ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
18-04-2024, 18:54
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ศาลพิพากษากรมสรรพากรปฎิบัติมิชอบ ไม่เก็บภาษีโอนหุ้น'เรืองไกร' 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1] 2
ศาลพิพากษากรมสรรพากรปฎิบัติมิชอบ ไม่เก็บภาษีโอนหุ้น'เรืองไกร'  (อ่าน 7972 ครั้ง)
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« เมื่อ: 29-12-2006, 02:26 »

ศาลพิพากษากรมสรรพากรปฎิบัติมิชอบ ไม่เก็บภาษีโอนหุ้น'เรืองไกร'

28 ธันวาคม 2549 16:05 น.
ศาลพิพากษากรมสรรพากรปฎิบัติมิชอบ ไม่เก็บภาษีค่าโอนหุ้น หลัง" เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" นักธุรกิจฟ้องในความผิดเรื่องละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจสั่งคืนเงินภาษี


ศาลมีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 183/2549 ที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นักธุรกิจ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร เป็นจำเลย ในความผิดเรื่องละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจสั่งคืนเงินภาษี โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการกระทำผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39

โดยคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปี 2546 ซึ่งในการชำระโจทก์ยื่นสำเนาสัญญาการโอนหุ้นที่โจทก์รับหุ้นจำนวนหนึ่งจากบิดา อันเป็นการซื้อขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งต่อมาเจ้าพนักงานของจำเลย ประเมินแล้วพบว่าโจทก์คำนวณเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายไม่ถูกต้อง

จึงประเมินให้โจทก์ต้องชำระภาษีรายได้และเงินเพิ่มอีก 21,350 บาท โดยโจทก์ชำระแล้ววันที่ 18 มิ.ย.47 พร้อมกับยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เพิกถอนการประเมินและให้งดหรือลดเงินเพิ่มว่าการเรียกเก็บเงินเพิ่มนั้นไม่ถูกต้อง ซึ่งคณะกรรมการอุทธรณ์ ฯ พิจารณาแล้วให้ยกคำร้องอุทธรณ์ของโจทก์ ซึ่งต่อมาโจทก์ยอมรับในการพิจารณาอุทธรณ์และการเรียกเก็บเงนเพิ่มดังกล่าว

ต่อมานายสุเทพ พงษ์พิทักษ์ สรรพากรพื้นที่กรุงเทพ ฯ 3 กลับมีหนังสือถึงโจทก์ระบุว่า ประโยชน์จากการโอนหุ้นที่โจทก์แสดงไว้ในรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น ไม่ถือเป็นเงินพึงประเมินที่ต้องชำระภาษีเงินเพิ่มตามมาตรา 40 (4) (ช) และ (Coolแห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีหน้าที่ต้องแสดงผลประโยชน์การซื้อขาย โอนหุ้นในแบบแสดงภาษีว่าเป็นเงินรายได้ จนกว่าโจทก์จะได้ขายหุ้นนั้นและได้รับผลประโยชน์ที่มีมูลค่าเกินกว่าการลงทุน

ทั้งนี้เป็นไปตาม มาตรา 40 (4) (ช) ซึ่งต่อมากรมสรรพากรได้ส่งคืนเช็คเงินที่โจทก์ชำระไปแล้ว แต่โจทก์พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา 39 ซึ่งการกระทำของนายสุเทพ ทำเพื่อประโยชน์บางประการแก่ผู้มีอำนาจทางการเมือง และญาติพี่น้องของนักการเมือง

ซึ่งจำเลย ให้การคัดค้านว่า กรณีของโจทก์เป็นผู้ซื้อหุ้นและเป็นผู้รับโอนหุ้น โจทก์จึงยังไม่มีเงินได้พึงประเมิณที่ได้มาจากการโอนหุ้นที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย เพราะการซื้อหรือรับโอนหุ้นของโจทก์ยังอยู่ในขั้นตอนการลงทุน ยังไม่มีเงินได้จากหุ้นที่ซื้อ

ดังนั้นเมื่อปรากฎว่าโจทก์ได้ชำระภาษีเกินจึงได้ดำเนินการคืนภาษีพร้อมดอกเบี้ยเป็นเช็ค ซึ่งเช็คที่สั่งจ่ายนั้นถูกต้องตามกฎหมาย จึงไม่มีเหตุที่โจทก์จะนำคดีมาฟ้องเพื่อบังคับให้จำเลยรับเช็คกลับคืน โดยคดีโจทก์ไม่ใช่คดีภาษีอากร ตามมาตรา 7 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2548 จึงขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง

ศาลพิเคราะห์ พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้วคดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า การที่จำเลยคืนเงินจำนวน 19,483.96 บาทให้แก่โจทก์นั้นถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามเจตนามรณ์ ของประมวลรัษฎากรมาตรา 30 ที่บัญญัติเรื่องการยื่นอุทธรณ์ประเมินภาษีในชั้นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของสรรพากร ให้การอุทธรณ์โต้แย้งประเมินภาษีของเจ้าพนักงานประเมินได้รับการตรวจสอบโดยคณะกรรมการซึ่งแยกเป็นอิสระต่างหากจากเจ้าพนักงานประเมินหรือกรมสรรพากรซึ่งเป็นหน่วยงานจัดเก็บภาษี โดยการแก้ไขคำวินิจฉัยอุทธรณ์จะทำไม่ได้เว้นแต่จะนำข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลภาษี ฯ ตามเงื่อนไขประมวลรัษฎากร มาตรา 30 (2)

โดยเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า หลังจากที่โจทก์ถูกแจ้งให้ไปชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2546 จำนวน 21,350 บาท โจทก็ได้นำเงินภาษีไปชำระให้จำเลยพร้อมกับยื่นอุทธรณ์การประเมินระบุว่าการคำนวณเงินได้ไม่ถูกต้องและโจทก์ขอให้ยกเลิกการประเมิน แล้วต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์หลังจากพิจารณาแล้วว่าโจทก์ไม่ได้นำผลประโยชน์จากการรับโอนหุ้นจำนวน 55,000 บาท มารวมเป็นเงินได้ในการคำนวณภาษีด้วย

ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏอีกว่าหลังจากนั้นโจทก์ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ผลการประเมินภาษีต่อศาลอีก ดังนั้น การพิจารณาประเมินภาษีโดยคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ให้โจทก์ต้องชำระเงินภาษีเพิ่มจำนวน 21,350 บาท จึงถือเป็นที่สุด ดังนั้นจำเลยหรือเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลการวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฝ่ายบริหารที่ถือเป็นที่สุดแล้วให้เป็นอย่างอื่นได้อีก


การที่จำเลยมีหนังสือคืนเช็คพร้อมส่งเช็คคืนเงินภาษีให้แก่โจทก์จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษาให้จำเลยรับคืนเช็ค ลงวันที่ 31 ก.ค. 48 จากโจทก์ และให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์และค่าทนายความแทนโจทก์ จำนวน 2,000 บาท

ทั้งนี้ นางปาริชาติ ภู่สำรวจ อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลาง กล่าวด้วยว่า คดีนี้ ศาลวินิจฉัย เฉพาะเรื่องของอำนาจเจ้าพนักงานประเมินหรือกรมสรรพากรในการเปลี่ยนแปลงผลคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เท่านั้น โดยไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมกหาร พิจารณาอุทธรณ์ที่วินิจฉัย เกี่ยวกับภาระภาษีจากการรับโอนหุ้นถูกต้องหรือไม่

ภายหลังนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กล่าวว่า คดีนี้ถือเป็นคดีแรกที่ศาลชี้ขาดข้อสงสัยซึ่งเป็นข้อถกเถียงเรื่องการเก็บภาษีหุ้น ซึ่งต่อไปคำพิพากษาของศาลภาษีอากรนี้จะทำให้เจ้าพนักงานประเมินของกรมสรรพากรมีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อการประเมินภาษีรายได้ในการรับโอน ซื้อ-ขายหุ้น และคำชี้ขาดน่าจะนำไปเทียบเคียงได้กับการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด ( มหาชน) ของตระกูลชินวัตรได้ แต่ทั้งนี้การพิจารณาประเมินภาษีคงต้องตรวจสอบเป็นกรณีๆ ไป

" ที่ผ่านมาผมเป็นนักบัญชีคนหนึ่ง ซึ่งพยายามเสียภาษีอย่างถูกต้องมาโดยตลอด เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่จะใช้ความรู้เรื่องบัญชีเป็นช่องทางเอาเปรียบสังคมและประเทศชาติ " นายเรืองไกรกล่าว
 
 http://www.bangkokbiznews.com/viewNews.jsp?newsid=143675

 
ถ้าถือการวินิจฉัยคดีนี้เป็นบรรทัดฐาน......
คดีซื้อขายหุ้นชินคอร์ป 73000 ล้านบาทที่ไม่ได้เสียภาษีเลย
จึงไม่ถูกต้อง......

และเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่สรรพากร....


บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
กุ๋ย กุ๋ย
น้องใหม่
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8



« ตอบ #1 เมื่อ: 29-12-2006, 04:46 »

การขายหุ้นชินคอร์ป ให้เทมาเซ็ก คงไม่ผิดครับเพราะเป็นการซื้อขายในตลาด

แต่ที่ผิดตามคดีนี้ น่าจะเป็นตอนทักษิณโอนหุ้นให้ลูกๆ แล้วไม่เสียภาษี
บันทึกการเข้า
stromman
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 526



« ตอบ #2 เมื่อ: 29-12-2006, 08:09 »

โอค เอม ต้องเสียอีก 18000 ล้านไม่รวมค่าปรับ  จุ๊กกรู.........
บันทึกการเข้า
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #3 เมื่อ: 29-12-2006, 08:14 »

กิจกรรมที่ก่อให้เกิดรายได้ อาจสามารถเทียบเข้าหาวิธีคิดภาษีได้หลายมาตรา
แต่จะเลือกมาตราไหนนั้น จารีตทางภาษีนั้น ยกประโยชน์ให้ผู้ยื่นภาษี เลือกมาตราไหนวรรคไหนก็ได้
ขอให้ตีความเข้ากับมาตรานั้นได้ สรรพากรก็จะรับไว้ตามนั้น
จะไม่มีการยื้อว่า มาตรานี้เสียภาษีน้อยไป ควรต้องไปเสียมาตรานั้น จะได้เงินเข้ารัฐมากกว่า

คงไม่เถียงว่า คุณเกรียงไกร เป็นฝ่าย AT ต้องการสร้างกระแสว่าทักษิณหนีภาษี
จึงลงทุนเอาหุ้นสองหมื่นสองพันบาทไปยื่นภาษี โดยขอเทียบเข้ามาตราที่ต้องเสียภาษีสูงๆ
เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของคุณเกรียงไกร ที่จะเลือกเสียภาษีตามมาตรานั้น

สรรพากรเชื่อว่าคุณเกรียงไกร มีเจตนาเลือกมาตราที่ต้องเสียภาษีสูง เพื่อให้กระทบทักษิณ
มันเป็นสิทธ์ของคุณเกรียงไกรที่จะยอมให้ประโยชน์แก่รัฐให้มากที่สุด
แต่สรรพากรไม่ยอมรับสิทธิ์ของคุณเกรียงไกร จึงพยายามยัดเยียดคืนภาษี
คุณเกรียงไกรอุทรณ์ คณะกรรมการอุทรณ์ฯชี้ขาดว่าเป็นสิทธิ์ของคุณเกรียงไกร ที่จะเลือกเสียภาษีในมาตรานั้น

เรื่องไปถึงศาล ศาลตัดสินยืนตามมติคณะกรรมการอุทรณ์ฯของสรรพากร

คดีนี้จึงไม่ได้เป็นข้อสรุปว่า หุ้นชิน ต้องเสียภาษี

แต่สรุปว่า ผู้เสียภาษี มีสิทธิเต็มที่ที่จะเลือกมาตรา ในกรณีที่เงินได้นั้นสามารถตีความเข้าได้กับหลายมาตรา
บันทึกการเข้า
RiDKuN
Administrator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,015



เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 29-12-2006, 09:00 »

คุณกาลามชนอาจจะเข้าใจเหตุการณ์ไม่ชัดเจน จึงตีความไปแบบนั้น 
ความจริงนายเรืองไกรตั้งแต่แรกนั้นไม่ได้เสียภาษีนะครับ และไม่เคยเลือกที่จะเสียภาษี
แต่ว่าสรรพากรเป็นคนบอกเอง ว่าคุณต้องเสียภาษีจากการโอนหุ้นนะ นายเรืองไกรพยายามอุทธรณ์ด้วยซ้ำว่าไม่น่าจะต้องเสีย
แต่ว่าคณะกรรมการของกรมสรรพากรก็ยืนยันว่า ยังไงๆ ก็ต้องเสียภาษีในส่วนของผลประโยชน์จากการโอนหุ้น
นายเรืองไกรจึงได้จ่ายภาษีไป เรื่องนี้สิ้นสุดเมื่อประมาณปี 48 ถ้าผมจำไม่ผิด

แต่กรมสรรพากร เพิ่งมากลับคำตัดสิน และคืนเงินคุณเรืองไกรโดยไม่ได้มีการร้องขอ ก่อนหน้าการขายหุ้นชินเพียง 1 อาทิตย์
คนมีสมอง มีความคิด คงสามารถอนุมานได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ 
บันทึกการเข้า

คนไม่มี "อุดมคติ" ไม่ใช่ "นักการเมือง"
คนในวงการ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,393


FLY WITH NO FEAR !!


เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 29-12-2006, 09:04 »

กิจกรรมที่ก่อให้เกิดรายได้ อาจสามารถเทียบเข้าหาวิธีคิดภาษีได้หลายมาตรา
แต่จะเลือกมาตราไหนนั้น จารีตทางภาษีนั้น ยกประโยชน์ให้ผู้ยื่นภาษี เลือกมาตราไหนวรรคไหนก็ได้
ขอให้ตีความเข้ากับมาตรานั้นได้ สรรพากรก็จะรับไว้ตามนั้น
จะไม่มีการยื้อว่า มาตรานี้เสียภาษีน้อยไป ควรต้องไปเสียมาตรานั้น จะได้เงินเข้ารัฐมากกว่า

-
-
พูดแค่นี้ก็แสดงว่าคุณกาลามชนไม่มีความรู้ทางด้านภาษีแม้แต่นิดเดียว ตลอดชีวิตนี้คงไม่เคยไปเสียภาษี
คงจะหนีภาษีมาตลอด จึงไม่เคยรู้เลยว่า ไม่มีจารีตนั้นอยู่ในโลก คุณกาลามชนยกเมฆดั้นเมฆเอาเอง
เพียงเพื่อจะเถียงข้าง ๆ คู ๆ ไปเท่านั้น

ประมวลรัษฎากร ไม่ได้ให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมีสิทธิเลือกมาตราไหนวรรคไหนก็ได้ตามที่คุณกาลามชนพูด
แต่ละมาตราแต่ละวรรคนั้นกำหนดเอาไว้ชัดเจนว่าใครต้องทำอะไร และอย่างไร โดยกำหนดไว้ชัดเจน
และหากผู้มีหน้าที่เสียภาษี ยื่นภาษีไม่ถูกต้อง เจ้าหน้าที่สรรพากรมีหน้าที่ ที่จะต้องทำการเรียกเก็บให้ถูกต้อง
ไม่ใช่สักแต่จะรับ ๆ ไปอย่างที่คุณกาลามชนว่า เจ้าหน้าที่สรรพากรไม่ได้สนใจว่ารัฐจะต้องได้มากกว่าหรือ
น้อยกว่า แต่เจ้าหน้าที่สรรพากรมีหน้าที่ที่จะต้องเรียกเก็บภาษีในอัตราที่ถูกต้องตามกฏหมายเท่านั้น
-
-
คงไม่เถียงว่า คุณเกรียงไกร เป็นฝ่าย AT ต้องการสร้างกระแสว่าทักษิณหนีภาษี
จึงลงทุนเอาหุ้นสองหมื่นสองพันบาทไปยื่นภาษี โดยขอเทียบเข้ามาตราที่ต้องเสียภาษีสูงๆ
เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของคุณเกรียงไกร ที่จะเลือกเสียภาษีตามมาตรานั้น

-
-
ตรงนี้คุณกาลามชนบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างแนบเนียน นั่นคือ ที่แท้จริงแล้วคุณเรืองไกรไม่ได้ทำอย่างที่คุณ
กาลามชนพูดเลยสักนิดเดียว ในตอนแรกที่คุณเรืองไกรไปเสียภาษี คุณเรืองไกรยื่นภาษีน้อยกว่าที่สรรพากรประเมิน
คุณเรืองไกรเลยแย้งเจ้าหน้าที่สรรพากร ว่า เจ้าหน้าที่ประเมินสูงไป และขอให้เจ้าหน้าที่ประเมินใหม่
เรื่องจึงถูกนำเข้าสู่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของกรมสรรพากร ซึ่งผลตัดสินของคณะกรรมการฯ
ตัดสินว่า คุณเรืองไกรต้องนำเอาหุ้นที่ได้รับโอนมาเข้ามาคำนวนภาษีด้วย ดังนั้นอัตราภาษีที่เจ้าหน้าที่สรรพากร
เรียกเก็บจากคุณเรืองไกรนั้นถูกต้องแล้ว และคุณเรืองไกรก็ยอมรับคำตัดสินและไปยื่นเสียภาษีตามนั้น
-
-
สรรพากรเชื่อว่าคุณเกรียงไกร มีเจตนาเลือกมาตราที่ต้องเสียภาษีสูง เพื่อให้กระทบทักษิณ
มันเป็นสิทธ์ของคุณเกรียงไกรที่จะยอมให้ประโยชน์แก่รัฐให้มากที่สุด
แต่สรรพากรไม่ยอมรับสิทธิ์ของคุณเกรียงไกร จึงพยายามยัดเยียดคืนภาษี
คุณเกรียงไกรอุทรณ์ คณะกรรมการอุทรณ์ฯชี้ขาดว่าเป็นสิทธิ์ของคุณเกรียงไกร ที่จะเลือกเสียภาษีในมาตรานั้น

-
-
ที่พูดนั้นก็บิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างแนบเนียนอีก เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นคือต่อมานายสุเทพ พงษ์พิทักษ์ สรรพากรพื้นที่กรุงเทพ ฯ 3
กลับมีหนังสือถึงคุณเรืองไกรว่า ประโยชน์จากการโอนหุ้นที่คุณเรืองไกรแสดงไว้ในรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น
ไม่ถือเป็นเงินพึงประเมินที่ต้องชำระภาษีเงินเพิ่มตามมาตรา 40 (4) (ช) ซึ่งขัดแย้งกับคำตัดสินของคณะกรรมการอุทรณ์ฯ
และตามกฏหมายระบุไว้ชัดเจนว่า คำตัดสินของคณะกรรมการอุทรณ์ฯ ถือเป็นสิ้นสุด หากไม่พอใจคำตัดสินของคณะกรรมการอุทรณ์ฯ
ต้องนำเรื่องขึ้นฟ้องศาลภาษีฯ จึงจะกลับมติคำตัดสินของคณะกรรมการอุทรณ์ฯ ได้
-
-
เรื่องไปถึงศาล ศาลตัดสินยืนตามมติคณะกรรมการอุทรณ์ฯของสรรพากร
-
-
ศาลไม่ได้ตัดสินยืนตามมติของคณะกรรมการอุทรณ์ฯ แต่ตัดสินให้กรมสรรพากรต้องเรียกภาษีจากคุณเรืองไกร
(รับเช็คที่คืนเงินให้คุณเกรียงไกรคืน) เพราะว่ากรมสรรพากรทำผิดกฏหมายที่ระบุไว้ชัดเจนว่า ถ้ากรมสรรพากรไม่เห็นด้วยกับคำตัดสิน
และต้องการแก้ไข หรือยกเลิกคำตัดสิน ต้องฟ้องศาลภาษีฯ เท่านั้น กรมสรรพากรไม่มีอำนาจที่จะวินิจฉัยขัดแย้งกับคณะกรรมการอุทรณ์ฯ
-
-
คดีนี้จึงไม่ได้เป็นข้อสรุปว่า หุ้นชิน ต้องเสียภาษี

แต่สรุปว่า ผู้เสียภาษี มีสิทธิเต็มที่ที่จะเลือกมาตรา ในกรณีที่เงินได้นั้นสามารถตีความเข้าได้กับหลายมาตรา

-
-
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหุ้นชินต้องเสียภาษี แต่เกี่ยวกับนายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตาม
ประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (4) (ช) ซึ่งเป็นกรณีเดียวกันกับคุณเรืองไกร และมีคำตัดสินของคณะกรรมการอุทรณ์ฯ เป็นแนวทาง
ในการเรียกเก็บภาษี แต่เจ้าหน้าที่สรรพากรเจตนาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และนายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา
เจตนาหลบเลี่ยงการชำระภาษีตามกฏหมาย



คุณกาลามชน หากจะแถกรุณาใช้ความสามารถหน่อย อย่าทำตัวเป็นเศษสวะ


อ้างอิง

มาตรา 40 เงินได้พึงประเมินนั้น คือเงินได้ประเภทต่อไปนี้ รวมตลอด ถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงิน
หรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภท ต่าง ๆ ดังกล่าวไม่ว่าในทอดใด
(4) เงินได้ที่เป็น
(ช) ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนการเป็นหุ้นส่วนหรือโอนหุ้น หุ้นกู้ พันธบัตร
หรือตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นเป็นผู้ออก
ทั้งนี้เฉพาะซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกิน กว่าที่ลงทุน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2006, 09:42 โดย คนในวงการ » บันทึกการเข้า

"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee.
Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath."
- Balian of Ibelin -
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #6 เมื่อ: 29-12-2006, 09:09 »

ก็ถ้าศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการขายหุ้น 7.3 หมื่นล้านบาทต้องเสียภาษี คุณทักษิณก็ต้องปฎิบัติตามอย่างไม่บิดพลิ้ว....ไม่เห็นจะยากเลยครับ
บันทึกการเข้า
O_envi
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 495



« ตอบ #7 เมื่อ: 29-12-2006, 09:11 »

มีใครช่วยทวนอีกทีได้ไหมครับ
ตกลงกรณีหุ้นชินขายให้เทมาเส็กตกลงต้องเสียภาษีรึเปล่า
รู้สึกว่ากรณีคุณทักษิณเนี่ยจะผิดตอนที่พ่อโอนให้ลูกตอนนานมาแล้วใช่ไหมครับ
ไม่เกี่ยวกับหุ้นชิน  
บันทึกการเข้า

The change musts come one by one.It has to start with you
คนในวงการ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,393


FLY WITH NO FEAR !!


เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 29-12-2006, 09:25 »

ก็ถ้าศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการขายหุ้น 7.3 หมื่นล้านบาทต้องเสียภาษี คุณทักษิณก็ต้องปฎิบัติตามอย่างไม่บิดพลิ้ว....ไม่เห็นจะยากเลยครับ


อ้าวคุณอะไรจ๊ะ ยอมรับแล้วเหรอครับว่าทักษิณเป็นเจ้าของชินคอร์ป เปลี่ยนใจมาไล่บี้ทักษิณแล้วก็ไม่บอกนะครับ
บันทึกการเข้า

"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee.
Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath."
- Balian of Ibelin -
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #9 เมื่อ: 29-12-2006, 09:34 »

ก็ถ้าศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการขายหุ้น 7.3 หมื่นล้านบาทต้องเสียภาษี คุณทักษิณก็ต้องปฎิบัติตามอย่างไม่บิดพลิ้ว....ไม่เห็นจะยากเลยครับ


อ้าวคุณอะไรจ๊ะ ยอมรับแล้วเหรอครับว่าทักษิณเป็นเจ้าของชินคอร์ป เปลี่ยนใจมาไล่บี้ทักษิณแล้วก็ไม่บอกนะครับ


'จ๊ะ' ไม่เคยเข้าข้างใครตั้งแต่แรกครับ ก็ต้องให้ศาลฎีกาเป็นผู้ชีขาดเพื่อเป็นบรรทัดฐานในการเรียกเก็บภาษีรายอื่นเช่นกัน ไม่มียกเว้นครับ
บันทึกการเข้า
THE THIRD WAY
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,821


Love looks not with eyes, but with the mind.


« ตอบ #10 เมื่อ: 29-12-2006, 09:37 »

ผมติดตามเรื่องนี้
จากมติชนรายวัน
โดยเฉพาะวันเสาร์คอลัมน์ของคุณประสงค์ วิสุทธิ์
มีรายละเอียดพอสมควร

ผมไม่ทราบว่าคุณเกรียงไกรเป็นใคร
แต่ชมเชยในแนวความคิดครับ

คนเราถ้ารู้จักพอ
ก็ไม่เดือดร้อนเท่านี้.........ที่เห็นๆ
บันทึกการเข้า

ความรักนั้นหวาน ไม่ว่าจะรับหรือให้
************************
การขับไล่ทรราช เป็นภารกิจของเจ้าของประเทศ
คนในวงการ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,393


FLY WITH NO FEAR !!


เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 29-12-2006, 09:38 »

ก็ถ้าศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการขายหุ้น 7.3 หมื่นล้านบาทต้องเสียภาษี คุณทักษิณก็ต้องปฎิบัติตามอย่างไม่บิดพลิ้ว....ไม่เห็นจะยากเลยครับ


อ้าวคุณอะไรจ๊ะ ยอมรับแล้วเหรอครับว่าทักษิณเป็นเจ้าของชินคอร์ป เปลี่ยนใจมาไล่บี้ทักษิณแล้วก็ไม่บอกนะครับ


'จ๊ะ' ไม่เคยเข้าข้างใครตั้งแต่แรกครับ ก็ต้องให้ศาลฎีกาเป็นผู้ชีขาดเพื่อเป็นบรรทัดฐานในการเรียกเก็บภาษีรายอื่นเช่นกัน ไม่มียกเว้นครับ

อยากให้ปักหมุดกระทู้นี้ไว้จังเลย จะได้เป็นหลักฐานตอน 'จ๊ะ' แถว่าศาลฎีกาไม่เป็นกลาง ก้าก ๆๆๆๆๆๆ
บันทึกการเข้า

"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee.
Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath."
- Balian of Ibelin -
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #12 เมื่อ: 29-12-2006, 10:05 »

หากท่านเคยเสียภาษี และเคยถูกสรรพากรเรียกสอบภาษี ท่านจะทราบดีว่า สรรพากรเขาก็มีระเบียบปฎิบัติของเขา และการประเมินภาษีนั้น หากท่านไม่มีเส้นสาย หรือไม่มีอิทธิพล ท่านก็จะต้องกลืนเลือดตัวเอง กับตัวเลขภาษีที่เขาประเมินมา แต่ท่านก็มีสิทธิที่จะโต้แย้ง ตามแบบที่คุณเกรียงไกรทำไปแล้ว

และตั้งแต่ตั้งกรมสรรพากรมานั้น ไม่เคยปรากฎว่า สรรพากรคืนเงินใครโดยไม่มีการร้องขอ แม้คุณจะคำนวนภาษีผิด จ่ายเงินเกินกว่าที่ควรจะจ่าย หรือจ่ายโดยหักณ.ที่จ่ายไปมากเกินกว่าที่ควรจะเสีย เขาก็จะคืนให้ต่อเมื่อคุณร้องขอไป และนานทีเดียวกว่าจะได้คืน

กรณีคุณเกรียงไกรนั้น ท่านอุธรณ์คำเรียกเก็บไปแล้ว เพราะท่านคิดว่าไม่น่าจะต้องเสีย แต่สรรพากรก็แจ้งว่า ต้องเสีย เรื่องก็จบกันไป เมื่อสรรพากรเล่นพิเรนทร์ คืนภาษีมา เพื่อผลประโยชน์ของนักการเมือง ท่านก็ฟ้องศาล นับว่าเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติมาก

นักการเมืองชั่ว ทำลายแม้ระบบการเก็บภาษี ซึ่งเป็นฐานสำคัญของประเทศชาติ นั่นคือการทำลายชาติ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ไม่มีแผ่นดินจะอยู่ นั่นก็สมควรแล้วค่ะ
บันทึกการเข้า
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #13 เมื่อ: 29-12-2006, 10:22 »

คุณกาลามชนอาจจะเข้าใจเหตุการณ์ไม่ชัดเจน จึงตีความไปแบบนั้น 
ความจริงนายเรืองไกรตั้งแต่แรกนั้นไม่ได้เสียภาษีนะครับ และไม่เคยเลือกที่จะเสียภาษี
แต่ว่าสรรพากรเป็นคนบอกเอง ว่าคุณต้องเสียภาษีจากการโอนหุ้นนะ นายเรืองไกรพยายามอุทธรณ์ด้วยซ้ำว่าไม่น่าจะต้องเสีย
แต่ว่าคณะกรรมการของกรมสรรพากรก็ยืนยันว่า ยังไงๆ ก็ต้องเสียภาษีในส่วนของผลประโยชน์จากการโอนหุ้น
นายเรืองไกรจึงได้จ่ายภาษีไป เรื่องนี้สิ้นสุดเมื่อประมาณปี 48 ถ้าผมจำไม่ผิด


แต่กรมสรรพากร เพิ่งมากลับคำตัดสิน และคืนเงินคุณเรืองไกรโดยไม่ได้มีการร้องขอ ก่อนหน้าการขายหุ้นชินเพียง 1 อาทิตย์
คนมีสมอง มีความคิด คงสามารถอนุมานได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ 



ก่อนที่ผมจะได้อ่าน คคห.ของคุณ RiDKuN...
ผมจะอธิบายชี้แจงทำนองเดียวกันให้คุณ"กาลามชน" ได้รับรู้เหมือนกัน....

