นายกฯ ย้ำสำนึกความเป็น ข้าฯในพระองค์ ต้องรักศักดิ์ศรี-มีเกียรติ-พอเพียง
สุรยุทธ์ ประกาศวาระแห่งชาติ ชี้ข้าราชการยุคนี้ต้องยึดมั่นศักดิ์ศรี คุณธรรม ต้องมีเกียรติ และรู้จักพอเพียง เป็นข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือทำเพื่อชาติและประชาชน ชี้หมดเวลา เช้าชาม เย็นชาม ปล่อยมุกฮาคลายเครียด ตามประสาทหารต้องยืนบนพื้นฐาน เลียตีน เงินมาก ปากสอพลอ ล่อไข่แดง และแกร่งวิชา โชว์วิสัยทัศน์ทหารมืออาชีพพล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า การประกาศ
วาระแห่งชาติด้านจริยธรรม ธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาคราชการ ถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญยิ่งของรัฐบาล เพราะว่ารัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว และขับเคลื่อนสังคมเพื่อให้เป็นสังคมที่ดีงาม มุ่งมั่นที่จะทำให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน วาระแห่งชาติด้านจริยธรรม ธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาคราชการ นี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ผมได้พูดไว้แต่วันแรกที่ได้แถลงนโยบายต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา
ผมได้แสดงเจตนารมณ์ไว้อย่างมุ่งมั่นว่าจะแก้ไขปัญหาทุจริตและการประพฤติมิชอบ ปัญหาของความเสื่อมศรัทธาในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งเราก็
จำเป็นที่จะต้องฟื้นฟูระบบคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างเร่งด่วน นอกจากจะใช้กลไกของรัฐที่มีอยู่ขับเคลื่อนกันไปด้วยกันทั้งระบบแล้ว ก็เพื่อที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน เราต้องร่วมมือกันทุกส่วน นอกจากส่วนของรัฐอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว
เราต้องยอมรับความจริงกันว่าการที่ประเทศไทยกลับไปเริ่มนับหนึ่งกันใหม่นั้นก็เพราะมีเหตุสำคัญมาจากสังคมของเราขาดในเรื่องจริยธรรม ธรรมภิบาล และการทุจริตกันอย่างกว้างขวาง ดังนั้น เมื่อเรายอมที่จะถอยกลับมาแล้ว การที่จะกล่าวต่อไปข้างหน้าก็จะต้องพูดถึงเรื่องจริยธรรม ธรรมภิบาล เพราะว่าถ้าเราไม่พูดถึงเป็นไปไม่ได้ ที่จะแก้ปัญหาสังคมของเราเอง เพราะนั้นก็คือต้นตอของความไม่ชอบมาพากลในบ้านเมืองของเรา ถ้าเราไม่แก้ตรงที่ต้นเหตุ เราก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในบ้านเมืองของเราได้ นายกฯ กล่าว
ก่อนที่จะพูดถึงระบบ ต้องพูดถึงตัวบุคคล เพราะว่าบุคคลเมื่อรวมกันมากเข้ามันก็เป็นระบบ เมื่อเราจะพูดถึงราชการ ส่วนประกอบของราชการก็คือตัวข้าราชการเอง ซึ่งแต่ลบุคคลก็ต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาในสิ่งเหล่านี้ ผมขออนุญาตตรงนี้ว่า อยากเอาประสบการณ์ส่วนตัวมาพูดถึงในเรื่องตรงนี้ว่า ในเรื่องของตัวบุคคล ผมเริ่มรับราชการปี 2508 ปีนั้นถ้าย้อนกลับไปแล้วก็เป็นปีที่กล่าวได้ว่ามีเหตุการณ์การต่อสู้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเกิดขึ้น ด้วยการใช้อาวุธที่อำเภอนาแก ในวันที่ 8 สิงหาคม ผมเป็นข้าราชการทหาร เมื่อจบออกมาแล้ว ความตั้งใจก็คือ อยากที่จะทำหน้าที่อย่างที่เราได้รับการฝึกฝนอย่างที่จะได้รับการเรียนมา แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ผมเข้าไปรับหน้าที่เป็นผู้บังคับหมวดที่จังหวัดลพบุรี ก็ทราบจากผู้บังคับกองพันว่ากองทัพบกได้ออกคำสั่งห้ามมิให้ผมไปปฏิบัติการที่ชายแดน เพราะว่าปัญหาเรื่องทางการเมืองที่คุณพ่อผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย นั่นเป็นเหตุครั้งแรกที่ทำให้ผมย้อนดูตัวเองว่าท่านเพิ่งจบไปได้ไม่กี่เดือนเอง แต่สิ่งที่ท่านได้พยายามจะศึกษา พยายามที่จะใช้เป็นอาชีพของท่านนั้น มองดูแล้วไม่สดใสเลย
มีหลายคนให้ข้อคิดเห็นกับผมว่า ทางที่ดีลาออกไปดีกว่า หรืออย่างน้อยที่สุดก็เปลี่ยนนามสกุล เพราะมีหลายคนที่ประสบเหตุทางการเมืองแล้วก็เปลี่ยนนามสกุล บางท่านก็เปลี่ยนชื่อด้วย เพราะให้การรับราชการไม่ถูกเพ่งเล็งมากนัก ด้วยเหตุนี้เองผมก็มาคิดอยู่มาก เพราะเป็นอนาคตของคนที่อายุเพิ่ง 22-23 ปีในสมัยนั้น มันก็เหมือนกับว่าอนาคตของเราไม่มีทางก้าวไปข้างหน้าได้ ถ้าพูดในทางพระก็เรียกว่าเกิดความทุกข์ขึ้นมา ทุกข์กว่าสิ่งที่เราคาด สิ่งที่เราหวังนั้นมันคงไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดแล้ว นั่นก็เป็นความทุกข์ก็ได้คิดถึงตัวเอง นั่งพิจารณานานมากว่าจะเอาอย่างไรดีกับชีวิตของเรา ได้ไปอ่านหนังสือพระก็ได้ตระหนักถึงว่า คนเรานั้นมันไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงจากทุกข์ไปได้ ทุกข์กับสุขเป็นเรื่องที่จะต้องมีควบคู่กันตลอดเวลา ไม่มีใครที่จะมีความสุขอย่างเดียว เป็นไปไม่ได้นั้นก็เป็นความจริง เป็นสัจธรรม ที่พระพุทธองค์ท่านสอนไว้ เราจะหลีกเลี่ยงจากทุกข์นั้นได้อย่างไร ก็ยืนอยู่ด้วยเหตุและผล ท่านสอนไว้ว่าเราต้องพิจารณาด้วยเหตุและผล ผมได้มาพิจารณาดูว่า มีคนอื่นอีกเยอะที่เขามีความทุกข์คล้ายๆ ผมคงไม่ได้เป็นผมคนเดียวที่มีความทุกข์อย่างนี้ เมื่อคิดได้อย่างนั้นก็มีความสุขขึ้นมาระดับหนึ่ง แล้วก็ตั้งใจว่า ชีวิตราชการก็ไปแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับการทำงานของเรา ถ้าเราทำดีที่สุดแล้ว เต็มความสามารถของเราแล้ว ไปได้แค่ไหนก็ไปแค่นั้น ก็คือความตั้งใจตั้งแต่ผมเป็นร้อยตรีว่า ไม่ได้มุ่งมั่นที่จะทำอะไรให้มากมาย เพียงแต่คิดว่า ทำในสิ่งที่ดีในสิ่งที่เขายอมรับ
ในชีวิตราชการทหารก็มีอยู่ 2 อย่าง ก็คือ การทำงาน และการฝึกศึกษา เมื่อเขาไม่ให้ผมทำงานที่ชายแดน ผมก็ทำงานฝึก และศึกษา ทุกอย่างที่ผมทำมันก็แสดงออกมา การศึกษาผมไม่เคยด้อย การฝึกผมก็ทำได้ด้วยดี ผู้บังคับบัญชาที่ดีก็เห็นว่า คนที่ทำได้ทั้ง 2 อย่างเขาก็อยากเอาไปใช้งาน นั้นก็เป็นที่มาของความก้าวหน้าในชีวิตราชการ ว่าการที่เราจะมีความก้าวหน้าโดยยืนบนพื้นฐานของความถูกต้องสามารถทำได้ ในทางทหารมีคำพูดที่เป็นชาวบ้านๆ นิดหน่อย พูดกันว่า
ความก้าวหน้าในชีวิตมี 5 คำ คำแรกไม่สุภาพนัก แต่ต้องขอพูดเพราะเป็นคำพูดในวงการทหาร ก็คือ เลียตีน เงินมาก ปากสอพลอ ล่อไข่แดง หมายความแต่งงานกับลูกเจ้านายก็จะก้าวหน้า ประการสุดท้าย แกร่งวิชา นั้นเป็นคำที่พูดกันในหมู่ทหาร แนวทางก้าวหน้าในชีวิตราชการก็มีอย่างนี้ เพราะฉะนั้นก็พ้นไม่จากระบบที่ผมว่า ประการสุดท้ายผมก็เลือกจากทางเดินเหล่านั้นว่า เอาละเราก็จะแกร่งวิชา เมื่อแกร่งวิชามันก็ต้องยืนอยู่บนหลักคุณธรรม จริยธรรม คนที่เป็นผู้นำจะต้องทำเป็นตัวอย่างให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาการได้ตาม นำพาผู้ใต้บังคับบัญชการให้มีประสบการณ์ ทำงานด้วยกันได้ ด้วยการเป็นผู้นำ การเป็นผู้นำที่ดีคือต้องนำความรู้ ซึ่งได้เรียนมาใช้เป็นประโยชน์ นั้นก็คือลักษณะของการเป็นผู้นำ เมื่อท่านมีคุณธรรม ใช้หลักพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุติตา อุเบกขา แน่นอนเราไม่สามารถจะช่วยคนได้ทุกคน มาถึงวันหนึ่งก็ต้องใช้อุเบกขา ก็คือต้องตัดใจ ลูกน้องบางคนไม่ดีก็ต้องลงโทษให้เขาออกจากราชการ ก็จำเป็นต้องพูดกัน และจำเป็นต้องทำ นั้นเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นผู้นำ ระดับพื้นๆ ถ้าเราจะสร้างระบบคุณธรรม พวกเราที่เป็นข้าราชการก็ต้องมีคุณธรรมด้วย ตัวอย่างหรือประสบกรณ์ส่วนตัวอีกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่แล้ว
ผมเป็นแม่ทัพกองทัพภาคที่ 2 มีการเลือกตั้งใหญ่ในช่วงที่ผมเป็นแม่ทัพภาคอยู่ หัวหน้าพรรคการเมืองพรรคใหญ่พรรคหนึ่งก็ให้ลูกน้องถือกระเป๋าเงินมาพบผมที่จังหวัดสกลนคร ตอนนั้นผมไปประชุมที่จังหวัดสกลนครบอกพี่ครับ ท่านให้เอาเงินมาให้ แต่ผมไม่รู้ในกระเป๋ามีเงินเท่าไร ผมก็บอกว่า ขอบใจมาก แต่ว่าผมรับไม่ได้ เพราะความตั้งใจของผมก็คือจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้งโดยใช้เงินใช้ทอง ถ้าท่านจะไปแจกที่อื่นผมไม่ว่า แต่ว่าให้ผม ผมรับไม่ได้ เพราะผมไม่มีโอกาสไปพูดที่ไหน ผมไม่ได้ชื่นชมวิธีการแจกเงิน เมื่อผมปฎิเสธก็แน่นอนถูกเพ่งเล็งมาตลอดว่าไม่ให้ความร่วมมือ
ตรงนี้เป็นจุดสำคัญ ที่อยากจะเรียนกับท่านทั้งหลายว่า ถ้ายึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้องเราก็คงต้อง มันไม่เจริญก้าวหน้า อยู่แค่ไหนก็แค่นั้น จุดของความพอเพียง ถ้าเราตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม แล้วเรายืนอย่ตรงนั้น ก็คือความพอเพียง ผมได้ยิน พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี ท่านพูดหลายครั้ง บุคคลที่เป็นตัวอย่างคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย คือพันท้ายนรสิงห์ จะมีกี่คนที่มีความรับผิดชอบและยอมรับผิดอย่างพันท้านนรสิงห์ในบ้านเมืองของเราบ้าง สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราจะต้องนำมาให้คนในบ้านเมืองของเราตระหนักว่า แม้แต่ชีวิตก็ยอมที่จะเสียสละถ้าเป็นความรับผิดชอบของเขา และเขาทำผิด
นั้นเป็นจุดอันหนึ่งที่อยากพูดว่า ถ้าเราไม่แก้เรื่องบุคคล ประกอบกับเรื่องของระบบ ทำอย่างไรก็แก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นข้าราชการทุกท่านก็ต้องตั้งอุดมการณ์ว่าจะไปแค่ไหน อย่างไร และยึดตรงนี้ไว้ งานของชาติบ้านเมือง งานที่ทำเป็นระบบก็จะง่ายขึ้น ผมพูดด้วยประสบการณ์แท้ มีโอกาสที่จะบริหารองค์กรใหญ่ๆ มาก็เห็นว่าเองทำทั้ง 2 ด้าน คือเรื่องของบุคคล และเรื่องของระบบ
พูดเรื่องระบบในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ใครที่อยู่ในวงราชการคงจะตระหนักได้ว่า ระบบราชการนั้นแม้ว่าจะได้มีความพยายามพัฒนาการปฏิบัติการมากขึ้น แต่ก็ขาดอิสระ และถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองมากเกินไป จนข้าราชการส่วนใหญ่ขาดขวัญ กำลังใจ และทำให้ข้าราชการหลายคนมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่เหมาะสม นำไปสู่วัฒนธรรมที่ไม่พึ่งประสงค์มากขึ้น ระบบอุปถัมภ์ก็เติบโตจนทำลายระบบคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ดีงาม และมีความสำคัญในการให้บ้านเมือง มีความเจริญ และก้าวหน้าอย่างมั่นคง และยั่งยืนต่อไป
การขาดคุณธรรม และจริยธรรมในระบบราชการ มีผลกระทบต่อการทำงานของข้าราชการ งการพัฒนาบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง อย่างที่ผมได้เรียนไปแล้ว ข้าราชการคือบุคคลสำคัญที่นำนโยบายต่างๆ ไปปฏิบัติให้บรรลุผลสำเร็จ นอกจากตัวราชการแล้ว ระบบราชการหัวขบวนที่เราจะขับเคลื่อนในการพัฒนาประเทศ หากข้าราชการส่วนใหญ่ขาดขวัญ กำลังใจ การทำราชก็ไม่ประสบความสำเร็จ อย่างที่เราพูดว่า เช้าชาม เย็นชาม ประชาชนและประเทศชาติก็ไม่ได้รับผลที่ดีจากการทำงานของข้าราชการ ก็จะส่งผลกระทบกันไปเป็นลูกโซ่ รัฐบาลในปัจจุบันจึงมีความคิดที่จะทำให้ข้าราชการมีอิสระ และมีความมั่นคง ปลอดภัยในการทำงานมากขึ้น สามารถทำงานในความรับผิดชอบแต่ละคน โดยไม่ต้องวิตกกังวล หรือเกรงกลัวในคำสั่งที่ผิดๆ ซึ่งรูปแบบที่เราจะพัฒนาต่อไป จะเป็นอย่างไรต่อไปจะเป็นอย่างไรนั้น ก็คงต้องมีการปรึกษาหารือกับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
ผมขอเรียนว่า ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะของท่านทั้งหลายมีความสำคัญ มีความจำเป็นที่ต้องสร้างรูปแบบที่สมบูรณ์ และเป็นที่ยอมรับกันมากที่สุด อย่างไรก็ตามผมขอเรียนไว้ ณ ที่นี้ว่า
คำว่า ข้าราชการ หมายถึงความผูกพันที่เราจะต้องทำงานสนองพระเดชพระคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ดีที่สุด ข้าราชการก็คืองานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้าราชการจะทำอย่างไรก็ต้องมองไปที่พระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นหลัก ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็มีเป้าหมายสำคัญอยู่เพียง 2 อย่างเท่านั้นก็คือเพื่อประเทศชาติ และประชาชนชาวไทยของเรานั้นเอง หลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่สำคัญ ที่ผมอยากอัญเชิญมาไว้ในที่นี้ก็มีอยู่ 3-4 ประเด็น คือ หมายถึงการทำทุกอย่างให้กับประเทศชาติ และประชาชน การทำงานอย่างมีความสุข หมายถึงความสุขที่ได้ทำงานช่วยเหลือประชาชน และสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ประเทศชาติ ความเพียรหมายถึงความมุ่งมั่นทำงานโดยไม่ย่อท้อกับปัญหาหรืออุกปสรรคใดๆ เพื่อพัฒนาบ้านเมืองให้ก้างหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง สุดท้ายคือความสามัคคี หมายถึงความร่วมมือร่วมใจกันปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดผลดีแก่ชาติบ้านเมือง ข้าราชการต้องยึดหลักการทำงานเหล่านี้เอาไว้ และต้องปรับลดอตวิสัยของตนเองเอง ของหน่วยงาน ซึ่งอาจจะพูดได้ว่า การยึดติดการเป็นเจ้าของผลงาน ปรับให้ร่วมมือกันทำงานโดยไม่มีเจ้าของ เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายสูงสุดก็คือ การอำนวยความสะดวก ทำให้เกิดความสุขแก่ประชาชน
เรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบนั้นเป็นปัญหาเรื้อรังที่มีมานาน เป็นปัญหาสังคม เป็นธรรมดาองค์กรที่มีขนาดใหญ่อย่างระบบราชการ มีคนเป็นจำนวน และต้องทำงานเกี่ยวข้องกับงบประมาณของประเทศ ในระบบที่มีคนเป็นจำนวนมาก ก็ต้องมีทั้งคนที่ดีและไม่ดี เมื่อมีโอกาสที่จะหาช่องทางทุจริตได้ ก็คงใช้โอกาสเหล่านั้น ถ้าเป็นคนที่ไม่มีจิตใจที่เข้มแข็งพอ ไม่มีคุณธรรม มีจริยธรรม ก็จะเผลอใจไปได้ง่ายๆ ตรงนี้ทางศาสนาพุทธพูดว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่บางครั้งก็มีคนพูดว่า ทำชั่วได้ดีก็มีถมไป แต่โดยความเป็นจริง โดยสัจธรรมแล้ว ผมคิดว่า กฎแห่งกรรมเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้และแน่นอนไม่ว่าจะศาสนาใดๆ ก็พูดถึงเรื่องเหล่านี้จะมาช้ามาเร็วก็เป็นเรื่องเห็นชัดเจน
บางครั้งคนเรามองว่า กรรม เป็นเรื่องในด้านที่ไม่ดี กรรมมี 2 ด้าน คือ กรรมดี กรรมที่เลว กรรมที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากใครเกิดจากตัวเราเอง ถ้าท่านทำดีกรรมนั้นก็ส่งผลดี ถ้าท่านชั่วกรรมนั้นก็ส่งผลชั่ว ในช่วงเวลาที่ผมไปบวชได้อ่านพระไตรปิฏก ก็ประทับใจตอนหนึ่ง เรื่องของกรรม เราคงได้ยินกันมามากมายว่า พระเทวทัต ซึ่งเป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า ปองร้ายพระพุทธเจ้ามาโดยตลอด พยายามแม้กระทั่งที่ว่าทำร้ายพระพุทธองค์ ในพระไตรปิฎกเขียนชัดเจนว่า พระพุทธเจ้าได้เล่าให้พระอานนท์ฟังว่า ท่านเองเป็นผู้ที่เริ่มกรรมกับพระเทวทัตในอดีตชาติที่ผ่านมา ท่านเคยทำร้ายเทวทัตจนถึงแก่ชีวิตมาแล้ว เพราะฉะนั้น ในชาติที่เป็นพระพุทธองค์ เทวทัตถึงได้มาทำกรรมตอบแทน แต่ว่าด้วยกรรมดีที่พระพุทธองค์บำเพ็ญมา แม้เทวทัตพยายามที่จะกลิ้งหินให้ทับพระพุทธองค์ หินก้อนใหญ่ไม่ถูก เศษหินมาถูกที่นิ้วของพระองค์ถึงกับเลือดไหล นั่นแหละคือผลกรรมในอดีตที่พระพุทธองค์ได้ทำมา
นั้นก็คือเป็นกรรมที่ตามกลับมาอย่างชัดเจนในส่วนทางศาสนาที่เห็น ในส่วนของเทวทัตที่ไม่คิดทำกรรมดี ซึ่งทำในสิ่งที่เราพูดคือเป็นเรื่องในอดีตชาติที่ผ่านมา ปัจจุบันร่างกายของคนเราได้พิสูจน์ชัดเจนว่า มันมียีนส์ที่ได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษมาเสมอ สิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้คือ พันธุกรรมนั้นเป็นกรรมอันหนึ่งที่ชัดเจนแน่นอน ที่พิสูจน์ทราบทางธรรมชาติและทางวิทยาศาสตร์ที่แน่นอนแล้ว
เพราะฉะนั้น ถ้าเราได้ตระหนักกันว่าเราตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม ทำกรรมดี แน่นอนสิ่งนั้นจะต้องปรากฏขึ้นมา ในส่วนของกฎแห่งกรรมนี้ ก็เป็นอีกอันหนึ่งเป็นเครื่องบำรุงใจว่า ถ้าเราทำกรรมดีแล้วในอนาคตสิ่งเหล่านั้นก็จะมาตอบแทนเราเสมอ ไม่ช้าก็เร็ว นั้นเป็นส่วนที่อยากจะบอกว่า คุณธรรม จริยธรรม ที่จะเกิดขึ้นในใจของข้าราชการ เราจะต้องมีหลักยึด มีเป้าหมาย มีธงที่เราจะปักไว้ในใจของเราเอง ถ้าเราไม่สามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ ระบบหรือกลไกต่างๆ ที่เราสร้างมาก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
ในเรื่องของงบประมาณอยากเรียนว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เป็นงบประมาณก็เป็นของประชาชน และมาจากประชาชน จึงไม่พ้นที่ตกอยู่ในสายตา และการตรวจสอบของประชาชน ในขณะนั้นเราก็อาจจะมองมุมหนึ่งว่า ของหลวงตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ใครที่คิดทุจริตหรือประพฤติมิชอบ เบียดบังผลประโยชน์จากงบประมาณของทางราชการ ก็ย่อมไม่สามารถที่จะหลีกหนีความผิดไปได้ ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่เราจะมาพูดถึงวาระแห่งชาติเรื่องการสร้างจริยธรรม ธรรมาภิบาล และการป้องกันการทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชการเวลานี้ เพื่อที่จะได้ร่วมมือกันสร้างมาตรฐาน สร้างคุณภาพการทำงานให้ดีขึ้นในภาคราชการต่อไป
ผมมีความเข้าใจดีว่า ข้าราชการส่วนใหญ่ยังมีรายได้ค่อนข้างน้อย หากเปรียบเทียบกับภาคเอกชนในบางสาขาอาชีพ แต่หากเปรียบเทียบกับประชาชนโดยทั่วไปแล้ว โดยเฉพาะภาคเกษตรกรก็สามารถเดาได้ว่า ข้าราชการของเรายังมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าประชาชนอีกเป็นจำนวนมาก การที่เราจะอยู่ในสังคมได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไม่ได้อยู่ที่มีรายได้มาก รายได้น้อย แต่อยู่ที่การปฏิบัติตน และความพอเพียง และใช้ชีวิตได้อย่างสมดุล มีเหตุ มีผล ไม่ประมาท ฟุ้งเฟื้อเกินไป ระมัดระวัง ผมคิดว่าเราสามารถยืนอยู่บนเกียรติและศักดิ์ศรีของเราได้
ผมขอขอบคุณที่มาร่วมประชุมเชิงปฎิบัติการและประกาศ วาระแห่งชาติด้านจริยธรรม ธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาคราชการ ในวันนี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า แนวคิด ข้อเสนอแนะที่ได้รับในวันนี้ และการที่ข้าราชการทั่วประเทศจะได้นำเรื่องการสร้างจริยธรรม ธรรมาภิบาล การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบไปปฏิบัติให้เป็นวัฒนธรรม และค่านิยมอันดีงามต่อไป ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์ที่ยั่งยืนต่อไป และขอประกาศ วาระแห่งชาติด้านจริยธรรม ธรรมาภิบาลและการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาคราชการ และให้การดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าว
http://www.weopenmind.com/board/index.php?topic=3866.msg35517;topicseen#msg35517