-
![](http://oldforum.serithai.net/Smileys/default/slime_shy.gif)
:slime_shy
:----เอามาให้อ่านกันเล่นๆๆค่ะ-----ประกอบกระทุ้จ๊ะ---------------------------------------------------------------------
ใต้กระแส :
ชีวิตสาธารณะกับอัตลักษณ์ท้องถิ่น18 พฤศจิกายน 2549 00:00 น.
อรรถจักรสัตยานุรักษ์
สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา(LDI) และเครือข่ายพันธมิตรได้จัดการสัมมนาเวทีวิชาการประชาสังคมเรื่อง "ทำการเมืองภาคพลเมืองในท้องถิ่นไทย: ความท้าทายของยุคสมัย" และได้ให้โอกาสแก่ผมไปร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย ผมจึงขออนุญาตนำเอาประเด็นร่วมของสิ่งที่คิดไว้นี้มาสู่สาธารณะครับ
หากเราตั้งคำถามว่าอะไรคือปัญหาทางสังคมที่กระทบกระเทือนจิตใจคนไทยมากที่สุดสิ่งที่พบเห็นได้อย่างเด่นชัด ก็คือ ปัญหาอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาผู้คนจำนวนมาก แต่ผู้คนเหล่านั้นกลับนิ่งดูดาย ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ หรือมีส่วนในการแก้ไขปัญหาแต่ประการใด ลองนึกถึงข่าววัยรุ่นลากเด็กนักเรียนลงจากรถเมล์เพื่อไปข่มขืนต่อหน้าต่อตาคนในรถเมล์หลายสิบคนหรือการละเมิดต่อทรัพย์สินส่วนรวมหรือส่วนตัวที่เกิดขึ้นท่ามกลางสายตาคนทั่วไป แต่กลับไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่กล้าลุกขึ้นยืนประกาศต่อต้านการกระทำนั้นๆ ตัวอย่างในท้องถิ่นที่พบเห็นอยู่ทุกวันได้แก่การทิ้งขยะในที่สาธารณะทั่วไป
การที่สังคมไทยไม่มีคนกล้าลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อแก้ไขสิ่งที่ขัดหูขัดตาทั้งๆ ที่มัน "ไม่ถูกต้อง" ไม่ใช่เพราะคนไทยขี้ขลาดหรือคนชาติอื่นกล้าหาญมากกว่าคนไทยหรอกครับ หากแต่เป็นเพราะสังคมไทยไม่มี (หรือถูกทำให้ไม่มี) "ชีวิตสาธารณะ" นั่นเอง
"ชีวิตสาธารณะ" คือความสำนึกว่าเราในฐานะคนๆ หนึ่งนั้น มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอยู่กับชุมชนหรือ "พื้นที่ส่วนรวม" หนึ่งๆจนถึงระดับที่เราจะไม่สามารถทนอยู่ได้ หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่เหมาะไม่ควร เกิดขึ้นแก่ชุมชน หรือแก่สมาชิกในชุมชน ในพื้นที่ส่วนรวมนั้นๆ
ความสำนึกใน"ชีวิตสาธารณะ" เกิดขึ้นในเงื่อนไขความสัมพันธ์ทางสังคมและเศรษฐกิจเสมอ ในอดีตก่อนที่จะมีการขยายตัวของการผลิตเพื่อขาย คนที่ดำรงชีวิตอยู่ในชุมชนหนึ่งๆ ได้ร่วมกันถักสานความสัมพันธ์ทางสังคมขึ้นมา เพื่อดูแลชีวิตของผู้คนและสมบัติร่วมกันของชุมชน
การดูแลซึ่งกันและกันและการร่วมกันดูแลสมบัติร่วมของชุมชนต่างๆอาจจะไม่มีกฎเกณฑ์หรือข้อห้ามที่ตายตัว แต่การดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องยาวนาน ทำให้เกิดความสำนึกร่วมกันว่า การกระทำของคนๆ หนึ่ง ย่อมมีผลกระทบไปถึงคนอื่นๆ หรือต่อส่วนรวม และตระหนักว่าการกระทำบางอย่างเป็นสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร เพราะจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ความสำนึกร่วมเช่นนี้มีพลังเพียงพอต่อการยับยั้งการกระทำที่จะเป็นผลเสียต่อส่วนรวม การพัฒนาประเทศที่ผ่านมาได้ทำลาย "ชีวิตสาธารณะ" ไปจนเกือบจะหมดสิ้น
เครือข่ายการแลกเปลี่ยนหรือเครือข่ายตลาดในระหว่างชุมชนและท้องถิ่นได้ถูกทำให้สิ้นพลัง เพราะตลาดทั้งหลายในชุมชนและท้องถิ่นได้ถูกทำให้ขึ้นตรงต่อตลาดกลางในกรุงเทพฯ พี่น้องประมงพื้นบ้านและพี่น้องชาวนาในเขตปลูกข้าวที่ครั้งหนึ่งเคยแลกเปลี่ยนสิ่งของ และมีวัฒนธรรมร่วมกันจนเกิดเป็นพื้นที่สาธารณะกว้างขวาง ครอบคลุมมิติที่หลากหลายของชีวิต กลับต้องส่งสินค้าที่ตนหาได้ในท้องถิ่นเข้าสู่ตลาด และไม่อาจจะรักษาสายสัมพันธ์ที่มีมาแต่เดิมให้ดำรงอยู่ต่อเนื่องไปได้ การ"ผูกเสี่ยว"ของพี่น้องอีสานก็ได้ถูกการเพาะปลูกพืชเงินสดทำลายจนย่อยยับ ชาวนารวยในภาคอีสานหรือภาคเหนือตกอยู่ในฐานะของ "ผู้จัดการนา" ที่ใช้เงินเป็นกุญแจหลักในการว่าจ้างคนมาทำนาเท่านั้น ส่วนชาวนาจนก็กลายเป็นลูกจ้างรายวันในท้องไร่ท้องนา
