...ดีแล้ว
บันทึกการเข้า

buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #82 เมื่อ: 10-01-2007, 09:22 »

คุณ buntoshi

ทักษิณถูกกล่าวหาจากสังคมว่าไม่เสียภาษี แยกเป็นสองกรณี
กรณีแรกคือ ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ทักษิณโอนหุ้นให้ลูกแบบยกให้ ไม่มีการซื้อขาย เสียภาษีเฉพาะค่าโอน ไม่เสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล
กรณีที่สอง ลูกของทักษิณขายหุ้นให้ เทมาเสก ผ่านตลาดหลักทรัพย์ เสียภาษีเฉพาะค่าโอน ไม่เสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล

ขอให้สังเกตุว่า สองกรณีนี้ไม่เหมือนกัน ต่างกันโดยสิ้นเชิง

กรณีของเรืองไกร เหมือนกรณีแรก คือพ่อยกหุ้นให้ลูก ไม่ใช่การซื้อขายนอกตลาดแน่นอน เพราะโอ๊คไม่มีเงินจะมาซื้อหุ้นจากพ่อเป็นหมื่นๆล้าน ตรงนี้มีความสำคัญนะครับ ถ้าได้ยินใครบอกว่าเป็นการซื้อขายนอกตลาด ต้องเสียภาษี ก็ขอให้ทราบว่าคุณกำลังถูกหลอก กรณีของโอ๊คนั้นเข้าข่าย "ให้โดยเสน่หา" ซึ่งกฎหมายยกเว้นไม่ต้องสำแดงภาษีเงินได้ส่วนบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นการให้กันระหว่าคนในครอบครัวยิ่งมีความชัดเจนมาก

การให้โดยเส่นหา ไม่ใช่การซื้อขายนอกตลาด คิดภาษีค่าโอนหุ้นเท่าราคาพาร์ ข้อนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่สังคมไม่พอใจ กล่าวหาว่าสรรพากรช่วยให้ลุกทักษิณเสียภาษีน้อย แต่จริงๆแล้วการคิดภาษีจากราคาพาร์เป็นเรื่องปกติกับทุกคน การรับมรดกที่เป็นหุ้น ก็คิดภาษีจากราคาพาร์แบบเดียวกันนี้

โอ๊คนั้น เมื่อได้รับโดยเสน่หา ซึ่งตามกฎหมายไม่ต้องไปสำแดง ก็ไม่สำแดงลงในภาษีเงินได้ประจำปี แต่เรืองไกรเอาไปสำแดงรวมลงไป ก็เลยต้องเสียภาษี

ส่วนการซื้อขายชินคอร์ปกับ เทมาเสก นั้น เขาดีลราคากันนอกตลาด แต่มาซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์ โดยลูกของทักษิณโอนหุ้นกลับเข้าตลาดอย่างเงียบๆล่วงหน้าสามวัน แล้วจับคู่กับ เสนอซื้อ-เสนอขาย กับเทมาเสกอย่างสายฟ้าแลบในเช้าตรู่ของวัน โดยที่นักลงทุนรายอื่นไม่รู้ตัวล่วงหน้า ตลาดหลักทรัพย์ถึงกับตกใจแขวนป้ายชินคอร์ป เพราะอะไรก็ไม่รู้ อยู่ๆมีดีลอภิมหามหึมาโผล่ขึ้นมา พอจับคู่ซื้อขายเสร็จแล้ว ทักษิณจึงแจ้งให้ตลาดทราบ ผู้คนพากันโมโหเป็นการใหญ่

ทักษิณดีลหุ้นนอกตลาก แต่การซื้อขายจริงๆเกิดขึ้นในตลาด จึงเสียภาษี 0.5% เป็นภาษีแค่สามร้อยกว่าล้าน ประเด็นนี้มีคนพยายามโยงว่าผิดในทำนองนิติกรรมอำพราง

ประเด็นที่นำมาใช้ฟ้องนั้น คตส ถือโอกาสที่ลูกทักษิณมีชื่อเป็นกรรมการบริษัทแอมเพิลริช ก็เลยตั้งประเด็นว่าหุ้นนั้นเป็นสินตอบแทนที่บริษัทให้แก่กรรมการ ถือว่าเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ถ้าจะอ้างข้อกฎหมายแบบนั้นก็ได้ แต่คิดว่าตลกไหม

ผมจะอ้างอิงไว้เป็นหลักฐานเฉยๆ นะครับ เพราะที่ผมพูดนี่ กรณี คุณเรืองไกร ผม ยังไม่ได้เล่นเรื่องหุ้น โอ๊คเอม เท่าไหร่เลย แค่บอกว่า อยู่ดีๆ มาคืนภาษี เพื่อสร้างมาตรฐาน ให้การขายหุ้นชิน

คุณกาลามชน รู้ดี เหมือนคนในครอบครัวชินเลยนะครับ มาว่าผมถูกหลอก ผมถูกหลอกเรื่องอะไรบ้าง รบกวนถามหน่อย และ คุณเดือดร้อนแทนเค้าจริงๆ ผมยังไม่ได้ กล่าวถึงรายละเอียดหุ้นชินเลย ผมพูดแต่ถึงกรณีคุณเรืองไกร คุณกาลามชนก็อธิบายเรื่องหุ้นชิน ตามที่คุณรู้มาซะขนาดนี้

ผมบอกแล้วคุณกาลามชน ไปหา กฎหมาย ในรัฐธรรมนูญ หรือ กฎหมายอะไรในประเทศไทยมาอ้างให้ผมหน่อย สิครับ ว่า ถ้าสำแดง แล้ว ต้องเสีย ภาษี ถ้าไม่สำแดง ไม่ต้องเสีย อยากให้ช่วยหา หลักฐาน กฎหมายข้อนี้ให้ผมหน่อย

ถ้ามีผมจะไม่เถียงในประเด็นอื่นของคุณเลยครับ จริงๆ นะ ถึงแม้ ผมยังมีเรื่องแย้งอีกเยอะแยะ ก็ตาม

ถึงความรู้ผมจะน้อยแต่ผมก็พิจารณาพอสมควรครับก่อนที่จะเชื่อคนที่จะมาหลอกผม 

ปล. คุณกาลามชน พิมพ์ผิดหรือเข้าใจผิดไม่ทราบนะครับ กรณี คุณเรืองไกร ซื้อหุ้นจากพ่อในราคาต่ำกว่าตลาดนะครับ ไม่ใช่การให้โดยเสน่ห์หา เรื่องนี้ผมว่าเราถกกันในเรื่องเคส คุณเรืองไกรให้จบก่อนดีกว่านะครับ ถกกันเรื่องคุณเรืองไกรเสร็จ เพราะศาลตัดสินแล้ว คราวนี้ค่อยมาดูว่า หุ้นชินมันเข้าเคส ของคุณเรืองไกรหรือเปล่า แต่ก่อนอื่น คุณต้องยอมรับในกรณี คุณเรืองไกรก่อน เพราะศาลตัดสินแล้ว
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #83 เมื่อ: 10-01-2007, 11:04 »

คุณ buntoshi

คุณบอกว่า คุณเรืองไกร ซื้อหุ้นจากพ่อในราคาต่ำกว่าตลาดนะครับ ไม่ใช่การให้โดยเสน่ห์หา

พ่อของคุณเรืองไกรได้เงินจากการขายหุ้น คุณเรืองไกรเสียเงินซื้อหุ้นจากพ่อ
ใครมีรายได้จากหุ้น ? ใครต้องเสียภาษี ?? พ่อของคุณเรืองไกร หรือคุณเรืองไกร ???

