ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
19-04-2024, 20:49
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สโมสรริมน้ำ  |  เกร็ดความรู้ ***ประวัติคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา.. ที่ทำเพื่อแผ่นดิน * 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: 1 2 3 [4] 5
เกร็ดความรู้ ***ประวัติคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา.. ที่ทำเพื่อแผ่นดิน *  (อ่าน 76409 ครั้ง)
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #150 เมื่อ: 09-03-2007, 17:30 »

วิธีทำให้ถั่วงอกสดและกรอบนาน

นำถั่วงอกล้างให้สะอาด หลังจากนั้นเอาน้ำส้มสายชู

เล็กน้อยผสมน้ำ นำถั่วงอกไปแช่ไว้สักพัก ถั่วงอกจะสดและกรอบนาน



....................................................

น้ำซาวข้าวมีประโยชน์

น้ำซาวข้าวที่ได้จากการจะหุงข้าวอย่าทิ้ง

ใช้นำมาแช่ผักเพื่อล้างสารพิษที่ตกค้างในผักผลไม้ได้

โดยแช่ผักหรือผลไม้ทิ้งไว้ 10-15 นาที สารพิษที่ตกค้างอยู่

จะหมดไปโดยไม่ต้องพึ่งน้ำยาล้างผักอื่นๆให้เสียสตางค์


 


ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ค่ะ 

และก็รบกวนขอยืมของใช้ในครัวสัก 2-3 อย่าง at the moment, please จะได้ไหมคะ ? อยากได้ไม้หน้าสาม เอ๊ยย ม่ายช่าย ไม้ตีพริก กับมีดอรัญญิกไม่เกี่ยงขนาดคบกริบมันวาวซักเล่มด้วยค่ะ 

บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
ลับ ลวง พราง
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 945



« ตอบ #151 เมื่อ: 09-03-2007, 17:42 »

น้ำมันที่ทอดอาหารกระเด็นเปื้อนเสื้อผ้า

เวลาทอดอาหารแล้วมีน้ำมันกระเด็นเปื้อนเสื้อผ้า

ตัวโรดเป็นดวงๆ วิธีแก้ไขให้ซักออกได้ง่ายๆ โดยรีบเอาแป้งฝุ่นทาตัว

หรือแป้งมันมาทาหลายๆครั้งตรงรอยเปื้อน แป้งจะซับน้ำมันที่ติดเสื้อผ้า

เมื่อนำไปซักน้ำมันที่ติดเสื้อผ้าอยู่จะหลุดออกไปโดยไม่ทิ้งคราบน้ำมันไว้เลย


 ใส่ผ้ากันเปื้อนไม่ง่ายกว่าเหรอครับ
บันทึกการเข้า

"คนฟุ่มเฟือย แม้จะรวยก็มักขัดสน คนประหยัด แม้จะจนก็มักมีเหลือเก็บ"
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #152 เมื่อ: 09-03-2007, 17:48 »

ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ค่ะ 

และก็รบกวนขอยืมของใช้ในครัวสัก 2-3 อย่าง at the moment, please จะได้ไหมคะ ? อยากได้ไม้หน้าสาม เอ๊ยย ม่ายช่าย ไม้ตีพริก กับมีดอรัญญิกไม่เกี่ยงขนาดคบกริบมันวาวซักเล่มด้วยค่ะ


มิต้องห่วงค่ะเม่ย พี่ดอกฟ้าฯใจดีอยู่แล้ว จัดให้ตามนี้เลยค่ะ

เลือกที่เหมาะๆมือนะ


*  (98.36 KB, 375x265 - ดู 1184 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #153 เมื่อ: 09-03-2007, 18:07 »

น้ำมันที่ทอดอาหารกระเด็นเปื้อนเสื้อผ้า

เวลาทอดอาหารแล้วมีน้ำมันกระเด็นเปื้อนเสื้อผ้า

ตัวโรดเป็นดวงๆ วิธีแก้ไขให้ซักออกได้ง่ายๆ โดยรีบเอาแป้งฝุ่นทาตัว

หรือแป้งมันมาทาหลายๆครั้งตรงรอยเปื้อน แป้งจะซับน้ำมันที่ติดเสื้อผ้า

เมื่อนำไปซักน้ำมันที่ติดเสื้อผ้าอยู่จะหลุดออกไปโดยไม่ทิ้งคราบน้ำมันไว้เลย





 ใส่ผ้ากันเปื้อนไม่ง่ายกว่าเหรอครับ


อ้าว.....ก็เผื่อว่าวันนั้นฝนตกแล้วผ้ากันเปื้อนที่ซักไว้ไม่แห้งไงคะ

เลยไม่มีใช้ อิ อิ


 
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #154 เมื่อ: 15-03-2007, 19:59 »

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับปลาทู

วิธีเลือกปลาทูนึ่ง
 
ปลาทูที่นึ่งใหม่ๆ จะมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน ตัวอวบอ้วน เนื้อนุ่มแน่นและไม่เละยุ่ย ท้องและผิวไม่ถลอก

ถ้าขอบตาแดง ผิวเหลือง แสดงว่าเป็นปลาที่มีคุณภาพไม่ดี เป็นปลาที่ได้จากอวนลาก

จึงต้องมีการใช้น้ำยาเคมีรักษาสภาพของปลา ความอร่อยของปลาทูนึ่งยังขึ้นอยู่กับปลาทูที่สดที่นำมาต้มด้วย

ถ้าใช้ปลาทูไม่สด ไม่ใช่ปลาทูโป๊ะ จะไม่อร่อยเท่าปลาทูแม่กลองที่เวลานึ่ง คนทำจะหักคอก่อนใส่เข่ง

เพื่อให้พอดีกับขนาดของเข่ง เรียกกันว่า “ปลาหน้างอคอหัก”

วิธีเลือกปลาทูสด
 
ปลาทูสดลูกตาจะนูน ตาดำมีสีสดใส ส่วนหลังของลำตัวจะมีสีเขียวเป็นพื้น ส่วนท้องจะมีสีขาว หรือสีเงิน

หางปลายังมีสีเหลือง ตามลำตัวมีเมือกลื่นๆ เหงือกมีสีแดงออกชมพู ปลาไม่มีกลิ่น เนื้อแน่น

เมื่อใช้นิ้วกดที่กลางลำตัวแล้วปล่อยนิ้วออก รอยยุบจะกลับคืนสภาพเดิมได้หมดหรือเกือบหมด
 
ส่วนปลาทูที่ไม่สดลูกตาจะยุบ ตาดำจะขุ่น บริเวณลูกตาอาจมีเลือดคั่ง สีพื้นของลำตัวซีด เหงือกมีสีแดงซีด

ปลามีกลิ่นคาวหรือคาวจัด ลำตัวอ่อนเหลวและไม่มีเมือกจับ

ซื้อปลาแบบไหนถึงจะอร่อย
 
หลังจากที่ชาวประมงจับปลาทูขึ้นมาได้ราว 5 – 10 นาที ปลาก็จะตาย ปลาทูที่ตายใหม่ๆ

นี้ถ้ารีบนำไปประกอบอาหารไม่ว่าจะเป็นต้ม ผัด แกง ทอด เนื้อจะนุ่มหวานอร่อย กลิ่นหอม

ถ้านำไปต้ม มันปลาทูสีเหลืองจะลอยฟ่องขึ้นหม้อ แค่เห็นก็อร่อยแล้ว
 
แต่ปลาทูสดที่เห็นขายกันอยู่ตามตลาดหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตนั้นไม่ใช่ปลาทูสด 100%

เป็นปลาทูที่ต้องผ่านหลายกระบวนการกว่าจะมาวางขายตามท้องตลาด ความสดของปลาก็ลดลงเหลือ 60 – 80%

อนึ่งปลาทูจะมีความสดมากหรือน้อยนั้นจะทราบได้ก็ต่อเมื่อมีการดมกลิ่นชิมรสเนื้อปลา

ซึ่งถือว่าปลาที่มีความสดมากนั้น จะมีกลิ่นหอมของเนื้อปลาชวนรับประทาน

รสชาติอร่อย เนื้อนุ่มไม่กระด้างไม่เปื่อยยุ่ย โดยเฉพาะปลาทูที่จับได้ที่ก้นอ่าวไทยตามทะเลที่พื้นดินเป็นเลน

เนื้อจะอร่อยกว่าปลาทูที่จับได้ตามทะเลที่เป็นพื้นทราย

สารพัดความอร่อย หลากหลายเมนูจากปลาทู
 
ถ้าหากจะเอ่ยถึงอาหารไทยที่ถือว่าเป็นหนึ่งเมนูเด็ดที่คนไทยลืมไม่ได้ น่าจะเป็น “น้ำพริกกะปิกับปลาทูทอด”

ที่เป็นเมนูที่มีมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ เป็นหนึ่งในอาหารประจำชาติของไทยเลยก็ว่าได้
 
สำหรับปลาทูที่จะนำมากินคู่กับน้ำพริกกะปิให้มีความอร่อยเด็กดวง ก็คงจะหนีไม่พ้น “ปลาทูโป๊ะ” หรือ “ปลาทูนึ่ง” เมืองแม่กลอง
 

นอกจากนี้อาหารที่ทำจากปลาทู ก็มีหลากหลายเมนูให้เลือก ล้วนแล้วแต่เป็นเมนูสำหรับคนที่ชองกินปลาเป็นอย่างยิ่ง

 ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกปลาทู ปลาทูทอด ปลาทูต้มยำ ปลาทูต้มส้ม ปลาทูฉู่ฉี่ ปลาทูผัดฉ่า ปลาทูนึ่ง ปลาทูต้มมะดัน

ข้าวผัดน้ำพริกปลาทู ปลาทูแดดเดียว ปลาทูราดพริกแกง ฯลฯ ซึ่งปลาทูถือเป็นอาหารไทยราคาเยาที่รสชาติยอดเยี่ยมไม่เป็นรองใคร


ที่มาจาก Fisho.com

บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #155 เมื่อ: 30-03-2007, 23:32 »

Kanikaphol Temple
วัดคณิกาผล


วัดคณิกาผล สร้างเมื่อ : พ.ศ.2376

นับตั้งแต่ที่เมืองไทยของเรา รับเอาศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเข้ามาเป็นประหนึ่งศาสนาประจำชาติของไทยนั้น

มีวัดเป็นจำนวนมาก ที่สร้างจากพระราชดำริของพระมหากษัตริย์ และ เชื้อพระวงศ์

รองลงมาก็มักจะเป็นวัดในอุปถัมภ์ของขุนนางผู้ใหญ่ชั้นสูง และ ท้ายที่สุดก็คือสร้างจากแรงศรัทธาของชาวบ้าน

แต่กระนั้นก็ตาม ยังมีวัดไทยบางวัดที่ผู้สร้างมีที่มาที่ออกจะขัดแย้งกันกับการนับถือพุทธศาสนาตามความเชื่อของชาวพุทธ

และ หนึ่งในวัดที่เป็นข้อยกเว้นนั้นเห็นจะได้แก่ “วัดคณิกาผล” คำว่าคณิกานั้น

เป็นคำโบราณที่เราใช้เรียกหญิงผู้ให้บริการทางเพศ และ เมื่อคำเรียกหญิงงามเมือง\

นี้กลายมาเป็นชื่อวัดที่มาของการสร้างวัดจึงมีความน่าสนใจอยู่พอสมควร

วัดคณิกาผลนี้ เป็นวัดที่ตั้งอยู่ท้ายตลาดแห่งหนึ่งในเยาวราช ตั้งอยู่บนหัวมุม ถนนยมราชสุขุม

และ อยู่ตรงข้ามกับโรงพักพลับพลาไชย วัดนี้เป็นวัดสายมหานิกาย ที่เดิมนั้นสร้างขึ้นจากกลุ่มหญิงบริการกลุ่มหนึ่ง

ที่มีหัวหน้ากลุ่มที่ชื่อ “ยายแฟง” เป็นผู้รวบรวม และ ออกทุนให้สร้างวัดพุทธศาสนานิกายเถรวาทขึ้นที่บริเวณตรอกโคก

(ปัจจุบันคือ ถนนพลับพลาไชย) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีศาลเจ้าจีน และ โรงเจตั้งขึ้นอยู่ก่อนแล้วมากมาย

และ เมื่อสร้างวัดของหญิงงามเมืองนี้เสร็จ ชาวบ้านจึงเรียกกันง่ายๆ ตามชื่อตรอกว่า “วัดโคก”

วัดนี้เปิดให้ชาวบ้าน และ สงฆ์ทำพิธีกรรมมานานจนกระทั่งเข้าสู่สมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

บรรดาลูกหลานของย่าแฟงจึงขอพระกรุณาโปรดเกล้าจากรัชกาลที่ 4 ให้พระราชทานนามของวัดโคกเสียใหม่

พระองค์จึงได้พระราชทานนามว่า “วัดคณิกาผล” ตามประวัติที่มาเดิมนั่นเอง ปัจจุบันนี้

หากใครได้มีโอกาสแวะเวียนเข้ามาในบริเวณนี้ ก็จะสังเกตเห็นว่าทางเข้าหน้าวัดนั้น

 มีพระพุทธรูปสมเด็จพระอาจารย์โตแห่งวัดระฆังตั้งให้ผู้มีจิตศรัทธาได้แวะเข้ามากราบไหว้กัน

และเมื่อเดินลึกเข้าไปข้างในก็จะเห็นรูปปั้นครึ่งตัวของยายแฟงตั้งอยู่โดยมีคำจารึกที่ว่า

“วัดคณิกาผลนี้ สร้างขึ้นโดยคุณยายแฟง บรรพบุรุษของตระกูลเปาโลหิตในปีพุทธศักราช 2346”


......................................................................


http://www.bmasmartschool.com


เอาอีกแง่มุมของประวัติศาสตร์มาฝากค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2007, 23:34 โดย ดอกฟ้ากับหมาวัด » บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
gomadare
น้องใหม่
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 15


« ตอบ #156 เมื่อ: 30-03-2007, 23:45 »

อดีตที่ล้มเหลว พังทลาย ไร้ประโยชน์ และไม่สามารถเชื่อมต่อกับปัจจุบันสู่อนาคตได้ จะมีความหมายหรือ
บันทึกการเข้า
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #157 เมื่อ: 30-03-2007, 23:55 »

บทความ เขียนโดย อาจารย์เทาชมพู http://www.vcharkarn.com

----

ในสมัยเมื่อครั้งสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงได้ครองแผ่นดินสยามอยู่นั้น มีหญิงคนหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกว่า

ยายคุณท้าวแฟง หรือบางครั้งก็เรียกว่า ยายแฟง เฉย ๆ ยายคุณท้าวแฟงนี้มีอาชีพเก็บตลาดเอาผลกำไร

รวมทั้งเป็นแม่เล้าเจ้าของซ่องนางโลมด้วย

ยายแฟงนั้นแกรู้ว่า ในหลวงทรงโปรดการทำบุญสร้างวัดแกจึงได้ทำการสร้างวัดด้วยเงินรายได้ของแกขึ้นมา

เพื่อต้องการให้สดุดสายพระเนตรของพระเจ้าแผ่นดินกับเขาด้วยเหมือนกัน ที่ตรอกแฟง

ในแหล่งธุรกิจของพระนครสมัยนั้น พวกชาวบ้านจึงเรียกกันว่า " วัดใหม่ยายแฟง " เมื่อสร้างเสร็จแล้ว

แกก็ได้ทูลขอพระราชทานนามของวัดนั้น ทรงโปรดพระราชทานนามของวัดนั้นว่า
 
" วัดคณิกาผล " อันแปลตรงตัวได้ว่า วัดที่เป็นผลได้มาจากหญิงโลมเมือง

เพราะรายได้หลักของยายแฟงนั้นก็คือได้จากการเป็นแม่เล้า เจ้าโสเภณี

ในการสมโภชน์วัด ยายแฟงได้ไปนิมนต์สมเด็จพุฒาจารย์ ( โต พฺรหฺมรังสี )

ซึ่งสมัยนั้นสมเด็จฯ ท่านยังไม่มีสมณศักดิ์ คงเป็นเพียงแค่มหาโต พระมหาบาเรียนธรรมดาเท่านั้นให้มาเทศน์ฉลอง

โดยมีความปรารถนาจะให้ท่านได้สรรเสริญผลบุญของตนต่อหน้าชุมชน แต่ผลก็ไม่ได้เป็นดังใจของยายแฟง

เพราะพระมหาโต ท่านกลับเทศน์บอกแก่เจ้าภาพว่า ในการที่เจ้าภาพได้จัดการทำบุญเช่นนี้นั้น

เป็นการทำบุญที่มีเบื้องหลังอยู่หลายประการ เป็นเหตุให้เหมือนกับว่า ในเงินทำบุญ ๑ บาทนั้น

ยายแฟงจะได้อานิสงส์เพียงแค่สลึงเฟื้องเท่านั้น โดยพระมหาโตท่านได้ยกนิทาน เรื่องตากะยายฝังเงินเฟื้อง

ไว้ที่ศิลาหน้าบันไดขึ้นมาประกอบคำเทศน์ของท่านด้วย ท่านได้เทศน์ว่า เพราะด้วยผลบุญที่ทำนั้นมีสาเหตุมูลฐาน

ในการประกอบการบุญนั้นไว้ผิด แม้ว่าเรื่องที่เจ้าภาพได้สร้างวัดนี้ไว้นั้นจะเป็นการดี

แต่ก็เพราะการตั้งฐานในการทำบุญครั้งนี้ไม่ถูกบุญใหญ่ จึงทำให้ผลแห่งการทำบุญนั้นใหญ่โตเหมือนดังที่หวังไว้ไปไม่ได้

คงจะได้บ้างก็แค่เพียงของเศษบุญ หรือจาก ๑ บาทก็ได้เพียงสลึงเฟื้องเท่านั้น

เมื่อยายคุณท้าวแฟงได้ฟังเช่นนั้นแล้ว ก็ให้รู้สึกขัดเคืองใจเป็นกำลัง มีอาการโกรธหน้าแดง

จนแทบจะระเบิดวาจาออกมาต่อว่า บริภาษมหาโตอย่างรุนแรง แต่ก็ยังเกรงเป็นการหมิ่นประมาท

แกจึงได้เพียงแต่ประเคนกัณฑ์เทศน์ด้วยอาการไม่พอใจ กระแทก ๆ ดังปึงปังใหญ่

แล้วหลังจากนั้นแกก็จึงได้ไปนิมนต์เสด็จทูลกระหม่อมพระ ซึ่งก็คือ สมเด็จพระจอมเกล้าฯ

ในสมัยเมื่อครั้งที่พระองค์ยังได้ทรงผนวชอยู่ เพื่อจะได้ให้ทรงเสด็จมาประทานธรรมต่อให้อีกสักกกัณฑ์หนึ่ง

โดยหวังว่า แกคงจะได้รับคำชมจากพระองค์ท่าน ซึ่งก็เท่ากับเป็นการแก้ลำพระมหาโตไปในคราวเดียวกัน

ทูลกระหม่อมฯ ทรงรับนิมนต์ของยายแฟงแล้ว ได้ทรงประทานธรรม ในเรื่องจิตของบุคคลที่ประกอบการกุศลว่า

ถ้าทำด้วยจิตที่ผ่องใส ไม่ขุ่นมัวก็จะได้อานิสงส์มาก แต่ถ้าบุคคลใดทำงานการบุญด้วยจิตที่ขุ่นมัว

ก็ย่อมจะทำให้เกิดได้ผลน้อย และสำหรับในเรื่องของการสร้างวัดนี้ ก็ดูเหมือนจะเนื่องด้วยเรื่องของจิตที่ขุ่นมัวทั้งนั้น

ดังนั้นอานิสงส์ผลบุญจึงมีเพียงเท่านั้น ตามที่ท่านมหาโต ท่านยกเรื่องตากะยาย

ไปอ้อนวอนเทวดาที่ต้นไม้ใหญ่มาประกอบนั้น เป็นเรื่องที่มีปรากฏในฎีกาพระอภิธรรมอยู่

เป็นฉากตัวอย่างที่ช่วยให้ท่านทำการตัดสินบุญของผู้สร้างวัดนี้ว่า ผลแห่งบุญนั้นจะอำนวยให้เกิดได้ไม่เต็มเม็ด เต็มหน่วย

 คงได้แค่เพียง ๓ ใน ๘ ส่วน เหมือนกับเงิน ๑ บาท โค้งเว้าหายไปเสีย ๕ เฟื้อง คงได้เพียง ๓ เฟื้อง

 คือ เหลือเพียงสลึงเฟื้องเท่านั้น การที่ท่านตัดสินอย่างนี้ก็นับว่ายังดีนักเทียว

ถ้าเป็นความเห็นของเรา (สมเด็จพระจอมเกล้าฯ) คงจะตัดสินให้ได้บุญเพียง ๒ ไพเท่านั้น

คือตัดสินตามเหตุที่ได้เห็น เพราะในการสร้างบุญนั้น วัดกันด้วยระดับของจิตใจ ผลที่เธอควรได้รับจึงควรมีเพียงเท่านี้

แล้วทูลกระหม่อมฯ ก็ลง เอวัง ไว้เท่านั้น

เทศน์ ๒ กัณฑ์ของ ๒ ท่านนี้ นับเป็นเรื่องน่าคิด และในเรื่องนี้ผู้อ่านก็ควรจะคิดวินิจฉัยเองด้วยเหมือนกัน

ผู้เรียบเรียงคิดว่า ท่านทั้งสองต้องการให้ยายแฟงรู้จักการทำบุญด้วยการพิจารณาลงไปถึงมูลเหตุต่างๆ ที่มีอยู่ในใจ

และให้รู้จักคำนึงถึงที่มาของสิ่งที่ได้มาใช้ในการทำบุญด้วยว่า เป็นมูลฐานสำคัญของบุญ

สมเด็จพระจอมเกล้าฯ ท่านคงทรงพระประสงค์ที่จะตอกย้ำความรู้สึกของยายคุณท้าวแฟง

ให้รู้ตระหนักลงไปถึงในเรื่องกุศลจิต และอกุศลจิต มีอำนาจความสำคัญแตกต่างกันอย่างไร

ผู้เรียบเรียงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เรื่องการสร้างวัดของยายแฟงนี้คงจะแสดงให้พวกเราได้เห็นอะไรๆ

เกี่ยวกับการทำบุญกุศลได้ชัดขึ้นมาบ้าง ไม่มากก็น้อย

อนึ่ง ในเรื่องนี้มีอยู่ตอนหนึ่งที่ทูลกระหม่อมพระ ท่านได้ตรัสว่า คุณท้าวแฟงควรจะได้บุญเพียง ๒ ไพเท่านั้น

ท่านผู้อ่านที่มีอายุน้อยนั้นอาจจะไม่ทราบมาตราเงินไทยในสมัยเก่า ดังนั้นจึงจะขอเรียนให้ทราบว่า ๔ ไพนั้น

มีค่าเท่ากับ ๑ เฟื้อง และ ๒ เฟื้องเป็น ๑ สลึง ดังนั้น หนึ่งไพจึงมีค่าเพียงราว ๑ สตางค์เท่านั้น

ระองค์ทรงบอกว่าที่ทำบุญบาทหนึ่งนั้นได้ผลบุญจริงๆ เพียงแค่ ๖ สตางค์

น้อยกว่าที่มหาโตท่านได้ตัดสินไว้เสียอีก คือ ใน ๑๐๐ ส่วน เหลืออยู่เพียง ๖ ส่วน เท่านั้นนั่นเอง

และอีกประการหนึ่ง ควรทำความเข้าใจไว้ให้ชัดว่า คำว่า "จิดขุ่นมัว" ที่มีใช้อยู่ในเรื่องนี้นั้น

ไม่ได้หมายถึงการขุ่นมัวด้วยความโกรธหรือการลุแก่โทสะเพียงอย่างเดียว

ถ้าพิจารณากันให้ดีแล้วจะเห็นว่า ท่านหมายถึงความขุ่นมัวด้วยความโลภและความหลงด้วย

คือ พร้อมกันทั้ง ๓ ประการ ยายแฟงโลภอยากได้หน้า และหลงไปว่า ในหลวงท่านจะโปรดปราน

จึงได้สร้างวัดขึ้นมา ส่วนจิตใจของยายแฟงนั้น ไม่มีใครรู้ได้ แต่เท่าที่ประมาณพอได้ก็คือ แกเป็นแม่เล้าคุมซ่องนางโลม

ดังนั้นจิตใจแกจึงน่าจะมีส่วนที่ผ่องใสในการกุศลอยู่น้อยมาก เมื่อเทียบกับส่วนที่เป็นอกุศลอันขุ่นมัว

ซึ่งซ่อนลึกหลบอยู่ภายในใจของแก คนที่ทำบุญเอาหน้า ได้เงินทองมาโดยไม่บริสุทธิ์นั้น

จึงอยู่ห่างไกลบุญมาก ทำให้ไม่สามารถไปสู้คนที่ทำบุญด้วยจิตที่บริสุทธิ์ และด้วยสิ่งของที่บริสุทธิ์สะอาดไม่ได้เลย

อย่างไรก็ตามผู้เรียบเรียงคิดว่า แม้ได้น้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย บุญนั้นไม่ว่ามากหรือน้อยเพียงใด

ย่อมมีผลให้อุบัติเกิดเป็นความดีมาค้ำจุนผู้กระทำบุญนั้นแต่เพียงฝ่ายเดียว จะมากหรือน้อยก็มีแต่ดี

เรื่องของยายแฟงนี้ได้เขียนเล่าเก็บเอาไว้เพื่อเตือนใจผู้ที่อาจจะตีความคิดเอาเองว่า

จะหากำไรด้วยการทำชั่วทำบาปให้มาก แล้วก็จะเอาสิ่งของจำนวนมากที่ได้จากบาปกรรมของตัวนั้นมาสร้างความดี

จะได้มีความดีมากๆ ความคิดเช่นนั้นเป็นความคิดที่ผิด เพราะความดีที่เกิดนั้นย่อมมีผลน้อย

อย่าคิดว่าทำชั่วไว้มาก ๆ แล้ว ก็จึงค่อยหันกลับมาทำความดี แล้วก็จะทำให้ได้กำไร

เกิดเป็นผลบุญขึ้นอีกมากมายได้ตามที่ใจตนเองคาดเดาเอาไว้เลยเป็นอันขาด เรื่องของคุณท้าวแฟง

ที่สร้างวัดคณิกาผลนี่นั้นนับว่าเป็นอุทาหรณ์ ที่น่าสังวรอยู่ไม่น้อยเลย จริง ๆ ทีเดียว

ที่มา : หนังสือ " เรื่องเขา เล่ากันมา "



 
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #158 เมื่อ: 01-04-2007, 00:15 »

ขอบคุณพี่ดอกฟ้าฯ สำหรับเกร็ดเรื่อง "วัดคณิกาผล" ค่ะ รู้จักวัดนี้จากชั่วโมงภาษาไทยตอนชั้นมัธยม คุณครูที่สอนน่ารักค่ะ ตอนนั้นฟังแล้วรู้สึกว่า คุณยายแฟงเป็นคนน่าศรัทธา เพราะแม้ว่าจะต้องทำมาหาเลี้ยงตนเองด้วยอาชีพที่สังคมไม่ยอมรับ แต่ก็ยังมีจิตกุศลทำความดีสร้างวัดเพื่อบำรุงพระศาสนา

ไม่ว่าสังคมจะวิพากย์วิจารณ์อย่างไร เช่นเดียวกับการถ่ายภาพนู้ดของบรรดาดารานักร้องและสาวสังคมชั้นสูงเพื่อช่วยเหลือวัดพระบาทน้ำพุที่เป็นข่าวฮือฮาตั้งแต่เมื่อวานนี้ เพราะว่ามองได้หลายแง่หลายมุมตามมาตรวัดทางศีลธรรมที่มีกำกับอยู่ แต่ที่สุดแล้ว คนทำคงรู้อยู่แก่ใจว่า ตัวเองทำไปด้วยวัตถุประสงค์ใดกันแน่ ด้วยเจตนาบริสุทธิ์หรือมีเจตนาเคลือบแฝง แม้ว่าคนอื่นจะไม่รู้ แต่ตัวเองย่อมรู้ เหมือนฟ้ารู้ดินรู้ มั้งคะ
บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #159 เมื่อ: 04-04-2007, 20:38 »

ที่พี่เอาเรื่องนี้มานำเสนอเพราะคิดว่าตอนนี้มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง

เกี่ยวกับเรื่องควรหรือไม่ควรที่นำภาพนู๊ดมาประมูลเพื่อบริจาคให้วัดแห่งหนึ่ง

เรื่องนี้ไม่ขออกความเห็นเพราะคิดว่าวิธีนำเสนอมันค่อนข้างวิจิตรพิศดารกว่าในอดีต

คงต้องสอบถามความคิดเห็นจากเจ้าของโปรเจกค์ว่าวิธีคิดของเค้าต้องการให้มันเกิดผลในทางไหน

และสังคมจะได้อะไร จะได้มากกว่าเสียหรือไม่คงคาดเดาใจใครได้ยากค่ะ
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
so what?
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,729


« ตอบ #160 เมื่อ: 04-04-2007, 21:35 »

ที่พี่เอาเรื่องนี้มานำเสนอเพราะคิดว่าตอนนี้มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง

เกี่ยวกับเรื่องควรหรือไม่ควรที่นำภาพนู๊ดมาประมูลเพื่อบริจาคให้วัดแห่งหนึ่ง

เรื่องนี้ไม่ขออกความเห็นเพราะคิดว่าวิธีนำเสนอมันค่อนข้างวิจิตรพิศดารกว่าในอดีต

คงต้องสอบถามความคิดเห็นจากเจ้าของโปรเจกค์ว่าวิธีคิดของเค้าต้องการให้มันเกิดผลในทางไหน

และสังคมจะได้อะไร จะได้มากกว่าเสียหรือไม่คงคาดเดาใจใครได้ยากค่ะ



อินเทรนด์ดีครับ 

ผมจำได้คลับคล้ายคลับคาว่ามีครูวิชาภาษาไทยท่านนึงเคยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับวัดนี้ แต่ลืมไปเกือบหมดแล้ว
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ  Mr. Green
บันทึกการเข้า
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #161 เมื่อ: 04-04-2007, 21:58 »

ผมจำได้คลับคล้ายคลับคาว่ามีครูวิชาภาษาไทยท่านนึงเคยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับวัดนี้ แต่ลืมไปเกือบหมดแล้ว
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ

ด้วยความยินดีค่ะ คุณso what
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #162 เมื่อ: 04-04-2007, 22:16 »

พึงสร้างกุศลด้วยวิธีที่เป็นกุศล

การมีความคิดมีจิตที่เป็นกุศลเป็นสิ่งประเสริฐ  เพราะกุศลมีความหมายถึง บุญ, ความดี, ฉลาด, สิ่งที่ดี,

กรรมดี ซึ่งท่านพุทธทาสภิกขุ ได้เคยอธิบายเป็นความละเอียด ของความต่างระหว่าง บุญ กับกุศล

ว่าบุญมีความหมายว่าทำให้ฟู หรือ พองขึ้น บวมขึ้น นูนขึ้น ส่วน กุศล  แปลว่า แผ้วถาง ให้ราบเตียนไป

 คนที่ทำบุญจะรู้สึกฟูใจ มีจิตใจที่อิ่มเอิบ ส่วนกุศลเป็นสิ่งที่ทำหน้าที่แผ้วถาง สิ่งกีดขวาง ผูกรัด หรือ รกรุงรัง
 
ไม่ข้องแวะ กับความฟูใจ หรือ พอใจแต่มีความมุ่งหมายจะกำจัดเสียซึ่งสิ่งต่าง ๆ

อันเป็นเหตุให้พัวพันอยู่ในกิเลสตัณหา อันเป็นเครื่องนำให้เกิดแล้วเกิดอีก

และมีจุดมุ่งหมายกวาดล้างสิ่งเหล่านั้นออกไปจากตัว ซึ่งโดยนัย แห่งคำอธิบายทำให้เห็นว่า

กุศลเป็นการทำความดี โดยไม่มุ่งหวังสิ่งใด แม้กระทั่งความพอใจ
 
นัยดังกล่าวการสร้างกุศล จึงประกอบด้วยการกระทำที่มาจากฐานคิดอันเป็นกุศล

การกระทำด้วยวิธีการอันเป็นกุศล เป็นการทำบุญ หรือทำความดี ด้วยความฉลาด ให้เกิดสิ่งที่ดี

และการจะเกิดสิ่งที่ดีขึ้นมาได้ ต้องเป็นการกระทำที่ทุกฝ่ายให้การยอมรับว่าได้การกระทำนั้นดี

หากเป็นการกระทำที่เป็นมิจฉาทิฐิ คือความเห็นผิด หรือความเห็นที่ผิดจากครรลองคลองธรรม

เช่น เห็นว่าทำดีได้ชั่วทำชั่วได้ดี นอกจากนี้ การกระทำในลักษณะเป็นการกุศล

น่าจะเป็นกิจที่ไม่ต้องป่าวประกาศให้โลกรู้ว่าได้ทำ เพราะไม่ได้หวังคำสรรเสริญ

หรือมุ่งจะให้เกิดการรับรู้ในสังคมวงกว้าง
 
การที่มีกลุ่มนายแบบ นางแบบ รวมถึงผู้มีชื่อ   เสียง 32 คน ร่วมเปลื้องผ้าถ่ายแบบเปลือย

ในกิจกรรมที่เรียกกันเองว่า “นู้ดการกุศล” และจะนำภาพมาขยายใหญ่ ขนาด 1x1 เมตร จำนวน 26 ภาพ

จัดประมูลในนิทรรศการที่จัดขึ้นในศูนย์การค้า ตั้งราคาเริ่มต้นไว้ 10,000 บาท เพื่อหารายได้ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเอดส์

ที่วัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี และสถาบันบำราศนราดูร จ.นนทบุรี โดยที่ผู้ถ่ายแบบทุกรายไม่คิดค่าตัว

เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับในความมุ่งหมายที่ดี ที่บุคคลเหล่านี้มีจิตใจดีงาม พยายามหาทางช่วยผู้อื่น

ใช้เรือนร่างเป็นแบบ โดยไม่รับค่าตอบแทน ทั้ง ๆ ที่ส่วนใหญ่ก็มีค่าตัวระดับสูง

อย่างไรก็ตาม หลังจากภาพและข่าวปรากฏออกไป กลับมีแต่เสียงตำหนิ บริภาษ จากบุคคลทุกวงการ

ตั้งแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จนถึงการแสดงความคิดเห็นบนกระดานข่าวเว็บบอร์ดแทบทุกแห่ง

แทบจะหาคำชื่นชมไม่ได้เลย

 การกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ซึ่งอ้างว่าเป็นการสร้างกุศลนั้น ไม่ว่าจะมีผลประโยชน์ใดแฝงอยู่หรือไม่

มากน้อยเพียงใด ก็เป็นสิ่งควรได้รับการยกย่องยอมรับตามแต่กรณี กระนั้นสิ่งที่กระทำ

 ควรได้ผ่านกระบวนการทางความคิดว่าสิ่งนั้น ดีและมีความเหมาะสม การถ่ายภาพเปลือยเพื่อประมูลขายต่อที่สาธารณะ

ด้านหนึ่ง ย่อมเป็นการแสดงภาพที่สุ่มเสี่ยง เนื่องจากผู้เข้าชมมีหลากหลาย หากเห็นบางภาพ ที่บางท่าทาง บางมุม

ที่อ้างว่าเป็นงานศิลป อาจกลายเป็นการยั่วยุทางกามารมณ์ ซึ่งนำไปสู่ผลเสียทางอื่นได้

เช่นนี้ จึงถือไม่ได้ว่า งานการกุศลครั้งนี้ ทำด้วยวิธีที่เป็นกุศล เพราะอย่างน้อยที่สุดก็ทำให้คนที่รู้เห็นก่นด่า

และไม่เชื่อว่ากำลังทำดี แต่ก็หวังว่าหากผู้กระทำมีจิตมุ่งหวังเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยแท้จริง

ก็น่าจะได้ทบทวนหากิจกรรมใหม่ เพื่อให้เกิดกุศลอันไม่เป็นที่ติฉินเช่นนี้.
 



ข้อคิดที่น่าสนใจจาก บทความของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #163 เมื่อ: 05-04-2007, 19:16 »

ตำนานและประเพณีวันสงกรานต์

          ตำนานของสงกรานต์นี้มีปรากฎในศิลาจารึกที่วัดพระเชตุพน โดยย่อว่า มีบุตรของเศรษฐีคนหนึ่งชื่อ ธรรมบาลกุมาร

เป็นผู้ที่รู้ภาษานกแล้ว เรียนไตรเพทจบ เมื่ออายุได้เจ็ดขวบ ได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่างๆ แก่มนุษย์ทั้งปวง

ซึ่งในขณะนั้น โลกทั้งหลายนับถือท้าวมหาพรหมและกบิลพรหมองค์หนึ่งว่า เป็นผู้แสดงมงคลแก่มนุษย์ทั้งปวง

เมื่อกบิลพรหมทราบ จึงลงมาถาม ปัญหาธรรมบาลกุมาร ๓ ข้อ สัญญาไว้ว่า ถ้าแก้ปัญหาได้จะตัดศีรษะบูชา

ถ้าแก้ไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย   ปัญหานั้นว่า
 
          ข้อ ๑.เช้าราศีอยู่แห่งใด
 
          ข้อ ๒.เที่ยงราศีอยู่แห่งใด
 
          ข้อ ๓. ค่ำราศีอยู่แห่งใด

          ธรรมบาลขอผลัด ๗ วัน ครั้นล่วงไปได้ ๖ วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดไม่ได้ จึงลงจากปราสาทไปนอนอยู่ใต้ต้นตาลสองต้น 

มีนกอินทรี ๒ ตัวผัวเมียทำรังอาศัยอยู่บนต้นตาลนั้น ครั้งเวลาค่ำนางนกอินทรีจึงถามสามีว่า พรุ่งนี้จะได้อาหารแห่งใด

สามีบอกว่า จะได้กินศพธรรมบาลกุมาร ซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสีย เพราะทายปัญหาไม่ออก

นางนกถามว่า ปัญหานั้นอย่างไรสามีจึงบอกว่า ปัญหาว่าเช้าราศีอยู่แห่งใด เที่ยงราศีอยู่แห่งใด ค่ำราศีอยู่แห่งใด

นางนกถามว่า จะแก้อย่างไร สามีบอกว่า เช้าราศีอยู่หน้า มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างหน้า เวลาเที่ยงราศีอยู่อก

มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก เวลาค่ำราศีอยู่เท้า มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาน้ำล้างเท้า

          ครั้งรุ่งขึ้นท้าวกบิลพรหมมาถาม ปัญหาธรรมบาลกุมารก็แก้ตามที่ได้ยินมา

ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกเทพธิดาทั้ง ๗ อันเป็นบริจาริกาพระอินทร์มาพร้อมกัน แล้วบอกว่า เราจะตัดศีรษะบูชาธรรมบาลกุมาล

ศีรษะของเราถ้าจะตั้งไว้บนแผ่นดินไฟก็จะไหม้ทั่วโลก ถ้าจะทิ้งขึ้นบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งไว้ในมหาสมุทรน้ำก็จะแห้ง

จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดนั้นเอาพานมารับศีรษะ แล้วก็ตัดศีรษะส่งให้ธิดาผู้ใหญ่ นางจึงเอาพานมารับพระเศียรบิดาไว้แล้ว

แห่ทำประทักษิณ รอบเขาพระสุเมรุ ๖๐ นาที แล้วก็เชิญประดิษฐานไว้ในมณฆปถ้ำคันธุลีเขาไกรลาศ

บูชาด้วยเครื่องทิพย์ต่างๆ พระเวสสุกรรมก็นฤมิตรแล้วด้วย แก้วเจ็ดประการชื่อ ภควดีให้เป็นที่ประชุมเทวดา

เทวดาทั้งปวงก็นำเอาเถาฉมุลาด ลงมาล้างในสระอโนดาตเจ็ดครั้งแล้วแจกกันสังเวยทุกๆ พระองค์ครั้งถึงครบกำหนด ๓๖๕ วัน

โลกสมมติว่า ปีหนึ่งเป็นสงกรานต์นางเทพธิดาเจ็ดองค์ จึงผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหม

ออกแห่ประทักษิณเขาพระสุเมรุทุกปี แล้วกลับไปเทวโลก ซึ่งลูกสาวทั้งเจ็ดของท้าวกบิลพรหมนั้น

เราสมมติเรียกว่า นางสงกรานต์ มีชื่อต่างๆ ดังนี้ ทุงษ, โคราค, รากษส, มัณฑา, กิริณี, กิมิทา และ มโหทร
 
          คำว่า "สงกรานต์" มาจากภาษาสันสฤกตว่า สํ-กรานต แปลว่า ก้าวขี้น ย่างขึ้น หรือก้าวขึ้น การย้ายที่ เคลื่อนที่

คือพระอาทิตย์ย่างขึ้น สู่ราศีใหม่ หมายถึงวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งตกอยู่ในวันที่ ๑๓,๑๔,๑๕ เมษายนทุกปี

แต่วันสงกรานต์นั้นคือ วันที่ ๑๓ เมษายน เรียกว่า วันมหาสงกรานต์ วันที่ ๑๔ เป็นวันเนา วันที่ ๑๕ เป็นวันเถลิงศก 


อ้างอิง :

สมชัย ใจดี,ยรรยง ศรีวิริยาภรณ์. ประเพณีและวัฒนธรรมไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, 2531.
สุพัตรา สุภาพ. สังคมและวัฒนธรรมไทย ค่านิยม ครอบครัว ศาสนา ประเพณี. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, 2534.
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ สงกรานต์. กรุงเทพฯ : อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊ฟ, 2533.
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #164 เมื่อ: 05-04-2007, 19:20 »

สิ่งที่ได้จากการทำบุญสงกรานต์
 
๑. เป็นการแสดงความเคารพบูชาต่อสิ่งที่ตนเคารพ ต่อบิดามารดา และผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ

๒. เป็นการชำระจิตใจ และร่างกายให้สะอาด

๓. เป็นการรักษาประเพณีมาแต่เดิม

๔. เป็นการสนุกสนานรื่นเริงในรอบปี และพักจากงานประจำชั่วคราว เพื่อจะไปพักผ่อนหย่อนใจ

๕. เป็นการเตือนสติว่ามนุษย์นั้นผ่านไป ๑ ปีแล้วและในรอบปีที่ผ่านมา เราได้ทำอะไรบ้างและควรจะทำอะไรต่อไปในปีที่กำลังจะมาถึง

ู๖. เป็นการเตรียมตัวบวช ถ้าเป็นผู้ชายโดยเอาระยะเวลานี้บวชกัน เพราะหลังสงกรานต์ต้องเตรียมตัวทำนาแล้ว

๗. เป็นการทำความสะอาดพระ โต๊ะบูชา บ้านเรือน ทั้งในและนอกบ้าน


 


--------------------------------------------------------------------------------

 
 
อ้างอิง :

สมชัย ใจดี,ยรรยง ศรีวิริยาภรณ์. ประเพณีและวัฒนธรรมไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, 2531.
สุพัตรา สุภาพ. สังคมและวัฒนธรรมไทย ค่านิยม ครอบครัว ศาสนา ประเพณี. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช, 2534.
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ สงกรานต์. กรุงเทพฯ : อมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊ฟ, 2533. 
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #165 เมื่อ: 05-04-2007, 19:45 »

ปีนี้ วันมหาสงกรานต์ตรงวันเสาร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๐ ปีกุน

มนุษย์ผู้หญิง ธาตุน้ำ นพศก จุลศักราช ๑๓๖๙ ทรงจันทรคติ เป็น อธิกมาส

ปกติวาร ทางสุริยคติ เป็นปกติสุรทิน



นางสงกรานต์นามว่า มโหธรเทวี ทรงพาหุรัดทัดดอกสามหาว (ผักตบ) อาภรณ์แก้วนิลรัตน์ภักษาหารเนื้อทราย

พระหัตถ์ขวาทรงจักร พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูรย์ เสด็จนั่งมาเหนือหลังนกยูง เป็นพาหนะ

มหาวันสงกรานต์ วันเสาร์ที่ ๑๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เวลา ๑๒ นาฬิกา ๓๖ นาที ๓๗ วินาที ตรงกับเสาร์ แรม ๑๒ ค่ำ

เดือน ๕ ปีกุน นพศก จุลศักราช ๑๓๖๙ (เปลี่ยนจุลศักราช ๑๓๖๘ ในวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๐ เวลา ๑๖ นาฬิกา ๔๐ นาที ๔๘ วินาที)

ปีนี้ วันอาทิตย์ เป็นวันธงชัย วันจันทร์ เป็นอธิบดี วันเสาร์ เป็นอุบาทว์ วันพุธ เป็นโลกาวินาศ วันเสาร์

เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก ๔๐๐ ห่า ตกในโลกมนุษย์ ๔๐ ห่า ตกในมหาสมุทร ๘๐ ห่า ตกในป่า

หิมพานต์ ๑๒๐ ห่า ตกในเขาจักรวาล ๑๖๐ ห่า นาคให้น้ำ ๖ ตัว  เกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ ๗ ชื่อ ปาปะ

ข้าวกล้าในภูมินา จะได้ผล ๑ ส่วน เสีย ๙ ส่วน เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีปัถวี (ดิน) น้ำงามพอดี

จากประกาศสงกรานต์ข้างต้น หากเราเทียบกับคำพยากรณ์ของโบราณ จะเห็นว่าวันมหาสงกรานต์ปีนี้ตรงกับวันเสาร์

เขาบอกว่าจะเกิดโจรผู้ร้ายชุกชุม มีการเจ็บไข้ร้ายแรง ส่วนวันเนาตรงกับวันอาทิตย์ ข้าวจะตายฝอย คนต่างด้าวจะเข้าเมืองมาก

ท้าวพระยาจะร้อนใจ ส่วนตำราล้านนาก็ว่า วันมหาสงกรานต์ตรงกับวันเสาร์ ปีนี้ฝนจะแล้ง แมลงต่างๆจักทำร้ายพืชไร่มากนัก

ไฟจักไหม้บ้านไหม้เมือง เกิดอัคคีภัยใหญ่ ข้าวยากหมากแพง ดูแล้วจะเป็นเรื่องร้ายๆ พอๆกับคำทำนายในปัจจุบันทั้งสิ้น

ครั้นมาดูนางสงกรานต์ ที่มีนามว่า นางมโหธรเทวี ดูท่าแล้ว ก็ดุไม่เบา เนื่องจากพระนางนอกจากจะพกจักรและตรีศูรย์เป็นอาวุธแล้ว

ยังกินเนื้อทรายเป็นอาหาร แถมทัดดอกสามหาวและใส่นิล(พลอยสีดำ) เป็นเครื่องประดับอีกด้วย อ่านแล้ว หลายคนอาจรู้สึกหดหู่

ไม่สบายใจ แต่ถ้าจะมองให้ลึกลงไปว่า วันมหาสงกรานต์ที่ตรงกับวันเสาร์ แม้จะเป็นดาวบาปเคราะห์ใหญ่

ที่ทางโหราศาสตร์ถือว่าเป็นวันเจ้าทุกข์ แต่ก็เป็นวันแข็ง และมีพระนาคปรกเป็นพระประจำวันนี้

ซึ่งเปรียบเหมือนเรามีพญานาคราชได้แผ่พังพานปกป้องคุ้มครองให้พ้นทุกข์และภัยพิบัติต่างๆ

และยังมีความเชื่อว่าพระปางนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ทางเมตตา เพราะตามตำนานแม้แต่พญานาคยังขึ้นจากน้ำมาถวายอารักขาพระพุทธเจ้า

ทั้งนี้ก็ด้วยพลานุภาพแห่งพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์

ดังนั้น จึงเป็นการบอกทางอ้อมให้เราใช้รู้จักใช้หลักเมตตาธรรมในการดำเนินชีวิตทุกระดับไม่ว่าจะกับครอบครัว

สังคม และประเทศชาติ ส่วนอาวุธของนางสงกรานต์ที่เป็นจักรนั้น

ก็คืออาวุธของพระนารายณ์ที่ทรงใช้ในการปราบทุกข์เข็ญให้แก่โลก

และตรีศูรย์ก็คือ อาวุธของพระศิวะมหาเทพที่ทรงโปรดให้พรวิเศษแก่ผู้กระทำคุณความดีต่างๆ

และนิลนั้นก็เป็นอัญมณีที่ทำให้ผู้สวมใส่ เกิดความใจเย็น สามารถป้องกันอันตรายจากภูตผีวิญญาณ

นำมาซึ่งความเข้มแข็ง โชคลาภ หรือความมั่งมีต่าง ๆ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าแม้วันเวลาที่นางสงกรานต์เสด็จมาไม่ดีนัก

แต่อาวุธและเครื่องประดับก็มีนัยที่ดี เพราะใช้ปราบอริราชศัตรูและเป็นมงคล

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคำพยากรณ์ในอดีตหรือคำทำนายในปัจจุบันจะเป็นเช่นไร เราก็มิควรจะท้อแท้หรือหมดกำลังใจ

แต่ควรใช้คำทายทักล่วงหน้าเหล่านี้เตือน “ สติ ” ตัวเราเองให้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความระมัดระวัง

ไม่ประมาท เพียงแค่นี้ เราก็จะรับ “ สงกรานต์ปีใหม่ ” ได้อย่างมีความสุข และเชื่อมั่นในอนาคตข้างหน้าได้


http://www.songkran.net/th/announce.php

ขอส่งความสุขล่วงหน้าในวันปีใหม่ไทยมายังเพื่อนสมาชิกเสรีไทยฯทุกๆท่านค่ะ



* ladies_full.jpg (76.57 KB, 560x281 - ดู 1132 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-04-2007, 19:52 โดย ดอกฟ้ากับหมาวัด » บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #166 เมื่อ: 05-04-2007, 21:54 »


เกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์

          กิจกรรมส่วนใหญ่ที่ทำในเทศกาลนี้ก็มี การทำความสะอาดบ้านเรือน ทำบุญทำทาน

สรงน้ำพระ รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ และเล่นสาดน้ำกัน เป็นต้น อย่างไรก็ดี นอกจากกิจกรรมดังกล่าวแล้ว
 
ประเพณีสงกรานต์ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง สำหรับเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับประเพณีสงกรานต์มีดังนี้
 
๑.ก่อนที่เราจะถือวันสงกรานต์เป็นปีใหม่แบบไทยนั้น สมัยโบราณ เราถือเอาวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่

เพราะถือว่าฤดูหนาว เป็นการเริ่มต้นปี ซึ่งจะตกราวเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม

ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามคติพราหมณ์ ซึ่งมีรากเหง้ามาจากการสังเกตธรรมชาติและฤดูการผลิต

เป็น วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ หรือประมาณเดือนเมษายน ครั้นในปีพ.ศ. ๒๔๓๒ สมัยรัชกาลที่ ๕

ได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ ๑ เมษายน และต่อมาในปีพ.ศ. ๒๔๘๓ จอมพลป.พิบูลสงครามก็ได้ประกาศให้วันที่ ๑ มกราคม

เป็นวันขึ้นปีใหม่จนปัจจุบัน อันเป็นการนับแบบสากล อย่างไรก็ดี คนไทยในหลายภูมิภาคก็ยังยึดถือเอาวันสงกรานต์

เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ ซึ่งแต่เดิมแม้จะอยู่ในช่วงเดือนเมษายน ก็ไม่ได้ตรงกับวันที่ ๑๓ เมษายน ดังเช่นปัจจุบัน

จนเมื่อพ.ศ.๒๔๔๔ เป็นต้นมา จึงได้กำหนดเป็นวันที่ ๑๓ เมษายน ตามปฏิทินเกรกอรี่
 
๒.นอกจากประเทศไทยแล้ว ยังมีมอญ พม่า ลาว และชนชาติไทยเชื้อสายต่างๆอันเป็นชนส่วนน้อยในจีน อินเดีย

ก็ถือว่าสงกรานต์เป็นเทศกาลฉลองวันขึ้นปีใหม่ของเขาด้วยเช่นกัน

๓.ภาคกลางเรียกวันที่ ๑๓ เมษายน ว่า “วันมหาสงกรานต์” ซึ่งวันนี้ทางการได้ประกาศให้เป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ”

วันที่ ๑๔ เมษายน เรียก “วันเนา” และรัฐบาลสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณได้ประกาศให้เป็น “วันครอบครัว”

ส่วนวันที่ ๑๕ เมษายน เรียก “วันเถลิงศก” คือวันเริ่มจุลศักราชใหม่

๔.ทางล้านนาเรียกวันที่ ๑๓ เมษายนว่า “วันสังขารล่อง” ซึ่งบางท่านให้ความหมายว่า หมายถึงอายุสิ้นไปอีกปี

วันที่ ๑๔ เมษายน เรียก“วันเน่า” เป็นวันห้ามพูดจาหยาบคาย เพราะเชื่อว่าจะทำให้ปากเน่าและไม่เจริญ

ส่วนวันที่ ๑๕ เมษายนเรียก “วันพญาวัน” คือวันเปลี่ยนศกใหม่

๕.ภาคใต้ เรียกวันที่๑๓ เมษายนว่า “วันเจ้าเมืองเก่า”หรือ “วันส่งเจ้าเมืองเก่า”

เพราะเชื่อว่าเทวดารักษาบ้านเมืองกลับไปชุมนุมกันบนสวรรค์ ส่วนวันที่ ๑๔ เมษายน เรียกว่า “วันว่าง”

คือวันที่ปราศจากเทวดาที่รักษาเมือง ดังนั้น ชาวบ้านก็จะงดงานอาชีพต่างๆ แล้วไปทำบุญที่วัด

ส่วนวันที่ ๑๕ เมษายน เรียกว่า “วันรับเจ้าเมืองใหม่” คือวันรับเทวดาองค์ใหม่ที่ได้รับมอบหมายให้มาดูแลเมือง

แทนองค์เดิมที่ย้ายไปประจำเมืองอื่นแล้ว

๖.ตำนานสงกรานต์ ซึ่งเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับสงกรานต์และนางสงกรานต์ที่เรารู้จักกันดีเป็นตำนานที่ รัชกาลที่ ๓

โปรดให้จารึกไว้ในแผ่นศิลา ๗ แผ่น ติดไว้ที่ศาลารอบพระมณฑปทิศเหนือ ในวัดพระเชตุพนฯหรือวัดโพธิ์

๗.นางสงกรานต์เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นต่ำสุด มีด้วยกัน ๗ องค์เป็นพี่น้องกัน

และต่างก็เป็นบาทบริจาริกา แปลว่า นางบำเรอแทบเท้า หรือเรียกง่ายๆว่า เป็น “เมียน้อย”ของพระอินทร์

จอมเทวราช และเป็นธิดาของท้าวกบิลพรหมในตำนาน

๘.นางสงกรานต์ มีชื่อตามแต่ละวันในสัปดาห์คือ วันอาทิตย์ ชื่อ นางทุงษะ วันจันทร์ ชื่อ นางโคราคะ

วันอังคาร ชื่อ นางรากษส วันพุธ ชื่อ นางมณฑา วันพฤหัสบดี ชื่อ นางกิริณี วันศุกร์ ชื่อ นางกิมิทา วันเสาร์ชื่อ นางมโหทร

๙.นางสงกรานต์แต่ละองค์จะมีพาหนะทรงต่างกัน ตามลำดับแต่ละวัน คือ นางทุงษะขี่ครุฑ นางโคราคะขี่เสือ

นางรากษสขี่หมู นางมณฑาขี่ลา นางกิริณีขี่ช้าง นางกิมิทาขี่ควาย และนางมโหทรขี่นกยูง

ซึ่งสัตว์ที่เป็นพาหนะทรงจะมิใช่ปีนักษัตรของปีนั้นๆ ตามที่หลายคนเข้าใจผิด

๑๐.คำว่า “ดำหัว”ปกติแปลว่า “สระผม” แต่ในประเพณีสงกรานต์ล้านนา จะหมายถึง การไปแสดงความเคารพ

ขออโหสิกรรมที่อาจได้ล่วงเกินในเวลาที่ผ่านมา รวมทั้งการไปขอพรจากผู้ใหญ่ ซึ่งหมายถึงญาติผู้ใหญ่

ผู้อาวุโสในหมู่บ้าน ในเมืองหรือครูบาอาจารย์ ผู้บังคับบัญชา โดยส่วนมากจะใช้น้ำขมิ้นส้มป่อยไปไหว้ท่าน

และท่านก็จะจุ่มแล้วเอาน้ำแปะบนศีรษะเป็นเสร็จพิธี

๑๑.ในสมัยก่อนเมื่อใกล้สงกรานต์หรือวันสงกรานต์ จะมีสัตว์ชนิดหนึ่งที่คนแต่ก่อนเรียกว่า “ตัวสงกรานต์”

เป็นสิ่งมีชีวิตลักษณะคล้ายไส้เดือน แต่เล็กขนาดเส้นด้าย ยาวประมาณ ๒ นิ้ว มีสีเลื่อมพราย เป็นสีเขียว เหลือง แดง ม่วง

เปลี่ยนสีไปได้เรื่อยๆ จะอยู่กันเป็นฝูงในแม่น้ำลำคลอง เมื่อกระดิกตัวว่ายน้ำจะทำให้เกิดประกายสีต่างๆสวยงามแปลกตา

ถ้าจับพ้นน้ำ สีจะจางหายไป ตัวจะขาดเป็นท่อนเล็กๆและเหลวละลาย ปัจจุบันเข้าใจว่าน่าจะสูญพันธุ์ไปแล้ว

๑๓.มูลเหตุของการก่อเจดีย์ทราย มีเรื่องเล่าว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จไปยังเมืองสาวัตถีพร้อมบริวาร
 
ได้เห็นหาดทรายขาวบริสุทธิ์ก็เกิดจิตศรัทธาก่อทรายเป็นเจดีย์ ๘ หมื่น ๔ พันองค์ แล้วอุทิศเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา

เมื่อพระองค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ได้ทูลถามถึงอานิสงส์การก่อเจดีย์ทรายดังกล่าว พระพุทธเจ้าตรัสว่า

การที่มีจิตเลื่อมใสศรัทธาก่อเจดีย์ทรายถึง ๘ หมื่น ๔ พันองค์หรือเพียงองค์เดียวก็ได้อานิสงส์มาก คือ จะไม่ตกนรกหลายร้อยชาติ

 ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเพียบพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ มีบริวารและเกียรติยศชื่อเสียง

หากตายก็จะได้ขึ้นสวรรค์ พรั่งพร้อมด้วยสมบัติและมีนางฟ้าเป็นบริวาร ด้วยอานิสงส์ดังกล่าว

จึงทำให้คนโบราณนิยมก่อเจดีย์ทรายเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้...


http://www.zabzaa.com/event/songkran.htm


* day1.gif (19.79 KB, 247x165 - ดู 1122 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-04-2007, 21:57 โดย ดอกฟ้ากับหมาวัด » บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #167 เมื่อ: 05-04-2007, 22:48 »

ขอบคุณพี่ดอกฟ้า ฯ สำหรับเกร็ดความรู้ทบทวนความจำค่ะ 

มาดูแอนนิเมชั่น "ปล่อยนกปล่อยปลา" ไปพลาง ๆ ก่อนนะคะ 

http://songkran.net/th/online_6.php#
บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #168 เมื่อ: 28-05-2007, 17:38 »

วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลของสหประชาชาติคือ

 "วันสำคัญของโลก" ( Vesak Day )



ภูมิหลัง

 
๑. ในการประชุม International Buddhist Conference ณ กรุงโคลัมโบ

ระหว่างวันที่ ๙ - ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ ซึ่งมีผู้แทนจากประเทศที่นับถือศาสนาพุทธจำนวนมากเข้าร่วม

อาทิ บังคลาเทศ จีน ลาว เกาหลีใต้ เวียดนาม ภูฐาน อินโดนีเซีย เนปาล กัมพูชา อินเดีย ปากีสถาน และไทย

 ได้ตกลงกันที่จะเสนอให้สมัชชาสหประชาชาติรับรองข้อมติประกาศวัน วิสาขบูชาให้เป็นวันหยุดของสหประชาชาติ


๒. ในการเยือนของประเทศต่างๆ ในอินโดจีนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศศรีลังกา ในปี ๒๕๔๒

ก็ได้มีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นหารือ และได้รับการสนับสนุนจากประเทศต่างๆ ได้ด้วยดี


๓. คณะทูตถาวรศรีลังกาประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์กได้จัดเตรียมร่างข้อมติ

และได้ขอเสียงสนับสนุนจากประเทศต่าง ๆ เพื่อให้มีการรับรองข้อมติเรื่องการประกาศให้วันวิสาขบูชา

เป็นวันหยุดของสหประชาชาติในที่ประชุมสมัชชา สหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ ๕๔


๔. โดยที่สหประชาชาติประกาศวันหยุดเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว

และจะเป็นปัญหาในเรื่องงบประมาณและการบริหารแก่ สหประชาชาติ หากประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุด

ศรีลังกาจึงได้ตัดสินใจที่จะเสนอร่างข้อมติ ขอให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลที่สหประชาชาติ

ทั้งที่สำนักงานใหญ่ และสำนักงานต่าง ๆ แทนการเสนอให้เป็นวันหยุดซึ่ง ออท.

ผู้แทนถาวรประเทศต่าง ๆ รวม ๑๖ ประเทศ ได้แก่ ศรีลังกา บังคลาเทศ ภูฐาน กัมพูชา ลาว มัลดีฟส์

มองโกเลีย พม่า เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ สเปน อินเดีย ไทย และยูเครน

ได้ร่วมลงนามในหนังสือถึงประธานสมัชชาฯ เพื่อให้นำเรื่องวันวิสาขบูชาเข้าเป็นระเบียบวาระการประชุมของสมัชชาฯ


๕. ต่อมาเมื่อ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ General Committee ของสมัชชาฯ

ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าว โดย ออท.ผู้แทน ถาวรศรีลังกาได้กล่าวถ้อยแถลงสนับสนุนหนังสือ

ร้องขอให้ที่ประชุมบรรจุระเบียบวาระดังกล่าว เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสมัชชาเต็มคณะ

ออท.ผู้แทนถาวรไทย อินเดีย สเปน บังคลาเทศ ปากีสถาน ไซปรัส ลาว และภูฐาน

ได้กล่าวถ้อย แถลงสนับสนุน ซึ่งที่ประชุม General Committee

ได้มีมติให้บรรจุเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของสมัชชาเต็มคณะ


ปัจจุบัน
 
๑. เมื่อ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๒ ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ ๕๔

ได้พิจารณาระเบียบวาระที่ ๑๗๔ International recognition of the Day of Visak โดยการเสนอของศรีลังกา
 

๒. ในการพิจารณา ประธานสมัชชาฯ ได้เชิญผู้แทนศรีลังกาขึ้นกล่าวนำเสนอร่างข้อมติ

และเชิญผู้แทนไทย สิงคโปร์ บังคลาเทศ ภูฐาน สเปน พม่า เนปาล ปากีสถาน อินเดียขึ้นกล่าวถ้อยแถลง

สรุปความว่า วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก

เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ทรงตรัสรู้ เสด็จดับขันธปรินิพพาน

พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้มวลมนุษย์มีเมตตาธรรมและขันติธรรม ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

เพื่อให้เกิดสันติสุขในสังคม อันเป็นแนวทางของ สหประชาชาติ จึงขอให้ที่ประชุมรับรองข้อมตินี้

ี้ ซึ่งเท่ากับเป็นการรับรองความสำคัญของพุทธศาสนาในองค์การสหประชาชาติ

 โดยถือว่าวันดังกล่าวเป็นที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติและที่ทำการสมัชชา

จะจัดให้มีการระลึกถึง (observance) ตามความเหมาะสม
 

๓. ที่ประชุมฯ ได้รับรองร่างข้อมติโดยฉันทามติ

ถ้อยแถลงของเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรฯ ศรีลังกาประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก
 
ถ้อยแถลงของนายวรวีร์ วีรสัมพันธ์ อุปทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก

เหตุผลที่ องค์การสหประชาชาติหนดให้ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญของโลก
 
เนื่องจากคณะกรรมมาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้ร่วมพิจารณาและมีมติเห็นพ้องต้องกันประกาศให้วันวิสาขบูชา

ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของโลกทั้งนี้

ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

ทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวล มนุษย์ทั้งหลายในโลก

จะเห็นได้จากการยกเลิกแบ่งชนชั้นวรรณะ ซึ่งเท่ากับเป็นการเลิกทาสโดยไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ

นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเป็นนักอนุรักษ์สัตว์ป่าอีกด้วย กล่าวคือ ทรงสอนให้ไม่ฆ่าสัตว์

ให้รู้จักช่วยเหลือสัตว์ เหตุผลสำคัญ อีกประการหนึ่งคือ พระองค์ ทรงเปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนา

เพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้ โดย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนา พุทธ

และทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญาธิคุณสอนโดยไม่คิดค่าตอบแทน




http://www.dhammathai.



* L1000240.1re1.jpg (74.41 KB, 350x467 - ดู 1111 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
สมชายสายชม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,048


« ตอบ #169 เมื่อ: 18-06-2007, 16:23 »

เทศการไหว้ขนมจ้าง

ไหว้เจ้าวันที่ 5 เดือน 5 ของจีน ตามตําราเรียกว่า " โหงวเหว่ยโจ่ว" เป็นเทศกาลไหว้เจ้าด้วยขนมจ้าง ขนมจ้างนี้คนจีนจะเรียกว่า "จั่ง" แม่บ้านที่มือฝีมือจะลงมือทําขนมจ้างเอง เเรียกว่า "ปักจั่ง"

ตํานานเทศกาลไหว้ขนมจ้าง เป็นเรื่องราวที่จารึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ถึงขุนนางผู้ซื่อสัตย์ของจีน ชื่อคุกง้วน เมื่อ 275 ปีก่อนศริสต์ศักราช ในสมัยของกษัตริย์ก๊กฉู่

ขุนนางคุกง้วนรับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ถือเอาประโยชน์ของราษฎรเป็นที่ตั้ง ขุนนางคุกง้วนจึงเป็นที่รักใคร่ของประชาชน แต่ก็ถูกขุนนางกังฉินคอยใส่ร้ายป้ายสีต่อฮ่องเต้เสมอ

ฮ่องเต้หูเบาก็สั่งเนรเทศขุนนางคุกง้วนให้ออกจากเมืองไป ว่ากันว่าช่วงที่ขุนนางคุกง้วนต้องร่อนเร่พเนจร ได้แต่งลํานําบทกลอนเอาไว้มากมาย ได้เล่าถึงความอาภัพ ชีวิตที่รันทด และความไม่อยู่ในทศพิธราชธรรมของฮ่องเต้

จนความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ ก็ยี่งพิโรธ แต่ขุนนางคุกง้วนก็ยังมีแก่ใจกราบทูลเสนอแนะข้อราชการเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อแผ่นดิน แต่ฮ่องเต้ไม่สนพระทัย ขุนนางคุกง้วนก็เลยน้อยใจ จึงไปกระโดดนํ้าตายที่แม่นํ้าไหม่โหลย ซึ่งก็ตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 นั่นเอง

ชาวบ้านรู้ข่าวต่างก็ช่วยกันไปงมหาศพ หวังจะนํามาทําพิธีให้สมเกียรติ แต่ก็หาไม่เจอ จึงเอาข้าวไปโปรยไว้แล้วบนบานศาลกล่าว ให้กุ้งหอยปูปลามากินแต่ข้าว อย่าได้กัดกินศพของขุนนางคุกง้วน

ปรากฎว่า แม่นํ้าไหม่โหลยที่ขุนนางคุกง้วนไปกระโดดนํ้าตายนี้อยู่ในมณฑลยูนานพอถึงแต่ละปีจะมีการระลึกถึงขุนนางคุกง้วนโดยชาวเสฉวนซึ่งเป็นมณฑลติดกัน ก็ได้มีการคิดว่า แทนที่จะโปรยแต่ข้าวสารลงไป ก็ให้นําใบจ่างมาห่อข้าวแล้วใส่กับลงไปด้วย ห่อเรียบร้อยแล้วจึงโยนลงนํ้าไป

ซึ่งต่อมาธรรมเนียมก็กลายไปเป็นการไหว้เทศกาลขนมจ้างเดือน 5 นี่เอง ฟังมาว่า การไหว้เจ้าที่จีนแผ่นดินใหญ่สําหรับเทศกาลนี้ผู้คนจะเอาของไปไหว้ที่ริมแม่นํ้า แล้วโยนขนมจ้างลงนํ้าไปด้วย ในบางท้องที่จัดเป็นงานใหญ่และได้มีการแข่งเรือกันเป็นที่สนุกสนาน

แต่ไหว้ที่เมืองไทย จะเป็นการไหว้เจ้าและไหว้บรรพบุรุษในช่วงเช้าตามปกติ จะมีพิเศษก็ตรงที่มี "ขนมจ้าง" เป้นของไหว้เพิ่มเข้ามา และบ้านไหนมีแม่บ้านมีผีมือก็มักจะ "ปักจั่ง" เองและแจกญาติมิตรให้ไปชิมกัน



ดีจังค่ะ ไว้จะรอชิมนะคะ  Very Happy กำลังสงสัยด้วยว่า ทำไมในเพลงใช้คำว่า เซียว 燒 เพราะเปิดดิกแล้วแปลว่า ทอดน้ำมัน, ย่าง, ปิ้ง แต่เคยเห็นเค้านึ่งนี่นา

ก่งก๊ง ๆ ค่ะ  Surprised



บะจ่างน่าจะเป็นการนึ่งมากกว่าค่ะ เท่าที่ในเห็นในเมืองไทย


พรุ่งนี้ วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๐ .. ตรงกับวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ของชาวจีน

เป็นวันไหว้ด้วยเจ้าด้วยข้าวเหนียวมัด "บ๊ะจ่าง"   

ขออนุญาตลิ้งค์เพลง "เซียวบ๊ะจ่าง" ขับร้องโดย เติ้งลี่จวิน 
http://www.ijigg.com/songs/V2BCE4FPA0

...
บันทึกการเข้า
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #170 เมื่อ: 18-06-2007, 18:16 »


พรุ่งนี้ วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๐ .. ตรงกับวันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ของชาวจีน

เป็นวันไหว้ด้วยเจ้าด้วยข้าวเหนียวมัด "บ๊ะจ่าง"   

ขออนุญาตลิ้งค์เพลง "เซียวบ๊ะจ่าง" ขับร้องโดย เติ้งลี่จวิน 
http://www.ijigg.com/songs/V2BCE4FPA0

...


เจ่ยเสี่ย ๆ ค่ะ เปิดเพลงฟังไป แต่เสียดายไม่ได้หม่ำบ๊ะจ่างไปด้วย 

ขอยืมรูปบ๊ะจ่างของพี่ดอกฟ้าฯ มาแปะให้น้ำลายสออีกครั้ง  Mr. Green Very Happy Mr. Green


*  (26.42 KB, 293x220 - ดู 1071 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #171 เมื่อ: 19-06-2007, 01:09 »

ขอบคุณ คุณสมชายฯ ที่ขุดกระทู้นี้ขึ้นมา เพื่อให้เรียนรู้ถึงอดีตและความเป็นมา

ของเทศกาลไหว้ขนมจ้าง เพื่อเป็นเกร็ดความรู้สำหรับสมาชิกที่สนใจ

ประดับความรู้ถึงความเป็นมา ทั้งๆที่ดอกฟ้าฯลืมไปแล้วด้วย

ว่าขนมทีห่อด้วยใบจาก และนิยมทานกัน มีที่มาที่ไป อย่างไร

ขอบคุณเม่ย ขอบคุณ คุณสมชายมากค่ะ
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #172 เมื่อ: 19-06-2007, 01:16 »

วันนี้มีคนเอามาฝาก รอเป็นอาหารมื้อดึกด้วยค่ะ
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #173 เมื่อ: 21-06-2007, 21:46 »

วันนี้มีคนเอามาฝาก รอเป็นอาหารมื้อดึกด้วยค่ะ

เหมือนกันเลยค่ะ มีเพื่อนบ้านฝากให้ทานเป็นประจำทั้งทำเอง ทั้งซื้อมาฝาก 

ดูเหมือนบ๊ะจ่างจะมีความเกี่ยวเนื่องกับเทศกาลแข่งเรือมังกร - Dragon Boat Festival ด้วยค่ะ

เรื่องนี้ก็เป็นตำนานอีกแล้ว 
บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
AsianNeocon
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,277


中華萬歲﹗ LONG LIVE CHINA!


เว็บไซต์
« ตอบ #174 เมื่อ: 22-06-2007, 18:45 »

บะจั่ง จริงๆไม่ได้เกิดในไต้หวัน เพียงแค่ว่า ไต้หวันยุคหลังสงครามมีแต่ความอดอยาก ไม่มีอะไรจะกิน  แรกเริ่มเดิมทีมันมาจากเรื่องราวการฆ่าตัวตายของคนที่ชื่อว่า 屈原 (ชวี หยวน)


屈原 คนนี้เป็นข้าราชการการเมือง เกิดในยุคสมัยสงครามกลางเมืองหรือจั้นกั๋ว (战国) เป็นขุนนางแห่งแคว้นฉู่ (楚国) ยุคสมัยนั้นแคว้นฉิน (秦国) เป็นมหาอำนาจกำลังคิดการณ์รวบรวม 7 แคว้นเป็นหนึ่งเดียว  แต่แคว้นฉู่เต็มไปด้วยคอรับชั่น มีนาย 屈原 นี่ก็ซื่อสัตย์อยู่คนเดียว พยายามกล่อมให้ฮ่องเต้ไปเป็นพันธมิตรกับแคว้นอื่นต่อต้านแคว้นฉิน แต่โดนเตะออกมาเพราะคนอื่นเขาโกงกันหมด ตัวเองขอบายดีกว่า ตอนหลังเมืองหลวงแคว้นฉู่ถูกยึดครอง นายนี่เลยไปเอาก้อนหินถ่วงน้ำตัวเอง ฆ่าตัวตายประท้วงคอรับชั่น  ตำนานกล่าวต่อว่า ตายไปแล้ว 屈原 ก็กลายเป็นวิญญาณขึ้นมาจากแม่น้ำบอกว่าตัวเองตายเพราะมังกร แล้วบอกให้ห่อข้าวเป็นบะจั่งแล้วโยนลงไปในแม่น้ำ ส่วนการแข่งกันพายเรือหาร่างของ 屈原 ก็กลายเป็นการแข่งเรือมังกร
บันทึกการเข้า

aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #175 เมื่อ: 23-06-2007, 07:40 »

ขอบคุณน้องท่านผ่าทางตันที่นำเรื่องราวของเทศกาลขนมจ้าง 端午節 ที่เป็นจุดกำเนิดให้เกิดเทศกาลแข่งเรือมังกรมาฝากค่ะ 

สำหรับเทศกาลแข่งเรือมังกร ยังเห็นข่าวจัดให้มีแข่งทุกปีทั้งที่จีนผู้พี่ ไต้หวันผู้น้อง ที่ทะเลาะกันเป็นประจำ และฮ่องกงน้องเล็กที่(จำ)ยอมกลับมาอยู่กับพี่ใหญ่ รวมถึงไชนาทาวน์ที่แคนาดาด้วยมั้งคะ

มีแอนนิเมชันน่ารัก ๆ มาฝากค่ะ

http://cards.163.com/mshowcard/card1,159,1.shtml

ปล. ชอบภาพแรกของคอลัมน์ที่สามที่สุด  Very Happy



* 250px-Zongzi.jpg (9.8 KB, 250x188 - ดู 1046 ครั้ง.)

* 250px-Dragon_boat5.jpg (13.83 KB, 250x188 - ดู 1027 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #176 เมื่อ: 29-06-2007, 00:30 »

ขอบคุณทุกๆท่านที่เอาเกร็ดความรู้ มาฝากและเผยแพร่

ถึงอย่างไร คนไทยก็รู้จักอาหารชนิดนี้ ที่เรียกว่าบะจ่าง เป็นอาหารค่อนข้างเป็นที่นิยมในหมู่คนไทย

ได้สืบสานตำนานที่ยาวนานมาจากผืนแผ่นดินจีน

ซึ่งแสดงว่า จีนกับไทย มิใช่อื่นไกล เป็นพีน้องกัน นับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #177 เมื่อ: 26-07-2007, 19:15 »

วันเข้าพรรษา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


    สำหรับ เข้าพรรษา ที่เป็นชื่อพรรณไม้ ดูที่ เข้าพรรษา (พรรณไม้)

วันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่ง ที่พระสงฆ์อธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง

ตลอดระยะเวลาฤดูฝนที่มีกำหนดเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น

หรือที่เรียกติดปากกันโดยทั่วไปว่า จำพรรษา ("พรรษา" แปลว่า ฤดูฝน, "จำ" แปลว่า อยู่)

พิธีเข้าพรรษานี้ถือเป็นศาสนพิธีสำหรับพระภิกษุโดยตรง ละเว้นไม่ได้ ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม

เริ่มนับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี และสิ้นสุดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา




ประวัติวันเข้าพรรษา


ในสมัยพุทธกาลนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติพระวินัยให้พระสงฆ์สาวกอยู่ประจำพรรษา

เหล่าภิกษุสงฆ์จึงต่างพากันออกเดินทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาในที่ต่างๆ โดยไม่ย่อท้อทั้งในฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน

ต่อมาชาวบ้านได้พากันติเตียนว่า พวกสมณะไม่ยอมหยุดพักสัญจรแม้ในฤดูฝน

ในขณะที่นักบวชในศาสนาอื่น พากันหยุดเดินทางในช่วงฤดูฝน การที่พระภิกษุสงฆ์จาริกไปในที่ต่างๆ แม้ในฤดูฝน

อาจเหยียบย่ำข้าวกล้าของชาวบ้านได้รับความเสียหาย หรืออาจไปเหยียบย่ำโดนสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ออกหากินจนถึงแก่ความตาย

เมื่อพระพุทธเจ้าทราบเรื่อง จึงได้วางระเบียบให้ภิกษุประจำอยู่ที่วัดเป็นเวลา 3 เดือน

พระสงฆ์ที่เข้าจำพรรษาแล้วจะไปค้างแรมที่อื่นไม่ได้

แต่ถ้าหากเดินทางออกไปแล้วและไม่สามารถกลับมาในเวลาที่กำหนด คือ ก่อนรุ่งสว่าง ก็จะถือว่าพระภิกษุรูปนั้น"ขาดพรรษา"

แต่หากมีกรณีจำเป็นบางอย่าง พระภิกษุผู้จำพรรษาสามารถไปค้างที่อื่นได้

โดยไม่ถือว่าเป็นการขาดพรรษา แต่ก็จะต้องกลับมาภายในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน ก็คือ

   1. การไปรักษาพยาบาลภิกษุ หรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย

   2. การไประงับภิกษุสามเณรที่อยากจะสึกมิให้สึกได้

   3. การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิที่ชำรุด

   4. หากทายกนิมนต์ไปทำบุญ ก็ไปฉลองศรัทธาในการบำเพ็ญกุศลของเขาได้




เครื่องอัฏฐบริขารของภิกษุระหว่างการจำพรรษา


โดยปรกติเครื่องใช้สอยของพระภิกษุตามพุทธานุญาตที่ให้มีประจำตัวนั้น

มีเพียง อัฏฐบริขาร ซึ่งได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน

แต่ช่วงหน้าฝนของการจำพรรษาในสมัยก่อนนั้น กว่าพระสงฆ์จะหาที่พักแรมได้

 บางครั้งก็ถูกฝนเปียกปอน ชาวบ้านผู้ใจบุญจึงถวาย "ผ้าจำนำพรรษา" หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ผ้าอาบน้ำฝน

เพื่อให้พระสงฆ์ได้ผลัดเปลี่ยน และยังถวายของจำเป็นแก่กิจประจำวันเป็นพิเศษในช่วงเข้าพรรษา

จนเป็นประเพณีทำบุญสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-07-2007, 19:36 โดย ดอกฟ้ากับหมาวัด » บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #178 เมื่อ: 06-08-2007, 19:13 »

ความเป็นมาของ"วันแม่"

          ชาวอเมริกันเป็นผู้กำหนดให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการขึ้น

และผู้ที่พยายามเรียกร้องให้มีวันแม่ในอเมริกา คือ แอนนา เอ็ม. จาร์วิส คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย

แต่กว่าเธอจะประสบความสำเร็จก็ครบ 2 ปีพอดีในปี ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) โดยประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน

ได้มีคำสั่งให้ถือวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และดอกไม้สำหรับวันแม่ของชาวอเมริกันก็คือดอกคาร์เนชั่น

ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ประดับตกแต่งบ้าน หรือประตูด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู

แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วให้ประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว


          สำหรับในประเทศไทยนั้นมีการจัดงานวันแม่ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2486 ณ.สวนอัมพร

โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้จัดงาน แต่เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไปโดยปริยาย

หลังจากผ่านพ้นวิกฤติสงครามไปแล้ว หลายหน่วยงานได้พยายามรื้อฟื้นให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก

แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง แต่กำหนดวันแม่ที่ประชาชนนิยม

และเป็นที่รับรองของรัฐบาล คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 กำหนดงานวันแม่ในวันนี้ยังดำเนินต่อมาอีกหลายปี

ก็ต้องมาหยุดชะงักลงอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าสภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน

ซึ่งก็คือกระทรวงวัฒนธรรมที่ถูกยุบไปนั่นเอง

          ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย เห็นว่าควรมีการจัดงานวันแม่ต่อไป จึงได้รื้อฟื้นงานวันแม่ขึ้นมาอีก

และได้กำหนดให้จัดงานวันแม่ คือวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวก็เลิกไป

จนกระทั่งในปี พ.ศ.2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่าควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนเสียที

จึงได้กำหนดวันแม่ใหม ่โดยให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ

และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมา

          เหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์

ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย...

          นักภาษาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คำว่า "แม่" ของทุก ๆ ภาษา มาจากการออกเสียงของเด็ก

โดยคำขึ้นต้นด้วยพยัญชนะริมฝีปากคู่ (Bilabial) ได้แก่ ม , พ , ป ,บ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพยัญชนะชุดแรกที่เด็กสามารถทำเสียงได้

โดยการใช้ริมฝีปากบนและล่าง ดังเช่น


ภาษาไทย แม่

ภาษาจีน ม๊ะ หรือ ม่า

ภาษาฝรั่งเศส la mere (ลา แมร์)

ภาษาอังกฤษ mom , mam

ภาษาโซ่ ม๋เปะ

ภาษามุสลิม มะ

ภาษาไทใต้คง เม

เป็นต้น



http://www.mthai.com/scoop/mother_day/history.php


* l22-99c.jpg (25.72 KB, 345x193 - ดู 1020 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-08-2007, 19:23 โดย ดอกฟ้ากับหมาวัด » บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #179 เมื่อ: 06-08-2007, 19:46 »

กลั่นเม็ดเลือดเม็ดน้อยนับร้อยหยด
จนปรากฎเป็นหยดนมรสกลมกล่อม
เพื่อหล่อเลี้ยงทารกน้อยค่อยอดออม
เฝ้าถนอมฟูมฟักรักเมตตา

วันเปลี่ยนวันเดือนเปลี่ยนเดือนหมุนเคลื่อนคล้อย
จากเด็กน้อยเริ่มมีแรงเริ่มแข็งกล้า
ค่อยสอนเดินสอนทำสอนคำจา
สอนปัญญาสอนวิชาสารพัน

ทารกน้อยวันนี้เห็นเป็นผู้ใหญ่
แม่ภูมิใจในผลงานการสร้างสรรค์
ความเหน็ดเหนื่อยกายใจหายไปพลัน
เมื่อถึงวันลูกได้รับปริญญา

วันนี้ลูกของแม่สุขถ้วนทั่ว
มีครอบครัวอยู่เย็นเป็นฝั่งฝา
แม่คนนี้ย่างเข้าสู่วัยชรา
รอเวลาสู่กองฟอนตอนสิ้นใจ

วันเอยวันแม่
สองตาแลหม่นหมองอยากร้องไห้
บ้านแม่อยู่วันนี้ไม่มีใคร
มีแต่ไก่กับหมาที่สีมอซอ

อยากฝากดาวถามฟ้าหาลูกรัก
ใครรู้จักบอกให้ได้ไหมหนอ
แม่ชราผู้อยู่หลังยังเฝ้ารอ
บอกอยากขอเห็นหน้าอีกคราเอย


http://www.zabzaa.com


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-08-2007, 19:49 โดย ดอกฟ้ากับหมาวัด » บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #180 เมื่อ: 06-08-2007, 21:23 »

มือใดโอบเอื้อเกื้อกูล
ค้ำคูณปกเกล้าเราผอง
สองมือคอยแนบประคอง
ปกป้องคุ้มครองลูกยา

วันแม่เวียนมาบรรจบ
ขอกราบนอบนบมารดา
พระคุณยิ่งใหญ่ล้ำค่า
รักแม่..ซาบซึ้งตรึงใจ


บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #181 เมื่อ: 11-09-2007, 21:11 »

เคล็ดลับในการลวกเนื้อปลา

เวลาเราจะลวกเนื้อปลาเพื่อจะนำไปยำหรือทำอาหารต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นปลาเก๋า ปลากระพง หรืออื่นๆที่เอาก้างออกเรียบร้อยแล้ว

เวลาจะนำไปทำให้สุกด้วยการลวก มักจะเจอปัญหาคือเนื้อปลาไม่เป็นชิ้นสวยงาม

แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไม่น่าทาน

วิธีแก้ปัญหาที่ง่ายมากคือ

นำปลาไปลวกในน้ำร้อนที่ไม่เดือดจัด เติมน้ำส้มสายชูลงไปในน้ำที่ลวกเล็กน้อย

พอเนื้อปลาเริ่มสุกให้รีบตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำ จะได้ชิ้นเนื้อปลาที่สวยงามไม่แตกเละ

เพื่อนำไปทำอาหารอื่นๆได้แบบสบายใจเลยค่ะ


 
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,131


กูรู้มึงต้องอ่าน ฮ่าๆ ขำขำนะจ๊ะ


เว็บไซต์
« ตอบ #182 เมื่อ: 11-09-2007, 21:54 »

เคล็ดลับในการลวกเนื้อปลา

เวลาเราจะลวกเนื้อปลาเพื่อจะนำไปยำหรือทำอาหารต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นปลาเก๋า ปลากระพง หรืออื่นๆที่เอาก้างออกเรียบร้อยแล้ว

เวลาจะนำไปทำให้สุกด้วยการลวก มักจะเจอปัญหาคือเนื้อปลาไม่เป็นชิ้นสวยงาม

แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไม่น่าทาน

วิธีแก้ปัญหาที่ง่ายมากคือ

นำปลาไปลวกในน้ำร้อนที่ไม่เดือดจัด เติมน้ำส้มสายชูลงไปในน้ำที่ลวกเล็กน้อย

พอเนื้อปลาเริ่มสุกให้รีบตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำ จะได้ชิ้นเนื้อปลาที่สวยงามไม่แตกเละ

เพื่อนำไปทำอาหารอื่นๆได้แบบสบายใจเลยค่ะ


 


ขอเคล็ดลับการทอดปลาหน่อยจิคับผมทอดแล้วติดกระทะอะคับเนื้อหลุดติดกระทะเต็มเลยเสียดาย
บันทึกการเข้า

ขอมอบ เพลงนี้ให้กับพี่น้อง พันธมิตรทุกคนฮะ


http://www.imeem.com/sakujo/music/04_GaHIQ/09_avenged_sevenfold_strength_of_the_worldmp3/

strength of the world
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #183 เมื่อ: 12-09-2007, 00:52 »


ขอเคล็ดลับการทอดปลาหน่อยจิคับผมทอดแล้วติดกระทะอะคับเนื้อหลุดติดกระทะเต็มเลยเสียดาย



ง่ายนิดเดียวค่ะ...ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดิน อิ อิ

คือต้องไปซื้อกะทะ นอนสติ๊ค ประเภทซิลเวอร์สโตน หรือเทฟล่อนมาใช้ตอนทอดปลาหรือทำอาหาร

ปัญหานี้คงหมดไป

แต่ถ้ายังไม่ได้ซื้อหรือไม่มีเวลาไปซื้อ



วิธีทอดปลาไม่ให้ติดกะทะ


คือล้างปลาให้สะอาดด้วยน้ำส้มสายชูผสมน้ำ ผึ่งให้แห้งให้สะเด็ดน้ำก่อนทอด

ตั้งน้ำมันพอท่วมตัวปลา ใส่เกลือแกงหรือเกลือป่นลงไปสักหน่อยหนึ่ง

รอจนน้ำมันร้อนจัด ใส่ปลาลงไปทอด อย่าเพิ่งรีบกลับตัวปลา

รอจนด้านที่ติดกะทะเริ่มเหลืองและสุกและลอยขึ้น ค่อยๆแซะปลาและกลับด้านมาอีกด้านนึง

หรี่ไฟกลาง ทอดจนเหลืองกรอบน่าทาน

การที่ใส่เกลือลงในน้ำมันจะทำให้ปลาไม่ติดก้นกะทะ และจะไม่ทำให้น้ำมันกระเด็น

ที่จะไม่ฝากรอยแผลเป็นไว้ที่แขนของคุณเลยค่ะ
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,131


กูรู้มึงต้องอ่าน ฮ่าๆ ขำขำนะจ๊ะ


เว็บไซต์
« ตอบ #184 เมื่อ: 12-09-2007, 06:55 »

ขอบคุณมากคับ
บันทึกการเข้า

ขอมอบ เพลงนี้ให้กับพี่น้อง พันธมิตรทุกคนฮะ


http://www.imeem.com/sakujo/music/04_GaHIQ/09_avenged_sevenfold_strength_of_the_worldmp3/

strength of the world
THE THIRD WAY
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,821


Love looks not with eyes, but with the mind.


« ตอบ #185 เมื่อ: 17-09-2007, 13:57 »

จริงเท็จไม่ยืนยัน
ไม่ได้ลองสักที
เพื่อนอยู่ร้านอาหารบอกว่างี้ครับ
ทอดปลาให้ใช้ช้อนหรือส้อมรองไว้ที่ก้นกะทะ

วิธีปรุงรส
พอทอดปลาเสร็จให้ใช้น้ำปลาราด
ในขณะที่ยังร้อนอยู่ น้ำปลาจะซึมวับเข้าไปในเนื้อปลาดีกว่า

เสียดายไม่มีรูปน้ำลายหก...
บันทึกการเข้า

ความรักนั้นหวาน ไม่ว่าจะรับหรือให้
************************
การขับไล่ทรราช เป็นภารกิจของเจ้าของประเทศ
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #186 เมื่อ: 19-09-2007, 21:37 »

จริงเท็จไม่ยืนยัน
ไม่ได้ลองสักที
เพื่อนอยู่ร้านอาหารบอกว่างี้ครับ
ทอดปลาให้ใช้ช้อนหรือส้อมรองไว้ที่ก้นกะทะ

วิธีปรุงรส
พอทอดปลาเสร็จให้ใช้น้ำปลาราด
ในขณะที่ยังร้อนอยู่ น้ำปลาจะซึมวับเข้าไปในเนื้อปลาดีกว่า

เสียดายไม่มีรูปน้ำลายหก...


ขอบคุณลุงป๋าสามค่ะ ที่เอาเคล็ดลับมาเผื่อแผ่กัน

เรื่องนี้เพิ่งเคยได้ยินเหมือนกัน ที่เวลาทอดปลาใช้ช้อนหรือซ่อมรองไว้ที่ก้นกะทะ

ไว้ดอกฟ้าฯจะทดลองดูค่ะ แต่คงไม่ใช้ช้อนพลาสติกแน่นอน อิ อิ



ส่วนเรื่องปลาทอดน้ำปลาแถวแม่กลอง มีร้านอร่อยๆหลายร้านเลยค่ะ

น้ำปลาที่ใช้ต้องเป็นน้ำปลาดี เวลายกมาเนี่ย....หอมน่าทานมาก

มีอยู่ร้านนึงนะคะแถวคลองโคน เค้าทำน้ำปลาพริกด้วยน้ำปลายี่ห้อชวนชื่น

แหม...ชื่อเหมือนน้ำหอมมากกว่า ซอยตระไคร้อ่อนๆบางๆ ใส่หอมซอยบางๆ

พริกขี้หนูสวน มะนาวน้ำปลา จนต้องแอบซื้อน้ำปลาชวนชื่นมาทำเองที่บ้าน

เพราะหลังจากไปซักไซ้ไล่เรียงแล้ว คนขายบอกว่ามีขายที่แม่กลองที่เดียว

นอกนั้น นำส่งออกอย่างเดียว เป็นน้ำปลาที่ได้รางวัลที่ 1 ในงานวันประมงแห่งชาติ

ปี พศ. 2530
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #187 เมื่อ: 22-09-2007, 00:22 »

อะแห่มม....กระแอมกระไอเล็กน้อยเนื่องจากเป็นหวัด

เพราะตอนนี้ฝนตกลงมาทุกวันเลย


วันนี้มีเคล็ดลับก้นครัว...มาฝากบางท่านที่อาจยังไม่ทราบแบบเส้นผมบังภูเขา

ส่วนหลายท่านที่อาจจะทราบแล้ว ก็จอดป้ายที่ บางอ้อก็แล้วกันนะคะ

วิธีปอกหัวหอม ไม่ให้แสบตา

ในบางคนอาจจะแพ้กลิ่นหรือน้ำมันระเหยของหัวหอม ไม่ว่าจะเป็นหอมแดงหรือหอมใหญ่

ดังเช่น น้องแจ๋วคนใหม่ที่เพิ่งมาฝึกงานที่บ้านได้ไม่ถึงเดือน เพราะวันนี้ดอกฟ้าจะทำพล่ากุ้ง

เลยบอกให้เธอปอกหอมแดงให้ หลังจากที่บอกเธอและเดินกลับมาที่ครัว

เห็นเธอยืนปอกอยู่ด้วยน้ำตาไหลพรากๆ จนตกใจ นึกว่าเธอคิดถึงบ้านหรือใคร

หลังจากถามไถ่ได้ความว่า เธอแพ้หัวหอมค่ะ ไม่ว่าจะหอมมากหอมน้อย ต้องเกิดอาการแบบนี้ทุกที

พอตั้งสติได้ ก็เลยบอกไปว่า เวลาก่อนปอกหอมแดงหรือจะประกอบอาหารอะไร

ที่ต้องผ่านกิจกรรมเกี่ยวกับการปอกหอมหรือกระเทียม วิธีที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับคนแพ้กลิ่น

ควรเอาหัวหอมหรือกระเทียมทั้งเปลือกมาแช่น้ำที่ใส่น้ำแข็ง ตั้งทิ้งไว้สัก 5 นาที

แล้วค่อยนำมาปอก จะหั่น สับ ซอย ยังไง ก็จะไม่เสียน้ำตาให้ใครอีกเลย

ด้วยประการฉะนี้ค่ะ แถมกลิ่นของหอม กระเทียมที่จะติดมือก็มีน้อยมาก

แต่ถ้ากลิ่นไม่พึงต้องการยังติดมือ แนะนำให้ใช้ยาสีฟัน ยี่ห้ออะไรก็ได้

นำมาล้างมือที่ยังเหลือกลิ่นติดอยู่ รับรองรองว่าสบายใจหายห่วงได้เลยค่ะ
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #188 เมื่อ: 24-09-2007, 00:18 »

วันนี้นึกอยากทานไข่ดาวแต่เนื่องจากน้องแจ๋วลาป่วย

เลยต้องลุกขึ้นมาทำเอง นึกไปนึกมา เราก็มีไมโครเวฟคู่ใจ แถมตอนนี้ไม่ค่อยอยากบริโภคไขมัน

จากน้ำมันที่ทอดเท่าไหร่ ก็เลยคิดวิธีที่เคยจำๆเค้ามาลองทำค่ะ


ทำไข่ดาวโดยใช้ไมโครเวฟ เพียงหนึ่งนาทีกว่าๆ......


หาชามขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 นิ้ว ตอกไข่ใส่ลงไปในชามที่เตรียม

ใช้ปลายไม้จิ้มฟันแหลมๆ จิ้มลงที่ไข่แดงสักสองครั้งแบบเร็วๆ

นำไปใส่ในไมโครเวฟ ใช้ไฟแรงสูงสุดประมาณ 800 W เพียง 1 นาที ก็จะได้ไข่ดาว ที่มีไข่ขาวที่นุ่มลิ้น

และไข่แดงที่ไม่แข็งจนเกินไป มีลักษณะเป็นยางมะตูม เหยาะซอสแมกกี้นิด พริกไทหน่อย

รวดเร็วทันใจ สะดวกง่ายดายมากๆเลยค่ะ
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,131


กูรู้มึงต้องอ่าน ฮ่าๆ ขำขำนะจ๊ะ


เว็บไซต์
« ตอบ #189 เมื่อ: 24-09-2007, 00:52 »

ขอส฿ตรอาหารลดความอ้วนหน่อยจิคร้าบบ  ไม่ไหวแล้วต้องลดซะหน่อย ขอขอบคุณล่วงหน้านะคร้าบ
บันทึกการเข้า

ขอมอบ เพลงนี้ให้กับพี่น้อง พันธมิตรทุกคนฮะ


http://www.imeem.com/sakujo/music/04_GaHIQ/09_avenged_sevenfold_strength_of_the_worldmp3/

strength of the world
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #190 เมื่อ: 24-09-2007, 01:30 »

ขอส฿ตรอาหารลดความอ้วนหน่อยจิคร้าบบ  ไม่ไหวแล้วต้องลดซะหน่อย ขอขอบคุณล่วงหน้านะคร้าบ


ปัญหาโลกแตกเลยนะคะนั่น..

แต่ไม่เป็นไร เพราะเพิ่งได้สูตรจากญาติสนิทมากๆมาโดยบังเอิญ

สูตรลดความอ้วนภายในสามวัน ลดได้ 2.5 กก. แต่ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด

และเธอบอกว่าได้ผลแน่นอน เพราะว่าโดนบังคับให้เทคคอร์สทั้งแผนกที่บริษัทฯของเธอ

แล้วทุกคนลดน้ำหนักได้อย่างจริงจัง

รอแป๊ะนึงนะคะ เดี๋ยวไปถามให้เพราะเพิ่งได้คุยกันกับเธอวันนี้เองค่ะ
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
login not found
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,523



« ตอบ #191 เมื่อ: 24-09-2007, 11:13 »

ไข่ดาวแบบนี้ผมว่าเอาไปทำไข่กระทะเลยดีกว่า
ใส่หมูยอ กุนเชียง หมูสับ(รวนสุกแล้ว) ลงไปพร้อมกับไข่
พอครบ 1นาทีเอาออกมาใส่หมูหยอง โรยต้นหอมนิดนึง
ถ้าชอบมะเขือเทศก็ฝานเป็นชิ้นบางๆใส่ซัก 2-3ชิ้น
โรยพริกไท ใส่ซอสแม็กกี้ อาหย่อย 


แต่สูตรลดน้ำหนักทรมานแบบคุณดอกฟ้า
ผมกลัวโยโย่เอฟเฟค ลดได้สอง ขึ้นกลับมาสี่น่ะสิ
บันทึกการเข้า
หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,131


กูรู้มึงต้องอ่าน ฮ่าๆ ขำขำนะจ๊ะ


เว็บไซต์
« ตอบ #192 เมื่อ: 24-09-2007, 11:27 »

ไข่ดาวแบบนี้ผมว่าเอาไปทำไข่กระทะเลยดีกว่า
ใส่หมูยอ กุนเชียง หมูสับ(รวนสุกแล้ว) ลงไปพร้อมกับไข่
พอครบ 1นาทีเอาออกมาใส่หมูหยอง โรยต้นหอมนิดนึง
ถ้าชอบมะเขือเทศก็ฝานเป็นชิ้นบางๆใส่ซัก 2-3ชิ้น
โรยพริกไท ใส่ซอสแม็กกี้ อาหย่อย 


แต่สูตรลดน้ำหนักทรมานแบบคุณดอกฟ้า
ผมกลัวโยโย่เอฟเฟค ลดได้สอง ขึ้นกลับมาสี่น่ะสิ

มันเป็นผลข้างเคียงจากความอดทนหิวช่ายม้า
บันทึกการเข้า

ขอมอบ เพลงนี้ให้กับพี่น้อง พันธมิตรทุกคนฮะ


http://www.imeem.com/sakujo/music/04_GaHIQ/09_avenged_sevenfold_strength_of_the_worldmp3/

strength of the world
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #193 เมื่อ: 24-09-2007, 22:35 »


ยังไม่ได้บอกเลยว่าต้องทำอย่างไร

ต้องทานอะไรบ้าง ทำไมถอดใจกันซะแหล๊วคะ


เค้าบอกคร่าวๆว่าไม่ได้ให้อดอาหารเลยค่ะ ในสูตร มีชีส มีไอกรีม มีผัก ไข่ต้ม

ขนมปังปิ้ง ชาหรือกาแฟ ไม่ได้ให้อดอาหารซักหน่อย รับรองได้ทานครบสามมื้อ

ส่วนเรื่องโยโย่ เธอบอกว่าไม่มีค่ะ

นอกจากหลังจากลดน้ำหนักได้แล้ว จะกลับมาทานมากจนผิดปรกติ

บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,131


กูรู้มึงต้องอ่าน ฮ่าๆ ขำขำนะจ๊ะ


เว็บไซต์
« ตอบ #194 เมื่อ: 24-09-2007, 23:20 »

ยังไม่ได้บอกเลยว่าต้องทำอย่างไร

ต้องทานอะไรบ้าง ทำไมถอดใจกันซะแหล๊วคะ


เค้าบอกคร่าวๆว่าไม่ได้ให้อดอาหารเลยค่ะ ในสูตร มีชีส มีไอกรีม มีผัก ไข่ต้ม

ขนมปังปิ้ง ชาหรือกาแฟ ไม่ได้ให้อดอาหารซักหน่อย รับรองได้ทานครบสามมื้อ

ส่วนเรื่องโยโย่ เธอบอกว่าไม่มีค่ะ

นอกจากหลังจากลดน้ำหนักได้แล้ว จะกลับมาทานมากจนผิดปรกติ



ยังมะได้ถอดใจคับใจยังสู้อยู่เสมอ วันๆนั่งทำงานแต่หน้าคอมไม่มีเวลาไปออกกำลังกายด้วยจิ
บันทึกการเข้า

ขอมอบ เพลงนี้ให้กับพี่น้อง พันธมิตรทุกคนฮะ


http://www.imeem.com/sakujo/music/04_GaHIQ/09_avenged_sevenfold_strength_of_the_worldmp3/

strength of the world
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #195 เมื่อ: 25-09-2007, 01:03 »

ยังมะได้ถอดใจคับใจยังสู้อยู่เสมอ วันๆนั่งทำงานแต่หน้าคอมไม่มีเวลาไปออกกำลังกายด้วยจิ


ดีค่ะ....งั้นตอนนี้ดอกฟ้าฯจะให้สูตรลดความอวบให้ก่อนไปพลางๆนะคะ

สูตรนี้คนใกล้ชิดนำไปใช้แล้วเห็นผล เลยเอามาบอกต่อ แต่บังเอิญดอกฟ้าฯ ยังไม่ต้องใช้ค่ะ


ชามะละกอ

ส่วนประกอบ

มะละกอดิบ    1  ลูก

ชาเขียวหรือชาใบหม่อน ถ้าไม่มีชาจีนยี่ห้ออะไรก็ได้ ครึ่งกำมือ

ดอกเก็กฮวยแห้ง  50 กรัม



วิธีทำ


ปอกเปลือกมะละกอล้างน้ำให้สะอาดนำมาหั่นเป็นชิ้นๆ แบบทำแกงส้มมะละกอ

ใส่น้ำ 4 ลิตร ตั้งไฟจนเดือด

ใส่มะละกอและดอกเก็กฮวยลงไป ต้มประมาณ 15 นาที

นำไปกรองผ่านผ้าขาวบางหรือตระแกรงที่ตาถี่ๆ นำชาที่เตรียมไว้ใส่ในขณะที่น้ำยังร้อนอยู่

แช่ชาไว้ 5 นาที แล้วกรองกากชาทิ้งอีกครั้งหนึ่ง

ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น บรรจุขวดเก็บในตู้เย็นทานได้ 3 วัน

ช่วงแรกที่ทานจะทำให้ถ่ายท้องบ้างไม่ต้องตกใจ ควรเริ่มทำในวันหยุด ควรดื่มเป็นประจำ

คุณสมบัติช่วยล้างลำใส้ ทำให้การดูดซึมอาหารวิตามินที่มีประโยชน์

เข้าสู่ร่างกายได้ดี ลดไขมันในร่างกายตามที่เค้าบอกมาว่าลดได้ 4 กก.ภายในเดือนครึ่ง

ข้อห้าม:  อย่าใส่น้ำตาลในชานี้เด็ดขาด


เค้าบอกมาว่าได้ผลดี และดูจากส่วนประกอบไม่มีอะไรน่าจะเป็นอันตรายใดๆค่ะ


คาดว่าจะเอามาจากหนังสือ กินเป็นลืมป่วยนะคะ 


บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #196 เมื่อ: 09-10-2007, 23:53 »

เรื่องของพริกที่ไม่พลิกแพลงค่ะ

ตอนนี้พริกขี้หนูสวนขีดละ 15 บาท ขาดตัว แถมครัวไทยขาดพริกได้ซะที่ไหน

แต่บางครั้งอาจจะต้องเก็บไว้เพื่อประกอบอาหาร ในวันที่ต้องการแต่อาจเป็นในเวลาที่ว่างจริงๆ

มาดูอีกที เน่าขั้วดำจนใช้ไม่ได้ เสียดายจริงๆ


วิธีการเก็บพริก เอาไว้ใช้ได้นานๆ เพราะบางเวลาเราไม่ได้ประกอบอาหารทุกมื้อจากพริก

คือ ล้างพริกให้สะอาดเด็ดขั้วผึ่งให้สะเด็ดน้ำ ใส่ลงในกล่องพลาสติกที่รองด้วยกระดาษทิชชู่นุ่มๆ

ปิดฝาเก็บไว้ในตู้เย็น สามารถยืดอายุพริกของเราๆท่านๆได้นานกว่าที่ซื้อแล้วสามสี่วันมาพบอีกที

เน่าซะแล้ว
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,131


กูรู้มึงต้องอ่าน ฮ่าๆ ขำขำนะจ๊ะ


เว็บไซต์
« ตอบ #197 เมื่อ: 09-10-2007, 23:57 »


ดีค่ะ....งั้นตอนนี้ดอกฟ้าฯจะให้สูตรลดความอวบให้ก่อนไปพลางๆนะคะ

สูตรนี้คนใกล้ชิดนำไปใช้แล้วเห็นผล เลยเอามาบอกต่อ แต่บังเอิญดอกฟ้าฯ ยังไม่ต้องใช้ค่ะ


ชามะละกอ

ส่วนประกอบ

มะละกอดิบ    1  ลูก

ชาเขียวหรือชาใบหม่อน ถ้าไม่มีชาจีนยี่ห้ออะไรก็ได้ ครึ่งกำมือ

ดอกเก็กฮวยแห้ง  50 กรัม



วิธีทำ


ปอกเปลือกมะละกอล้างน้ำให้สะอาดนำมาหั่นเป็นชิ้นๆ แบบทำแกงส้มมะละกอ

ใส่น้ำ 4 ลิตร ตั้งไฟจนเดือด

ใส่มะละกอและดอกเก็กฮวยลงไป ต้มประมาณ 15 นาที

นำไปกรองผ่านผ้าขาวบางหรือตระแกรงที่ตาถี่ๆ นำชาที่เตรียมไว้ใส่ในขณะที่น้ำยังร้อนอยู่

แช่ชาไว้ 5 นาที แล้วกรองกากชาทิ้งอีกครั้งหนึ่ง

ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น บรรจุขวดเก็บในตู้เย็นทานได้ 3 วัน

ช่วงแรกที่ทานจะทำให้ถ่ายท้องบ้างไม่ต้องตกใจ ควรเริ่มทำในวันหยุด ควรดื่มเป็นประจำ

คุณสมบัติช่วยล้างลำใส้ ทำให้การดูดซึมอาหารวิตามินที่มีประโยชน์

เข้าสู่ร่างกายได้ดี ลดไขมันในร่างกายตามที่เค้าบอกมาว่าลดได้ 4 กก.ภายในเดือนครึ่ง

ข้อห้าม:  อย่าใส่น้ำตาลในชานี้เด็ดขาด


เค้าบอกมาว่าได้ผลดี และดูจากส่วนประกอบไม่มีอะไรน่าจะเป็นอันตรายใดๆค่ะ


คาดว่าจะเอามาจากหนังสือ กินเป็นลืมป่วยนะคะ 




ไม่ได้เข้ามาดูเลย  ขอบคุณ  คุณดอกฟ้ามากนะครับ จะเอาไปปฏิบัติดู ได้ผลยังไงเด๋วจามาบอกนะครับ

สู้เพื่อ...........
บันทึกการเข้า

ขอมอบ เพลงนี้ให้กับพี่น้อง พันธมิตรทุกคนฮะ


http://www.imeem.com/sakujo/music/04_GaHIQ/09_avenged_sevenfold_strength_of_the_worldmp3/

strength of the world
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #198 เมื่อ: 10-10-2007, 00:06 »

ไม่ได้เข้ามาดูเลย  ขอบคุณ  คุณดอกฟ้ามากนะครับ จะเอาไปปฏิบัติดู ได้ผลยังไงเด๋วจามาบอกนะครับ

สู้เพื่อ...........


ถ้าหุ่นหล่อเพรียวเปรี้ยวใจ ส่งหลักฐานมาให้ดูกันบ้างเด้ออ...อิ อิ
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
หาเพื่อนหยิงคุยแก้เหงาครับ
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,131


กูรู้มึงต้องอ่าน ฮ่าๆ ขำขำนะจ๊ะ


เว็บไซต์
« ตอบ #199 เมื่อ: 10-10-2007, 00:09 »


ถ้าหุ่นหล่อเพรียวเปรี้ยวใจ ส่งหลักฐานมาให้ดูกันบ้างเด้ออ...อิ อิ

ดูรูปผมด้านซ้ายมือไปพลางๆก่อนละกันครับ
บันทึกการเข้า

ขอมอบ เพลงนี้ให้กับพี่น้อง พันธมิตรทุกคนฮะ


http://www.imeem.com/sakujo/music/04_GaHIQ/09_avenged_sevenfold_strength_of_the_worldmp3/

strength of the world
หน้า: 1 2 3 [4] 5
    กระโดดไป: