ไปเจอบทความนี้มีเนื้อหาเข้าท่าดี เอาไปลงที่ WOM ก่อนเมื่อ 8/12/49 เพราะไม่แน่ใจว่า Serithai สบายดีหรือยัง
และนำลงที่ tmctoday พร้อมกันไปด้วย จนมาถึงวันนี้ลองเอามาลงเสรีไทยบ้างหวังว่าคงสบายดีแล้วนะครับ
คิดว่าบทความนี้เหมาะกับทุกฝ่ายนะครับ ไม่ว่าจะ Pro ใคร หรือ Anti ใคร ลองอ่านดูนะครับ เสียดายที่ผู้เขียน-
อธิบายหลายๆ จุดน้อยไปสักหน่อย แต่ก็ยังพอให้คิดตามต่อยอดไปได้หลายประเด็นครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ก้าวไปให้ไกลกว่าการเมืองไทยแค่การเลือกตั้งกับอำนาจรัฐประหาร ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ , วิทยาลัยการจัดการทางสังคม
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่มีครั้งใดที่ปัญญาชนและขบวนประชาธิปไตยเห็นพิษภัยของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ยึดกุมอำนาจ ยึดกุมประเทศ
ควบคุมกลไกทุกอย่างไว้ในมือ แล้วแสวงหาผลประโยชน์กันอย่างสนุกมือ พร้อม ๆ กับการสร้างฐานคะแนนทาง-
การเมืองผ่านนโยบายประชานิยมจนคนยากคนจนรอคอยและหวังพึ่งพากันหนักหนาเหมือนติดยาเสพติด
ปัญญาชน ขบวนการประชาธิปไตยได้มีการเคลื่อนไหว กดดัน ขับไล่ทุนนิยมเผด็จการมาอย่างยาวนาน
แต่ก็ไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้
และแล้วก็มาถึงจุดจบโดยการรัฐประหารยึดอำนาจด้วยปลายกระบอกปืน ที่ปัญญาชนและขบวนประชาธิปไตย
เคยต่อสู้เรียกร้องโค่นล้มเสียเลือดเสียเนื้อมาแล้ว 8 ครั้ง 8 ครา แน่นอนผลที่ได้ก็คือการล้มกลุ่มนายทุนการเมือง
ออกไป แต่ของแถมที่ได้มานั้นก็แสนหนักหนา รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2540 ถูกฉีกทิ้ง และสิทธิ เสรีภาพ
ของประชาชนก็ถูกจำกัดลง
อย่างที่สังคมได้มีการถกเถียง วิพากษ์วิจารณ์กันมาพอควรแล้ว ทั้งเผด็จการนายทุนที่มาจากการเลือกตั้ง
และเผด็จการที่มาจากกระบอกปืน ประเด็นที่สำคัญก็คือสังคมไทยจะก้าวไปให้ไกลกว่าการเมืองที่เป็นอยู่ได้อย่างไร?
ประชาธิปไตยที่ติดอยู่แค่การเลือกตั้ง ถึงเวลาประชาชนเจ้าของอธิปไตยก็ไปเลือกตั้ง หย่อนบัตร แล้วก็มารอดู
ผู้แทนของตัวเองแสดงบทบาททางการเมืองตามที่พรรคและนายทุนพรรคกำกับ กอบโกยประโยชน์กันอย่าง
เป็นล่ำเป็นสัน เป็นการสร้างสวรรค์ของคนกลุ่มน้อยนับเป็นการหนีเสือปะจระเข้ของสังคมไทยโดยแท้เช่นเดียวกันกับการรัฐประหาร เมื่อยึดอำนาจได้แล้วก็เช็คบิลกลุ่มที่เคยมีอำนาจอยู่เดิม
แล้วก็สร้างอำนาจของคนกลุ่มใหม่ เอาไปเอามาก็เป็นเรื่องวังวนอำนาจของคนกลุ่มน้อยอีกเช่นเดิมประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศก็ได้แต่มองดูกลเกมแห่งอำนาจครั้งแล้วครั้งเล่า
เหมือนดูหนังเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ อยู่ 9 ครั้งแล้ว การที่จะข้ามวังวนอำนาจแบบเดิม ๆ จำเป็นที่จะต้องสร้าง จินตนาการทางการเมืองกันใหม่
มิใช่อยู่แค่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาธิปไตยแล้วก็ไปจบเพียงแค่รูปแบบการเลือกตั้ง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง
สร้างการเมืองของคนส่วนใหญ่ให้เป็น การเมืองเพื่อสังคมในสังคมที่มีระบอบประชาธิปไตยเข้มแข็งนั้น จะต้องมีฐานการเมืองท้องถิ่นที่เข้มแข็ง
ประชาชนท้องถิ่นสามารถดูแลปกครองท้องถิ่นตนเองได้อย่างดี
สำหรับสังคมไทย มิได้ให้ความสำคัญต่อการเมืองชุมชน การเมืองท้องถิ่นอย่างแท้จริง ยังมีการปกครองที่รวม
ศูนย์อำนาจอยู่ที่ส่วนกลาง จากคณะรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รับนโยบายลงมา
เป็นลำดับชั้นจากบนลงล่างตลอดเวลา
การปกครองท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ยังอยู่ภายใต้
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น การรับปลัดฯ ก็รับจากส่วนกลาง นายอำเภอ ผู้ว่า ยังมีสิทธิในการยุบองค์กร
ปกครองท้องถิ่น บัญญัติท้องถิ่นทั้งหลายที่จะออกมาได้นั้นต้องไม่ขัดกับกฎหมายที่มีมาอยู่แล้ว ระบบงบประมาณ
ก็เป็นแบบราชการ ต้องผ่านการตรวจสอบจากสตง.
ระบบที่เป็นอยู่แบบนี้ไม่มีทางเลยที่จะสร้างความเข้มแข็งชุมชนและองค์กรปกครองท้องถิ่น นี่ยังไม่รวม
การแทรกแซงและการอุปถัมภ์ของกลุ่มนักการเมืองและนายทุนภายนอกอีก ที่ต้องการหวังผลประโยชน์
ทางการเมืองและประโยชน์ทางธุรกิจของตน
การมีทั้งการปกครองส่วนภูมิภาคที่ถูกควบคุมโดยระบบราชการจากส่วนกลางมาอย่างยาวนาน แม้จะพัฒนา
มาสู่การปกครองท้องถิ่น ก็มีกฎหมายที่ควบคุมให้อยู่ในกรอบอย่างน้อย 7 ฉบับ ดูไปแล้วประชาชน
เป็นผู้ถูกปกครองมากกว่าการปกครองตนเอง ตรงนี้เองที่ทำให้การมีส่วนร่วมทางการเมืองและการพัฒนา
ประชาธิปไตยของคนส่วนใหญ่จึงมีข้อจำกัด
สิ่งที่ขบวนประชาธิปไตยมองข้ามก็คือ การเมืองของชุมชนคนฐานรากนั้นอยู่ในกระบวนการของวิถีชีวิต
และวัฒนธรรมชุมชน มิใช่เป็นการเมืองแบบส่วนบุคคลตามแบบแผนประชาธิปไตยของตะวันตกกระบวนการชุมชนนั้น ผู้นำถือเป็นบุคคลของชุมชน ชุมชนจะมีกระบวนการคัดสรร สรรหาผู้นำที่เป็นคนดี
มีคุณธรรม ซึ่งผู้นำที่เป็นคนดีมีคุณธรรมจะไปกันไม่ได้กับการลงสมัคร หาเสียง โฆษณาตัวเองแล้วให้คนมาเลือก
ถือเป็นการอวดอุตริมนุษยธรรม
การมีกระบวนการสรรหาของชุมชน แล้วจึงไปขอมาเป็นผู้นำ ชุมชนจะให้การสนับสนุนผู้นำอย่างเต็มที่
ขณะที่ผู้นำก็รู้สึกมีคุณค่า ทำงานร่วมกันอย่างดี ถ้าทำไม่ดี ชุมชนก็จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ ถ้าไม่ฟัง
ชุมชนก็จะมีการถอดถอนหรือไล่ออก มีสภาผู้อาวุโส หรือสภาผู้นำคอยดูแล ตรวจสอบการทำงาน
ของผู้นำให้อยู่ในวิถีคุณธรรม
ประชาธิปไตยจึงมิใช่เพียงแค่การเลือกตั้ง แต่หมายถึงกระบวนการมีส่วนร่วมของคนทั้งชุมชนในการเลือก
ผู้นำที่มีคุณธรรมขึ้นมาดูแลท้องถิ่น พร้อม ๆ กับมีคณะผู้อาวุโสและผู้นำด้านต่าง ๆ คอยดูแลตรวจสอบ
มีการวางแผนชุมชนในการดูแล ปกครอง จัดการตนเองทั้งระบบ
มองในระดับที่ใหญ่ขึ้นในระดับจังหวัด ต้องมีตัวแทนชุมชนมาในรูปของสภาผู้นำในระดับจังหวัด มีส่วนในการ
วางแผนพัฒนาจังหวัด มิใช่มีเพียงผู้ว่าฯซีอีโอ สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยว
แต่เป็นสภาที่ให้คนฐานรากมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางการพัฒนาจังหวัดของตนเองได้ แล้วค่อย ๆ ออกแบบ
วุฒิสมาชิก อาจเลือกจากสภาผู้นำระดับจังหวัดและผู้ทรงคุณธรรม คุณวุฒิในจังหวัด ซึ่งไม่ควรเป็นไป
ในระบบการเลือกตั้งแบบครั้งที่ผ่านมา
ส่วน สส. อาจยังเป็นระบบเลือกตั้งที่มาจากระบบพรรคการเมืองและผู้สมัครอิสระ จำเป็นต้องทำให้การ
จดทะเบียนพรรคการเมืองง่ายขึ้นและผู้สมัครใช้เงินทุนน้อย ประชาชนคนเล็กคนน้อยก็สามารถสร้าง
พรรคการเมืองและสามารถลงสมัครได้
นอกจากนั้น ควรมีสภาผู้นำชุมชนในระดับชาติ สภาประชาชนระดับชาติที่คอยช่วยดูแล ตรวจสอบ
ถ่วงดุลการทำงานของรัฐบาล สภานิติบัญญัติ และองค์กรอิสระต่าง ๆ ด้วย เป็นการเปิดพื้นที่การเมือง
ภาคประชาชนอย่างแท้จริง
ช่วยกัน จิตนาการการเมืองใหม่ ให้ก้าวพ้นการเลือกตั้งแบบเดิมกับการรัฐประหารแบบเก่า
แล้วสร้างขบวนการปฏิรูปสังคมและการเมืองในระดับรากฐาน และร่วมกันร่างรัฐธรรมนูญนำไปสู่การ
เปลี่ยนแปลงจากการเมืองของคนส่วนน้อยมาเป็นการเมืองเพื่อคนส่วนใหญ่ได้อย่างแท้จริง.--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://www.politic.tjanews.org/index.php?option=com_content&task=view&id=196&Itemid=31