บันทึกการเข้า
buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #84 เมื่อ: 10-01-2007, 11:06 »

คุณ buntoshi

คุณบอกว่า คุณเรืองไกร ซื้อหุ้นจากพ่อในราคาต่ำกว่าตลาดนะครับ ไม่ใช่การให้โดยเสน่ห์หา

พ่อของคุณเรืองไกรได้เงินจากการขายหุ้น คุณเรืองไกรเสียเงินซื้อหุ้นจากพ่อ
ใครมีรายได้จากหุ้น ? ใครต้องเสียภาษี ?? พ่อของคุณเรืองไกร หรือคุณเรืองไกร ???



คุณกาลามชน ไม่รู้หรือ แกล้ง ไม่รู้หล่ะครับ  ถ้ารู้ก็รีบบอกมาได้ จะได้รู้ว่าเข้าใจตรงกันหรือเปล่า 
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #85 เมื่อ: 10-01-2007, 14:54 »

คุณ buntoshi

ผมงงนะครับ.. ถ้าคุณเรืองไกร ซื้อ หุ้นจากพ่อ ไม่ว่าจะคิดราคาเท่าไรก็ตาม
ธรรมดาอาการซื้อคือ คุณเรืองไกรเสียเงิน แต่ได้หุ้นมา.. ส่วนคุณพ่อได้เงิน แต่เสียหุ้นไป
คุณเรืองไกรเป็นคนที่เสียเงิน.. แล้วรัฐเก็บภาษีอะไรจากคุณเรืองไกร
มีแต่ต้องไปเก็บภาษีจากพ่อของคุณเรืองไกร ที่ขายหุ้นให้ลูกชาย แล้วได้เงินมา

ดังนั้นผมจึงไม่เชื่อว่า จะเป็นอย่างที่คุณอธิบาย
บันทึกการเข้า
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #86 เมื่อ: 10-01-2007, 15:18 »

ซื้อขายหุ้นนอกตลาด เป็นประเด็นที่พูดกันจัง

ข้อเท็จจริงคือ ไม่มีการซื้อขายหุ้นนอกตลาด

ตอนที่ทักษิณให้โอ๊คในปี 2544 เป็นการให้โดยเสน่หาฉันท์คนในครอบครัว ซึ่งไม่ต้องเสียภาษี ข้อเท็จจริงประกอบคือ
1. โอ๊คไม่มีเงินที่จะซื้อหุ้นจากพ่อ ไม่ว่าจะคิดลดราคาให้เท่าใดก็ตาม
2. สมมติว่าโอ๊คมีเงิน แล้วไปซื้อหุ้นจากพ่อ โอ๊คเสียเงิน ทักษิณได้เงิน คนที่ต้องตกเป็นจำเลยฐานเลี่ยงภาษี ต้องเป็นทักษิณ ไม่ใช่โอ๊ค
จากข้อเท็จจริงนี้ ควรเชื่อได้ว่าเป็นการให้โดยเสน่หา มิใช่การซื้อขายนอกตลาด

ส่วนประเด็นการขายหุ้นให้ เทมาเสก ในปี 2549 นั้น
ผมสังเกตว่าคนทั้งประเทศรู้ข่าวการดีล แต่คนจำนวนมากไม่รู้ว่าตอนเปลี่ยนมือเขาจับคู่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์
อาจเป็นเพราะฝ่ายที่ต้องการทำลายทักษิณ เลี่ยงที่จะไม่พูดความจริงให้หมด ละส่วนสำคัญตอนท้าย เพื่อให้คนเข้าใจผิดไปเอง
ทำนองอรรถาธิบายว่าการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษี แต่ขายหุ้นนอกตลาดต้องเสียภาษี
แล้วก็ให้ข้อมูลการดีลของทักษิณกับเทมาเสก แต่ไม่บอกให้หมดว่าขั้นตอนสุดท้ายเขาเข้าไปซื้อขายกันในตลาด
เสร็จแล้วก็โมเมสรุปว่าตระกูลชินวัตรเลี่ยงภาษี คนฟังก็คิดเอาโดยตรรกะว่า คงจะผิดเพราะมีการซื้อขายกันนอกตลาด

ข้อที่โอ๊ค-เอม โดนในเวลานี้คือ เป็นกรรมการบริษัทฯ ได้รับหุ้นเป็นสินตอบแทน ถือว่าเป็นรายได้อย่างหนึ่ง จึงต้องเสียภาษี
ก็ถือว่า คตส เก่งมากที่สามารถหาข้อกฎหมายแบบนี้ได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2007, 15:28 โดย กาลามชน » บันทึกการเข้า
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #87 เมื่อ: 10-01-2007, 15:46 »

ลองเข้าไปดูกระทู้นี้กันได้ครับ
คู่มือเลี่ยงภาษี ฉบับ ‘บิ๊ก’ สรรพากร สำหรับครอบครัวชินวัตร http://forum.serithai.net/index.php?topic=7256.0

 
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #88 เมื่อ: 10-01-2007, 15:48 »

ที่แท้ คุณ กาลามชน มาเถียงแทน เพราะเข้าใจผิด หรือ เพราะรักมากกันแน่ครับเนี๊ยะ แต่ไม่เป็นไร ผม ขอ ยกตัวอย่างบท ความหนึงให้อ่านแล้ว กัน ถ้าเราเข้าใจตรงกัน จะได้ ถกเถียงกันต่อได้ ถ้าบทความนั้น ไม่จริง คุณ กาลาม เถียงได้ ตามสบายเลยนะครับ เดี๊ยวผม อันเชิญ ผู้รู้ มาตอบให้ ในส่วนของบทความ มันจำเป็นต้องเกี่ยวกับหุ้นชินนะครับ แต่มันมีเรื่องราวของคุณเรืองไกรอยู่ และ มีกฎหมายในเรื่อง การซื้อขาย ราคา ต่ำกว่าตลาด อาจจะทำให้ คุณ กาลามชน เข้าใจ ใกล้เคียงกับผมขึ้นมาบ้าง

หุ้นที่ครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์ ขายในตลาดหลักทรัพย์ให้กับ Temasek ไม่ต้องเสียภาษีจริงหรือ?

เอาละ ถ้าคุณคิดว่า คุณกล้าพอที่จะทำความเข้าใจกับกฎหมายภาษีอันวกวนน่าเวียนหัว เชิญอ่านบางตอนจากบทความเรื่อง “ตีความเอื้ออาทร?: ว่าด้วยเรื่องส่วนต่างราคาหุ้น กับการเสียภาษี” โดยนักข่าวหัวเห็ดคนเดิม คุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์:

……

[ก่อนปี 2544] ผู้ที่เคยซื้อหุ้นมาราคาพาร์เพียงหุ้นละ 1 บาท จาก พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน ได้แก่ นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่บุญธรรมคุณหญิงพจมาน จำนวน 268 ล้านหุ้น (แตกพาร์แล้ว) นายพานทองแท้ ชินวัตร 733 ล้านหุ้น, นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 20 ล้านหุ้น หรือแม้แต่ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร ซื้อหุ้นต่อมาจากนายพานทองแท้ 367 ล้านหุ้น

ตอนนั้นก็เกิดคำถามคล้ายกับตอนนี้ คือ การซื้อหุ้นมาในราคา 1 บาท จะต้องเสียภาษี “ส่วนต่าง” ระหว่างราคาหุ้นที่ซื้อ กับราคาตลาดหรือไม่

เมื่อปรากฏเป็นข่าวอื้อฉาวขึ้นมา กรมสรรพากรได้ยืนยันหลายครั้งว่า การซื้อขายหุ้นกันระหว่างเครือญาติชินวัตรในราคาต่ำกว่าราคาตลาดนั้น ไม่ต้องเสียภาษีดังนี้

ครั้งแรก นายวิชัย จึงรักเกียรติ รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร (นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล-ปัจจุบันเป็นปลัดกระทรวงการคลัง) ทำหนังสือ ลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2545 (ที่ กค.0811/6312) ระบุว่า การซื้อขายหุ้นดังกล่าว ถือไม่ได้ว่า ผู้ซื้อได้รับประโยชน์จากการโอนหุ้นซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน ซึ่งไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 (4) (ช) ตามประมวลรัษฎากร เนื่องจากยังมิได้ก่อให้เกิดรายได้แก่ผู้ซื้อแต่ประการใด จนกว่าผู้ซื้อจะได้ขายหุ้นดังกล่าวไปโดยได้รับผลประโยชน์ซึ่งตีราคาเป็นเงิน ได้เกินกว่าเงินที่ลงทุน

ต่อมา เมื่อนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นักบัญชีหุ้น บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ ซื้อจากบิดาในราคา 10 บาท จากราคาตลาด 21 บาท มีส่วนต่างประมาณ 55,000 บาท ปรากฏว่าถูกกรมสรรพากรคำนวณเป็นภาษีเงินได้ จึงมีการร้องเรียนว่า กรมสรรพากรเลือกปฏิบัติ ไม่ยอมเก็บภาษี “ส่วนต่าง” ราคาหุ้น SHIN ทำให้นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2549 ว่าเป็นความผิดพลาดและเข้าใจผิดกรมสรรพากรพร้อมที่จะคืนเงินภาษีที่เก็บไปจากนายเรืองไกรไป นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่กรมสรรพากรคืนเงินให้ผู้เสียภาษีโดยผู้เสียภาษีมิได้ขอคืน

ครั้งที่สอง บันทึกคำให้การของนายเรืองไกร (ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2548) ที่นายพิชเยนทร์ กองทอง นิติกร 8 กรมสรรพากรเขียนขึ้นระบุว่า สำหรับเงินได้พึงประเมินที่เป็นผลประโยชน์จากการซื้อหุ้น ยังคงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี เพราะเงินได้ในส่วนนี้ยังมิได้มีการก่อให้เกิดรายได้ต่อท่าน (นายเรืองไกร) ท่านจะเสียภาษีเงินได้ในส่วนนี้ก็ต่อเมื่อ ท่านได้ขายหุ้นดังกล่าวไปโดยได้รับผลประโยชน์ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินที่ลงทุน ทั้งนี้ ตามมาตรา 40 (4) (ช)

ครั้งที่สาม นายสุเทพ พงษ์พิทักษ์ สรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 3 ทำหนังสือ ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2548 (ที่ กค.0709.03 (ภค.) / 12123) ถึงนายเรืองไกร เรื่องแจ้งคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2546 โดยระบุว่า ในกรณีดังกล่าว ยังไม่อาจถือได้ว่าท่านมีเงินได้พึงประเมินเพราะเป็นเพียงขั้นลงทุน หาใช่ผลประโยชน์ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินลงทุน ตามมาตรา 40 (4) (ช) ท่าน (นายเรืองไกร) จึงยังคงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้สำหรับตัวเลขผลประโยชน์จากการซื้อหุ้น จนกว่าท่านจะได้ขายหุ้นดังกล่าวไปโดยได้รับผลประโยชน์ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้ เกินกว่าเงินลงทุน

สรุปแล้วทั้ง 3 ครั้งกรมสรรพากรยืนยันว่า การที่บุคคลธรรมดาซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ยังไม่ต้องเสียภาษีที่เกิดขึ้นจาก “ส่วนต่าง” ราคาดังกล่าว จนกว่าบุคคลผู้นั้นจะขายหุ้นออกไปในราคาสูงกว่าราคาที่ซื้อมา จึงจะนำ “ส่วนต่าง” ดังกล่าวมาคำนวณภาษี ซึ่งคำวินิจฉัยของกรมสรรพากรนั้น ใช้ทั้งกับกรณีนายเรืองไกรที่ซื้อหุ้นมาจากบิดามูลค่ากว่า 50,000 บาท หรือกรณีครอบครัวชินวัตรซื้อหุ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท (ราคาหุ้น SHIN หุ้นละ 1 บาท)

ดังนั้น นายเรืองไกรขายหุ้นไปได้กำไร 50,000 บาท ก็ต้องนำ “ส่วนต่าง” 50,000 บาท ดังกล่าวมาคำนวณเป็นภาษีเงินได้ประจำปี

เช่นเดียวกับถ้าครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์นำหุ้น SHIN ที่ซื้อมาในราคาหุ้นละ 1 บาท ไปขายให้ Temasekได้ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท เป็นเงินรวมเกือบ 70,000 ล้านบาท หรือมีส่วนต่างกว่า 60,000 ล้านบาท ก็ต้องนำ “ส่วนต่าง” กว่า 60,000 ล้านบาท ไปคำนวณภาษีเงินได้ประจำปี ซึ่งแน่นอนว่าต้องเสียภาษีสูงสุด 37% ซึ่งเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท

การที่ทั้งนายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนางไพฑูรย์ เกสร รองอธิบดีกรมสรรพากร รีบออกมารับหน้าว่า การขายหุ้น SHIN ของครอบครัวชินวัตรให้ Temasek ครั้งนี้ ไม่ต้องเสียภาษีใน “ส่วนต่าง” ที่เกิดขึ้น (จากที่ซื้อมาราคาหุ้นละ 1 บาท) ด้วยเหตุผลเป็นการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ได้รับการยกเว้นภาษีอยู่แล้ว

ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า เป็นการรักษาผลประโยชน์ของใครกันแน่ และให้ดูกันต่อไปว่า จะมีข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลังรายใดจะได้รับการปูนบำเหน็จเหมือนที่ผ่านๆ มา

แต่ดูเหมือนว่า กรมสรรพากรจะยังไม่แน่ใจว่าจะปิดช่องการเสียภาษีของการซื้อขายหุ้นชินหมดหรือยัง จึงมีหนังสืออีกฉบับหนึ่งลงวันที่ 29 ธันวาคม 2548 (ที่ กค. 0709.31/18325 ลงนามโดย นางจิตรมณี สุวรรณพูล สรรพากรภาค 1 ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร) ชี้แจงเรื่องนี้ต่อนายเรืองไกรซึ่งเป็นการพลิกคำวินิจฉัยเดิมทั้งหมดว่า การซื้อขายทรัพย์สิน (หุ้น) ราคาต่ำกว่าราคาตลาด “ส่วนต่าง” ดังกล่าว ไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 39 ของประมวลรัษฎากรตั้งแต่ต้น

หนังสือดังกล่าวพยายามอธิบายว่า การซื้อทรัพย์สินโดยปกติจะมีราคาตลาดสำหรับซื้อทรัพย์สินนั้น โดยราคาตลาดจะมีหลายราคา หากเป็นการซื้อเพื่อนำไปใช้เองหรือเป็นผู้บริโภค ผู้ซื้อจะซื้อตามราคาของผู้ขายปลีก หากเป็นการซื้อเพื่อนำไปขายซึ่งต้องซื้อเป็นจำนวนมาก ผู้ซื้อจะต้องซื้อในราคาต่ำโดยอาจซื้อราคาตลาดที่เป็นของผู้ผลิตหรือผู้ขายส่ง

ดังนั้น ทรัพย์สินชนิดเดียวกัน อาจมีราคาซื้อแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสถานะของผู้ซื้อ ซึ่งเป็นเรื่องปกติทั่วๆ ไปของการซื้อขายตามมาตรา 453 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.)

นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ราคาซื้อดังกล่าวถูกกว่าราคาตลาด เช่น การส่งเสริมการขาย สินค้าตกรุ่น เลหลังสินค้า เลิกกิจการ ขายทอดตลาด ความพอใจ ความสัมพันธ์ส่วนตัว ฯลฯ ซึ่งเป็นการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย อันเป็นเรื่องปกติทั่วๆ ไป ตามมาตรา 453 ป.พ.พ.

“การซื้อทรัพย์สินในลักษณะดังกล่าว จะเป็นเรื่องของทุนซึ่งกระทบต่อจำนวนเงินของผู้ซื้อที่มีอยู่ ทั้งจำนวนเงินที่เหลืออยู่และที่ได้จ่ายไป ดังนั้น ไม่ว่าการซื้อทรัพย์สินผู้ซื้อจะซื้อตามราคาตลาดหรือซื้อในราคาถูกกว่าตลาด ผู้ซื้อต้องเสียเงินสำหรับการซื้อตามจำนวนมากน้อยตามราคาที่ตกลงกัน..การที่ ซื้อทรัพย์สินราคาถูกจะทำให้เหลือเงินมากกว่าซื้อทรัพย์สินในราคาปกติ เงินที่เหลือดังกล่าวไม่ว่าจะเหลือมากน้อยเท่าใด ก็เป็นเงินของผู้ซื้อเอง เป็นเรื่องของทุน มิใช่เงินที่ผู้ซื้อได้รับหรือเข้าลักษณะเป็นประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับจาก ผู้อื่นแต่อย่างใด ด้วยเหตุผลข้างต้น การซื้อทรัพย์สินในราคาถูก ไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับ อันเข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 เช่นเดียวกับส่วนลดปกติและส่วนลดพิเศษที่จะลดให้ทันที เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าตามเกณฑ์ที่กำหนด” หนังสือของกรมสรรพากรระบุ

จากนั้นสรุปว่า กรณีของนายเรืองไกรซึ่งซื้อหุ้นบริษัท ทางด่วนกรุงเทพจากบิดาต่ำกว่าราคาตลาดที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เป็นการซื้อขายทรัพย์สินกันระหว่างนายเรืองไกรกับบิดาซึ่งเป็นการซื้อขายอัน เป็นเรื่องปกติในทางการค้า ส่วนราคาที่ตกลงซื้อขายกันต่ำกว่าราคาตลาด ผู้ขายและผู้ซื้อมีสิทธิตกลงกันได้โดยผู้ซื้อต้องใช้ราคาทรัพย์สินตามที่ตกลงกันนั้นตามมาตรา 453 แห่ง ป.พ.พ.

“ดังนั้น กรณีท่าน (นายเรืองไกร) ซึ่งเป็นผู้ซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ส่วนต่างของราคาซื้อกับราคาตลาด ไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับ อันเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 39 ตามเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น” หนังสือระบุ

จากคำชี้แจงดังกล่าวสรุปได้ว่า การซื้อขายหุ้นต่ำกว่า ราคาตลาด “ส่วนต่าง” ที่เกิดขึ้น มิได้เป็นผลประโยชน์ที่ได้รับมาตั้งแต่ต้น จึงไม่เข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินมาตั้งแต่ต้น เพราะเป็นการซื้อขายทรัพย์สินตามปกติ โดยมีเงื่อนไข เช่นความสัมพันธ์ส่วนตัว ความพอใจ ดังนั้นต่อไปไม่ว่า ผู้ซื้อจะขายหุ้นนั้นไปในราคาสูงเท่าใด ก็ไม่ต้องเสียภาษีที่เกิดขึ้นจาก “ส่วนต่าง” มาตั้งแต่ต้น

เป็นการพลิกแนวคำวินิจฉัย 3 ครั้งแรก ที่ระบุว่า ถ้าขายหุ้นไปแล้วมีกำไร เกิด “ส่วนต่าง” เกินกว่าที่ได้ลงทุน (ซื้อมา) ต้องเสียภาษี “ส่วนต่าง” ดังกล่าว

การที่กรมสรรพากรเปลี่ยนคำวินิจฉัยดังกล่าวแบบกลับหลังหันช่างสอดคล้องกับห้วงเวลาการขายหุ้นชิน ให้กับ Temasek มูลค่าเกือบ 70,000 ล้านบาท ซึ่งมีส่วนต่างกว่า 60,000 ล้านบาท

เป็นการปิดทางเรียกร้องมิให้เก็บภาษี “ส่วนต่าง” ดังกล่าวกว่า 25,000 ล้านบาท!!

……

ชัดเจนว่า สรรพากรต้องพลิกลิ้นโดยอ้างหลักการของ “กฎหมายทั่วไป” คือ ประมวลกฎหมายแพ่ง ซึ่งโดยธรรมชาติเป็นกฎหมายที่ “กว้าง” และเปิดให้ตีความได้หลายแง่ แทนที่จะอ้างกฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวกับการคำนวณภาษี คือประมวลรัษฎากร เพราะในประมวลรัษฎากรนั้นมีข้อความชัดเจนเกี่ยวกับรายได้พึงประเมิน ซึ่งก็เป็นข้อกฎหมายที่สรรพากรใช้เรียกเก็บภาษีจากประชาชนคนไทยมาตลอด รวมทั้งคุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะด้วย

สรุปว่า ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อน “ดีลประวัติศาสตร์” อยู่ดีๆ กรมสรรพากรก็เลิกอ้างอิงประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับการประเมินภาษีทีเคยใช้ตลอดมา กลับไปอ้างกฎหมายทั่วไป ซึ่งกว้างกว่าและคลุมเครือกว่าโดยธรรมชาติ เพียงเพื่อต้องการสร้าง “ความชอบธรรม” ให้กับคำตอบที่สนองความต้องการของคนสี่คนในครอบครัวชินวัตร-ดามาพงศ์

ถ้าการพลิกลิ้นครั้งนี้กลายเป็นบรรทัดฐานในการเก็บภาษี ประเทศชาติจะสูญเสียรายได้ปีละมหาศาลในปีต่อๆ ไป เพราะการซื้อขายในราคา “ต่ำกว่าราคาตลาด” นั้น เป็นเทคนิคการเลี่ยงภาษีที่นักธุรกิจทุกคนรู้ดี

เป็นการพลิกลิ้นแบบ “จับแพะชนแกะ” ที่มีราคาแพงยิ่งนัก!

ความถูกต้องทางกฎหมาย: ถูกต้องแต่ไร้ซึ่งศีลธรรมโดยสิ้นเชิง – พลิกลิ้น เลือกปฏิบัติขนาดนี้ แปลว่าสรรพากรอยากตะแบงหาข้อกฎหมายที่ทำให้อ้างได้ว่า “ไม่ต้องเสียภาษี”

คงไม่มีใครแปลกใจ ถ้าในภายภาคหน้ากรมสรรพากรจะเลิกอ้างข้อกฎหมายแพ่ง กลับไปอ้างประมวลรัษฎากรเหมือนเดิม หลังจากที่ดีลนี้เสร็จสิ้นลงอย่างเรียบร้อยโรงเรียนชินวัตร

ความถูกต้องทางศีลธรรม: “น่าเกลียดสุดขั้ว” – หน่วยงานรัฐพลิกลิ้น เลือกปฏิบัติเพื่อเอาประโยชน์เข้ากระเป๋านาย อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่า “ไร้ยางอาย” ก็ควรไปเกิดใหม่ได้แล้ว

แต่ก็ไม่แน่ นายกฯ อาจนึกในใจว่า แหม นักธุรกิจที่ฉลาดที่ไหนเขาก็ทำอย่างนี้แหละ อะไรกัน จะมาคาดหวังให้ผมทำตัวเป็นตัวอย่างบ้าบออะไร ไร้สาระ ตำแหน่งนายกฯ สำหรับผมน่ะ มันเอาไว้ให้เลี่ยงภาษี ทำธุรกิจง่ายขึ้นเท่านั้นแหละ


นี่คือ เรื่องในอดีต นะครับ แต่ ปัจจุบัน ศาลตัดสินแล้ว ทั้งลงโทษข้าราชการ ให้เห็นแล้ว ขอให้เข้าใจตรงกันด้วย

ปล.ผมขอกฎหมาย สำแดง คุณกาลามชน เมื่อไหร่ จะบอกผมซักทีหล่ะครับ
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #89 เมื่อ: 10-01-2007, 17:53 »

คุณประสงค์ วิเคราะห์ว่าซื้อ ก็อาจจะใช่ในกรณีคนอื่นในตระกูลชินวัตร แต่เข้าใจว่าไม่ใช่โอ๊ค
จากข้อเท็จจริงคือโอ๊คเป็นลูก สามารถใช้หลักให้โดยเสน่หาฉันท์คนในครอบครัวได้
คือทักษิณยกหุ้นให้โอ๊ค แต่คนอื่นไปเรียกว่าซื้อขาย

เรื่องกฎหมายสำแดง ไม่สำแดง ไม่มีครับ เพราะไม่มีเขียนไว้ชัดๆ และนั่นคือปัญหาที่ทำให้เกิดความยุ่งยาก
เมื่อมีคนเอาสิ่งที่สรรพากรคิดว่ามิต้องสำแดงมาสำแดง ถึงได้เกิดเป็นเรื่องขึ้นมา
เพราะในเบื้องต้นยังไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไรถูก จนต้องถึงคณะกรรมถึงอุทธรณ์ มีมติให้เก็บภาษี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2007, 20:12 โดย กาลามชน » บันทึกการเข้า
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #90 เมื่อ: 11-01-2007, 00:11 »

ผมไม่อยากให้กระทู้นี้ ทำสถิติ คคห.ดันทุรังจากคนรักทักษิณ ฯ.....


ถึงเวลานี้ ผมได้แต่แสดงความคิดเห็นว่า....

คนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม และ ลูกจ้างเทียมรักเทียม "รอ" การวินิจฉัยของศาลสถิตยุติธรรม ก็แล้วกัน....
คงไม่หน้ามืด ตามัว ไม่ยอมความเห็นของศาลอีกหล่ะ...........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #91 เมื่อ: 11-01-2007, 00:34 »

 ก่อนที่อนุกรรมการ คตส.จะได้ข้อสรุปเรื่องการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปของนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทากับแอมเพิลริช ลองมาทวนความจำถึงปมปัญหาที่ทำให้เรื่องนี้ถูกเปิดเผยต่อสังคม รวมทั้งประเด็นใหม่ที่ถูกพูดถึงในปัจจุบัน
       
       คงยังจำได้ว่า ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ได้ตัดสินใจขายหุ้นชินคอร์ปที่ถืออยู่ทั้งหมด 49.595% ให้เทมาเส็กของสิงคโปร์เมื่อวันที่ 23 ม.ค.49 ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ได้เงินมา 7.3 หมื่นล้าน โดยไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐสักบาท นอกจากนี้ การซื้อขายหุ้นดังกล่าวยังถูกครหาจากสังคมด้วยว่า รัฐบาลทักษิณได้ปูทางการขายหุ้น ด้วยการแก้กฎหมายการประกอบกิจการโทรคมนาคมให้ต่างชาติเข้ามาถือครองหุ้นได้ถึง 49% จากเดิมแค่ 25% โดยทันทีที่กฎหมายฉบับแก้ไขนี้มีผลบังคับใช้ในวันศุกร์ที่ 20 ม.ค. การขายหุ้นชินคอร์ปก็เกิดขึ้นทันทีในวันจันทร์ที่ 23 ม.ค.
       
       แต่ปัญหาไม่ได้อยู่แค่นั้น เพราะอยู่ๆ สื่อมวลชนก็พบพิรุธว่า หุ้นชินคอร์ปที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ขายให้เทมาเส็กนั้น มันงอกขึ้นจากจำนวนที่ทั้งสองเคยถืออยู่เดิมคนละ 160 กว่าล้านหุ้น รวมแล้ว 329 ล้านหุ้น ซึ่งจำนวนหุ้นดังกล่าวสอดคล้องกับจำนวนหุ้นของชินคอร์ปที่บริษัท แอมเพิลริช (ตั้งอยู่ที่หมู่เกาะบริติชเวอร์จิ้น ไอร์แลนด์-1 ในแหล่งฟอกเงินชื่อดัง) ถืออยู่ เมื่อมีการตรวจสอบจึงพบว่า ณ วันที่มีการขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็ก (23 ม.ค.) คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ได้ให้นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัว แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า แอมเพิลริชได้ขายหุ้นชินคอร์ปให้นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทารวม 329.2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาทเมื่อวันที่ 20 ม.ค.หรือก่อนหน้าที่ทั้งสองจะขายหุ้นต่อให้เทมาเส็กเพียง 3 วัน!
       
      การซื้อหุ้นจากแอมเพิลริช 329 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท แต่ขายต่อให้เทมาเส็กในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ทำให้ทั้งสองฟันกำไรทันที 1.5 หมื่นล้าน โดยไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐอีกเช่นเคย เพราะกรมสรรพากรช่วยตีความให้ไม่ต้องเสีย โดยกรมสรรพากรถูกสังคมมองว่ากลับกลอกเพื่อช่วยตระกูลชินวัตร เพราะตอนแรกบอกว่า ขณะที่ทั้งสองซื้อหุ้นมา ยังไม่ต้องเสียภาษี เพราะยังไม่ได้ประโยชน์จากหุ้นนั้น จะเสียภาษีก็ต่อเมื่อมีการขายหุ้นนั้นออกไปแล้วได้กำไร แต่พอทั้งสองขายหุ้นนั้นออกไป กรมสรรพากรกลับพูดใหม่ว่า ไม่ต้องเสียภาษีอีก เพราะเป็นการขายหุ้นในในตลาด!?!
       
       ไม่เพียงกรมสรรพากรยุคนั้นจะช่วยให้นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทาไม่ต้องเสียภาษีจากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป แต่ยังเกิดความยอกย้อนของการซื้อขายหุ้นที่อาจเข้าข่าย “แจ้งเท็จ” ด้วย เพราะแม้คุณหญิงพจมานจะให้นางกาญจนาภาแจ้งตลาดฯ ว่า แอมเพิลริชขายหุ้นให้ลูกทั้งสองเมื่อวันที่ 20 ม.ค.49 โดยแจ้งว่า ขายในตลาด แต่เมื่อตรวจสอบแล้วกลับไม่พบการซื้อขายในตลาดวันดังกล่าว คุณหญิงพจมานจึงให้ลูกทั้งสองแจ้งใหม่ว่า จริงๆ แล้วขายนอกตลาด ไม่ใช่ในตลาด ที่ผ่านมา “ติ๊กผิด”!?!

       
       นอกจากนี้ การซื้อขายหุ้นชินคอร์ป ระหว่างนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา กับแอมเพิลริช ยังทำให้สังคมกังขาด้วยว่านี่คือการ “ซุกหุ้น ภาค 2” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่? เพราะหลายคำถามไม่มีคำตอบ เช่น ทำไมแอมเพิลริชต้องขายหุ้นชินคอร์ป 329 ล้านหุ้นให้ลูกๆ พ.ต.ท.ทักษิณในราคาหุ้นละแค่ 1 บาท ทั้งที่ราคาในตลาดขณะนั้นอยู่ที่ 49 บาท นั่นแสดงว่า แอมเพิลริชต้องมีความเกี่ยวพันอะไรกับนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทาใช่หรือไม่? ซึ่งในที่สุด ความจริงก็เปิดเผย เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ทนายประจำตระกูลอย่างนายสุวรรณ วลัยเสถียร ออกมาแถลงยอมรับว่า ตนเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท แอมเพิลริช เองเมื่อวันที่ 12 มี.ค.42 เพื่อโอนหุ้นชินคอร์ปไปไว้ที่นั่น 32.92 ล้านหุ้น(ภายหลังแตกพาร์จาก 10 บาท เป็น 1 บาท หุ้นจึงเพิ่มเป็น 329.2 ล้านหุ้น) โดยตั้งใจจะนำหุ้นเข้าซื้อ-ขายในตลาดแนสแด็กของสหรัฐฯ แต่บังเอิญว่า ปี’43 ตลาดแนสแด็กตกต่ำมาก จึงยกเลิกแผนดังกล่าว และขายหุ้นทั้งหมดให้นายพานทองแท้เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.43 ก่อนลงเลือกตั้งในปี’44 ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า หุ้นชินคอร์ปที่โอนไปไว้ที่แอมเพิลริชนี้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยแจ้งต่อ ป.ป.ช.แต่อย่างใด โดยมาอ้างในภายหลังว่า ได้ขายหุ้นให้ลูกไปแล้ว แต่ไม่มีหลักฐานว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้รับเงินจากการขายหุ้นจริง
       
       สังคมจึงอดกังขาไม่ได้ว่า นี่คือการซุกหุ้นภาค 2 ของ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่? โดยตั้งสมมติฐานว่า พ.ต.ท.ทักษิณอาจนำหุ้นชินคอร์ปไปซุกไว้ที่แอมเพิลริช โดยไม่แจ้งต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันหนึ่งตัดสินใจจะขายหุ้นชินคอร์ปที่ถืออยู่ทั้งหมดให้สิงคโปร์ ก็เลยต้องแอบโอนหุ้นที่แอมเพิลริชกลับมาให้ลูกๆ เพื่อรวมขายออกในคราวเดียวกัน!
       
       นั่นคือสิ่งที่สังคมกังขามาโดยตลอด และปัจจุบันได้มีประเด็นใหม่เกิดขึ้นมาอีกระหว่างที่ คตส.กำลังตรวจสอบและรอการชี้แจงของผู้เกี่ยวข้อง คือ เรื่อง “ทุนจดทะเบียน” ของแอมเพิลริช ก่อนหน้านี้มีการเปิดประเด็นจากบางฝ่ายว่า แอมเพิลริชมีทุนจดทะเบียนแค่ 1 เหรียญสหรัฐ แล้วเอาเงินที่ไหนมาซื้อหุ้นชินคอร์ปตั้ง 329 ล้าน? แม้ คตส.จะได้ข้อมูลมาว่า แอมเพิลริช มีทุนจดทะเบียน 5 หมื่นเหรียญสหรัฐ และช่วงหลังมีการเพิ่มทุนเป็น 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่มีการจดแจ้งเพียง 1 เหรียญสหรัฐ ซึ่งในต่างประเทศ วิธีเรียกทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วตามกฎหมายไม่เหมือนกับไทยที่จดแจ้งไว้เท่าไหร่ต้องชำระเต็มจำนวน แต่ที่เกาะบริติชเวอร์จิ้น ไอส์แลนด์ (บีวีไอ) จดทะเบียนไว้ 5 หมื่น จะเรียกเก็บ 1 เหรียญก่อนก็ได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่คำตอบเรื่องที่มาของเงิน 329 ล้านอยู่ดี!
       
       นอกจากประเด็นดังกล่าวแล้ว ยังมีสิ่งที่สร้างความสับสนและเคลือบแคลงในแง่การเพิ่มทุนอีก เพราะ คตส. ได้ข้อมูลมาอีกว่า ช่วงแรก (12 เม.ย. 42) แอมเพิลริชมีทุนจดทะเบียน 5 หมื่นเหรียญสหรัฐ ก็จริง แต่ต่อมา 7 มิ.ย. มีการเพิ่มทุนเป็น 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หลังจากนั้น 4 วัน (11 มิ.ย. 42) พ.ต.ท.ทักษิณก็ขายหุ้นชินคอร์ป 32.92 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท ให้แก่แอมเพิลริช ต่อมา 1 ธ.ค.43 ซึ่งเป็นวันที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่า ได้มีการขายหุ้นชินคอร์ปที่แอมเพิลริชให้นายพานทองแท้ แต่ในเอกสารกลับระบุทุนจดทะเบียนของแอมเพิลริชว่า 5 หมื่นเหรียญฯ ไม่ใช่ 10 ล้านเหรียญฯ และต่อมา 16 พ.ค.48 ซึ่งเป็นวันที่อ้างว่า น.ส.พิณทองทา เข้ามาซื้อหุ้นชินคอร์ป 20% จากนายพานทองแท้ และเป็นกรรมการแอมเพิลริชด้วยนั้น กลับปรากฏว่า ทุนจดทะเบียนของแอมเพิลริชเพิ่มขึ้นจาก 5 หมื่นเหรียญฯ มาเป็น 10 ล้านเหรียญฯ อีกครั้ง!?!

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9500000002906
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-01-2007, 00:35 โดย ปุถุชน » บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #92 เมื่อ: 11-01-2007, 00:39 »

  ลองมาดูกันว่า ผู้ที่เกาะติดเรื่องหุ้นชินคอร์ปมาตลอด มองการเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นชินคอร์ปในแอมเพิลริชและทุนจดทะเบียน รวมทั้งการเพิ่มทุนของแอมเพิลริชที่ผลุบๆ โผล่ๆ นี้อย่างไร?
       นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เหรัญญิกพรรคประชาธิปัตย์ อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า การซื้อขายหุ้นชินคอร์ปกับแอมเพิลริชเมื่อ 11 มิ.ย.42 นั้นเกิดขึ้นจริงหรือไม่? และว่า อาจมีการทำหลักฐานย้อนหลังเรื่องการเพิ่มทุน เพื่อให้เห็นว่า แอมเพิลริชมีความสามารถซื้อหุ้นชินคอร์ปก็เป็นได้
       
       “จริงๆ ผมได้ทำหนังสือถึง ป.ป.ช.ไปว่า ให้ดูว่า มีการซื้อหุ้นจริงหรือเปล่า เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2542 เพราะเมื่อแอมเพิลริชมีเงินเพียง 1 เหรียญฯ ก็ไม่ควรมีเงิน 329 ล้านมาซื้อหุ้น ผมเลยคิดว่า 10 ล้านเหรียญมาเพราะตรงนี้หรือเปล่า ผมไม่แน่ใจ คือ ทุกอย่างนี่เป็นเรื่องของการทำย้อนหลังหรือเปล่า เพื่อแสดงให้เห็นว่า มีการชำระเงินจริง ถ้าแอมเพิลริชไม่มีการชำระเงิน ก็ไม่เป็นไร แต่คุณทักษิณต้องถือว่าแอมเพิลริช เป็นลูกหนี้ เมื่อแอมเพิลริชเป็นลูกหนี้แล้ว พอคุณทักษิณมาเป็นนายกฯ วันที่ 9 ก.พ.(2544) ก็ต้องแสดง ซึ่งมันไม่มีอยู่แล้วว่า คุณทักษิณเป็นเจ้าหนี้แอมเพิลริช ก็เลยเป็นคำถามอันนี้ ถ้าทำย้อนหลัง คงไม่มีใครรู้ ประเด็นผมว่ามันสอบยาก วิธีสอบที่น่าจะชัดเจนกว่า ก็คือ ต้องไปตามตัวโบรกเกอร์ว่ารับเงินบัญชีที่ไหนอย่างไร คือการซื้อเป็นการซื้อบนกระดานใหญ่และผ่านโบรกเกอร์ เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรดูได้ดีไปกว่าเรื่องเงิน ...ผมอยากให้ดูที่ธนาคารแห่งประเทศไทย เพราะเงินเข้ามาใน ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องทราบ ถึงแม้จะเกือบ 10 ปีมาแล้ว ก็มีหลักฐาน เพราะเงินเข้า-เงินออก เวลาคนที่เอาเงินเข้ามา เขาต้องแจ้งเหตุผลว่า
       เอาเข้ามาเพราะอะไร เหตุผลสำคัญที่เขาต้องแจ้ง เพราะ เผื่อเขาต้องเอาออกไง คือเวลาเราเอาเงินเข้ามาเนี่ย เราก็รู้ว่า สักวันหนึ่งเราจะเอาออกไป เพราะฉะนั้นเราก็ต้องบอกว่า เราเอาเงินเข้ามาทำอะไร ถ้าหากเราเอาเงินเข้ามาซื้อหุ้น สักวันหนึ่งเราต้องขายหุ้นนี้ เราจะได้เอาเงินออกโดยไม่ต้องเสียภาษี ถ้าบอกว่า รับเงินในต่างประเทศ ก็ต้องแสดงในบัญชีเหมือนกันว่า มีบัญชีต่างประเทศ”

       
       ด้าน นายเกียรติ สิทธีอมร คณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ มองว่า การจะเพิ่มทุนหรือลดทุนของแอมเพิลริชไม่ใช่สาระสำคัญ ประเด็นอยู่ที่ว่า เงินก้อนแรกที่แอมเพิลริชของ พ.ต.ท.ทักษิณนำมาซื้อหุ้นชินคอร์ป 329 ล้านนั้น มาจากไหน มีที่มาที่ไปหรือไม่ แล้วการโอนหุ้นกันไปมาระหว่างพ่อ-ลูก และพี่-น้อง มีเหตุผลอะไรในการโอน เป็นการโอนเพื่อหลีกเลี่ยงการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.หรือไม่ หรือเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องภาษี หรือเพื่อฟอกเงินของตัวเองที่อยู่นอกระบบ ให้มาอยู่ในระบบ ด้วยการนำเงินมาซื้อหุ้น
       
       “กรณีของแอมเพิลริชเนี่ยมี 2-3 ส่วน ส่วนแรกเลย คุณทักษิณเคยบอกว่าไม่ได้เป็นเจ้าของตอนคดีซุกหุ้น แต่หลังจากนั้นก็มีการพูดเหมือนสารภาพเลยว่า เป็นเจ้าของ(แอมเพิลริช) อันนั้นก็เป็นคดีหนึ่ง มีการปกปิดเรื่องทรัพย์สินของตัวเองหรือไม่? จากนั้นก็มีอีกคดีหนึ่งว่า เงิน 329 ล้าน(ที่นำมาซื้อหุ้นชินคอร์ป)เนี่ย เอามาจากไหน ถ้าเป็นเงินที่ไม่มีที่มาที่ไป จะเข้าข่ายเรื่องฟอกเงินหรือไม่? หลังจากนั้นก็มีการโอนหุ้นกันไปกันมาระหว่างพี่-น้อง ,พ่อ-ลูก ก็ต้องถามว่า โอนกันกี่ครั้ง ผ่านใครบ้าง และเหตุผลที่โอนหุ้นเหล่านั้น เป็นเพราะอะไร? และในกรณีที่โอนหุ้นในเชิงพาณิชย์ ไม่ใช่เป็นมรดกตกทอด ในความเข้าใจของนักกฎหมายสรรพาพรทุกคนก็คือ ยังไงก็ต้องเสียภาษี การโอนจากพ่อไปลูก เรื่องความเสน่หาอะไรก็แล้วแต่ที่โอนต่ำกว่าราคาตลาด แล้วไม่เสียภาษีเนี่ย ก็คงเป็นกรณีให้เป็นมรดก จากพ่อไปลูก แต่ก็ต้องตีความว่า อันนี้เป็นการโอนเพื่อวัตถุประสงค์อะไร ตามที่เห็นเนี่ย เข้าใจว่า เป็นการโอนเพื่อหลีกเลี่ยงการชี้แจงทรัพย์สินและหนี้สิน และเรื่องภาษี และถ้าผมคิดไม่ดีมากๆ ก็คือ พยายามที่จะเอาเงินที่อยู่นอกระบบเข้าไปอยู่ในระบบโดยการซื้อหุ้น คือ ผมมีเงินซุกไว้อยู่ต่างประเทศ ผมอยากจะโอนเข้าประเทศเนี่ย วิธีที่ดีที่สุด ก็ซื้อหุ้นใช่มั้ย ต้องเข้าไปดูสิ่งเหล่านี้ว่า มันใช่หรือไม่”
       
