ฟังหูไว้หูก่อนนะเรื่องนี้ มันซ่อนเงื่อนซ่อนปมยังไงไม่รู้
รัฐบาลจะไขว้เขว้กับการแสดงความคิดเห็นของนักวิชาการบางท่าน
หรือไม่ ประเด็นนี้น่าคิด และน่าติดตาม
ตอนนี้ ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ผลวิจัยที่ทำไป ทำแบบ
ผักชีโรยหน้า หรือตามสภาพจริง เชื่อถือได้มากน้อยขนาดไหน ----------------------------------------------------------------------------
กลายเป็นประเด็นร้อนไปเสียแล้ว กับข้อมูลที่ออกจากปาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ว่าแหล่งเงินทุนสนับสนุนการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาจากเครือข่ายร้านอาหารไทยในมาเลเซีย ที่เรียกว่า
"ต้มยำกุ้ง" ล่าสุดรัฐบาลมาเลเซีย รวมถึงเครือข่ายร้านอาหารไทยในมาเลย์ ตลอดจนผู้นำศาสนา นักธุรกิจ และนักวิชาการด้านสันติวิธี ได้ออกมาตำหนิการให้ข้อมูลของ พล.อ.สุรยุทธ์ อย่างกว้างขวาง
เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่นายกรัฐมนตรีท่านนี้ที่ถูกวิจารณ์ในแง่ลบเกี่ยวกับปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายหลังได้รับกระแสสนับสนุนอย่างสูงกับการเอ่ยคำ "ขอโทษ" จากความผิดพลาดของรัฐบาลในอดีต
จริงๆ แล้วองค์ความรู้เกี่ยวกับ "เครือข่ายต้มยำกุ้ง" ที่นอกเหนือจากข้อมูลด้านลบของหน่วยข่าวกรอง ในบ้านเราเองก็มีศึกษาวิจัยอยู่พอสมควร โดยงานวิจัยชิ้นล่าสุดคือ "โครงการวิจัยแนวทางการจัดสวัสดิการการกำหนดค่าธรรมเนียมที่มีผลต่อการสร้างแรงจูงใจให้แรงงานร้านอาหารไทยผันเข้าสู่ระบบการจ้างแรงงานต่างด้าวของมาเลเซียอย่างถูกกฎหมาย" ซึ่งมี ผศ.ชิดชนก ราฮิมมูลา อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เป็นหัวหน้าโครงการ และได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
ผศ.ชิดชนก เล่าให้ฟังว่า ธุรกิจร้านอาหารไทยในมาเลเซียที่เรียกกันติดปากว่า "ร้านต้มยำ" นั้น ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะเมนูเด็ด "ต้มยำกุ้ง" ที่ถูกปากถูกใจ ประกอบกับวัฒนธรรมของชาวมาเลย์ที่นิยมรับประทานอาหารนอกบ้าน โดยเฉพาะในช่วงเดือนรอมฎอน ทำให้ธุรกิจร้านอาหารเป็นธุรกิจที่เฟื่องฟูอย่างยิ่งในมาเลเซีย
ทั้งนี้ จากที่ได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูล พบว่าคนไทยที่อยู่ในธุรกิจร้านต้มยำมีไม่ต่ำกว่า 80,000 คน และแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ
1.เจ้าของร้านต้มยำ ซึ่งเดิมเป็นคนไทย แต่เข้าไปบุกเบิกธุรกิจนี้เป็นรุ่นแรกๆ เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน จนปัจจุบันได้สัญชาติมาเลเซีย และมีฐานะร่ำรวยไปแล้ว โดยคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่พื้นเพเดิมมาจากจังหวัดสงขลา นครศรีธรรมราช และพัทลุง แต่ไม่มีคนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
2.กลุ่มแรงงานสตรีในร้านต้มยำ ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก และส่วนใหญ่เป็นคนจาก 3 จังหวัดชายแดน โดยเจ้าของร้านติดต่อผ่านทางเครือญาติ แล้วดึงๆ กันไป บางหมู่บ้านไปกันหลายสิบคน เพราะรายได้ดี
3.กลุ่มแรงงานชายในร้านต้มยำ ซึ่งคนกลุ่มนี้เข้าไปทำงานหลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวดชายแดนภาคใต้แล้ว แต่ทำงานไม่ค่อยทน ไม่เหมือนกับแรงงานผู้หญิง
ผศ.ชิดชนก กล่าวต่อว่า แรงงานในร้านต้มยำเกือบ 100 % เป็นคนสัญชาติไทยที่ข้ามแดนไปยังประเทศมาเลเซียอย่างถูกกฎหมาย แต่ใช้วีซ่าท่องเที่ยว มีอายุ 1 เดือน ซึ่งวีซ่าประเภทดังกล่าวไม่สามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานในการประกอบอาชีพได้ ฉะนั้นเมื่อคนกลุ่มนี้ไปลักลอบทำงาน ก็จะต้องมาจ๊อบพาสปอร์ตทุกเดือน บางรายต้องยอมจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อขอโอกาสทำงานต่อไป
"ถ้าแรงงานเหล่านี้ต้องการทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม เรียกว่าค่า privy เป็นเงินถึง 20,000 บาทต่อคน หลายคนจึงไม่ยอมจ่าย ก็ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ถือเป็นกลุ่มที่น่าสงสารมาก"
"ต่อมา หลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะเหตุการณ์ตากใบ เมื่อปลายปี 2547 มีคนจาก 3 จังหวัดข้ามฝั่งไปทำงานในมาเลเซียเป็นจำนวนมาก ทางการมาเลย์จึงเห็นใจ และลดหย่อนค่าธรรมเนียมให้ ซึ่งถือเป็นสิทธิพิเศษที่คนจาก 3 จังหวัดได้รับเหนือกว่าแรงงานจากประเทศอื่นๆ"
ผศ.ชิดชนก กล่าวอีกว่า จากที่ได้ไปสัมภาษณ์แรงงานในร้านต้มยำ ทำให้ได้ข้อมูลว่าแรงงานเหล่านี้ส่งเงินกลับมายังฝั่งไทย ให้พ่อแม่ ครอบครัว ซื้อบ้าน ซื้อรถ ซื้อสวนยาง หรือแม้แต่สร้างมัสยิด โดยส่วนใหญ่จะใช้วิธีฝากกันมา ไม่ได้ส่งผ่านธนาคาร ด้วยเหตุนี้หลายครอบครัวจึงถูกเพ่งเล็งจากทางการไทย เพราะเห็นว่าไม่ได้ทำมาหากินอะไร แต่กลับมีบ้านมีรถ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเงินจากหยาดเหงื่อแรงงานร้านต้มยำที่ส่งกลับไปให้
"ในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีปัญหาการว่างงานสูง และรัฐบาลก็แก้ปัญหาไม่ได้ คนที่ว่างงานก็ต้องข้ามฝั่งไปหางานทำในมาเลเซีย ถือเป็นการแสวงหาโอกาส และลดปัญหาการว่างงานตามแนวชายแดนไทยด้วยซ้ำ"
ส่วนข้อมูลที่นายกรัฐมนตรีระบุว่า เครือข่ายร้านต้มยำในมาเลเซีย เป็นแหล่งเงินทุนสนับสนุนการก่อความไม่สงบนั้น ผศ.ชิดชนก ยืนยันว่า หากจะมีอยู่จริงก็เป็นส่วนน้อยมาก
"จากการสัมภาษณ์แรงงานร้านต้มยำ ก็ถามเขาว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรจากรัฐบาลบ้าง เขาตอบว่าไม่ต้องการเลย นอกจากความเข้าใจ อย่าคิดว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ เพราะคนที่เกี่ยวข้องเป็นส่วนน้อยมาก เป็นการต่อสู้ในยุคเก่า ตั้งแต่สมัย นายสะมะแอ ท่าน้ำ ที่มาเปิดร้านอาหารไทยอยู่ในรัฐหนึ่งของมาเลเซีย แต่เมื่อ สะมะแอ ท่าน้ำ ถูกจับกุม ขบวนการพูโลที่อยู่นอกประเทศก็กระจัดกระจายกันไป ก็ถือว่าหมดยุคของผู้ที่เกี่ยวพันกับการก่อความไม่สงบ"
ผศ.ชิดชนก บอกด้วยว่า สถานการณ์ในปัจจุบันต้องถือว่าเป็นความน่าสงสารของแรงงานไทยในมาเลเซียมากกว่า เพราะทุกคนต้องทำงานหนัก ต้องแอบไปจ๊อบพาสปอร์ต ต้องเสียเงินใต้โต๊ะ ซึ่งทั้งหมดก็ทำไปเพื่อหาเลี้ยงชีพและดูแลครอบครัว แต่กลับถูกมองในแง่ลบจากรัฐบาล ทั้งๆ ที่เป็นช่องทางบรรเทาความยากจนในพื้นที่ได้ระดับหนึ่ง
"ดิฉันอยากเสนอรัฐบาลว่า การจะบอกว่าเงินสนับสนุนการก่อความไม่สงบมาจากตรงไหน ต้องอาศัยข้อมูลที่มาจากภาคสนามมากพอสมควร และไม่สามารถนำประเด็นเล็กๆ มาขยายให้เป็นภาพกว้างได้ มิฉะนั้นจะคลุมเครือ และส่งผลกระทบต่อจิตใจผู้คนจำนวนมาก"
http://www.bangkokbiznews.com/level3/news_130969.jsp