ในเขตเมืองนั้นก็ไม่ได้แตกต่างกันเพราะประสบการณ์ความเป็นเมืองเป็นประสบการณ์ใหม่ของสังคมไทย การพัฒนาทางเศรษฐกิจโดยการขยายตัวของภาคการผลิตสมัยใหม่ไปในทุกพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางของการไหลเวียนของสินค้า ได้ทำให้ทุกพื้นที่ในเขตเมืองไม่เหลือความสัมพันธ์ทางสังคมใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์
กิจกรรมร่วมกันของเมืองที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นบนจุดประสงค์ของการทำให้เป็นสินค้าทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมของชุมชนท้องถิ่นที่ถูกนำมาเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมของเขตเมืองหรือสินค้าประจำจังหวัด
จึงไม่น่าแปลกใจที่พิธีกรรมสำคัญๆของชุมชนท้องถิ่น เช่น งานลอยกระทง งานสงกรานต์ ถูกหน่วยราชการและกลุ่มธุรกิจดึงมาจัดแบบรวมศูนย์ เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ในเขตจังหวัดของตน และโฆษณาเพื่อขายแก่ตลาดนักท่องเที่ยว โดยไม่มี "ชีวิตสาธารณะ" ของคนในชุมชนหรือท้องถิ่นเหลืออยู่ในพิธีกรรมเหล่านั้นอีกต่อไป
จนท้ายที่สุดแล้วงานลอยกระทงก็กลายเป็นการลอยกระทงและโคมลอยส่วนตัว ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับชุมชนและท้องถิ่น และเริ่มกลายเป็นงานสงครามประทัดและดอกไม้ไฟ
ส่วนงานสงกรานต์ก็เป็นเพียงการทำสงครามน้ำกันเพื่อความสะใจส่วนตัวเท่านั้นมิพักต้องพูดถึงงานผีตาโขน งานดอกฝ้ายบาน ฯลฯ ที่มุ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างถิ่น
ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าสังคมไทยควรจะท้อถอย เพราะทุกอย่างก็พังพินาศไปหมดสิ้นแล้ว เราย่อมทราบดีอยู่แล้วว่า คนทุกกลุ่มทุกสังคมย่อมต้องการพลังจาก "ชีวิตสาธารณะ" และต้องการ "อัตลักษณ์ท้องถิ่น" อยู่
ไม่มีสังคมใดที่จะมั่นคงได้โดยมีแต่หน่วยปัจเจกชนดำรงอยู่โดยปราศจากสายสัมพันธ์ทางสังคม เพียงแต่มีความจำเป็นที่เราจะต้องปรับเปลี่ยนความหมายของ "ชีวิตสาธารณะ" และ "อัตลักษณ์ท้องถิ่น" ให้ชัดเจน เพื่อที่เราจะได้ร่วมกันสร้างสรรค์และถักทอสายสัมพันธ์ทางสังคมขึ้นมาใหม่ อันจะทำให้เราทั้งหลายมีชีวิตอยู่อย่างมีความหมายในโลกปัจจุบัน และสามารถที่จะใช้พลังที่เกิดขึ้นนี้ ในการแก้ปัญหาของสังคมที่ซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้น
การเลือกใช้"ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น" เป็นสายใยร้อยรัดผู้คนให้มีโอกาสหวนกลับมานั่งนึกถึงอดีตที่ผ่านมาของตนเอง ตลอดจนโคตรเหง้าเหล่ากอที่เป็นบรรพบุรุษของตนเอง ว่าเคยดำรงชีวิตอยู่อย่างสัมพันธ์กับ "ชีวิตสาธารณะ" อย่างไรบ้าง เป็นเรื่องที่มีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง
การรื้อฟื้น"ชีวิตสาธารณะ" และสร้างอัตลักษณ์ของชุมชนท้องถิ่นทำได้ด้วยการรื้อฟื้นความทรงจำร่วมขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อบอกแก่คนทุกคนในชุมชนท้องถิ่นว่า ทุกคนมีอดีตร่วมกัน ซึ่งหมายถึงมีปัจจุบันและอนาคตร่วมกันด้วย และด้วยพลังของคนทุกคนเท่านั้นที่จะสร้าง "ความทรงจำร่วม" เกี่ยวกับอดีต และสร้างปัจจุบันกับอนาคตที่ดีกว่าร่วมกันได้
ด้วยสำนึกผูกพันกับท้องถิ่นหรือ "ชีวิตสาธารณะ" เช่นนี้ ก็จะไม่มีใครอีกแล้ว ที่นิ่งเฉยต่อสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ทุกคนจะแสดงตนออกมาปฏิเสธ "ความไม่ถูกต้อง" ที่จะเกิดแก่บ้านของตน และนับวันกระบวนการสร้างความซับซ้อนของชีวิตสาธารณะก็จะดำเนินไปอย่างเข้มข้นขึ้น
http://www.bangkokbiznews.com/level3/news_124616.jsp