       ขณะที่ นายกรณ์ จาติกวณิช รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และคณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ มองการผลุบๆ โผล่ๆ ของการเพิ่มทุนจดทะเบียนของแอมเพิลริชว่า สะท้อนความไม่ชัดเจนว่า มีการชำระเงินกันจริงหรือไม่? ถ้าเพิ่มทุนจริง หุ้นที่เพิ่มขึ้นเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือนายพานทองแท้ และนำเงินมาจากไหน? อย่างไรก็ตาม นายกรณ์ เผยว่า ตอนนี้น่าจะมีหลักฐานแล้วว่า ใครเป็นผู้ถือหุ้นชินคอร์ปตัวจริงที่แอมเพิลริชกันแน่ ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับนายพานทองแท้ เพราะรู้สึกว่า เงินปันผลที่แอมเพิลริชจ่ายออกมา ไม่ได้ไปที่พานทองแท้
       
       “จริงๆ ตอนที่เพิ่มทุน ใครเป็นคนเพิ่ม คือ ณ วันนั้นหุ้นที่เพิ่มขึ้นมาเป็นของใคร เป็นของพานทองแท้จริงหรือ ถ้าจริงนี่ เงินมาจากไหน มีการชำระเงินหรือเปล่า หรือว่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นมานี่เป็นของคุณทักษิณ ...คตส.มีอำนาจอยู่แล้ว เพราะ คตส.ก็แจกจ่ายงานไปที่ ก.ล.ต. ปปง. แม้แต่แบงก์ชาติก็ได้ ที่จะตรวจเช็กในแง่ของการเคลื่อนไหวของตัวเงิน คือ ถ้าเป็นการเพิ่มทุน ความหมายน่าจะหมายความว่า เขาอ้างว่า เป็นของพานทองแท้ คืออ้างอย่างอื่นไม่ได้แล้ว ถ้าเป็นการอ้างพานทองแท้ ก็ต้องมาพิสูจน์ว่า แล้วคุณมีหลักฐานการชำระเงินค่าเพิ่มทุนอย่างไร แต่ก็อย่าลืมว่า มันเพิ่มทุนเป็นทุนจดทะเบียน แต่ไม่ได้เรียกเงินก็ได้มั้ย มันต้องตามตัวเงิน พูดง่ายๆ และผมได้ยิน ผมเข้าใจว่า ประเด็นที่อาจจะสำคัญเพียงพอกันหรือมากกว่า ก็คือ อาจจะมีหลักฐานแล้วด้วยซ้ำไปว่า (เงิน) ปันผลที่ชินคอร์ปจ่ายให้กับแอมเพิลริชเนี่ย เขาตีเช็คแอมเพิลริชใช่มั้ย แต่ปันผลที่แอมเพิลริชจ่ายออกมาเนี่ย มีคำถามแล้วด้วยซ้ำไปว่า ไปที่พานทองแท้ในฐานะผู้ถือหุ้นหรือเปล่า หรือไปที่อื่น แล้วผมเข้าใจว่าไม่ได้ไปที่พานทองแท้ ผมเข้าใจว่า คตส.อาจจะใกล้ความเป็นจริงแล้วในเรื่องนี้ด้วยซ้ำไป”
       
       ถ้าบุคคลระดับรองเลขาธิการพรรคอย่างกรณ์ จาติกวณิช และเป็นมือเศรษฐกิจที่เกาะติดเรื่องหุ้นชินคอร์ปมาตั้งแต่แรก กล้าออกมาเปิดประเด็นเรื่องการจ่ายเงินปันผลหุ้นชินคอร์ปว่า คนที่ได้รับเงินอาจไม่ใช่พานทองแท้ แต่เป็นคนที่สังคมสงสัยและกังขามาตลอดแล้วละก็ เห็นที เรื่องนี้คงไม่ใช่ร้อนถึง “ลูกๆ” เท่านั้น แต่ผู้เป็นพ่อคงได้มี “หนาว” กันบ้าง!!

http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9500000002906



คนรักทักษิณ สาวกฯ หวอรูม และ ลูกจ้างเทียมรักเทียม จะ ตะแบง เบี่ยงเบน ประเด็นเป็นเรื่องอื่น ๆ อย่างไร........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-01-2007, 00:41 โดย ปุถุชน » บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
buntoshi
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,348



« ตอบ #93 เมื่อ: 11-01-2007, 09:04 »

คุณประสงค์ วิเคราะห์ว่าซื้อ ก็อาจจะใช่ในกรณีคนอื่นในตระกูลชินวัตร แต่เข้าใจว่าไม่ใช่โอ๊ค
จากข้อเท็จจริงคือโอ๊คเป็นลูก สามารถใช้หลักให้โดยเสน่หาฉันท์คนในครอบครัวได้
คือทักษิณยกหุ้นให้โอ๊ค แต่คนอื่นไปเรียกว่าซื้อขาย

เรื่องกฎหมายสำแดง ไม่สำแดง ไม่มีครับ เพราะไม่มีเขียนไว้ชัดๆ และนั่นคือปัญหาที่ทำให้เกิดความยุ่งยาก
เมื่อมีคนเอาสิ่งที่สรรพากรคิดว่ามิต้องสำแดงมาสำแดง ถึงได้เกิดเป็นเรื่องขึ้นมา
เพราะในเบื้องต้นยังไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไรถูก จนต้องถึงคณะกรรมถึงอุทธรณ์ มีมติให้เก็บภาษี


โอเคครับ บอกว่าไม่มีแค่นี้ก็จบ แสดงว่าคุณตีความไปเอง แล้ว มาบอกว่า ถ้าสำแดงต้องเสีย ไม่สำแดงไม่ต้องเสีย

เวลาจะเป็นเรื่องพิสูจน์สิ่งที่คุณ กาลามชน โพสต์ มาทั้งหมดนะครับ

ถ้ายอมรับคำตัดสินของศาล ก็คงไม่เข้าใจเป็นอื่น
บันทึกการเข้า


เราต้องสร้างคนดีมากกว่าคนเก่ง เพราะคนเก่งจะเห็นคนอื่นเก่งกว่าไม่ได้ จะพยายามเก่งกว่าคนอื่น แต่คนดีจะมีความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเก่ง รวมทั้งคนดีทุกคน ล้วนเก่งทั้งนั้น....  ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
---------------------------
หน้า: 1 [2]
    กระโดดไป: