ประชาธิปไตยอันมีกองทัพอยู่ข้างบนโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ภายใต้นิติบัญญัติของสภาแต่งตั้ง
จำเป็นต้องรีบติเรือทั้งโกลน นอกจากนี้ ยังมีเรือสับปะรังเค
ที่กองอยู่กลาดเกลื่อนในสังคมไทยซึ่งต่อมาตั้งแต่สมัยเผด็จการทหาร เป็นบทเรียนว่า
ปราศจากการตรวจสอบของกระบวนการประชาธิปไตย อำนาจจะไม่คิดทำอะไรอื่นมากไปกว่า
รักษาอำนาจของตัว ประธาน คมช. กล่าวว่ากฎหมายใหม่เพื่อปรับโครงสร้าง กอ.รมน. กำลังจะออกมา ซึ่ง
โดยสรุปก็คือโอนอำนาจทั้งหมดของ กอ.รมน. กลับมาอยู่กับฝ่ายทหาร ผบ.ทบ. จะ
กลับมาเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของ กอ.รมน. ใหม่แทนนายกรัฐมนตรี แม้กระนั้นภารกิจ
ของ กอ.รมน. ก็ไม่ใช่เรื่องทหารเพียงอย่างเดียว แต่รวมกิจการอีกหลายอย่างของฝ่าย
พลเรือน รวมแม้กระทั่งสิ่งที่น่าจะจัดว่าเป็น "การเมือง" แท้ๆ
เช่น คอยติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่สนับสนุนรัฐบาลเก่า แปลว่าเราทุกคน
ต้องเสียภาษีเพื่อให้เขาใช้ในการต่อสู้กับศัตรูทางการเมืองของเขานั่นเอง
ส่วนกิจการซึ่งดูเป็น "พลเรือน" ที่ยกขึ้นมาคือการปราบปรามยาเสพติดและการลักลอบ
เข้าเมือง ยิ่งไปกว่านั้น ประธาน คมช. ยังกล่าวว่า ภัยคุกคามความมั่นคงในโลกยุคปัจจุบัน
ที่สุดคือภัยการก่อการร้าย ขึ้นชื่อว่า "ก่อการร้าย" แล้ว ไม่อาจแยกได้เลยระหว่าง "พลเรือน"
และ "ทหาร" ซ้ำภารกิจของฝ่าย "ทหาร" ยังเป็นเพียงผู้ปฏิบัติตามการตัดสินใจที่พิจารณา
ปัจจัยต่างๆ อย่างรอบด้านของฝ่าย "พลเรือน" อีกด้วย
และเพราะ กอ.รมน. ใหม่ไม่ได้แยกให้ทหารเป็นฝ่ายปฏิบัติ แต่กลับเป็นผู้กำหนดและ
จัดการเรื่องความมั่นคงทั้งหมดเอง จึงต้องเชื่อมโยง กอ.รมน. ใหม่เข้ากับราชการฝ่าย
พลเรือน โดยอำนาจอยู่ในมือของผู้อำนวยการ กอ.รมน. หรือผู้อำนวยการ กอ.รมน. ภาค
ซึ่งก็คือแม่ทัพภาคนั่นเอง ผู้ว่าราชการจังหวัดและตำรวจต้องทำงานร่วมกับ กอ.รมน.
ในสมัยสฤษดิ์-ถนอม-ประภาส ยังมีคำสั่งให้หน่วยราชการทุกแห่งที่อยู่ในส่วนภูมิภาค
อยู่ในการกำกับควบคุมของ กอ.รมน. (หรือ กอ.ปค.) จังหวัดและภาคด้วย (หรือของ
ผบ. กรมหรือกองของหน่วยทหารและแม่ทัพภาคนั่นเอง)
แขนขาของรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งในภายหน้าจึงไม่ได้เป็นอวัยวะของรัฐบาล
หากเป็นอวัยวะของกองทัพหนังสือพิมพ์ฝรั่งบอกว่า โครงสร้างใหม่ของ กอ.รมน. นี้เอารูปแบบมาจากกระทรวงความ
มั่นคงมาตุภูมิของสหรัฐ อันเป็นมาตรการที่ละเมิดสิทธิประชาธิปไตยของอเมริกันอย่าง
โจ่งแจ้งหลายประการ ผ่านสภามาได้ก็ด้วยความตระหนกของสังคมอเมริกันในช่วงหลัง
เหตุการณ์ 9/11
ในสังคมที่ประเพณีประชาธิปไตยไม่ได้หยั่งรากลึกอย่างไทย ก็ยิ่งชัดว่ากฎหมายใหม่ที่
จะปรับโครงสร้าง กอ.รมน. นี้คงไม่ต่างจากการสถาปนาอำนาจของกองทัพไว้ในการเมือง
ไทยอย่างมั่นคงถาวร ไม่ต่างจากโครงสร้างของรัฐธรรมนูญใหม่ซึ่งคณะทหารพม่ากำลัง
ร่างอยู่ในเวลานี้
การที่มองยาเสพติดและการลักลอบเข้าเมืองว่ากระทบต่อความมั่นคง ก็แสดงอยู่แล้วว่า
ความมั่นคงไม่ได้มีความหมายแคบๆ เพียงอธิปไตยหรือบุรณภาพทางดินแดนของรัฐ
การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่ระมัดระวัง จนเป็นผลให้เกิดวิกฤตอย่างรุนแรงขึ้นใน
2540 กระทบต่อความมั่นคงอย่างปฏิเสธไม่ได้ ซ้ำวิถีทางแก้ปัญหาก็ยังอาจยิ่งส่งผล
กระทบต่อความมั่นคงหนักขึ้นไปอีกก็ได้ แล้วแต่จะเลือกวิถีทางไหน
กล่าวโดยสรุป การจรรโลงความมั่นคงนั้นเป็นสิ่งที่ต้องเลือก ไม่ใช่มีหนทางอยู่อย่างเดียว
เพราะแต่ละหนทางล้วนมีคนได้คนเสียในหนทางนั้นๆ ทั้งสิ้น การระงับสิทธิเสรีภาพตาม
รัฐธรรมนูญ อาจช่วยยับยั้งการก่อการร้ายได้ในบางกรณี แต่ในขณะเดียวกันก็เสริมให้การ
ก่อการร้ายมีความชอบธรรมมากขึ้น อย่างน้อยก็เพื่อตอบโต้ "การก่อการร้าย" ของรัฐเอง
จึงช่วยกระพือให้การก่อการร้ายกระทำได้ง่ายขึ้นไปพร้อมกัน ฉะนั้นจึงต้องเลือกระหว่าง
การยับยั้งกับการกระพือ ได้แค่ไหน เสียแค่ไหน เมื่อเลือกแต่ละหนทาง
แม้ฝ่ายทหารเข้าใจความหมายของความมั่นคงกว้างขึ้น แต่ก็ยังคิดว่าความมั่นคงเป็นเรื่อง
เทคนิคเฉพาะ เหมือนการสร้างสะพานหรือการเย็บปักถักร้อย จึงเป็นภาระของผู้เชี่ยวชาญ
ต้องตัดสินใจเอง แต่ดังที่กล่าวแล้วว่าหนทางที่จะรักษาความมั่นคงเป็นเรื่องที่ต้องเลือก
และต้องเลือกจากปัจจัยที่หลากหลายกว่ากำลังมากนัก เลือกทั้งวิธีการและเลือกทั้งผลที่
จะเกิดจากวิธีการนั้นๆ
ปัจจัยทางทหารย่อมเป็นส่วนหนึ่งอย่างแน่นอนในการตัดสินใจเลือก แต่ไม่ใช่ปัจจัยเดียว
ซ้ำไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดด้วย
ในสภาพเช่นนี้ ใครจะเป็นคนเลือกที่ดีที่สุด คำตอบคือสังคมทั้งหมดต้องเข้าใจปัญหา
และเข้าใจผลของทางเลือกให้ดี จะทำให้สังคมทั้งหมดเป็นผู้เลือกได้ ขึ้นอยู่กับ
"กระบวนการ" คือต้องมีกระบวนการที่จะทำให้สังคมรับรู้ สังคมมีโอกาสคิด สังคมมี
โอกาสโต้เถียงอภิปราย และสังคมมีอำนาจหรือเครื่องมือทางการเมืองที่จะลงมติเลือก
(นับตั้งแต่สื่อ, สภา, ฯลฯ ขึ้นไปจนถึงประชามติ)
"กระบวนการ" อย่างนี้ เขาเรียกว่าประชาธิปไตย ซึ่งเป็นน้ำเนื้ออยู่ในวิถีชีวิตของผู้คน
อยู่แล้วแม้แต่ในสังคมไทยโบราณ ไม่เกี่ยวกับการซื้อสิทธิขายเสียงถ้าว่าในทางรูปธรรม การเอา กอ.รมน. มาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี
จึงถูกต้องแล้ว เพราะนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งควรต้อง "รับผิด"
(accountable) ต่อกระบวนการทางการเมือง การที่นายกรัฐมนตรีเอา กอ.รมน. ไปใช้
ในทางผิดๆ เช่น เอาไปเล่นงานศัตรูทางการเมือง และไม่นำเอาการเลือกหนทางของ
การรักษาความมั่นคงเข้าสู่กระบวนการทางการเมือง เป็นเพราะนายกรัฐมนตรีก็คิดอย่าง
เดียวกับประธาน คมช. ในปัจจุบัน คือมองไม่เห็นว่าความมั่นคงเป็นเรื่องที่ต้องเลือก
ไม่ใช่เรื่องของผู้เชี่ยวชาญ มองเห็นแต่มิติของการบริหาร กอ.รมน. แต่มองไม่เห็นหรือ
ไม่ยอมมองมิติทางการเมืองของ กอ.รมน.
จึงเป็นธรรมดาที่นายกรัฐมนตรีย่อมใช้หน่วยงานนี้ไปในการรักษาอำนาจของตนเอง และ
ไม่ประหลาดที่ควรจะระแวงประธาน คมช. ว่าจะลงเอยด้วยการใช้ กอ.รมน. เพื่อประโยชน์
อย่างเดียวกัน ตรรกะของการจัดการย่อมนำไปสู่จุดสรุปเดียวกัน
อนึ่ง การชี้ว่าการก่อการร้ายเป็นภัยต่อความมั่นคงนั้น ควรเข้าใจการก่อการร้ายให้ดีกว่า
รับฟังอเมริกันเพียงฝ่ายเดียว ในความพยายามสถาปนาภาวะการนำอย่างโดดเดี่ยวของ
สหรัฐให้มั่นคงถาวร สหรัฐใช้การก่อการร้ายสากลเป็นเครื่องมือสำหรับกำกับควบคุมรัฐ
อื่นๆ ให้อยู่ภายใต้ภาวะการนำของตัว เจ้าหน้าที่อเมริกัน "เดินตลาด" ขายการก่อการร้าย
สากลไปทั่ว
แต่การก่อการร้ายแบบที่อเมริกันเผชิญกับแบบที่อีกหลายประเทศ เช่น พม่าหรือจีนหรือ
เลบานอนเผชิญนั้นต่างกัน ภาวการณ์นำของสหรัฐกำลังถูกท้าทาย ทั้งในเวทีการเมือง
ระดับโลก ในท้องถนน ในการประชุมขององค์กรระหว่างประเทศ และในเวทีการก่อการ
ร้ายด้วย หากไทยต้องเผชิญกับการก่อการร้าย ก็ไม่เกี่ยวกับภาวการณ์นำของไทยใน
โลกกว้าง ยกเว้นแต่เราไปทำตัวเป็นด่านหน้าให้แก่ภาวการณ์นำของอเมริกัน
การก่อการร้ายที่เราเผชิญอยู่นั้นที่จริงแล้วก็เหมือนกับที่เกิดในประเทศอื่นๆ อีกมาก ส่วน
หนึ่งคือการตอบโต้กับการก่อการร้ายที่รัฐกระทำก่อน (เช่น ในปาเลสไตน์และเลบานอน-
รวมถึงการกระจายทรัพยากรอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งก็เป็นการก่อการร้ายอีกชนิดหนึ่ง) อีก
ส่วนหนึ่งก็เพราะเวทีการต่อสู้อื่นไม่เปิดสำหรับผู้ก่อการได้ใช้ หรือใช้อย่างได้ผลในการ
ต่อรองทางการเมือง (ไม่ว่าจะเป็นกรณีสามจังหวัดภาคใต้ หรือกรณีเผาโรงเรียนในภาค
เหนือและอีสาน) ทั้งสมรรถภาพและเป้าหมายของผู้ก่อการในประเทศไทยก็ค่อนข้าง
จำกัด ทำให้แทบไม่กระทบกับคนและพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ
การต่อสู้กับการก่อการร้ายในประเทศไทยจึงไม่อาจจำกัดอยู่กับยุทธวิธีทางการทหาร
แต่อย่างเดียว ตรงกันข้ามยุทธศาสตร์ทางการเมืองกลับมีความสำคัญกว่า และน่าจะเป็น
ตัวกำหนดยุทธวิธีทางการทหารด้วยซ้ำ การระดมกำลังราชการทั้งหมดมาดำเนินการภาย
ใต้ทหาร กลับชี้ให้เห็นทัศนวิสัยที่คับแคบและไร้เดียงสาเกินกว่าจะเผชิญกับการก่อการ
ร้ายในโลกปัจจุบันได้
กฎหมายใหม่ของ กอ.รมน. ที่อาจผ่านฉลุยจากสภาแต่งตั้ง เป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะอาจ
มีผลกำหนดอนาคตของการเมืองไทยไปอีกนาน (ไม่ว่าจะร่างรัฐธรรมนูญกันอย่างไร เพราะ
ในเมืองไทยนั้น เขาฉีกรัฐธรรมนูญได้ง่ายๆ แต่ไม่เคยฉีกกฎหมายสักฉบับ) สังคมควร
เฝ้าระวังและเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างเข้มแข็งในทุกขั้นตอน... ตั้งแต่ขึ้นโกลนเพื่อต่อเรือ
เลยทีเดียว
มติชน วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10502http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act02111249&day=2006/12/11ติเรื่อทั้งโกลนเลย อย่ารอจนสร้างเสร็จแล้วค่อยเอิ้อนเอ่ยบอกว่าอยากได้รถไฟฟ้า หาใช่เรือ