แต่ได้อ่านความเห็นของคุณ"กาลามชน" แล้ว จึงเปลี่ยนใจ"ลบทิ้ง"ความคิดเห็นของผม...
และมาเสริมต่อความคิดเห็นของคุณ RiDKuN....

ผมอยากชี้ให้คุณ RiDKuN ว่าคุณ"กาลามชน" ไม่ได้เข้าใจผิดในเนื้อหาของคำพิพากษา
หรือเข้าใจผิด ไม่รู้กฏหมาย ระเบียบปฏิบัติของกรมสรรพากรอย่างที่คุณ"คนในวงการ" เข้าใจ....

แต่เป็นเจตนาของคุณ"กาลามชน" จะบิดเบือน จะทำตัวเป็น "ศรีธนชัย" หรือ "นิติกรบริการ" แทน
คนเดิม ๆ ที่ละทิ้งหน้าที่"นิติกรบริการ" ออกจากบริษัทเทียมรักเทียมจำกัดและออกจากตำแหน่ง
ในรัฐบาลเผด็จการจากการเลือกตั้ง ที่เชี่ยวชาญการทำเรื่อง"คอร์รั่ปชั่น"ให้เป็น"ทุจริตทางนโยบาย"
หรือ "บกพร่องโดยสุจริต" มากที่สุด....

คุณ"กาลามชน" ทำให้"นามแฝง" มีความหมายลางเลือน สับสน ไม่สมกับคนที่ศรัทธา "กาลามสูตร"
จนตั้งนามแฝงตนเองเป็น"กาลามชน"......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า 





บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 29-12-2006, 10:28 »

ขอรีบ quote ข้อความก่อนครับ เก็บๆไว้เป็นประวัติศาสตร์ เราจะได้รู้สันดานบางคน

กิจกรรมที่ก่อให้เกิดรายได้ อาจสามารถเทียบเข้าหาวิธีคิดภาษีได้หลายมาตรา
แต่จะเลือกมาตราไหนนั้น จารีตทางภาษีนั้น ยกประโยชน์ให้ผู้ยื่นภาษี เลือกมาตราไหนวรรคไหนก็ได้
ขอให้ตีความเข้ากับมาตรานั้นได้ สรรพากรก็จะรับไว้ตามนั้น
จะไม่มีการยื้อว่า มาตรานี้เสียภาษีน้อยไป ควรต้องไปเสียมาตรานั้น จะได้เงินเข้ารัฐมากกว่า

คงไม่เถียงว่า คุณเกรียงไกร เป็นฝ่าย AT ต้องการสร้างกระแสว่าทักษิณหนีภาษี
จึงลงทุนเอาหุ้นสองหมื่นสองพันบาทไปยื่นภาษี โดยขอเทียบเข้ามาตราที่ต้องเสียภาษีสูงๆ
เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของคุณเกรียงไกร ที่จะเลือกเสียภาษีตามมาตรานั้น

สรรพากรเชื่อว่าคุณเกรียงไกร มีเจตนาเลือกมาตราที่ต้องเสียภาษีสูง เพื่อให้กระทบทักษิณ
มันเป็นสิทธ์ของคุณเกรียงไกรที่จะยอมให้ประโยชน์แก่รัฐให้มากที่สุด
แต่สรรพากรไม่ยอมรับสิทธิ์ของคุณเกรียงไกร จึงพยายามยัดเยียดคืนภาษี
คุณเกรียงไกรอุทรณ์ คณะกรรมการอุทรณ์ฯชี้ขาดว่าเป็นสิทธิ์ของคุณเกรียงไกร ที่จะเลือกเสียภาษีในมาตรานั้น

เรื่องไปถึงศาล ศาลตัดสินยืนตามมติคณะกรรมการอุทรณ์ฯของสรรพากร

คดีนี้จึงไม่ได้เป็นข้อสรุปว่า หุ้นชิน ต้องเสียภาษี

แต่สรุปว่า ผู้เสียภาษี มีสิทธิเต็มที่ที่จะเลือกมาตรา ในกรณีที่เงินได้นั้นสามารถตีความเข้าได้กับหลายมาตรา

บันทึกการเข้า

นทร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7,441



เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 29-12-2006, 10:30 »

คดีนี้โลกตลึง

คนจะจ่ายภาษี รัฐไม่ยอมรับ

จนคนจ่ายต้องฟ้องเพื่อให้รัฐรับ


เป็นไปได้ที่เดียว ประเทศไทย

unseen thailand

** เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว

 
บันทึกการเข้า

"ประชาชน อย่าทิ้งประเทศชาติ"
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #16 เมื่อ: 29-12-2006, 10:35 »

ขอรีบ quote ข้อความก่อนครับ เก็บๆไว้เป็นประวัติศาสตร์ เราจะได้รู้สันดานบางคน

กิจกรรมที่ก่อให้เกิดรายได้ อาจสามารถเทียบเข้าหาวิธีคิดภาษีได้หลายมาตรา
แต่จะเลือกมาตราไหนนั้น จารีตทางภาษีนั้น ยกประโยชน์ให้ผู้ยื่นภาษี เลือกมาตราไหนวรรคไหนก็ได้
ขอให้ตีความเข้ากับมาตรานั้นได้ สรรพากรก็จะรับไว้ตามนั้น
จะไม่มีการยื้อว่า มาตรานี้เสียภาษีน้อยไป ควรต้องไปเสียมาตรานั้น จะได้เงินเข้ารัฐมากกว่า

คงไม่เถียงว่า คุณเกรียงไกร เป็นฝ่าย AT ต้องการสร้างกระแสว่าทักษิณหนีภาษี
จึงลงทุนเอาหุ้นสองหมื่นสองพันบาทไปยื่นภาษี โดยขอเทียบเข้ามาตราที่ต้องเสียภาษีสูงๆ
เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของคุณเกรียงไกร ที่จะเลือกเสียภาษีตามมาตรานั้น

สรรพากรเชื่อว่าคุณเกรียงไกร มีเจตนาเลือกมาตราที่ต้องเสียภาษีสูง เพื่อให้กระทบทักษิณ
มันเป็นสิทธ์ของคุณเกรียงไกรที่จะยอมให้ประโยชน์แก่รัฐให้มากที่สุด
แต่สรรพากรไม่ยอมรับสิทธิ์ของคุณเกรียงไกร จึงพยายามยัดเยียดคืนภาษี
คุณเกรียงไกรอุทรณ์ คณะกรรมการอุทรณ์ฯชี้ขาดว่าเป็นสิทธิ์ของคุณเกรียงไกร ที่จะเลือกเสียภาษีในมาตรานั้น

เรื่องไปถึงศาล ศาลตัดสินยืนตามมติคณะกรรมการอุทรณ์ฯของสรรพากร

คดีนี้จึงไม่ได้เป็นข้อสรุปว่า หุ้นชิน ต้องเสียภาษี

แต่สรุปว่า ผู้เสียภาษี มีสิทธิเต็มที่ที่จะเลือกมาตรา ในกรณีที่เงินได้นั้นสามารถตีความเข้าได้กับหลายมาตรา



คุณกาลามชน พูดถูกต้องแล้วครับว่าคำวินิจฉัยของศาลในคดีนี้ไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะสามารถไปเชื่อมโยงกับคดีหุ้นชินได้ ประเด็นก็คือ ในแง่ของประเด็นปลีกย่อยของทั้ง 2 คดีไม่เหมือนกัน ดังนั้น...จึงเป็นหน้าที่ของทนายความและอัยการจะต้องหาข้อกฎหมายของแต่ละฝ่ายไปพิสูจน์กันในชั้นศาล


พวกเราทุกคนในบอร์ดนี้ทำได้เพียงตั้งข้อสันนิฐานเท่านั้นครับ Idea
บันทึกการเข้า
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #17 เมื่อ: 29-12-2006, 10:58 »

'เรืองไกร'มือพิฆาตภาษีหุ้นชินตัวจริง!

28 ธันวาคม 2549 17:58 น.
ใครจะคิดว่า ชัยชนะของคดีรับโอนหุ้นของคนตัวเล็กๆ โนเนม อย่าง"เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" จะกระทบชิ่งไปถึง คนตัวโตๆ ตระกูลชินวัตร ได้ถึงเพียงนี้...ก็เพราะองค์ประกอบของคดีมันเหมือนกันเป๊ะๆ
 
เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ

ในที่สุด วันนี้(28ธ.ค.) ศาลภาษีกลาง ได้มีคำพิพากษาอุทธรณ์ว่า กรมสรรพากรปฎิบัติมิชอบ กรณีไม่เรียกเก็บภาษีค่าโอนหุ้น กับ"เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" นักบัญชีหุ้น บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ ที่เป็นโจทก์ฟ้องในความผิดในความผิดเรื่องละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจสั่งคืนเงินภาษี โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา39

เรื่องของเรื่องคือ "เรืองไกร" ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2546 และแสดงสัญญาการโอนหุ้นที่รับหุ้นจากบิดาตัวเอง ซึ่งเป็นการซื้อขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ เจ้าพนักงานประเมินว่าเขาต้องชำระภาษีรายได้ 21,350 บาท และเงินเพิ่มจากการได้รับประโยชน์จากการรับโอนหุ้นมูลค่า 55,000 บาทด้วย

เขาก็ยอมชำระเมื่อ 18 มิ.ย.47 พร้อมกับยื่นอุทธรณ์ต่อคกก.พิจารณาอุทธรณ์เพิกถอนการประเมิน และให้งดหรือลดเงินเพิ่ม ว่าการเรียกเก็บเงินเพิ่มนั้นไม่ถูกต้อง

ซึ่งคณะกรรมการอุทธรณ์ฯ ให้ยกคำร้องอุทธรณ์ของเขา และต่อมาก็ยอมรับในคำพิจารณาอุทธรณ์ ที่ให้เรียกเก็บเงินเพิ่มดังกล่าว


เรื่องมันน่าจะจบลงแค่นั้น...แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้ สุเทพ พงษ์พิทักษ์ สรรพากรกรุงเทพฯเขต 3 มีหนังสือแจ้งกับเขาว่า รายการโอนหุ้นนั้นไม่ต้องนำมาประเมินชำระภาษีเงินเพิ่ม ตามมาตรา40 (4) (ช) และ(Cool แห่งประมวลรัษฎากร

จะแสดงรายการเพื่อประเมินเสียภาษี ก็ต่อเมื่อได้ขายหุ้นนั้นและได้กำไรแล้วเท่านั้น...ในเวลาต่อมา กรมสรรพากรได้ส่งเช็คจำนวนเงิน 19,483.96 บาท กลับมาให้เรืองไกร

เรื่องมันไม่จบแค่นั้น "เรืองไกร" นักบัญชี รู้สึกตะหงิดๆ ว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา น่าจะ เพราะก่อนหน้านั้น เคยเกิดคดีขึ้นศาลรัฐธรรมนูญ กรณี"ทักษิณ"ซุกหุ้นภาค 1 ปี 2544 ก่อนจะฝ่าขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ซ้ำยังมีเรื่องอื้อฉาวเรื่องการโอนรับโอนหุ้นชินคอร์ปฯ ของคนในตระกูลชินวัตร

"เรืองไกร" เห็นว่า สรรพากรกรุงเทพ เขต3 น่าจะทำไม่ถูกต้อง ด้วยประมวลรัษฎากร มาตรา39 เป็นการเลือกปฏิบัติสองมาตรฐาน ทำเพื่อประโยชน์แก่ผู้มีอำนาจทางการเมือง และญาติพี่น้องของนักการเมือง โดยเฉพาะกรณีครอบครัวชินวัตร

นั่นคือกรณีของเขาได้ซื้อหุ้นจากบิดาในราคา 10 บาท จากราคาตลาด 20 บาท มีส่วนต่างประมาณ 55,000 บาท แต่กรมสรรพากรประเมินภาษีเงินได้ 21,000 บาท ขณะที่ กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน โอนขายหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น ให้ลูกชาย น้องสาว และพี่ชาย ในราคา 1 บาท โดยไม่ต้องเสียภาษี

แต่กับกรณีของเรืองไกร กรมสรรพากร ชี้แจงข้างๆ คูๆ ว่า เกิดกรอกข้อมูลผิดช่องทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์กรมฯ คำนวณพลาด แต่กรณีครอบครัวชินวัตร กลับอ้างว่าเป็นการรับโอนหุ้นให้โดยเสน่หา ดังนี้ กรณีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์ ให้แก่ นายบรรณพจน์ ดามาพงษ์ จำนวน 26,825,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท

กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขายหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำนวน 2 ล้านหุ้น ให้แก่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยไม่ผ่านตลาดหลักทรัพย์ ในราคาหุ้นละ 10 บาท เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 กรมสรรพากรได้วิเคราะห์ข้อมูล ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เป็นกรณีที่บุคคลธรรมดาโอนหุ้นตามราคาที่ซื้อมา จึงไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4) (ช) แห่งประมวลรัษฎากร กรณีคุณหญิงพจมาน โอนหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น 4.5 ล้านหุ้น (7พฤศจิกายน 2540) ให้แก่ นายบรรณพจน์ รวมมูลค่า 738 ล้านบาท กรมสรรพากรวินิจฉัยว่าเข้าข้างว่า เป็นการโอนหุ้นให้ระหว่างบุคคลซึ่งมีความสัมพันธ์กันในครอบครัว ในโอกาสแต่งงานมีครอบครัวและมีบุตร ที่สำคัญกระทำผ่าน ดวงตา วงศ์ภักดี คนรับใช้ในครอบครัวชินวัตร ด้วย

"ที่ผ่านมา ผมเป็นนักบัญชีคนหนึ่ง ซึ่งพยายามเสียภาษีอย่างถูกต้องมาโดยตลอด เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่จะใช้ความรู้เรื่องบัญชีเป็นช่องทางเอาเปรียบสังคมและประเทศชาติ" นายเรืองไกร กล่าว

ไม่นึกว่า ขับเคี่ยว ขุดคุ้ย ไล่ต้อน คนตัวโตๆ ตระกูลชินวัตรมาตั้งนาน จะต้องตกม้าตายด้วยคนตัวเล็กๆ โนเนม อย่าง "เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ" นี่เอง

ไม่เรียกว่า มือพิฆาตหุ้นชิน ตัวจริง...แล้วจะเรียกอะไรล่ะครับ ท่านผู้ชม ผู้เชียร์

 
 http://www.bangkokbiznews.com/viewNews.jsp?newsid=143727

 




พวกเราทุกคนในบอร์ดนี้ทำได้เพียงตั้งข้อสันนิฐานเท่านั้นครับ
ข้อความโดย: A-Rai-Ja



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2006, 11:03 โดย ปุถุชน » บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #18 เมื่อ: 29-12-2006, 11:34 »

ศาลมีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 183/2549 ที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นักธุรกิจ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร เป็นจำเลย ในความผิดเรื่องละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจสั่งคืนเงินภาษี โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการกระทำผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39


พวกเราทุกคนในบอร์ดนี้ทำได้เพียงตั้งข้อสันนิฐานเท่านั้นครับ Idea
บันทึกการเข้า

Kittinunn
Aloha007
Global Moderator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,127


ไปได้สวย...ด้วยเกียร์ต่ำ!!!


เว็บไซต์
« ตอบ #19 เมื่อ: 29-12-2006, 11:40 »

ศาลมีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 183/2549 ที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นักธุรกิจ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร เป็นจำเลย ในความผิดเรื่องละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจสั่งคืนเงินภาษี โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการกระทำผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39


พวกเราทุกคนในบอร์ดนี้ทำได้เพียงตั้งข้อสันนิฐานเท่านั้นครับ Idea

สันนิษฐานซะโคตรแม่นเลยครับ 
บันทึกการเข้า

“ผมเขียนไปในบล็อกนั้น แบบข้างบนนี้เหมือนกัน นึกว่า จะโพสต์ ปรากฏว่า เขาบอกว่า ต้อง สมัครสมาชิกก่อน ผมขี้เกียจ เลยมาโพสต์ที่นี่แทน อ้อ ตอนเขียน ผมใส่คำว่า ทุเรศ และ น่าสมเพช ไปด้วย” (อ.สมศักดิ์ เจียมธีระสกุล-เว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน - ข้อความในเสรีไทย โดย Snowflake)

กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #20 เมื่อ: 29-12-2006, 11:53 »

ผมเข้าใจเช่นนั้นจริงๆครับ แต่ถ้าไม่ตรงก็คือเข้าใจผิด มิได้คิดตะแบง

ผมเชื่อวว่า คุณเกรียงไกรใส่รายได้จากหุ้นรวมลงในช่องรายได้ที่จะต้องเสียภาษี
แต่แกล้งไม่คิดคำนวณภาษีจากส่วนที่เป็นหุ้น แล้วรอดูว่าสรรพากรจะทำอย่างไร
สรรพากรคำนวณตัวเลขดู พบว่าตัวเลขจากการคำนวณไม่ตรง ก็บอกว่าเสียภาษีไม่ครบ
ก็เพราะไปใส่รวมลงในช่องรายได้ที่ต้องเสียภาษี ก็ถือว่าตั้งใจจะเสียภาษี
สรรพากรก็เลยเรียกเพิ่ม ก็เพราะเนื่องมาจากการคำนวณตัวเลขได้ไม่ตรง

ผมเข้าใจว่าเป็นเช่นนี้ ไม่ได้คิดตะแบงนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2006, 12:06 โดย กาลามชน » บันทึกการเข้า
eAT
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,066



« ตอบ #21 เมื่อ: 29-12-2006, 13:17 »

ผมเข้าใจเช่นนั้นจริงๆครับ แต่ถ้าไม่ตรงก็คือเข้าใจผิด มิได้คิดตะแบง

ผมเชื่อวว่า คุณเกรียงไกรใส่รายได้จากหุ้นรวมลงในช่องรายได้ที่จะต้องเสียภาษี
แต่แกล้งไม่คิดคำนวณภาษีจากส่วนที่เป็นหุ้น แล้วรอดูว่าสรรพากรจะทำอย่างไร
สรรพากรคำนวณตัวเลขดู พบว่าตัวเลขจากการคำนวณไม่ตรง ก็บอกว่าเสียภาษีไม่ครบ
ก็เพราะไปใส่รวมลงในช่องรายได้ที่ต้องเสียภาษี ก็ถือว่าตั้งใจจะเสียภาษี
สรรพากรก็เลยเรียกเพิ่ม ก็เพราะเนื่องมาจากการคำนวณตัวเลขได้ไม่ตรง

ผมเข้าใจว่าเป็นเช่นนี้ ไม่ได้คิดตะแบงนะครับ


ข่าวจากไหน แถซะจน ชอบแถ อายเลยเชียว
ไม่มีข่าวไม่ว่าจะที่ไหน บอกเลยว่าตั้งเสีย
เขาไม่คิดว่าจะเสีย แต่โดนประเมิน ก็เลยสู้ต่อ
ในที่สุดก้ต้องยอมเสีย
บันทึกการเข้า
สี่หามสามแห่
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,460



« ตอบ #22 เมื่อ: 29-12-2006, 14:39 »

เป็นแม่โคอยู่ราชรี หรือไงว่ะเนี่ย

เต้ากันมันส์ เลย 55+

กลับไปอ่านข่าวใหม่ดีกว่า นะ เขาก็บอกชัดอยู่แล้วว่าเขาทำอะไรไป แล้วสรรพากรทำอย่างไร

อ่านซักสิบรอบนะ ถ้าไม่เข้าใจก็เอาไปต้มกับข้าว แล้วยัดใส่ปากซะเืผื่อจะเข้าใจ

ส่วนไอ้ประเภท ผมเชื่อว่า ผมเข้าใจว่า หน่ะพอเหอะ เดี๋ยวมันก็มีพวกเห.ี้ยๆ เอาไปแปลงสาร อีก

บันทึกการเข้า
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #23 เมื่อ: 29-12-2006, 16:14 »

อ่านซ้ำหลายรอบแล้ว ขอยืนยันความเข้าใจ

----

คุณเกรียงไกรนั้น  ทำการล้อกรณีที่คุณทักษิณโอนหุ้นให้ลูก
แต่ คุณเกรียงไกรนำหุ้นที่ได้รับไปสำแดงรวมเป็นรายได้ในการเสียภาษีส่วนบุคคล
(ซึ่งผมเชื่อว่าทางฝ่าย โอ๊ค-เอม ไม่เอาไปสำแดงภาษีอย่างคุณเกีรยงไกร)
คุณเกรียงไกร สำแดงหุ้นเป็นรายได้ แต่ไม่ยอมเสียภาษี (คงทำนองอ้างว่าลูกนายกฯไม่เสีย)
สรรพากรไม่ยอม เพราะแม้หุ้นที่ได้รับจากพ่อแม่ จะไม่จำเป็นต้องสำแดง
แต่ถ้าเอามาสำแดงลงในแบบฟอร์มภาษี ก็ต้องคิดภาษีด้วย

คุณเกียงไกรยอมจ่ายภาษี แต่อุทรณ์ต่อคณะกรรมการอุทรณ์ว่า สรรพากรคิดภาษีไม่ถูกต้อง
คณะกรรมการฯมีมติยีนยันว่าคิดถาษีถูกแล้ว (เมื่อนำมาสำแดงก็ต้องเสีย ถ้าไม่อยากเสียก็อย่าสำแดง)

การฟ้องครั้งนี้ เกิดเพราะต่อมาสรรพากรคืนภาษีให้
คุณเกรียงไกรฟ้องศาล เพราะเห็นว่าไม่ถูกต้อง
ศาลพิพากษาว่า คำตัดสินของคณะกรรมการอุทรณ์ ถือเป็นที่สุดแล้ว
ดังนั้นการคืนภาษีจึงไม่ถูกต้อง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2006, 17:21 โดย กาลามชน » บันทึกการเข้า
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #24 เมื่อ: 29-12-2006, 16:19 »

ลองอ่านซ้ำหลายรอบแล้ว.. ใช่แบบนี้หรือไม่

----

คุณเกรียงไกรนั้น  ทำการล้อกรณีที่คุณทักษิณโอนหุ้นให้ลูก
แต่ คุณเกรียงไกรนำหุ้นที่ได้รับไปสำแดงรวมเป็นรายได้ในการเสียภาษีส่วนบุคคล
(ซึ่งผมเชื่อว่าทางฝ่าย โอ๊ค-เอม ไม่เอาไปสำแดงภาษีอย่างคุณเกีรยงไกร)
คุณเกรียงไกร สำแดงหุ้นเป็นรายได้ แต่จะไม่ยอมเสียภาษี (คงทำนองอ้างว่าลูกนายกฯไม่เสีย)
สรรพากรไม่ยอม เพราะแม้หุ้นที่ได้รับจากพ่อ จะไม่จำเป็นต้องสำแดง
แต่ถ้าเอามาสำแดงลงในแบบฟอร์มภาษี ก็ต้องคิดภาษีด้วย

คุณเกียงไกรยอมจ่ายภาษี แต่อุทรณ์ต่อคณะกรรมการอุทรณ์ว่า สรรพากรคิดภาษีไม่ถูกต้อง
คณะกรรมการฯมีมติยีนยันว่าคิดถาษีถูกแล้ว (เมื่อนำมาสำแดงก็ต้องเสีย ถ้าไม่อยากเสียก็อย่าสำแดง)

การฟ้องครั้งนี้ เกิดเพราะต่อมาสรรพากรคืนภาษีให้
คุณเกรียงไกรฟ้องศาล เพราะเห็นว่าไม่ถูกต้อง
ศาลพิพากษาว่า คำตัดสินของคณะกรรมการอุทรณ์ ถือเป็นที่สุดแล้ว
ดังนั้นการคืนภาษีจึงไม่ถูกต้อง


ขอบคุณที่ช่วยสรุปได้อย่างชัดเจนน๊ะครับ

แสดงว่า ศาลวินิจฉัยว่าการคืนภาษีให้เรืองไกรเป็นสิ่งที่ผิด  แต่ไม่ได้วินิจฉัยว่าเรืองไกรไม่ต้องหรือต้องจ่ายภาษีจากการขายหุ้น ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับกรณีหุ้นชิน
บันทึกการเข้า
Suraphan07
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,128



« ตอบ #25 เมื่อ: 29-12-2006, 16:34 »

เน็ตช้า ว่าจะไม่โพสต์แต่อดใจไม่ได้...

ขอมาลงชื่อคารวะคุณ "เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ"

และขอบพระคุณ ข้อมูลสนับสนุนจากทุกท่าน...

ถ้าจะบอกว่า "เมื่อนำมาสำแดงก็ต้องเสีย ถ้าไม่อยากเสียก็อย่าสำแดง"...

จะมีคนที่ "คิดจะเลี่ยงภาษี"(อยู่แล้ว)ที่ไหน เขาสำแดงกันล่ะครับ...
ยิ่งมีอำนาจ ยิ่งหาช่องทางให้ดูบริสุทธิมากขึ้นเข้าไปอีก...
บันทึกการเข้า
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #26 เมื่อ: 29-12-2006, 17:19 »

อย่างที่บอกในตอนต้นว่า รายได้ บางทีสามารถตีความเข้ากันได้กับหลายมาตรา
หุ้นที่โอนในครอบครัว พ่อโอนให้ลูก ผัวเมียโอนให้กัน อาจเข้าข่ายที่กฎหมายยกเว้น
ในช่วงนั้นจำได้ว่ามีคนทางฝ่าย ทรท พูดออกทีวีว่ากรณีอย่างนี้มีมากมาย
ลูกทักษิณไม่ใช่คนแรก และไม่ใช่คนเดียว ที่ใช้สิทธิ์ไม่สำแดงเป็นเงินได้
ตอนนั้นมีการยกตัวอย่างคนดังในฝ่ายค้านสองสามคนด้วย

จำได้ว่า ลูกทักษิณเสียแค่ค่าโอนหุ้น แล้วก็จบ
แถมเสียเท่าราคาพาร์ด้วย

ถ้าคิดว่านี่เป็นการเลี่ยงภาษี ก็ขอให้นึกถึงกรณีที่พ่อแม่ยกที่ดินให้ลุก
ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ก็เสียแค่ค่าโอนที่ดินเท่าราคาประเมินเท่านั้น
มีใครเอามูลค่าที่ดินตามราคาตลาดไปสำแดงว่าเป็นเงินได้ส่วนบุคคลในระหว่างปีภาษีบ้าง
ผมเชื่อว่าถ้าใครนำไปสำแดง ก็น่าจะต้องโดนคิดภาษีแบบกรณีตัวอย่างนี้
หรือใครคิดว่าการเสียสละแบบนี้ถูกต้องแล้ว
ก็รอเอาไว้ตอนที่ท่านได้รับมรดก.. ขออย่าได้เสียภาษีแบบมรดกเลย
ขอให้เอาไปรวมคำณวนเป็นเงินได้ส่วนบุคคลระหว่างปี จะได้เสียภาษีเยอะๆ
บันทึกการเข้า
The Last Emperor
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 6,714


« ตอบ #27 เมื่อ: 29-12-2006, 17:23 »

อย่างที่บอกในตอนต้นว่า รายได้ บางทีสามารถตีความเข้ากันได้กับหลายมาตรา
หุ้นที่โอนในครอบครัว พ่อโอนให้ลูก ผัวเมียโอนให้กัน อาจเข้าข่ายที่กฎหมายยกเว้น
ในช่วงนั้นจำได้ว่ามีคนทางฝ่าย ทรท พูดออกทีวีว่ากรณีอย่างนี้มีมากมาย
ลูกทักษิณไม่ใช่คนแรก และไม่ใช่คนเดียว ที่ใช้สิทธิ์ไม่สำแดงเป็นเงินได้
ตอนนั้นมีการยกตัวอย่างคนดังในฝ่ายค้านสองสามคนด้วย

จำได้ว่า ลูกทักษิณเสียแค่ค่าโอนหุ้น แล้วก็จบ
แถมเสียเท่าราคาพาร์ด้วย

ถ้าคิดว่านี่เป็นการเลี่ยงภาษี ก็ขอให้นึกถึงกรณีที่พ่อแม่ยกที่ดินให้ลุก
ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ก็เสียแค่ค่าโอนที่ดินเท่าราคาประเมินเท่านั้น
มีใครเอามูลค่าที่ดินตามราคาตลาดไปสำแดงว่าเป็นเงินได้ส่วนบุคคลในระหว่างปีภาษีบ้าง
ผมเชื่อว่าถ้าใครนำไปสำแดง ก็น่าจะต้องโดนคิดภาษีแบบกรณีตัวอย่างนี้
หรือใครคิดว่าการเสียสละแบบนี้ถูกต้องแล้ว
ก็รอเอาไว้ตอนที่ท่านได้รับมรดก.. ขออย่าได้เสียภาษีแบบมรดกเลย
ขอให้เอาไปรวมคำณวนเป็นเงินได้ส่วนบุคคลระหว่างปี จะได้เสียภาษีเยอะๆ


บรรทัดฐานว่าด้วยภาษีหุ้น  คุณสมบัติของนอมินี่  และการตีความกฎหมายภาษีต่างๆจะหลอกหลอนสังคมไทยอีกนานเพราะคนนับหมื่นนับแสนได้รับผลกระทบเต็มๆ
บันทึกการเข้า
ชอบแถ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,138



« ตอบ #28 เมื่อ: 29-12-2006, 17:33 »

นายเรืองไกรนี่เก๋าและเขี้ยวมาก รู้ขั้นตอนและช่องโหว่ของสรรพากร จะเอามาใช้โจมตีทางการเมือง
บันทึกการเข้า
ชอบแถ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,138



« ตอบ #29 เมื่อ: 29-12-2006, 17:38 »

4. เงินได้ประเภทที่ 4 ได้แก่ ดอกเบี้ย เงินปันผล เงินส่วนแบ่งกำไร   เงินลดทุน เงินเพิ่มทุน ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้น ฯลฯ เป็นต้น
      (ก) ดอกเบี้ยพันธบัตร ดอกเบี้ยเงินฝาก ดอกเบี้ยหุ้นกู้ ดอกเบี้ยตั๋วเงิน ดอกเบี้ยเงินกู้ยืม ไม่ว่าจะมี หลักประกันหรือไม่ ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายตามกฎหมายว่าด้วยภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเฉพาะส่วนที่เหลือจากถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายตามกฎหมายดังกล่าว หรือผลต่างระหว่างราคาไถ่ถอน กับราคาจำหน่ายตั๋วเงินหรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ที่บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น เป็นผู้ออกและจำหน่ายครั้งแรกในราคาต่ำกว่าราคาไถ่ถอน รวมทั้งเงินได้ที่มีลักษณะทำนองเดียวกันกับดอกเบี้ย ผลประโยชน์หรือค่าตอบแทนอื่น ๆ ที่ได้จากการให้กู้ยืมหรือจากสิทธิเรียกร้องในหนี้ทุกชนิดไม่ว่าจะมีหลักประกันหรือไม่ก็ตาม
      (ข) เงินปันผล เงินส่วนแบ่งของกำไร หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล กองทุนรวม หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายไทยให้จัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะสำหรับให้กู้ยืมเงิน ฯลฯ
      (ค) เงินโบนัสที่จ่ายแก่ผู้ถือหุ้น หรือผู้เป็นหุ้นส่วนในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
      (ง) เงินลดทุนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเฉพาะส่วนที่จ่ายไม่เกินกว่ากำไรและเงินที่กันไว้รวมกัน
      (จ) เงินเพิ่มทุนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งจากกำไรที่ได้มาหรือรับช่วงกันไว้รวมกัน
      (ฉ) ผลประโยชน์ที่ได้จากการที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลควบเข้ากันหรือรับช่วงกันหรือ เลิกกัน ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินทุน
      (ช) ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนการเป็นหุ้นส่วนหรือโอนหุ้น หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตั๋วเงิน หรือ ตราสารแสดงสิทธิในหนี้ ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่นเป็นผู้ออก ทั้งนี้เฉพาะซึ่งตีราคา เป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน



      เงินได้ประเภทที่ 4 ในหลาย ๆ กรณี กฎหมายให้สิทธิที่จะเลือกเสียภาษีโดยวิธีหักภาษี ณ ที่จ่าย แทนการนำไปรวมคำนวณกับเงินได้อื่นตามหลักทั่วไป ซึ่งจะทำให้ผู้มีเงินได้ที่ต้องเสียภาษีตามบัญชีอัตราภาษี ในอัตราที่สูงกว่าอัตราภาษี หัก ณ ที่จ่าย สามารถประหยัดภาษีได้


ตัวอย่างของการเลือกจะเสียภาษีมากหรือน้อย
บันทึกการเข้า
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #30 เมื่อ: 29-12-2006, 23:28 »

อ่านซ้ำหลายรอบแล้ว ขอยืนยันความเข้าใจ

----

คุณเกรียงไกรนั้น  ทำการล้อกรณีที่คุณทักษิณโอนหุ้นให้ลูก
แต่ คุณเกรียงไกรนำหุ้นที่ได้รับไปสำแดงรวมเป็นรายได้ในการเสียภาษีส่วนบุคคล
(ซึ่งผมเชื่อว่าทางฝ่าย โอ๊ค-เอม ไม่เอาไปสำแดงภาษีอย่างคุณเกีรยงไกร)
คุณเกรียงไกร สำแดงหุ้นเป็นรายได้ แต่ไม่ยอมเสียภาษี (คงทำนองอ้างว่าลูกนายกฯไม่เสีย)
สรรพากรไม่ยอม เพราะแม้หุ้นที่ได้รับจากพ่อแม่ จะไม่จำเป็นต้องสำแดง
แต่ถ้าเอามาสำแดงลงในแบบฟอร์มภาษี ก็ต้องคิดภาษีด้วย

คุณเกียงไกรยอมจ่ายภาษี แต่อุทรณ์ต่อคณะกรรมการอุทรณ์ว่า สรรพากรคิดภาษีไม่ถูกต้อง
คณะกรรมการฯมีมติยีนยันว่าคิดถาษีถูกแล้ว (เมื่อนำมาสำแดงก็ต้องเสีย ถ้าไม่อยากเสียก็อย่าสำแดง)

การฟ้องครั้งนี้ เกิดเพราะต่อมาสรรพากรคืนภาษีให้
คุณเกรียงไกรฟ้องศาล เพราะเห็นว่าไม่ถูกต้อง
ศาลพิพากษาว่า คำตัดสินของคณะกรรมการอุทรณ์ ถือเป็นที่สุดแล้ว
ดังนั้นการคืนภาษีจึงไม่ถูกต้อง


นายเรืองไกรนี่เก๋าและเขี้ยวมาก รู้ขั้นตอนและช่องโหว่ของสรรพากร จะเอามาใช้โจมตีทางการเมือง




"ถ้า" คุณ"กาลามชน"ติดตามกรณีมาแต่ต้น และเป็นคนที่ศรัทธา"กาลามสูตร" จะต้องศึกษาข้อมูลทั้งเอกชนสองฝ่ายคือ คุณเรืองไกร และทักษิณ+ลูกชาย-ลูกสาว ตั้งแต่เริ่มต้นของแต่ละฝ่าย การตรวจสอบของคณะกรรมการ คตส. และคำวินิจฉัยของศาลสถิตยุติธรรม...... Exclamation

คุณ"กาลามชน" จะต้องเข้าใจและ"รู้เรื่อง"ว่าคดีของคุณเรืองไกร เริ่มต้นก่อนหน้าคดีของทักษิณและครอบครัวเป็นเวลานาน เป็นปี.....

เพราะฉนั้นคุณเรืองไกร ต่อสู้ อุธรณ์คดีเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ซึ่งกรมสรรพากรไม่ยอมรับ และบอกว่าคุณเรืองไกรคิดไม่ถูกต้อง.....

แต่ จู่ ๆ กรมสรรพากร ก็บอกว่าคุณเรืองไกร "คิดชอบ" คิดถูกต้อง" ก่อนทักษิณ+ครอบครัว จะทำการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป 730000ล้านบาท ประมาณหนึ่งสัปดาห์

คุณ"กาลามชน" มีสติปัญญาและวุฒิภาวะ ที่จะเข้าใจ "นัย"นี้หรือไม่............
Exclamation

คนที่ใช้นามแฝง"กาลามชน" มีความคิดพื้น ๆ อยากจะแก้ต่างให้ทักษิณ+ครอบครัว เหมือน คุณชอบแถ และ คุณอะไรจ๊ะ..........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


ปล. ผมจะเข้ามาอ่านกระทู้นี้ แต่จะไม่ตอบโต้ หรือ ชี้แจงให้คุณ"กาลามชน" คุณชอบแถ และ คุณอะไรจ๊ะ อีก
ปล่อยให้สาธุชน พิจารณา คุณธรรม จริยธรรม และทัศนะความคิดเห็นของแต่ละคนดีกว่า........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-12-2006, 23:32 โดย ปุถุชน » บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #31 เมื่อ: 30-12-2006, 08:26 »

"ถ้า" คุณ"กาลามชน"ติดตามกรณีมาแต่ต้น และเป็นคนที่ศรัทธา"กาลามสูตร" จะต้องศึกษาข้อมูลทั้งเอกชนสองฝ่ายคือ คุณเรืองไกร และทักษิณ+ลูกชาย-ลูกสาว ตั้งแต่เริ่มต้นของแต่ละฝ่าย การตรวจสอบของคณะกรรมการ คตส. และคำวินิจฉัยของศาลสถิตยุติธรรม...... Exclamation

คุณ"กาลามชน" จะต้องเข้าใจและ"รู้เรื่อง"ว่าคดีของคุณเรืองไกร เริ่มต้นก่อนหน้าคดีของทักษิณและครอบครัวเป็นเวลานาน เป็นปี.....

เพราะฉนั้นคุณเรืองไกร ต่อสู้ อุธรณ์คดีเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ซึ่งกรมสรรพากรไม่ยอมรับ และบอกว่าคุณเรืองไกรคิดไม่ถูกต้อง.....

แต่ จู่ ๆ กรมสรรพากร ก็บอกว่าคุณเรืองไกร "คิดชอบ" คิดถูกต้อง" ก่อนทักษิณ+ครอบครัว จะทำการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป 730000ล้านบาท ประมาณหนึ่งสัปดาห์

คุณ"กาลามชน" มีสติปัญญาและวุฒิภาวะ ที่จะเข้าใจ "นัย"นี้หรือไม่............
Exclamation

คนที่ใช้นามแฝง"กาลามชน" มีความคิดพื้น ๆ อยากจะแก้ต่างให้ทักษิณ+ครอบครัว เหมือน คุณชอบแถ และ คุณอะไรจ๊ะ..........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


ปล. ผมจะเข้ามาอ่านกระทู้นี้ แต่จะไม่ตอบโต้ หรือ ชี้แจงให้คุณ"กาลามชน" คุณชอบแถ และ คุณอะไรจ๊ะ อีก
ปล่อยให้สาธุชน พิจารณา คุณธรรม จริยธรรม และทัศนะความคิดเห็นของแต่ละคนดีกว่า........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า



คุณปุถุชนต่างหากที่สับสน อ้างโยงเข้าหาเหตุการณ์ที่ไม่ถูกต้อง

แม้ว่าสรรพากรจะคืนหุ้นให้ในเวลาใกล้ๆกับการขายหุ้นให้เทมาเสก
แต่กรณีของคุณเรืองไกรไม่ได้ลอกล้อการขายหุ้นชิน 73000 ล้าน ในปี 2548

คุณเรืองไกร ทำการประชด กรณีที่ทักษิณโอนหุ้นให้โอ๊ค ก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกฯในปี 2544
คุณเรืองไกร จึงทำการเลียนแบบกรณีทักษิณโอนหุ้นให้โอ๊ค
โดยให้พ่อของเรืองไกรโอนหุ้นให้กับตนบ้าง แล้วนำไปยื่นภาษีในปี 2546
เรื่องเกิดในปีภาษี 2546 ย่อมไม่เกิดก่อนครอบครัวชินวัตร ที่ทำในปี 2544 แน่

คนอื่นๆเขาจับประเด็นกันได้หลายคนแล้ว
แต่คุณปุถุชนยังตีความหลงทิศหลงทางไม่เลิก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2006, 09:03 โดย กาลามชน » บันทึกการเข้า
RiDKuN
Administrator
ขาประจำขั้นที่ 3
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,015



เว็บไซต์
« ตอบ #32 เมื่อ: 30-12-2006, 09:11 »

ผมไม่ทราบว่านายเรืองไกรมีจุดประสงค์อะไรหรือไม่ แต่ถ้าดูจากการที่พยายามยื่นอุทธรณ์แล้ว
ไม่ค่อยน่าเชื่อว่ามีจุดประสงค์เป็นอื่น นอกจากจะต้องการไม่เสียภาษีจริงๆ

อย่างไรก็ดีประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่านายเรืองไกรมีจุดประสงค์เช่นใด แต่อยู่ที่การทำงานที่ตรงไปตรงมา(หรือไม่?) ของกรมสรรพากร
ประเด็นนี้ศาลตัดสินในข้อที่ว่า ต้องทำตามคำตัดสินของคณะกรรมการอุทธรณ์ของกรมสรรพากร ที่ว่าต้องเก็บภาษีนายเรืองไกร
ผลที่เกิดขึ้นทันทีคือบรรทัดฐานที่ว่ากรมสรรพากรต้องเก็บภาษีผู้อื่นที่มีรูปแบบเดียวกับนายเรืองไกรด้วย่ ไม่ว่าจะ 7 หมื่นหรือ 7 หมื่นล้านก็มาตรฐานเดียวกัน
ดังนั้นหากกรมสรรพากรบิดพลิ้วไม่ทำตาม ไม่นานจะต้องมีคนฟ้องร้องต่อศาลว่ากรมสรรพากรปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
สรุปแล้วยังไงกรมสรรพากรก็ต้องพยายามเก็บภาษีเหลี่ยม แต่อย่างเหลี่ยมนั้นไม่ยอมจ่ายง่ายๆ หรอก (ไหนว่ารักประเทศไทยทำไมไม่จ่ายภาษี?)
เวลานั้นทนายฝ่ายเหลี่ยมก็จะเอาเรื่องที่ว่าคำตัดสินของกรมสรรพากรที่ว่าต้องเก็บภาษีนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ขึ้นมาเป็นประเด็น
ถ้าศาลตัดสินแล้วบอกว่าเหลี่ยมต้องจ่ายภาษี คนไทยก็ไชโยดีใจได้ว่าจะมีเงินภาษีเพิ่มขึ้นอีกเป็นหมื่นล้านทีเดียว 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2006, 09:12 โดย RiDKuN » บันทึกการเข้า

คนไม่มี "อุดมคติ" ไม่ใช่ "นักการเมือง"
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #33 เมื่อ: 30-12-2006, 10:14 »

กรณีการโอนหุ้นชินและกรณีนายเรืองไกร ได้บทสรุปที่ศาลยุติธรรมแล้ว

การกระทำของนายเรืองไกร ไม่ได้ล้อเลียนอะไรกัยกรณีนายทักษิณ  นายเรืองไกรเป็นนักบัญชี ซึ่งก็คงรู้กฎหมาย ถึงไม่ใช่นักบัญชี ประชาชนไทยก็ต้องรู้กฎหมาย

นายทักษิณซื้อปาท่องโก๋กินไม่ผิดกฎหมาย คนไทยคนอื่นๆก็ย่อมซื้อปาท่องโก๋กินได้เช่นกัน

ในเมื่อนายทักษิณ โอนหุ้นให้ลูกโดยไม่ต้องเสียภาษี คนไทยคนอื่นๆก็ย่อมทำได้เช่นกัน

ในทางกฎหมาย เมื่อพิจารณาคดีถึงฎีกา เขาจะใช้คำพิพากษาศาลฎีกาที่เคยมีมาเป็นหลัก เมื่อเคยวินิจฉัยไปแล้วว่าอย่างไรผิดอย่างไรไม่ผิด หากไม่มีการแก้ข้อกฎหมายนั้นเลย ในระยะเวลาที่ผ่านมาจากการตัดสินครั้งนั้น การตัดสินครั้งต่อมา จะใช้หลักการเดียวกัน ผิดก็ผิดไหมือนกัน ไม่ผิดก็ไม่ผิดเหมือนกัน

การกระทำใดๆโดยยึดหลักกฎหมายที่ได้มีการวินิจฉัยไว้แล้ว ไม่ได้เป็นการล้อเลียนหรือเอาแบบอย่าง ให้ทรราชย์หรือสมุนมาแก้ตัว   คุณทำได้ คนอื่นเขาก็ทำได้

แต่เรื่องมันพลาดตรงที่ สรรพากร

เมื่อวินิจฉัยกรณีนายเรืองไกรครั้งแรก  ได้ทำไปตามกฎระเบียบอย่างถูกต้อง นั่นคือต้องเสียภาษี  ในวันนี้ ศาลก็ได้ตัดสินแล้วว่าต้องเสีย

ส่วนการคืนภาษี เพื่อไม่ให้ขัดกับกรณีของทักษิณนั้น  เป็นการกระทำภายหลังจากพบว่า มันเป็นการวินิจฉัยสองกรณีที่ขัดแย้งกัน  และเป็นการทุรนทุรายเพื่อหลบเลี่ยงความผิด  ทั้งของสรรพากรที่รับผิดชอบ และนายใหญ่ที่สั่งการโกงภาษี


ปรเด็นในเรื่องนี้ ที่เหลือให้จับได้ก็คือ

มีการใช้อำนาจรัฐในการเลี่ยงภาษี อันเป็นความผิดชนิดที่ประเทศที่เจริญแล้ว เขาจะไม่ยอมรับบุคคลที่โกงภาษีเยี่ยงนี้ ให้เป็นพลเมืองที่น่านับถือของสังคม ต้องเอาไปไว้ในคุก อย่าว่าแต่จะเสนอหน้ามาเป็นผู้นำเลย แค่เสนอหน้าเข้าไปในสังคมเล็กๆที่ไหน เขาก็จะขับไล่ด้วยความรังเกียจ   สำหรับสังคมที่เจริญแล้ว คนโกงภาษี คือคนขายชาติ

สังคมไทยก็เช่นกัน บางส่วนนั้นเจริญแล้ว และยอมรับว่า กรณีการโอนหุ้น 1 บาท ที่ไม่ต้องเสียภาษีนั้น เป็นเรื่องลามกอนาจารทางการเมืองการปกครอง เป็นเรื่องอับปรียะของกรมภาษี  เป็นเรื่องด่างพร้อยของการเมืองการปกครอง

คงเหลือแต่กระบือ ที่ล้อเลียนว่า นายมันถูกกลั่นแกล้ง ก็เท่านั้นเอง
บันทึกการเข้า
ชอบแถ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,138



« ตอบ #34 เมื่อ: 30-12-2006, 10:31 »

มั่วกันเป็นแถบแบบไม่อ่านคำตัดสินเลยวุ้ย

อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลาง กล่าวด้วยว่า คดีนี้ ศาลวินิจฉัย เฉพาะเรื่องของอำนาจเจ้าพนักงานประเมินหรือกรมสรรพากรในการเปลี่ยนแปลงผลคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เท่านั้น โดยไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมกหาร พิจารณาอุทธรณ์ที่วินิจฉัย เกี่ยวกับภาระภาษีจากการรับโอนหุ้นถูกต้องหรือไม่

แหกตาดูให้ชัดๆ อีกที ว่าเค้าตัดสินตรงไหน
บันทึกการเข้า
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #35 เมื่อ: 30-12-2006, 10:43 »

"ถ้า" คุณ"กาลามชน"ติดตามกรณีมาแต่ต้น และเป็นคนที่ศรัทธา"กาลามสูตร" จะต้องศึกษาข้อมูลทั้งเอกชนสองฝ่ายคือ คุณเรืองไกร และทักษิณ+ลูกชาย-ลูกสาว ตั้งแต่เริ่มต้นของแต่ละฝ่าย การตรวจสอบของคณะกรรมการ คตส. และคำวินิจฉัยของศาลสถิตยุติธรรม...... Exclamation

คุณ"กาลามชน" จะต้องเข้าใจและ"รู้เรื่อง"ว่าคดีของคุณเรืองไกร เริ่มต้นก่อนหน้าคดีของทักษิณและครอบครัวเป็นเวลานาน เป็นปี.....

เพราะฉนั้นคุณเรืองไกร ต่อสู้ อุธรณ์คดีเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ซึ่งกรมสรรพากรไม่ยอมรับ และบอกว่าคุณเรืองไกรคิดไม่ถูกต้อง.....

แต่ จู่ ๆ กรมสรรพากร ก็บอกว่าคุณเรืองไกร "คิดชอบ" คิดถูกต้อง" ก่อนทักษิณ+ครอบครัว จะทำการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป 730000ล้านบาท ประมาณหนึ่งสัปดาห์

คุณ"กาลามชน" มีสติปัญญาและวุฒิภาวะ ที่จะเข้าใจ "นัย"นี้หรือไม่............
Exclamation

คนที่ใช้นามแฝง"กาลามชน" มีความคิดพื้น ๆ อยากจะแก้ต่างให้ทักษิณ+ครอบครัว เหมือน คุณชอบแถ และ คุณอะไรจ๊ะ..........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


ปล. ผมจะเข้ามาอ่านกระทู้นี้ แต่จะไม่ตอบโต้ หรือ ชี้แจงให้คุณ"กาลามชน" คุณชอบแถ และ คุณอะไรจ๊ะ อีก
ปล่อยให้สาธุชน พิจารณา คุณธรรม จริยธรรม และทัศนะความคิดเห็นของแต่ละคนดีกว่า........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า



คุณปุถุชนต่างหากที่สับสน อ้างโยงเข้าหาเหตุการณ์ที่ไม่ถูกต้อง

แม้ว่าสรรพากรจะคืนหุ้นให้ในเวลาใกล้ๆกับการขายหุ้นให้เทมาเสก
แต่กรณีของคุณเรืองไกรไม่ได้ลอกล้อการขายหุ้นชิน 73000 ล้าน ในปี 2548

คุณเรืองไกร ทำการประชด กรณีที่ทักษิณโอนหุ้นให้โอ๊ค ก่อนเข้ารับตำแหน่งนายกฯในปี 2544
คุณเรืองไกร จึงทำการเลียนแบบกรณีทักษิณโอนหุ้นให้โอ๊ค
โดยให้พ่อของเรืองไกรโอนหุ้นให้กับตนบ้าง แล้วนำไปยื่นภาษีในปี 2546
เรื่องเกิดในปีภาษี 2546 ย่อมไม่เกิดก่อนครอบครัวชินวัตร ที่ทำในปี 2544 แน่

คนอื่นๆเขาจับประเด็นกันได้หลายคนแล้ว
แต่คุณปุถุชนยังตีความหลงทิศหลงทางไม่เลิก


ผมไม่ทราบว่านายเรืองไกรมีจุดประสงค์อะไรหรือไม่ แต่ถ้าดูจากการที่พยายามยื่นอุทธรณ์แล้ว
ไม่ค่อยน่าเชื่อว่ามีจุดประสงค์เป็นอื่น นอกจากจะต้องการไม่เสียภาษีจริงๆ

อย่างไรก็ดีประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่านายเรืองไกรมีจุดประสงค์เช่นใด แต่อยู่ที่การทำงานที่ตรงไปตรงมา(หรือไม่?) ของกรมสรรพากร
ประเด็นนี้ศาลตัดสินในข้อที่ว่า ต้องทำตามคำตัดสินของคณะกรรมการอุทธรณ์ของกรมสรรพากร ที่ว่าต้องเก็บภาษีนายเรืองไกร
ผลที่เกิดขึ้นทันทีคือบรรทัดฐานที่ว่ากรมสรรพากรต้องเก็บภาษีผู้อื่นที่มีรูปแบบเดียวกับนายเรืองไกรด้วย่ ไม่ว่าจะ 7 หมื่นหรือ 7 หมื่นล้านก็มาตรฐานเดียวกัน
ดังนั้นหากกรมสรรพากรบิดพลิ้วไม่ทำตาม ไม่นานจะต้องมีคนฟ้องร้องต่อศาลว่ากรมสรรพากรปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
สรุปแล้วยังไงกรมสรรพากรก็ต้องพยายามเก็บภาษีเหลี่ยม แต่อย่างเหลี่ยมนั้นไม่ยอมจ่ายง่ายๆ หรอก (ไหนว่ารักประเทศไทยทำไมไม่จ่ายภาษี?)
เวลานั้นทนายฝ่ายเหลี่ยมก็จะเอาเรื่องที่ว่าคำตัดสินของกรมสรรพากรที่ว่าต้องเก็บภาษีนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ขึ้นมาเป็นประเด็น
ถ้าศาลตัดสินแล้วบอกว่าเหลี่ยมต้องจ่ายภาษี คนไทยก็ไชโยดีใจได้ว่าจะมีเงินภาษีเพิ่มขึ้นอีกเป็นหมื่นล้านทีเดียว 


คุณ"กาลามชน" เริ่มมีพฤติกรรมการตอบกระทู้หรือแสดงความคิดเห็นเหมือนคุณ"ชอบแถ"และคุณ"อะไรจ๊ะ"แล้ว  ถ้าต้องการความเข้าใจถูกต้อง ไม่เบี่ยงเบนเป็นอื่น ควรจะอ่าน คคห.ของผมซ้ำและอ่านคำชี้แจงของคุณ RiDKuN ด้วยความพิเคราะห์ จะเข้าใจดีว่า การบิดเบือน เบี่ยงเบนไปอย่างอื่น ๆ ของคุณ"กาลามชน" คนอื่น ๆ คิดอย่างไร................ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


ปล. คุณ"กาลามชน" ไปให้ความสนใจหรืออ้างอิงเจตนาของคุณเรืองไกร ซึ่งคุณ"กาลามชน"ทึกทักเอาเอง ตามที่คุณ RiDKuN ทักท้วง ดักคอไว้ใน คคห.ของเขา....

ทำไมพิจารณา ยอมรับพฤติกรรมของคนในครอบครัวกระทำการผิดกฏหมายอย่างไร Exclamation



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2006, 10:50 โดย ปุถุชน » บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #36 เมื่อ: 30-12-2006, 10:46 »

มั่วกันเป็นแถบแบบไม่อ่านคำตัดสินเลยวุ้ย

อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลาง กล่าวด้วยว่า คดีนี้ ศาลวินิจฉัย เฉพาะเรื่องของอำนาจเจ้าพนักงานประเมินหรือกรมสรรพากรในการเปลี่ยนแปลงผลคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เท่านั้น โดยไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมกหาร พิจารณาอุทธรณ์ที่วินิจฉัย เกี่ยวกับภาระภาษีจากการรับโอนหุ้นถูกต้องหรือไม่

แหกตาดูให้ชัดๆ อีกที ว่าเค้าตัดสินตรงไหน



คุณ"กาลามชน" ได้อ่านคคห.ของคุณ"ชอบแถ" นี้ จะรู้สึกตัวว่า คุณ"ตีความ" "เพิ่มเติม" และ "สรุปตามความต้องการ" จากคำพิพากษาอย่างไร......

ส่วนการแสดงความคิดเห็นไม่ตรงกับคุณ"กาลามชน" อาศัยจากข้อมูลที่ปรากฎในการสอบสวน การตรวจสอบของคณะกรรมการอื่น ๆ จึงไม่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาแต่อย่างไร.....


บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #37 เมื่อ: 30-12-2006, 11:16 »


สำหรับสังคมที่เจริญแล้ว คนโกงภาษี คือคนขายชาติ


อันนี้ไม่น่าจะใช่นะคะ สับสนแล้ว

ไม่รักชาติมากเท่าคนที่จ่ายเต็มที่ โดยไม่หลบ หลีก เลี่ยง
หรือเลือกที่จะจ่ายมากเป็นพิเศษ อาจเป็นได้

ถ้าใช้นิยามตามคุณ พรรณชมพู คนขายชาติจะมีเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
ทั้งในโลกนี้และประเทศนี้ รวมทั้งที่เวบเสรีไทย

เพราะคนส่วนใหญ่ ไม่อยากเสียภาษีหรอกค่ะ
อย่างมากก็ทำตามหน้าที่พลเมืองดีไป ด้วยการเคารพกฏหมายเท่านั้น

คนที่เลี่ยงการจ่ายภาษี ก็มิใช่ ปิศาจร้ายขายชาติ
นอกจากคุณจะคิดว่า เลี่ยง 1 บาท ขายชาติน้อย
เลี่ยงหลายร้อยบาท ขายชาติมากขึ้นอีกหน่อย
เลี่ยงเป็นพันๆ ล้านบาท มันเป็นอสุรกายแล้ว ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป

สรุปอีกที
เลี่ยงภาษี มิใช่ ขายชาติ
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
Yodyood
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 528



« ตอบ #38 เมื่อ: 30-12-2006, 11:22 »


สำหรับสังคมที่เจริญแล้ว คนโกงภาษี คือคนขายชาติ


อันนี้ไม่น่าจะใช่นะคะ สับสนแล้ว

ไม่รักชาติมากเท่าคนที่จ่ายเต็มที่ โดยไม่หลบ หลีก เลี่ยง
หรือเลือกที่จะจ่ายมากเป็นพิเศษ อาจเป็นได้

ถ้าใช้นิยามตามคุณ พรรณชมพู คนขายชาติจะมีเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
ทั้งในโลกนี้และประเทศนี้ รวมทั้งที่เวบเสรีไทย

เพราะคนส่วนใหญ่ ไม่อยากเสียภาษีหรอกค่ะ
อย่างมากก็ทำตามหน้าที่พลเมืองดีไป ด้วยการเคารพกฏหมายเท่านั้น

คนที่เลี่ยงการจ่ายภาษี ก็มิใช่ ปิศาจร้ายขายชาติ
นอกจากคุณจะคิดว่า เลี่ยง 1 บาท ขายชาติน้อย
เลี่ยงหลายร้อยบาท ขายชาติมากขึ้นอีกหน่อย
เลี่ยงเป็นพันๆ ล้านบาท มันเป็นอสุรกายแล้ว ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป

สรุปอีกที
เลี่ยงภาษี มิใช่ ขายชาติ


ผมว่ารายละเอียดมันต่างกันเยอะนะครับ
เพราะ กรณี ทักกี้นี่โกงจะๆ ไม่ใช่เลี่ยงแบบที่นักธุรกิจเขาทำกัน

ใช้อำนาจทางการเมืองบีบให้ไม่ต้องเสียภาษีเอาดื้อๆอ่ะนะ
บันทึกการเข้า

~ You will never know the truth if you dare not to face it. ~
snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #39 เมื่อ: 30-12-2006, 11:33 »


สำหรับสังคมที่เจริญแล้ว คนโกงภาษี คือคนขายชาติ


อันนี้ไม่น่าจะใช่นะคะ สับสนแล้ว

ไม่รักชาติมากเท่าคนที่จ่ายเต็มที่ โดยไม่หลบ หลีก เลี่ยง
หรือเลือกที่จะจ่ายมากเป็นพิเศษ อาจเป็นได้

ถ้าใช้นิยามตามคุณ พรรณชมพู คนขายชาติจะมีเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
ทั้งในโลกนี้และประเทศนี้ รวมทั้งที่เวบเสรีไทย

เพราะคนส่วนใหญ่ ไม่อยากเสียภาษีหรอกค่ะ
อย่างมากก็ทำตามหน้าที่พลเมืองดีไป ด้วยการเคารพกฏหมายเท่านั้น

คนที่เลี่ยงการจ่ายภาษี ก็มิใช่ ปิศาจร้ายขายชาติ
นอกจากคุณจะคิดว่า เลี่ยง 1 บาท ขายชาติน้อย
เลี่ยงหลายร้อยบาท ขายชาติมากขึ้นอีกหน่อย
เลี่ยงเป็นพันๆ ล้านบาท มันเป็นอสุรกายแล้ว ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป

สรุปอีกที
เลี่ยงภาษี มิใช่ ขายชาติ


ผมว่ารายละเอียดมันต่างกันเยอะนะครับ
เพราะ กรณี ทักกี้นี่โกงจะๆ ไม่ใช่เลี่ยงแบบที่นักธุรกิจเขาทำกัน

ใช้อำนาจทางการเมืองบีบให้ไม่ต้องเสียภาษีเอาดื้อๆอ่ะนะ

แล้ว "ขายชาติ" ตรงไหนล่ะคะ?
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #40 เมื่อ: 30-12-2006, 11:36 »


สำหรับสังคมที่เจริญแล้ว คนโกงภาษี คือคนขายชาติ


อันนี้ไม่น่าจะใช่นะคะ สับสนแล้ว

ไม่รักชาติมากเท่าคนที่จ่ายเต็มที่ โดยไม่หลบ หลีก เลี่ยง
หรือเลือกที่จะจ่ายมากเป็นพิเศษ อาจเป็นได้

ถ้าใช้นิยามตามคุณ พรรณชมพู คนขายชาติจะมีเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
ทั้งในโลกนี้และประเทศนี้ รวมทั้งที่เวบเสรีไทย

เพราะคนส่วนใหญ่ ไม่อยากเสียภาษีหรอกค่ะ
อย่างมากก็ทำตามหน้าที่พลเมืองดีไป ด้วยการเคารพกฏหมายเท่านั้น

คนที่เลี่ยงการจ่ายภาษี ก็มิใช่ ปิศาจร้ายขายชาติ
นอกจากคุณจะคิดว่า เลี่ยง 1 บาท ขายชาติน้อย
เลี่ยงหลายร้อยบาท ขายชาติมากขึ้นอีกหน่อย
เลี่ยงเป็นพันๆ ล้านบาท มันเป็นอสุรกายแล้ว ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป


สรุปอีกที
เลี่ยงภาษี มิใช่ ขายชาติ


ผมว่ารายละเอียดมันต่างกันเยอะนะครับ
เพราะ กรณี ทักกี้นี่โกงจะๆ ไม่ใช่เลี่ยงแบบที่นักธุรกิจเขาทำกัน

ใช้อำนาจทางการเมืองบีบให้ไม่ต้องเสียภาษีเอาดื้อๆอ่ะนะ



คนที่เลี่ยงการจ่ายภาษี ก็มิใช่ ปิศาจร้ายขายชาติ
นอกจากคุณจะคิดว่า เลี่ยง 1 บาท ขายชาติน้อย
เลี่ยงหลายร้อยบาท ขายชาติมากขึ้นอีกหน่อย
เลี่ยงเป็นพันๆ ล้านบาท มันเป็นอสุรกายแล้ว ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป



ถ้าเลี่ยงภาษีหลายหมื่นล้านบาท หลายแสนล้านบาท จะถึงขั้นโกงชาติ โกงประเทศ และขายชาติหรือไม่ Question

ปล. ขอแซวหน่อยครับ..........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ชอบแถ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,138



« ตอบ #41 เมื่อ: 30-12-2006, 11:39 »

ถ้าจินตนาการกันมาก แล้วเค้าหาหลักฐานเอาผิดไม่ได้ จะคลั่งเอาใจแฟนๆ
 
ด้วยการปฏิวัติซ้ำแล้วยึดทรัพย์หน้าตาเฉย มันจะยุ่งนะ อย่าไปกดดันมาก

เดี๋ยวเป็นอย่างอิรัก แล้วจะเสียใจ
บันทึกการเข้า
bc
น้องใหม่
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5


« ตอบ #42 เมื่อ: 30-12-2006, 12:44 »

ถ้าพูดถึงบรรทัดฐาน
คมที่ไม่เคยโอนหุ้นจองนอกตลาด
ก็อย่ามาสะเออะ แสดงความคิดเห็น
การโอนหุ้นจองที่ได้มา ขายนอกตลาดได้กำไร
ไม่เคยมีใครสำแดงหรอกว่าได้กำไร
ส่วนมากขายเท่าทุนทั้งแหละ(ตอแหล)
แต่ในความเป็นจริง กำไรกันบานเลย
แล้วเรื่องนี้ในทางภาษี เขาก็มีอายุความแค่ปีเดียว
ไม่แจ้งตามไม่เจอก็พ้นไปโดยปริยาย
บันทึกการเข้า
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #43 เมื่อ: 30-12-2006, 19:15 »


สำหรับสังคมที่เจริญแล้ว คนโกงภาษี คือคนขายชาติ


อันนี้ไม่น่าจะใช่นะคะ สับสนแล้ว

ไม่รักชาติมากเท่าคนที่จ่ายเต็มที่ โดยไม่หลบ หลีก เลี่ยง
หรือเลือกที่จะจ่ายมากเป็นพิเศษ อาจเป็นได้

ถ้าใช้นิยามตามคุณ พรรณชมพู คนขายชาติจะมีเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
ทั้งในโลกนี้และประเทศนี้ รวมทั้งที่เวบเสรีไทย

เพราะคนส่วนใหญ่ ไม่อยากเสียภาษีหรอกค่ะ
อย่างมากก็ทำตามหน้าที่พลเมืองดีไป ด้วยการเคารพกฏหมายเท่านั้น

คนที่เลี่ยงการจ่ายภาษี ก็มิใช่ ปิศาจร้ายขายชาติ
นอกจากคุณจะคิดว่า เลี่ยง 1 บาท ขายชาติน้อย
เลี่ยงหลายร้อยบาท ขายชาติมากขึ้นอีกหน่อย
เลี่ยงเป็นพันๆ ล้านบาท มันเป็นอสุรกายแล้ว ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป

สรุปอีกที
เลี่ยงภาษี มิใช่ ขายชาติ


นิยามเราคงไม่เหมือนกันค่ะ  คงไม่ต้องถกเถียงกันในเรื่องนี้

สำหรับหนูแล้ว การจะรักษาชาติให้ยังคงอยู่ได้นั้น บรรพบุรุษของเราสละมาแม้แต่เลือดเนื้อและชีวิต ไม่พึงต้องพูดถึงทรัพย์สิน ประวัติศาสตร์จารึกไว้วว่า เมื่อครั้งเราถูกฝรั่งเศสรุกรานใน รศ.112  สยามต้องเสียเงินค่าปรับให้ฝรั่งเศส จนเงินสิบสิงท้องพระคลังหมดสิ้น  แม้แต่พระธรรมรงค์บนพระหัตถ์ ยังทรงพระราชทานมารวบรวมกับเงินทั้งแผ่นดิน เพื่อจ่ายค่าไถ่อิสรภาพให้สยาม รักษาแผ่นดินไว้ให้ลูกหลาน

หากวันนั้นเรามีเงินไม่พอ เราคงสิ้นชาติ  และคนที่โกงภาษีอากรในสมัยนั้น คงไม่เป้นคนขายชาติกระมังคะ เพียงแต่โกงน่ะ ชาติสยามสิ้นไปเพราะมีเงินค่าปรับไม่พอ  ก็เท่านั้นเอง

เหมือนนิยามว่า ชายไทยที่หนีทหาร คือคนขายชาติ  ก็อาจจะรุนแรงไป  ก็คนเราย่อมไม่อยากตาย ข้าศึกศัตรูมารุกราน ก็หนีไปเอาผ้าถุงเมียครอบหัวไว้  ก็แค่นั้นเอง  ประเทศขาดทหารแล้วรบแพ้ สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน  มันก็แค่สิ้นชาติ  แต่ไอ้คนหนีทหารมันไม่ได้ขายชาติ

การขายชาตินั้น ต้องเอาชาติใส่กระเป๋า ไปเดินเร่ขาย สามชาติห้าบาท แถมน้ำจิ้ม  อย่างนี้เป็นรูปธรรมชัดเจน  ขายชาตินั้น หากจะมองในนามธรรม ต้องมองด้วยดวงตาที่เห็นธรรม จึงจะมองออกค่ะ   
บันทึกการเข้า
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #44 เมื่อ: 30-12-2006, 19:31 »

ประเด็นนี้ศาลตัดสินในข้อที่ว่า ต้องทำตามคำตัดสินของคณะกรรมการอุทธรณ์ของกรมสรรพากร ที่ว่าต้องเก็บภาษีนายเรืองไกร
ผลที่เกิดขึ้นทันทีคือบรรทัดฐานที่ว่ากรมสรรพากรต้องเก็บภาษีผู้อื่นที่มีรูปแบบเดียวกับนายเรืองไกรด้วย่ ไม่ว่าจะ 7 หมื่นหรือ 7 หมื่นล้านก็มาตรฐานเดียวกัน
ดังนั้นหากกรมสรรพากรบิดพลิ้วไม่ทำตาม ไม่นานจะต้องมีคนฟ้องร้องต่อศาลว่ากรมสรรพากรปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
สรุปแล้วยังไงกรมสรรพากรก็ต้องพยายามเก็บภาษีเหลี่ยม

บรรนทัดฐานที่ศาลตัดสินคือ ใครเอาหุ้น(หรือทรัพย์ใดๆ)ที่ได้จากพ่อแม่
สำแดงรวมลงในเงินได้ส่วนบุคคล ก็ต้องเสียภาษี
ถ้าโอ๊คเอาหุ้นของพ่อ ไปสำแดงรวมลงในเงินได้ที่ต้องเสียภาษี แต่กลับได้รับยกเว้น
สรรพากร ก็ต้องตามเก็บภาษีโอ๊คตามกรณีที่ศาลตัดสินเป็นตัวอย่าง
แต่ถ้าโอ๊ค ไม่เคยเอาหุ้นไปสำแดงรวมลงในแบบฟอร์ม ก็เก็บไม่ได้ เพราะไม่ตรงกับกรณี

แต่จะมีคำถามต่อไปว่า โอ๊คมีสิทธิที่จะไม่สำแดงหรือไม่... ถ้าโอ๊คมีสิทธิไม่สำแดง โอ๊คก็ไม่มีความผิด
แต่ถ้ากฎหมายบอกว่าไม่มีสิทธิยกเว้นรายได้เหล่านั้น สรรพากรก็ต้องตามตัวโอ๊ค..
และคนไทยอีกหลายหมื่นหลายแสนที่เคยได้รับมรดก แต่ไม่เคยเอามารวมคิดภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ให้มาเสียภาษี
ประเทศชาติน่าจะได้เงินภาษีอีกหลายแสนล้าน แต่มั่นใจว่ารัฐบาลจะพังภายในไม่กี่วัน
นอกจากจะประกาศนโยบายดับเบิลแสตนดาร์ดให้ชัดเจนว่าจะเก็บภาษีแต่โอ๊ค ไม่เก็บประชาชนคนอื่น

บทสรุปคือ คดีนี้จะเอาไปเทียบกับกรณีโอ๊คไม่ได้
เนื่องจากมีเงื่อนไขที่ต่างกันคือ การนำทรัพย์สินไปสำแดงรวมลงในเงินได้ส่วนบุคคล
บันทึกการเข้า
ชอบแถ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,138



« ตอบ #45 เมื่อ: 30-12-2006, 19:41 »

ขอแสดงความชื่นชมคุณกาลามชนที่ตอบได้ชัดเจนและวิเคราะห์ได้ละเอียดทุกแง่มุมในความเจ้าเล่ห์

ของนายเรืองไกร แม้ว่าจะมีหลายคนจะไม่พยายามอ่านให้รู้เรื่องแล้วให้ความเห็นออกทะเลพยายามเอา

ชนะให้ได้ แต่คงมีอีกหลายคนที่ไม่ได้ให้ความเห็นเข้ามาอ่านแล้วเข้าใจครับ
บันทึกการเข้า
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« ตอบ #46 เมื่อ: 30-12-2006, 19:54 »

นอกจากทักษิณแล้ว คนที่ไม่สำแดงรายได้จากหุ้น ยังมีอีกนับหมื่นนับแสนราย

ในประเทศไทย มีบริษัทนิติบุคคลมากมาย ที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้น
ส่วนใหญ่เป็นบริษัทห้างร้านเล็กๆที่เราพบเห็นทั่วไปตามห้องแถวข้างถนน
เพราะเงื่อนไขของตลาดหุ้น ต้องมีกำไรสามปี ต้องมีโครงสร้าง ต้องนั่น ต้องนี่ ....
ดังนั้นบริษัทจำกัดและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเล็กๆก็ต้องเปลี่ยนมือกันนอกตลาดหุ้น

และถ้าทักษิณแพ้คดี เราจะได้เห็นห้างร้านเล็กๆตามห้องแถวริมถนนล้มละลาย
เพราะถูกสรรพากรตามยึดทรัพย์เป็นหมื่นเป็นแสนราย และรัฐบาลก็อาจจะพังภายในไม่กี่วัน
นอกจากรัฐบาลจะประกาศนโยบายดับเบิลแสตนดาร์ดให้ชัดเจน ว่าจะเก็บแต่ทักษิณ ไม่เก็บประชาชนคนอื่น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2006, 20:16 โดย กาลามชน » บันทึกการเข้า
คนในวงการ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,393


FLY WITH NO FEAR !!


เว็บไซต์
« ตอบ #47 เมื่อ: 31-12-2006, 01:21 »

มั่วกันเป็นแถบแบบไม่อ่านคำตัดสินเลยวุ้ย

อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลาง กล่าวด้วยว่า คดีนี้ ศาลวินิจฉัย เฉพาะเรื่องของอำนาจเจ้าพนักงานประเมินหรือกรมสรรพากรในการเปลี่ยนแปลงผลคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เท่านั้น โดยไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมกหาร พิจารณาอุทธรณ์ที่วินิจฉัย เกี่ยวกับภาระภาษีจากการรับโอนหุ้นถูกต้องหรือไม่

แหกตาดูให้ชัดๆ อีกที ว่าเค้าตัดสินตรงไหน

ชอบแถ มีสายตาดีมากไม่เหมือนกับฝ่าย PT คนอื่น ๆ และก็คงจะรู้ด้วยว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จะถูกใช้เป็นบรรทัดฐานในการตัดสินกรณีพิพาททางภาษีในลักษณะเดียวกันอีกด้วย แน่นอนเรื่องนี้จะต้องไปจบลงที่ศาลภาษี และคงจะต้องฏีกากันที่ศาลฏีกาแผนกภาษี ถึงตอนนั้นเราก็จะได้รู้กันว่าจุดจบของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ผมนั่งนับวันตั้งตารอคอยวันพิพากษา ยิ่งขึ้นศาลยิ่งสนุกคราวนี้แหละไส้มีกี่ขด โดนลากออกมาหมดแน่

ถ้าพูดถึงบรรทัดฐาน
คมที่ไม่เคยโอนหุ้นจองนอกตลาด
ก็อย่ามาสะเออะ แสดงความคิดเห็น
การโอนหุ้นจองที่ได้มา ขายนอกตลาดได้กำไร
ไม่เคยมีใครสำแดงหรอกว่าได้กำไร
ส่วนมากขายเท่าทุนทั้งแหละ(ตอแหล)
แต่ในความเป็นจริง กำไรกันบานเลย
แล้วเรื่องนี้ในทางภาษี เขาก็มีอายุความแค่ปีเดียว
ไม่แจ้งตามไม่เจอก็พ้นไปโดยปริยาย


ดั้นเมฆมาแต่ไกล สมแล้วที่เป็นฝ่าย PT คือไม่มีองค์ความรู้อะไรเลย เอาหละผมจะบอกให้เอาบุญ คุณจะได้ไม่โง่ดักดานไปตลอดชีวิต เจ้าหน้าที่สรรพากร สามารถประเมินภาษีย้อนหลังได้ 5 ปี ถ้าคุณยื่นแบบไม่ถูกต้อง หรือมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี และสามารถประเมินได้ทันทีที่เจ้าหน้าที่เกิดความสงสัยโดยไม่ต้องให้ใครมาร้องเรียนเป็นโจทก์ และถ้ากรมสรรพากรพิสูจน์ได้ว่าคุณกระทำผิดจริง กรมสรรพากรมีอำนาจที่จะยึดทรัพย์ได้โดยทันทีโดยไม่ต้องรอให้ศาลสั่ง ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ซึ่งกรณีนายพานทองแท้ และ นางสาวพิณทองทา หากยื่นแบบคำร้องเอาไว้ คดีก็มีอายุความ 5 ปี และหากไม่เคยยื่น (ผมจำไม่ได้ว่าเคยยื่นแบบหรือไม่) กรมสรรพากร มีอำนาจที่จะประเมิณภาษีย้อนหลังได้ถึง 10 ปี ตาม ปพพ.มาตรา 193/31 และต่อให้เจ้าหน้าที่สรรพากรคนเก่าจะไม่ว่าอะไรที่ยื่นเสียไม่ครบ กรมสรรพากรก็มีอำนาจรื้อฟื้นคดีขึ้นมาประเมินใหม่ได้ตลอดเวลาที่ยังไม่หมดอายุความ

บรรนทัดฐานที่ศาลตัดสินคือ ใครเอาหุ้น(หรือทรัพย์ใดๆ)ที่ได้จากพ่อแม่
สำแดงรวมลงในเงินได้ส่วนบุคคล ก็ต้องเสียภาษี
ถ้าโอ๊คเอาหุ้นของพ่อ ไปสำแดงรวมลงในเงินได้ที่ต้องเสียภาษี แต่กลับได้รับยกเว้น
สรรพากร ก็ต้องตามเก็บภาษีโอ๊คตามกรณีที่ศาลตัดสินเป็นตัวอย่าง
แต่ถ้าโอ๊ค ไม่เคยเอาหุ้นไปสำแดงรวมลงในแบบฟอร์ม ก็เก็บไม่ได้ เพราะไม่ตรงกับกรณี

แต่จะมีคำถามต่อไปว่า โอ๊คมีสิทธิที่จะไม่สำแดงหรือไม่... ถ้าโอ๊คมีสิทธิไม่สำแดง โอ๊คก็ไม่มีความผิด
แต่ถ้ากฎหมายบอกว่าไม่มีสิทธิยกเว้นรายได้เหล่านั้น สรรพากรก็ต้องตามตัวโอ๊ค..
และคนไทยอีกหลายหมื่นหลายแสนที่เคยได้รับมรดก แต่ไม่เคยเอามารวมคิดภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ให้มาเสียภาษี
ประเทศชาติน่าจะได้เงินภาษีอีกหลายแสนล้าน แต่มั่นใจว่ารัฐบาลจะพังภายในไม่กี่วัน
นอกจากจะประกาศนโยบายดับเบิลแสตนดาร์ดให้ชัดเจนว่าจะเก็บภาษีแต่โอ๊ค ไม่เก็บประชาชนคนอื่น

บทสรุปคือ คดีนี้จะเอาไปเทียบกับกรณีโอ๊คไม่ได้
เนื่องจากมีเงื่อนไขที่ต่างกันคือ การนำทรัพย์สินไปสำแดงรวมลงในเงินได้ส่วนบุคคล

นายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา ไม่มีสิทธิไม่สำแดงรายได้ เพราะเป็นหน้าที่ที่จะต้องสำแดงตามกฏหมาย หากนายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา ไม่สำแดง ก็จะมีความผิดฐานเจตนาหลบเลี่ยงภาษีทันที โดยจะอ้างว่าไม่รู้กฏหมายไม่ได้ ส่วนที่คุณกาลามชนเป็นห่วงว่ากรมสรรพากรจะสองมาตรฐานนั้น ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะกรมสรรพากรขยายฐานภาษีทุกปี และเรียกเก็บย้อนหลังทันทีที่สืบทราบ และเค้าทำกันมานานแล้ว ทำกันมาตลอด ขอให้สรรพากรรู้เถอะว่าคุณมีเงิน สรรพากรจะตามไปรีด (ไปเสียภาษีซะบ้างนะคุณกาลามชน จะได้รู้เรื่องรู้ราวกะเค้าบ้าง)

นอกจากทักษิณแล้ว คนที่ไม่สำแดงรายได้จากหุ้น ยังมีอีกนับหมื่นนับแสนราย

ในประเทศไทย มีบริษัทนิติบุคคลมากมาย ที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้น
ส่วนใหญ่เป็นบริษัทห้างร้านเล็กๆที่เราพบเห็นทั่วไปตามห้องแถวข้างถนน
เพราะเงื่อนไขของตลาดหุ้น ต้องมีกำไรสามปี ต้องมีโครงสร้าง ต้องนั่น ต้องนี่ ....
ดังนั้นบริษัทจำกัดและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเล็กๆก็ต้องเปลี่ยนมือกันนอกตลาดหุ้น

และถ้าทักษิณแพ้คดี เราจะได้เห็นห้างร้านเล็กๆตามห้องแถวริมถนนล้มละลาย
เพราะถูกสรรพากรตามยึดทรัพย์เป็นหมื่นเป็นแสนราย และรัฐบาลก็อาจจะพังภายในไม่กี่วัน
นอกจากรัฐบาลจะประกาศนโยบายดับเบิลแสตนดาร์ดให้ชัดเจน ว่าจะเก็บแต่ทักษิณ ไม่เก็บประชาชนคนอื่น

ข้อนี้ผมตอบเหมือนข้อข้างบน นั่นคือ กรมสรรพากรขยายฐานภาษีทุกปี ถ้าคุณกาลามชนไม่รู้จักคำว่าขยายฐานภาษี ผมแนะนำให้ไปอ่านเว็บกรมสรรพากรเอาเอง
บันทึกการเข้า

"Be without fear in the face of your enemies. Be brave and upright that God may love thee.
Speak the truth, always, even if it leads to your death. Safeguard the helpless, and do no wrong. That is your oath."
- Balian of Ibelin -
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #48 เมื่อ: 31-12-2006, 01:35 »

นอกจากทักษิณแล้ว คนที่ไม่สำแดงรายได้จากหุ้น ยังมีอีกนับหมื่นนับแสนราย

ในประเทศไทย มีบริษัทนิติบุคคลมากมาย ที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้น
ส่วนใหญ่เป็นบริษัทห้างร้านเล็กๆที่เราพบเห็นทั่วไปตามห้องแถวข้างถนน
เพราะเงื่อนไขของตลาดหุ้น ต้องมีกำไรสามปี ต้องมีโครงสร้าง ต้องนั่น ต้องนี่ ....
ดังนั้นบริษัทจำกัดและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเล็กๆก็ต้องเปลี่ยนมือกันนอกตลาดหุ้น

และถ้าทักษิณแพ้คดี เราจะได้เห็นห้างร้านเล็กๆตามห้องแถวริมถนนล้มละลาย
เพราะถูกสรรพากรตามยึดทรัพย์เป็นหมื่นเป็นแสนราย และรัฐบาลก็อาจจะพังภายในไม่กี่วัน
นอกจากรัฐบาลจะประกาศนโยบายดับเบิลแสตนดาร์ดให้ชัดเจน ว่าจะเก็บแต่ทักษิณ ไม่เก็บประชาชนคนอื่น


ข้อนี้ผมตอบเหมือนข้อข้างบน นั่นคือ กรมสรรพากรขยายฐานภาษีทุกปี ถ้าคุณกาลามชนไม่รู้จักคำว่าขยายฐานภาษี ผมแนะนำให้ไปอ่านเว็บกรมสรรพากรเอาเอง

ข้อความโดย: คนในวงการ



กรมสรรพากรกลัวว่าจะช่วยเหลือครอบครัว"นายผู้ชาย" ไม่ได้ จึงคืนภาษีที่เก็บจากคุณเรืองไกรได้แล้ว คืนไป.....
คุณ"กาลามชน" เกรงว่าไม่นำความห่วงใยของ"บุคคลอื่น" และ "นิติบุคคลอื่น" มารวมด้วย จะทำให้คดีของ"นายผู้ชาย" ไม่รอด และ คนอ่านที่ไม่รู้ทัน จะเห็นด้วย........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า



บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
สี่หามสามแห่
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,460



« ตอบ #49 เมื่อ: 31-12-2006, 16:15 »

กาลามชน นี่มาแนวเีดียวกับไอ้ทักกี้เเลย

มือถือสา่ก ปากถือศีล

พูดดีว่าศิษย์พระโน้นพระนี้

อ้างจัง ตถตา และคำพระ

แต่การกระทำแต่ละอย่าง เี่ยี่ยงโจร..
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2
    กระโดดไป: