ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
12-02-2025, 12:43
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ที่ชำรุด โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ที่ชำรุด โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์  (อ่าน 2162 ครั้ง)
snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« เมื่อ: 13-11-2006, 03:15 »

ชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ที่ชำรุด

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

ก่อนหน้าการรัฐประหาร กระแสการปฏิรูปการเมืองแพร่หลายและมีพลังอยู่แล้ว จนแม้แต่
หัวหน้าพรรค ทรท. ในขณะนั้นก็ไม่ปฏิเสธ (และทำให้คณะรัฐประหารเอามาใช้เป็นชื่อ
ของตัว)

ในช่วงนั้น ท่านประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมฯ ได้ให้สัมภาษณ์ว่าควรแก้
รัฐธรรมนูญให้ผู้สมัครอิสระสามารถสมัครลงเลือกตั้ง ส.ส. ได้
ท่านให้เหตุผลว่า เพื่อเปิด
โอกาสให้คนดี
ได้ลงสมัครรับใช้บ้านเมือง นัยยะที่ไม่ต้องกล่าวก็คือพรรคการเมืองไม่
สามารถเลือกสรรคนดีมารับใช้บ้านเมืองได้

ผมเห็นด้วยกับท่านเต็มที่ แต่ด้วยเหตุผลคนละอย่างกัน

ผู้ร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 มีความคิดประหลาดว่า เราสามารถได้พรรคการเมืองที่เข้มแข็ง
(ซึ่งไม่ได้แปลว่าสามารถจัดตั้งรัฐบาล แต่สามารถควบคุม ส.ส. ในสังกัดได้
) จากการตรา
กฎหมาย ฉะนั้นจึงกำหนดให้ผู้สมัคร ส.ส. ต้องสังกัดพรรค, รัฐให้เงินอุดหนุนพรรคการเมือง
เพื่อช่วยไม่ให้พรรคตกไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองของพ่อค้านายทุน, เป็นรัฐมนตรีแล้ว
ต้องออกจาก ส.ส., รวมทั้งที่เรียกกันว่า "ล็อค 90 วัน"

กฎหมายลูกทั้งหลายก็ออกมาภายใต้แนวคิดที่จะให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง เพื่อควบคุม
ส.ส. ไม่ให้เล่นสัปดนทางการเมือง

ความคิดประหลาดนี้ ว่าที่จริงก็ไม่ได้ลอกฝรั่งมาแต่อย่างใด (ตรงกันข้ามกับที่พวก
จารีตนิยมชอบอ้างว่า รัฐธรรมนูญปี 40 ลอกตำราฝรั่งมาทั้งดุ้น) แต่เป็นความพยายาม
จะตอบปัญหาของการเมืองไทยโดยตรง เพราะ ส.ส. อิสระและสังกัดพรรคในสภาไทย
นั้น รวมกลุ่มกันเพื่อเรียกร้องผลประโยชน์จากรัฐบาลมาตลอด รวมทั้งเล่นสัปดนอื่นๆ
ด้วย โดยไม่มีใครคุมได้เลย จนหัวหน้ารัฐบาลต้องยึดอำนาจตัวเองเพื่อล้มสภามาหลาย
ครั้งแล้ว ผู้ร่างรัฐธรรมนูญจึงหาทางที่จะแก้ปัญหานี้ด้วยการให้อำนาจการควบคุมที่คิด
ว่ามีประสิทธิภาพแก่พรรค จนพรรคกลายเป็น "คุก" ในทรรศนะของคุณเสนาะ เทียนทอง
และบริวาร

(พูดเรื่องลอกฝรั่งแล้ว ผมก็ขอออกนอกเรื่องตรงนี้นิดหนึ่งว่า รัฐธรรมนูญที่พวกจารีตนิยม
ร่างขึ้นต่างหาก ที่ลอกฝรั่งมาโดยตรง กล่าวคือไม่ได้มีปัญหาการเมืองของไทยเป็นโจทย์
เลย เพียงแต่ว่าแก้ไข, ตัดตอน, ทำให้เป็นหมัน, ฯลฯ ซึ่งรัฐธรรมนูญฝรั่งที่ตัวลอกมา เพื่อ
จะปกป้อง, รักษา และขยาย อำนาจกับผลประโยชน์ของกลุ่มชนชั้นนำในสังคมไทยเท่านั้น)

พรรคการเมืองนั้นเป็นการรวมตัวกันโดยธรรมชาติของนักการเมือง กล่าวคือเมื่อรวมตัวกัน
แล้วย่อมได้มากกว่าเสีย นักการเมืองจะรวมตัวเป็นพรรคอยู่อย่างนั้น ตราบเท่าที่ตัวคิดว่า
จะได้มากกว่าเสีย

ได้ที่สำคัญที่สุดของนักการเมืองคืออะไร ก็ได้รับเลือกตั้งสิครับ ฉะนั้น พรรคการเมืองจึง
สร้างสมรรถภาพของตัวไปในทางที่จะทำให้สมาชิกได้รับเลือกตั้งเป็นสำคัญ สมรรถภาพ
อันนี้ประกอบด้วยเงินทุน (ซึ่งไปรีดไถหรือได้รับการอุดหนุนมา) รวมทั้งประชาชนที่
ศรัทธาพรรคหรือนโยบายบางประการของพรรค จนเป็นอาสาสมัครทำงานรณรงค์ให้,
นโยบายที่ถูกใจประชาชน, บุคลิกที่ไม่ฝืนมติมหาชน (ซึ่งในเมืองไทยเรียกว่าปลาไหล),
เส้นสายที่พรรคมีกับส่วนอื่นๆ ของสังคม นับตั้งแต่สื่อ, นักวิชาการ, นายทุน, ผู้นำสหภาพ,
ชาวนา และกลุ่มวิชาชีพต่างๆ รวมทั้งช่างตัดผมและแท็กซี่ เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า เพื่อประโยชน์ของตัวเองนี่แหละครับ ผลักดันให้พรรคการเมืองต้องตอบสนอง
ต่อความต้องการของประชาชนอยู่บ้าง มากบ้างน้อยบ้างตามแต่กรณี ในทางตรงกันข้าม
ประชาชนเองก็มองเห็นว่า การผลักดันนโยบายสาธารณะของตัวหากผ่านพรรคการเมือง
ก็มีทางประสบความสำเร็จมากกว่าและง่ายกว่าทางอื่น

ฉะนั้น พรรคการเมืองจึงเป็นเครื่องจักรใหญ่สำหรับการเลือกตั้ง จนกระทั่งทำให้ ส.ส. อิสระ
เสียเปรียบหากไม่สังกัดกับเครื่องจักรใดเลย แม้กระนั้นตราบเท่าที่เขตเลือกตั้งยังเล็กอยู่
ก็เป็นไปได้ที่ผู้สมัครพรรคเล็กหรืออิสระจะฟันฝ่าเอาชนะ
เครื่องจักรไปเป็น ส.ส. จนได้ แต่
ถ้าเขตเลือกตั้งใหญ่ ก็ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลยในบางสังคม เพราะกำลังของคนกลุ่มเล็ก
จะไปสู้กับเครื่องจักรใหญ่นั้นเป็นไปไม่ได้

ขอให้สังเกตนะครับว่า ผู้สมัครพรรคเล็กหรืออิสระสามารถเข้าไปนั่งในสภาผู้แทนราษฎร
อเมริกันได้บ้าง แต่หมดหวังสำหรับวุฒิสภาซึ่งมีเขตเลือกตั้งใหญ่ทั้งมลรัฐ ในอังกฤษ
เพราะเขตเลือกตั้งเล็ก (เหมือนรัฐธรรมนูญปี 40) สภาอังกฤษจึงไม่เคยขาด ส.ส. พรรค
เล็ก (หรือเคยใหญ่แต่กลายเป็นเล็กในภายหลัง) หรือ ส.ส. อิสระเลย

อย่างไรก็ตาม เครื่องจักรเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองกำลังกลายเป็นเครื่องจักรที่ตอบสนอง
ต่อเสียงเรียกร้องของประชาชนน้อยลงทุกที เหตุที่เป็นเช่นนี้มาจากสองด้าน คือด้านพรรค
การเมืองเอง กลไกของเครื่องจักรใหญ่เทอะทะจนเกินกว่าจะปรับเปลี่ยนอะไรได้ง่ายๆ
กว่าพรรคเดโมแครตจะออกมาฟันธงว่า สงครามอิรัคเป็นความผิดพลาด ก็เล่นเอาชีวิตของ
อเมริกันและอิรักสูญเสียไปเป็นแสน และทำให้ไฟลามภูมิภาคนี้ไปทั่ว โดยมิตรของอเมริกัน
ในโลกลดลง และอันตรายต่ออเมริกันกลับเพิ่มขึ้นมากกว่าก่อน 9/11 เสียอีก อีกด้านหนึ่ง
ก็คือเพราะสื่อและระบบเศรษฐกิจ-สังคมที่ดึงดูดให้ประชาชนเข้ามาร่วมในสังคมชาติและ
สังคมโลกอย่างแนบแน่นกว่าเก่า ประชาชนได้เปลี่ยนไปแล้ว

ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นทั่วไปกว่าครึ่งโลกนะครับ ไม่ใช่เฉพาะในอเมริกา และผมแน่ใจว่า
เกิดในเมืองไทยด้วย

คนรุ่นใหม่ในสังคมตะวันตกสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองน้อยลง (รวมทั้งไปเลือกตั้ง
น้อยลงด้วย) คนที่เลือกผู้สมัครจากพรรคใดพรรคหนึ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตาก็หายไปด้วย
เพราะพรรคการเมืองใหญ่ๆ ทั้งหลายนั้น ไม่ได้ต่างกันในเชิงนโยบาย พรรคเลเบอร์ภาย
ใต้นายแบลร์เป็นเสรีนิยมใหม่ยิ่งกว่านางแทตเชอร์อีกซ้ำ พรรครีพับลิกันและเดโมแครต
ต่างเพิ่มอำนาจของรัฐบาลกลางเหมือนๆ กัน

ในขณะที่ "พลเมืองสกรรม" ทางการเมือง (แหะๆ หมายถึง active citizens น่ะครับ)
ไม่เคยได้รับการสนองตอบจากพรรคการเมืองใดๆ ไม่ว่าคนที่แคร์ปัญหาโลกร้อน, การ
กระจุกตัวของรายได้, การศึกษาที่เสื่อมคุณภาพลง, สวัสดิการรัฐที่กำลังหายไป, อำนาจ
ที่ปราศจากการทัดทานถ่วงดุลของบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่, สิทธิสตรี, เอฟทีเอ, การ
จัดการน้ำด้วยเขื่อนขนาดใหญ่, ระบบภาษีที่ไม่เป็นธรรม, การกระจุกตัวของทรัพยากร
การผลิตโดยเฉพาะที่ดิน ฯลฯ ต่างพบว่า ล้วนเป็นปัญหาที่พรรคการเมืองใหญ่ไม่เคยรับ
เข้าไปในนโยบาย เพราะมัน "ร้อน" เกินไป เครื่องจักรเลือกตั้งจะไหม้

แปลกอะไรล่ะครับ ที่เขาเลือกนักกล้ามเป็นผู้ว่าการรัฐ, เลือกคนหน้าตาธรรมดาเป็น
ประธานาธิบดีแทนคนหน้ายาว, และเลือกคุณสมบัติ เมทะนี เป็น ส.ว.

ความพยายามจะสถาปนาอำนาจของพรรคการเมืองขึ้นมาคุม ส.ส. นอกจากเป็นความคิด
ที่ก้าวไม่ทันความเปลี่ยนแปลงของโลกแล้ว (เพราะถ้าทำให้พรรคการเมืองไทยกลายเป็น
เครื่องจักรเลือกตั้งขนาดใหญ่สำเร็จ ก็ทำให้พรรคการเมืองไม่สนองตอบประชาชนเท่าเดิม
นั่นเอง) ยังเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในการเมืองไทยด้วย เพราะมุ้งของ ส.ส. ต่างหากที่เป็น
เครื่องจักรเลือกตั้งตัวจริง ฉะนั้น มุ้งต่างหากที่คุม ส.ส. ได้ ไม่ใช่พรรค

แล้วเขาตั้งมุ้งขึ้นมาทำไมหรือครับ ก็อย่างที่รู้กันนั่นแหละ เพื่อเล่นสัปดนทางการเมือง
ไม่ต่างจาก ส.ส. อิสระนั่นแหละ

ฉะนั้น การห้ามผู้สมัครอิสระจึงไม่เกิดผลอะไรทั้งสิ้น แต่กลับปิดโอกาสที่สำคัญในการ
พัฒนาการเมืองไทย ไม่ใช่กีดกันคนดีคนเก่งอะไรหรอกนะครับ ที่ผมเป็นห่วงมากกว่าคือ
กีดกันประเด็นทางการเมืองที่มีความสำคัญแก่
1/ ประชาชนระดับล่างที่ไม่เคยมีพื้นที่ของตนในการเมืองระดับชาติ
2/ ประเด็นทางการเมืองของเหล่า "พลเมืองสกรรม" ทั้งหลายซึ่งพรรคการเมืองไม่กล้า
    สนองตอบ

ส.ส. อิสระที่ไม่ต้องการเล่นสัปดนทางการเมืองจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ผมคิดว่าได้ หากเรา
รักษาเขตเลือกตั้งให้เล็กเอาไว้ แม้ไม่ใช่ทั้งหมดของ ส.ส. อิสระก็ตาม และคนเหล่านี้แหละ
ที่จะสามารถประสานความร่วมมือกับ ส.ส. อิสระและ ส.ส. สังกัดพรรค เพื่อผลักดันประเด็น
การเมืองร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิผู้ป่วยเอดส์, สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร เช่น
กฎหมายป่าชุมชน, สิทธิของประชาชนในท้องไม่สำเร็จทุกเรื่องไปหรอกครับ และไม่สำเร็จ
ตามเป้าหมายร้อยเปอร์เซ็นต์สักเรื่องเดียวนะครับ แต่ในระยะยาวแล้ว จะสำเร็จบางเรื่อง
และแม้ไม่ได้ตามเป้าเต็มร้อย ก็ได้มากกว่าครึ่ง พอที่จะผลักดันกันต่อๆ ไปได้ ทำเป็นเล่นไป
เสียงของ ส.ส. อิสระในสภาที่ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกพรรคหมด อาจดังกว่า ส.ส.  ธรรมดา
หลายเท่าตัว ถ้าเรียนรู้ว่าจะเปล่งเสียงอย่างไร

ส.ส. อิสระซึ่งต้องรักษาฐานเสียงของตัวให้เหนียวแน่นไว้ จะไม่สามารถพยุงรัฐบาลฉ้อฉล
ไปได้นานนัก พูดอีกอย่างหนึ่งจะอ่อนไหวต่อเสียงเรียกร้องของประชาชนมากกว่า แน่นอน
ประชาชนเองก็ต้องจัดตั้งทางการเมืองเพื่อทำให้การเรียกร้องของตนมีพลังด้วย แต่การ
จัดตั้งทางการเมืองเพื่อกดดัน ส.ส. อิสระย่อมง่ายกว่าและเป็นไปได้มากกว่ากดดันพรรค-
การเมืองแน่

ประชาชนไทยก็เปลี่ยนไปเหมือนประชาชนในสังคมที่เต็มไปด้วยการสื่อสารอื่นๆ แต่
ชนชั้นนำไทยไม่เคยเปิดโอกาสให้ระบบการเมืองได้ปรับเปลี่ยนไปตามความเปลี่ยนแปลง
ของสังคม ไม่ชอบใจอะไรก็ไม่ยอมลงมาต่อสู้ในเวทีการเมือง แต่กลับไปยุให้ทหารยึด
อำนาจ
และเพราะทหารไม่ได้มีอำนาจเหมือนแต่ก่อนแล้ว จึงเท่ากับล้มกระดานเพื่อเปิด
โอกาสให้ชนชั้นนำได้ปกป้อง, รักษา และขยายอำนาจและผลประโยชน์อันไม่เป็นธรรม
ของตัวเท่านั้น

มติชน วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10474

http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act04131149&day=2006/11/13

อ่านบทความนี้จบแล้ว ยังไม่แน่ใจเลยว่า
"ชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ที่ชำรุด" ที่เป็นชื่อเรื่องนั้นคืออะไร
จับได้แต่ใจความว่า สนับสนุนให้มี ส.ส. อิสระ ไม่ต้องสังกัดพรรค
เพื่อเป็นกระบอกเสียงในบางประเด็นที่พรรคไม่สนใจ
และให้เขตเลือกตั้งไม่ใหญ่มากนัก ส.ส.อิสระ จึงมีโอกาสแจ้งเกิดได้

ท่านผู้รู้ และเพื่อนๆ ที่ไม่แน่ใจว่ารู้ แต่สนใจฝึกสมองลองใช้ปัญญา
กรุณาช่วยกันออกความเห็นหน่อยว่า "ชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ที่ชำรุด" นั้น
อ. นิธิ ท่านหมายถึงอะไร? ไหงตอนจบมาลงที่ "ชนชั้นนำ" ล่ะคะ?


 
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 13-11-2006, 03:46 »

หมายถึง "รัฐธรรมนูญ 2540" ไง

ที่ใครต่อใครบอกว่า "ดีที่สุด" นั่นแหละ

ทำไมถึงเป็น "ชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์" ก็เพราะมันถูกล้มลงไปเป็นอดีต เป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว

ส่วนข้อขยายความอื่น ๆ เค้าบอกว่ามัน "ชำรุด" ยังไงบ้าง
บันทึกการเข้า

Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 13-11-2006, 04:05 »

การแก้ปัญหา "นักการเมือง" ให้สังกัดพรรค ก็มาจากสภาพเดิม ๆ

สส.จับกลุ่มเรียกร้องผลประโยชน์ ก็มาจากเรื่อง สส. ไม่ต้องสังกัดพรรคนั่นแหละ

เมื่อแก้ไขโดยการ "บังคับ" ให้ "สังกัดพรรค" และมีรัฐธรรมนูญกดหัวอยู่ สส. อิสระก็ไม่มีวันเกิดได้

จะว่าไป โครงสร้างมันมีแค่ ไม่เป็นรัฐบาล ก็ต้องเป็นฝ่ายค้าน มีแค่นั้นเอง

มันไม่มีที่อยู่ให้ สส. ฝ่าย กลาง ๆ เกิดขึ้นได้...

สุดท้ายก็เหมือนพายเรือในอ่าง ให้ สส. สังกดัพรรคดี หรือให้ไม่ต้องสังกัดพรรค วนเวียน "แก้กติกา" กันอยู่แบบนี้

ทั้ง ๆ ที่ปัญหาใหญ่ที่สุดไม่ได้อยู่ที่ "กติกา" แต่มันขึ้นกับ "ตัวบุคคล"
บันทึกการเข้า

นู๋เจ๋ง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,877



« ตอบ #3 เมื่อ: 13-11-2006, 07:14 »

จับประเด็นคิดได้ดีค่ะ
ชอบตรงที่ว่า ไม่ได้คัดลอกฝรั่งมาค่ะ
บันทึกการเข้า

~จะแน่วแน่...แก้ไข...ในสิ่งผิด~
snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #4 เมื่อ: 13-11-2006, 09:51 »

หมายถึง "รัฐธรรมนูญ 2540" ไง

ที่ใครต่อใครบอกว่า "ดีที่สุด" นั่นแหละ

ทำไมถึงเป็น "ชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์" ก็เพราะมันถูกล้มลงไปเป็นอดีต เป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว

ส่วนข้อขยายความอื่น ๆ เค้าบอกว่ามัน "ชำรุด" ยังไงบ้าง


ขอบคุณนะคะที่ช่วยฟันธง
คิดอยู่บ้างเหมือนกันว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น
แต่เห็นท่านผู้เขียนเหน็บ “ชนชั้นนำ/จารีตนิยม” ไว้หลายที่อยู่


ชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ที่ชำรุด

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

ก่อนหน้าการรัฐประหาร กระแสการปฏิรูปการเมืองแพร่หลายและมีพลังอยู่แล้ว จนแม้แต่
หัวหน้าพรรค ทรท. ในขณะนั้นก็ไม่ปฏิเสธ (และทำให้คณะรัฐประหารเอามาใช้เป็นชื่อ
ของตัว)

...

ผู้ร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 มีความคิดประหลาดว่า เราสามารถได้พรรคการเมืองที่เข้มแข็ง
(ซึ่งไม่ได้แปลว่าสามารถจัดตั้งรัฐบาล แต่สามารถควบคุม ส.ส. ในสังกัดได้
) จากการตรา
กฎหมาย ฉะนั้นจึงกำหนดให้ผู้สมัคร ส.ส. ต้องสังกัดพรรค, รัฐให้เงินอุดหนุนพรรคการเมือง
เพื่อช่วยไม่ให้พรรคตกไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองของพ่อค้านายทุน, เป็นรัฐมนตรีแล้ว
ต้องออกจาก ส.ส., รวมทั้งที่เรียกกันว่า "ล็อค 90 วัน"

กฎหมายลูกทั้งหลายก็ออกมาภายใต้แนวคิดที่จะให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง เพื่อควบคุม
ส.ส. ไม่ให้เล่นสัปดนทางการเมือง

ความคิดประหลาดนี้ ว่าที่จริงก็ไม่ได้ลอกฝรั่งมาแต่อย่างใด (ตรงกันข้ามกับที่พวก
จารีตนิยมชอบอ้างว่า รัฐธรรมนูญปี 40 ลอกตำราฝรั่งมาทั้งดุ้น)
แต่เป็นความพยายาม
จะตอบปัญหาของการเมืองไทยโดยตรง เพราะ ส.ส. อิสระและสังกัดพรรคในสภาไทย
นั้น รวมกลุ่มกันเพื่อเรียกร้องผลประโยชน์จากรัฐบาลมาตลอด รวมทั้งเล่นสัปดนอื่นๆ
ด้วย โดยไม่มีใครคุมได้เลย จนหัวหน้ารัฐบาลต้องยึดอำนาจตัวเองเพื่อล้มสภามาหลาย
ครั้งแล้ว ผู้ร่างรัฐธรรมนูญจึงหาทางที่จะแก้ปัญหานี้ด้วยการให้อำนาจการควบคุมที่คิด
ว่ามีประสิทธิภาพแก่พรรค จนพรรคกลายเป็น "คุก" ในทรรศนะของคุณเสนาะ เทียนทอง
และบริวาร

(พูดเรื่องลอกฝรั่งแล้ว ผมก็ขอออกนอกเรื่องตรงนี้นิดหนึ่งว่า รัฐธรรมนูญที่พวกจารีตนิยม
ร่างขึ้นต่างหาก ที่ลอกฝรั่งมาโดยตรง กล่าวคือไม่ได้มีปัญหาการเมืองของไทยเป็นโจทย์
เลย เพียงแต่ว่าแก้ไข, ตัดตอน, ทำให้เป็นหมัน, ฯลฯ ซึ่งรัฐธรรมนูญฝรั่งที่ตัวลอกมา เพื่อ
จะปกป้อง, รักษา และขยาย อำนาจกับผลประโยชน์ของกลุ่มชนชั้นนำในสังคมไทยเท่านั้น)


...

ประชาชนไทยก็เปลี่ยนไปเหมือนประชาชนในสังคมที่เต็มไปด้วยการสื่อสารอื่นๆ แต่
ชนชั้นนำไทยไม่เคยเปิดโอกาสให้ระบบการเมืองได้ปรับเปลี่ยนไปตามความเปลี่ยนแปลง
ของสังคม ไม่ชอบใจอะไรก็ไม่ยอมลงมาต่อสู้ในเวทีการเมือง แต่กลับไปยุให้ทหารยึด
อำนาจ
และเพราะทหารไม่ได้มีอำนาจเหมือนแต่ก่อนแล้ว จึงเท่ากับล้มกระดานเพื่อเปิด
โอกาสให้ชนชั้นนำได้ปกป้อง, รักษา และขยายอำนาจและผลประโยชน์อันไม่เป็นธรรม
ของตัวเท่านั้น


เลยนึกอยากจะตีความ (เข้าข้างตัวเอง) ว่า
สงสัยท่านแอบด่าพวกนี้ เป็นไดโนเสาร์หลงยุค

 
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #5 เมื่อ: 13-11-2006, 09:54 »


เลยนึกอยากจะตีความ (เข้าข้างตัวเอง) ว่า
สงสัยท่านแอบด่าพวกนี้ เป็นไดโนเสาร์หลงยุค

 

   น่าสมเพชพวกทั่นที่อวดอ้างตนว่าเป็นผู้มีอุดมการณ์อันสูงส่ง แต่แท้ที่จริงหลงวนเวียนอยู่แต่ในหัวสี่เหลี่ยมของตน   
บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #6 เมื่อ: 13-11-2006, 10:01 »

กล้า ๆ หน่อยคุณเกล็ดหิมะ วัน ๆ อย่ามัวแต่เอากระโปรงบังหน้า หรือไม่ก็แอบอยู่หลังบทความของนักวิชาการหัวสี่เหลี่ยมทั้งหลาย 

บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
aiwen^mei
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,732



« ตอบ #7 เมื่อ: 13-11-2006, 10:31 »

แด่ ผู้ไม่มีหิริโอตตัปปะ
ผู้ที่ชอบใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นโดยไม่มีความละอายใจ
ถึงอาศัยพวกมากลากไปก็ไม่ทำให้สิ่งที่พูดกลายเป็นความถูกต้องได้
สักวันกรรมต้องตามมาสนอง ถึงคนที่ทำจะไม่เชื่อกฏแห่งกรรม ก็ไม่มียกเว้น

...

ด้วยความปรารถนาดี

 

http://forum.serithai.net/index.php?topic=9536.0

จากกระทู้ที่ล็อกไปแล้ว

คนที่มีแนวคิดแบบเหลี่ยม ๆ เหมือนหน้าของจอมมารหน้าเหลี่ยมอย่างคุณเกล็ดหิมะกลับมาคร่ำครวญอ้างคำว่า หิริโอตตัปปะ ได้อย่างไร พูดแล้วไม่อายปากตัวเองบ้างหรือ ? อย่างคุณเกล็ดหิมะนี่รู้จักคำว่า หิริโอตตัปปะ ?  ก็เห็นถามหา "มาตรวัดความดี" ว่าจะวัดความดีได้อย่างไร 

ข้อความของคุณที่โพสต์มาทั้งหมดนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะอวดอ้างความปรารถนาดี แต่ถ้าคุณเองจะรู้จักเก็บไปเตือนตัวคุณเองและแก๊งเดียวกันจะเป็นประโยชน์ต่อเว็บบอร์ดแห่งนี้บ้างกระมัง   


บันทึกการเข้า

有缘千里来相会,无缘对面不相逢。
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #8 เมื่อ: 13-11-2006, 10:32 »

เค้าว่าประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอย
แต่ผมได้ลายเซ็นใหม่แล้ว..

No man ever steps in the same river twice, for it's not the same river and he's not the same man. --- Heraclitus
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
เก็ดถวา
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 2,753



« ตอบ #9 เมื่อ: 13-11-2006, 10:33 »



เฮ้อ!!! 
บันทึกการเข้า

Avada Kedavra!!!!!!!
snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #10 เมื่อ: 13-11-2006, 10:53 »

กล้า ๆ หน่อยคุณเกล็ดหิมะ วัน ๆ อย่ามัวแต่เอากระโปรงบังหน้า หรือไม่ก็แอบอยู่หลังบทความของนักวิชาการหัวสี่เหลี่ยมทั้งหลาย 



กล้าอะไรหรือคะ?
ด่าคนอื่นอย่างที่คุณทำน่ะหรือ?
ดิฉันไม่คิดว่าต้องอาศัยความกล้าอะไรในการทำแบบนั้นหรอก
ถ้าคุณยังคิดว่าเป็นวีรกรรม หรือการกระทำที่สูงส่งอะไรก็เชิญคิดต่อไปได้ค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2006, 11:10 โดย snowflake » บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 13-11-2006, 11:00 »

หมายถึง "รัฐธรรมนูญ 2540" ไง

ที่ใครต่อใครบอกว่า "ดีที่สุด" นั่นแหละ

ทำไมถึงเป็น "ชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์" ก็เพราะมันถูกล้มลงไปเป็นอดีต เป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว

ส่วนข้อขยายความอื่น ๆ เค้าบอกว่ามัน "ชำรุด" ยังไงบ้าง


ขอบคุณนะคะที่ช่วยฟันธง
คิดอยู่บ้างเหมือนกันว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น
แต่เห็นท่านผู้เขียนเหน็บ “ชนชั้นนำ/จารีตนิยม” ไว้หลายที่อยู่


ชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ที่ชำรุด


...

ประชาชนไทยก็เปลี่ยนไปเหมือนประชาชนในสังคมที่เต็มไปด้วยการสื่อสารอื่นๆ แต่
ชนชั้นนำไทยไม่เคยเปิดโอกาสให้ระบบการเมืองได้ปรับเปลี่ยนไปตามความเปลี่ยนแปลง
ของสังคม ไม่ชอบใจอะไรก็ไม่ยอมลงมาต่อสู้ในเวทีการเมือง แต่กลับไปยุให้ทหารยึด
อำนาจ
และเพราะทหารไม่ได้มีอำนาจเหมือนแต่ก่อนแล้ว จึงเท่ากับล้มกระดานเพื่อเปิด
โอกาสให้ชนชั้นนำได้ปกป้อง, รักษา และขยายอำนาจและผลประโยชน์อันไม่เป็นธรรม
ของตัวเท่านั้น [/size]

เลยนึกอยากจะตีความ (เข้าข้างตัวเอง) ว่า
สงสัยท่านแอบด่าพวกนี้ เป็นไดโนเสาร์หลงยุค

 

ใครบ้างที่ "นิธิ" บอกว่าเป็น "ชนชั้นนำ" และ "ยุให้ทหารทำปฏิวัติ" เพื่อรักษาผลประโยชน์อันไม่ชอบธรรมของตนเอง

ขอชื่อหน่อยสิ หรือ กลุ่มใหนบ้าง ว่ามาเลย...

ใช้หลักฐาน หรือสมมุติฐานจากใหน หรือสัญญาณอะไรว่า เป็นคน "ยุ" ให้ "ทหารปฏิวัติ"
บันทึกการเข้า

snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #12 เมื่อ: 13-11-2006, 11:03 »

แด่ ผู้ไม่มีหิริโอตตัปปะ
ผู้ที่ชอบใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นโดยไม่มีความละอายใจ
ถึงอาศัยพวกมากลากไปก็ไม่ทำให้สิ่งที่พูดกลายเป็นความถูกต้องได้
สักวันกรรมต้องตามมาสนอง ถึงคนที่ทำจะไม่เชื่อกฏแห่งกรรม ก็ไม่มียกเว้น

...

ด้วยความปรารถนาดี

 

http://forum.serithai.net/index.php?topic=9536.0

จากกระทู้ที่ล็อกไปแล้ว

คนที่มีแนวคิดแบบเหลี่ยม ๆ เหมือนหน้าของจอมมารหน้าเหลี่ยมอย่างคุณเกล็ดหิมะกลับมาคร่ำครวญอ้างคำว่า หิริโอตตัปปะ ได้อย่างไร พูดแล้วไม่อายปากตัวเองบ้างหรือ ? อย่างคุณเกล็ดหิมะนี่รู้จักคำว่า หิริโอตตัปปะ ?  ก็เห็นถามหา "มาตรวัดความดี" ว่าจะวัดความดีได้อย่างไร 

ข้อความของคุณที่โพสต์มาทั้งหมดนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะอวดอ้างความปรารถนาดี แต่ถ้าคุณเองจะรู้จักเก็บไปเตือนตัวคุณเองและแก๊งเดียวกันจะเป็นประโยชน์ต่อเว็บบอร์ดแห่งนี้บ้างกระมัง   


สงสัยจะไม่เข้าใจจริงๆ มิใช่เสแสร้งแกล้งทำ

อธิบายหน่อยก็ได้ว่า ที่พูดเรื่องมาตรวัดความดีนั้น
หมายถึงว่าเราไม่มีเครื่องมือวัดได้อย่างจริงจังในทางปฏิบัติ
ที่จะมาตัดสินหรือบอกได้ว่าใครดีเลวมากน้อยแค่ไหน
ดังนั้นจึงต้องใช้ระบบตรวจสอบอื่นที่เห็นเป็นรูปธรรมได้
เช่น การยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินก่อนและหลังรับตำแหน่งทางการเมือง

ไม่ได้แปลว่าดิฉันไม่รู้จักและนิยมยกย่องการทำดี

แต่ถ้าคุณมีญานวิเศษที่ “เชื่อถือได้” สามารถมองเห็นและ
บอกได้อย่าง “แม่นยำ” ว่าคนนั้นดีคนนี้เลวอย่างไรบ้าง
ขอเชิญไปแสดงตัวช่วยศาลทำงานพิพากษาคดีเลยค่ะ

ดิฉันไม่ได้ทำทำผิดคิดร้ายอะไร ย่อมไม่ละอายใจแน่นอน
ข้อความนั้นเตือนด้วยความปรารถนาดีว่า
อย่าสนุกจนลืมตัวว่า ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว
ถึงคนที่ทำจะไม่เชื่อก็ตาม
ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร กรรมของใครก็ของคนนั้น
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #13 เมื่อ: 13-11-2006, 11:11 »

ผมไม่เชื่อว่ารัฐประหารจะเป็นวงจรซ้ำซาก
เพราะรัฐประหารแต่ละครั้งเป็นปรากฎการณ์ที่แตกต่างกัน

เกิดขึ้นในวัฒธรรมคนละยุคกัน

อาจารย์ ม.เที่ยงคืน จะสู้อธิการบดี ม.เที่ยงคืน ได้ไง 
http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=5767&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 13-11-2006, 11:15 »

อ้าว "มาตรวัด" ยังไม่จบเหรอ ก็เคยบอกแล้ว ให้ใช้ อายตนะภายนอกและภายในจับ วัด ชั่ง ตวง

เหมือนพระพุทธองค์บอกว่า "ละชั่ว ทำดี" นั่นแหละ...ใช้อะไรวัดก็...ใช้ตัวเดียวกันนั่นแหละ เพราะมันเป็นเรื่อง "นามธรรม"

สัมผัสได้ เป็นวิทยาศาสตร์ อาจมองไม่เห็น "ตัวเป็น ๆ" แต่รู้สึกได้ รับรู้และตัดสินใจได้

ถ้าไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว ก็ป่วยการจะไปถามหา "มาตรวัด" เหมือนถามว่า "บาป" เป็นตัวยังไง...

จะว่าไปก็คือ เอา "ศีลและธรรม" นั่นแหละเป็นมาตรวัด


เอาง่าย ๆ ว่า คนโกหก คนเป็นชู้กับเมียคนอื่น ชั่วมั๊ย...

คนลักขโมย คนคอรัปชั่น หรือวางแผนใช้เงินหลวงให้พวกพ้อง..."ชั่ว" มั๊ย
บันทึกการเข้า

snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #15 เมื่อ: 13-11-2006, 11:49 »

อ้าว "มาตรวัด" ยังไม่จบเหรอ ก็เคยบอกแล้ว ให้ใช้ อายตนะภายนอกและภายในจับ วัด ชั่ง ตวง

เหมือนพระพุทธองค์บอกว่า "ละชั่ว ทำดี" นั่นแหละ...ใช้อะไรวัดก็...ใช้ตัวเดียวกันนั่นแหละ เพราะมันเป็นเรื่อง "นามธรรม"

สัมผัสได้ เป็นวิทยาศาสตร์ อาจมองไม่เห็น "ตัวเป็น ๆ" แต่รู้สึกได้ รับรู้และตัดสินใจได้

ถ้าไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว ก็ป่วยการจะไปถามหา "มาตรวัด" เหมือนถามว่า "บาป" เป็นตัวยังไง...

จะว่าไปก็คือ เอา "ศีลและธรรม" นั่นแหละเป็นมาตรวัด


เอาง่าย ๆ ว่า คนโกหก คนเป็นชู้กับเมียคนอื่น ชั่วมั๊ย...

คนลักขโมย คนคอรัปชั่น หรือวางแผนใช้เงินหลวงให้พวกพ้อง..."ชั่ว" มั๊ย


ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่าการกระทำอันไหนชั่ว
แต่อยู่ที่ว่าคุณรู้ได้อย่างไรว่าเขาทำ หรือไม่ได้ทำ

สมมุติ มีคนมาพูดกล่าวหาลอยๆ ว่า คุณเป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น
การกระทำเลวไหม? ใครๆ ก็ตอบได้
ถ้าคุณทำคุณก็เลว แต่คุณได้ทำหรือเปล่า?
หากคุณปฏิเสธ คนอื่นจะเชื่อคำพูดคุณได้ไหม?
หรือจะเชื่อคำพูดคนที่มากล่าวหา
ถ้าไม่มีหลักฐานยืนยัน?
นี่ต่างหากคือความหมายที่ดิฉันบอกว่า
ไม่มีเครื่องมือวัดความดีที่เป็นามธรรมอะไร
ที่จะมาบอกได้ว่าคุณไม่รักษาศีลข้อสาม
จึงต้องอาศัยหลักฐานที่เห็นได้จับต้องได้เป็นรูปธรรม
มิใช่อารมณ์ ความรู้สึก ความเชื่อ ที่แต่ละคนก็มีต่างกัน

ยกตัวอย่าง คดีฆาตกรรมคุณหมอผัสพร
ต่างฝ่ายต่างก็ถือหางข้างที่ตัวเองรู้จักและคุ้นเคย
บรรดาคณาจารย์กระทั่งคณบดีแพทย์ฯ จุฬาฯ
ลงชื่อรับรองความบริสุทธิ์ให้คุณหมอวิสุทธิ์
แต่หลักฐานมีน้ำหนักต่างจากความเชื่อของพวกเขา
และศาลได้ตัดสินตามพยานหลักฐาน
มิใช่ตามความรู้สึกของใคร
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2006, 12:00 โดย snowflake » บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 13-11-2006, 12:02 »

เอาแค่ ผลประชุม ครม. หรือการตัดสินประมูล ยังไม่ชัดพอเหรอครับ

หรือออกกฎหมายเอื้อประโยชน์กันชัด ๆ แบบนี้ไม่เห็นเลยใช่มั๊ย


ถ้าอายตนะ ไม่ชำรุดยังพอใช้งานได้ ก็ต้องเห็น ก็ต้องได้ยินหรือสัมผัสได้กระมัง

แต่ก็อย่างว่าแหละครับ "ต่อมจริยธรรม" ของคนแต่ละคนมันตื้นมันลึกผิดกัน
บันทึกการเข้า

Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #17 เมื่อ: 13-11-2006, 12:06 »

หมายถึง "รัฐธรรมนูญ 2540" ไง

ที่ใครต่อใครบอกว่า "ดีที่สุด" นั่นแหละ

ทำไมถึงเป็น "ชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์" ก็เพราะมันถูกล้มลงไปเป็นอดีต เป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว

ส่วนข้อขยายความอื่น ๆ เค้าบอกว่ามัน "ชำรุด" ยังไงบ้าง


ขอบคุณนะคะที่ช่วยฟันธง
คิดอยู่บ้างเหมือนกันว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น
แต่เห็นท่านผู้เขียนเหน็บ “ชนชั้นนำ/จารีตนิยม” ไว้หลายที่อยู่


ชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์ที่ชำรุด


...

ประชาชนไทยก็เปลี่ยนไปเหมือนประชาชนในสังคมที่เต็มไปด้วยการสื่อสารอื่นๆ แต่
ชนชั้นนำไทยไม่เคยเปิดโอกาสให้ระบบการเมืองได้ปรับเปลี่ยนไปตามความเปลี่ยนแปลง
ของสังคม ไม่ชอบใจอะไรก็ไม่ยอมลงมาต่อสู้ในเวทีการเมือง แต่กลับไปยุให้ทหารยึด
อำนาจ
และเพราะทหารไม่ได้มีอำนาจเหมือนแต่ก่อนแล้ว จึงเท่ากับล้มกระดานเพื่อเปิด
โอกาสให้ชนชั้นนำได้ปกป้อง, รักษา และขยายอำนาจและผลประโยชน์อันไม่เป็นธรรม
ของตัวเท่านั้น [/size]

เลยนึกอยากจะตีความ (เข้าข้างตัวเอง) ว่า
สงสัยท่านแอบด่าพวกนี้ เป็นไดโนเสาร์หลงยุค

 

ใครบ้างที่ "นิธิ" บอกว่าเป็น "ชนชั้นนำ" และ "ยุให้ทหารทำปฏิวัติ" เพื่อรักษาผลประโยชน์อันไม่ชอบธรรมของตนเอง

ขอชื่อหน่อยสิ หรือ กลุ่มใหนบ้าง ว่ามาเลย...

ใช้หลักฐาน หรือสมมุติฐานจากใหน หรือสัญญาณอะไรว่า เป็นคน "ยุ" ให้ "ทหารปฏิวัติ"


ช่วยตอบประเด็นนี้หน่อยสิ..เนื้อหาในกระทู้นี่ดีกว่า เรื่องต่อมจริยธรรมค่อยว่ากันทีหลัง
บันทึกการเข้า

snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #18 เมื่อ: 13-11-2006, 13:45 »

เรียน คุณ CanCan

ดิฉันคงตอบ แทนให้ไม่ได้หรอกค่ะ
ถ้าคุณอยากทราบจริงๆ คงต้องติดต่อ อ. นิธิ โดยตรง
แต่ถ้าให้เดาคงเป็นคนที่ปรากฏให้เห็นว่าได้ประโยชน์นั่นแหละค่ะ
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #19 เมื่อ: 13-11-2006, 14:16 »

ใครได้ประโยชน์ละครับ ชนชั้นนำคนใหน กลุ่มใหนที่ชี้นำให้ปฏิวัติ เพื่อรักษาผลประโยชน์ ช่วยบอกให่เอาบุญที

เพราะคุณก็วิเคราะห์ตามนั้นไม่ใช่หรือ

ใครเป็น ไดโนเสาร์หลงยุคครับ ช่วยบอกที
บันทึกการเข้า

********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #20 เมื่อ: 13-11-2006, 14:34 »


ถ้าอ่านตามข้อเขียน อ.นิธิ หมายถึงส่วนที่ชำรุดในระบบการเมือง

คือพรรคการเมือง นักการเมืองสังกัดพรรค  การแบ่งเขตเลือกตั้งที่ใหญ่เกินไป

ทำให้ไม่ได้สส.อิสระ ตามกลุ่มชาวบ้านที่เลือกเข้ามา

สส.ก็เลยตอบสนองชาวบ้านน้อยกว่าพรรค เป็นเหตุให้ระบบการเมืองล่ม

รัฐธรรมนูญพลอยล่มไปด้วย

.......

ก็เป็นการอธิบายส่วนที่มองเห็นว่าขาดหายไปและให้ข้อเสนอแนะ ไม่ได้ฟันธงหรอก อ่านกันให้ดี   
บันทึกการเข้า

Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #21 เมื่อ: 13-11-2006, 14:51 »

มติชน : วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10474

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้สัมภาษณ์พิเศษ "มติชน" เพื่อสอบ ถาม "ความรู้สึก" ต่อเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยา ยน และ "ความคาดหวัง" ต่อการเมืองไทยในอนาคต

""""ฯลฯ"""

ถาม - รัฐธรรมนูญปี 2540 มีข้อบกพร่องอย่างไร

ตอบ - ผมคิดว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องจัดประเด็นข้อดีข้อเสียของรัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งมีข้อดีอยู่เยอะ ช่องโหว่ก็เยอะ ดังนั้น การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต้องนำข้อดีข้อเสียต่างๆ มาคิดกันใหม่ ผมมองว่าสังคมไทยก็เป็นสังคมแบบไทยๆ ต้องนึกนิสัยคนไทยให้ดีแล้วจึงมาร่างรัฐธรรมนูญให้เหมาะกับคนไทย ซึ่งรายละเอียดเป็นหน้าที่ของสภาร่างรัฐธรรมนูญที่ต้องว่ากัน และสภานิติบัญญัติคงมองเห็นว่าอะไรที่มีข้อดีข้อเสีย ปล่อยให้เขาพิจารณาร่วมกัน เพียงแต่ภาวนาให้ออกมาเป็นรัฐธรรมนูญที่ดี (พูดพร้อมกับพนมมือไว้ที่หน้าอก) สามารถทำให้คนไทยเมื่อเข้าไปบริหาร อย่าไปหาช่องว่างช่องโหว่เพื่อให้เกิดประโยชน์กับตนเองจนชาติบ้านเมืองเสียหาย แค่นี้ผมก็พอใจ

ถาม - กล้าที่จะหวังว่ารัฐธรรม นูญฉบับหน้าสามารถก้าวเดินไปข้างหน้าไม่มีการปฏิวัติกันอีก

ตอบ - คำถามนี้คงจะตอบยาก แต่ทำอย่างไรให้ประชาชนตั้งแต่รากแก้วขึ้นมาเข้าใจระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง หากคนระดับบนสุดไปถึงประชาชนระดับรากแก้วยังเข้าใจคำว่าประชาธิป ไตยที่แท้จริงไม่ชัดเจนแล้ว ก็คงจะไปยาก เวลานี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจประชาธิปไตย รู้ว่าการ ซื้อสิทธิขายเสียงทำให้ระบอบประชาธิปไตยผิดไป ระบบการบริหารประเทศก็เจอพวกมากลากไป นำมาสู่การแก้กฎหมายแก้โน่นแก้นี่ ทำให้เกิดช่องว่าง ดังนั้นจะเกิดไปอีก บทเรียนที่ในห้วงเวลาที่ผ่านมา น่าจะทำความเข้าใจส่งลงไปให้ประชาชนตั้งแต่รากแก้วมีความเข้าใจ ผมคิดว่ามันถึงจะเดินไปสู่ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ของเราได้

ถาม - ขั้นตอนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะสามารถแก้ปัญหาที่ผ่านมาได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่วนเวียนอยู่กับปัญหาเดิมคือการรัฐประหาร

ตอบ- ทั้งสภานิติบัญญัติฯ สภาร่างรัฐธรรมนูญ นักกฎหมาย และผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งสถานการณ์ที่ผ่านมาน่าจะบ่งชี้ให้รัฐธรรมนูญมีกรอบในการเดิน ผมเชื่อว่าอย่างนั้น เพราะทุกคนก็มีทุกข์ ทุกคนก็มีสุข ตรงนี้เป็นเครื่องชี้ให้การจัดทำรัฐธรรมนูญได้กำหนดสักทีว่าควรจะเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญที่ผมพูดกับทุกคนเสมอ คือ ปัญหารัฐธรรมนูญไม่มีความหมาย หากนักการเมืองไม่มีจริยธรรม ไม่มีคุณธรรม และไม่มีอุดมการณ์ ดังนั้น จึงฝากหลายคนไปว่าทำอย่างไรให้นักการเมืองที่จะเข้ามาบริหารประเทศเป็นนักการเมืองที่มีอุดมการณ์ ผมปรารถนาเท่านั้นในบ้านเมืองไทย

""""ฯลฯ"""
บันทึกการเข้า

snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #22 เมื่อ: 14-11-2006, 07:49 »

ใครได้ประโยชน์ละครับ ชนชั้นนำคนใหน กลุ่มใหนที่ชี้นำให้ปฏิวัติ เพื่อรักษาผลประโยชน์ ช่วยบอกให่เอาบุญที

เพราะคุณก็วิเคราะห์ตามนั้นไม่ใช่หรือ

ใครเป็น ไดโนเสาร์หลงยุคครับ ช่วยบอกที


ใครก็ตามที่ทำพฤติกรรมเช่นนั้นค่ะ
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #23 เมื่อ: 14-11-2006, 07:52 »


ถ้าอ่านตามข้อเขียน อ.นิธิ หมายถึงส่วนที่ชำรุดในระบบการเมือง

คือพรรคการเมือง นักการเมืองสังกัดพรรค  การแบ่งเขตเลือกตั้งที่ใหญ่เกินไป

ทำให้ไม่ได้สส.อิสระ ตามกลุ่มชาวบ้านที่เลือกเข้ามา

สส.ก็เลยตอบสนองชาวบ้านน้อยกว่าพรรค เป็นเหตุให้ระบบการเมืองล่ม

รัฐธรรมนูญพลอยล่มไปด้วย

.......

ก็เป็นการอธิบายส่วนที่มองเห็นว่าขาดหายไปและให้ข้อเสนอแนะ ไม่ได้ฟันธงหรอก อ่านกันให้ดี   

ขอบคุณค่ะ ถึงไม่ฟันก็เชื่อ
เพราะคิดแบบนี้อยู่บ้างเหมือนกัน
จากคำว่า “ชิ้นส่วน” ที่สะท้อนว่าน่าจะเป็นสิ่งละอันพันละน้อย
ที่ประกอบเข้าด้วยกันได้ และมีหลากหลายชนิด มิใช่ชิ้นใหญ่ชิ้นเดียว
คือ คิดไว้หลายอย่าง แต่ไม่แน่ใจว่าอันไหนใช่มากกว่า
จึงได้ถามความเห็นท่านอื่นๆ ว่าคิดอย่างไร
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #24 เมื่อ: 14-11-2006, 12:55 »

เรื่องของ "กติกา" กับ "คน"

เรื่องของ "ระบบ" กับ "คน"

เรื่องของ "คนสร้างระบบ" กับ "คนในระบบ"

รัฐธรรมนูญ คือ "ผลผลิต" จากคนในระบบ

จริง ๆ ก็คือ มันหาสัดส่วนที่ลงตัวไม่ได้

ที่มันชำรุดจะบอกว่า รัฐธรรมนูญชำรุด ( เพียงอย่างเดียว ) ก็ไม่ชัดนัก เพราะคนร่างก็พยายามทำให้ดีที่สุด ลอกบ้าง ปรับมาบ้าง

แต่ทั้งหมดมันก็คือ "ความชำรุด" ที่เกิดจากตัวมันเองประการหนึ่งและเกิดจากคนใช้นั่นอีกประการหนึ่ง

กล่าวโดยสรุปก็คือ อะไรที่นำไปสู่ความไม่ดี ก็ทั้งคนและระบบ

หาก"คนดี" อยู่ในระบบใหน ก็สามารถทำดี ทำให้เหตุการณ์ดีได้ โดยไม่ต้องพึ่งระบบมากมาย

ระบบดี...ก็สามารถควบคุมไม่ให้คนในระบบกระทำชั่ว กระทำเลวต่อผู้อื่นและต่อสังคมได้

"คนในระบบ" เพียงแค่รู้อะไรควร ไม่ควร ก็นับว่า"ประเสิรฐแล้ว"

มิใช่แค่หาช่องว่างที่จะทำชั่ว แล้วบอกว่า "กฎหมายไม่ห้าม" ซึ่งเป็นคำแก้ตัวของ "คนเลว"

จะว่าไป คำแก้ตัวที่บอกว่า "กฎหมายไม่ห้าม" หมายถึงกฎหมายที่ใช้กับประชาชนทุกคน เป็นสิทธิ์ที่จะกระทำได้หรือไม่ได้

แต่ผู้อยู่ในฐานะ "ผู้แทนฯ" หรือ "ผู้บริหารประเทศ" ต้องมี "มาตรฐาน" ที่เหนือกว่าชาวบ้าน ถึงจะเรียก "ผู้นำชาวบ้าน" หรือ "ผู้นำของสังคม"

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมาดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยิ่งต้องมีการตรวจสอบ มีการถ่วงดุลในระบบ เพราะมีอำนาจแทนชาวบ้านที่จะใช้ทั้งอำนาจและเงินของชาวบ้าน เพื่อประโยชน์ของชาวบ้านโดยรวม

"สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์" มิใช่เป็นสิ่งไม่ดีเท่านั้นหากสามารถศึกษา ตีความ หาสาเหตุที่ผิดพลาดแล้วนำมาแก้ไข

นั่นคือประโยชน์ของ "สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์"

นิธิเรียนประวัติศาสตร์ ย่อมรู้ว่า "เรียนประวัติศาสตร์ เพื่อศึกษาความดีและไม่ดีของประวัติศาสตร์ เพื่อนำมาแก้ไขหรือป้องกันความผิดพลาดในอนาคต"

เหมือนคำพูดที่ว่า..."ผิดเป็นครู"...นั้นแล...


บันทึกการเข้า

meriwa
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1,100



เว็บไซต์
« ตอบ #25 เมื่อ: 14-11-2006, 19:33 »

เรื่องง่ายก็ชอบทำให้เป็นเรื่องยากกันซะงั้น  ไม่รู้ใครเป็นไดโนเสาร์กันแน่ มัวแต่ย้ำคิดย้ำทำมันอยู่นั่นละ  ผ่านมากี่วันแล้วยังไม่เลิกพูดเรื่องนี้อีกพยายามจริงๆนะ

แยกความดีความชั่วยังไม่ออกมองไม่ออก ต้องให้ศาลตัดสินอย่างเดียว  คิดเองไม่เป็นว่างั้นเถอะ   พื้นฐานแย่มากเลยนะนี่  ศาลตัดสินน่ะมันปลายเหตุแล้วคุณ   

หลักความดีมันเหมือนเป็น Safety first ที่ป้องกันเหตุปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้นทางด้านสังคม  ก็เหมือนตามโรงงานหรือที่ทำงานอื่นๆที่เค้าก็มีหลักความปลอดภัยในการทำงานอยู่น่ะละ   แม้จะเก่งหรือเชี่ยวชาญในการทำงานนั้นแต่ถ้าละเลยไม่ยึดหลักความปลอดภัยมันก็เกิดอุบัติเหตุได้

คุณสโนว์จะบอกว่าการรัฐประหารไม่ดีก็ไม่มีใครว่าหรอก แต่อย่าพยายามเอาเรื่องของความดีไปอธิบายว่าเป็นตัวปัญหาของระบบประชาธิปไตยเลย   เพราะคุณยังแยกไม่ออกเลยว่าอะไรดีอะไรชั่ว ก็อย่าไปพูดถึงเลย  อธิบายแบบไม่รู้ยิ่งจะทำให้คุณมีอคติกับเรื่องความดีกับคนดี ยิ่งขึ้นซะมากกว่า
บันทึกการเข้า

ผู้ปกครองระดับธรรมดา   ใช้ความสามารถของตน    อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง       ใช้กำลังของคนอื่น             อย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง           ใช้ปัญญาของคนอื่น           อย่างเต็มที่

                                                                  ...คำคมขงเบ้ง
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #26 เมื่อ: 14-11-2006, 20:08 »

ที่จริงผมก็ไม่เคยบอกว่า การรัฐประหารเป็นสิ่งที่ดีนะ

แต่เมื่อทำไปแล้ว และจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เราก็ต้องยอมรับในผลแห่งการกระทำนั้น

เรายังมีเวลาอีกเยอะ ที่จะพิสูจน์...บางที...โจรพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาล ผมต้องขอบใจโจรนะ...

ส่วนโจรจะต้องไปรับกรรมในคุก นั่นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง

แต่สังคมกำลังเข้าสู่ยุค ปรับปรุง - เปลี่ยนแปลง เราก็น่าจะช่วยกันทำให้สังคมสร้างสรรค์สิ่งดีงามไม่ดีกว่าหรือ


อย่างน้อยก็เสมือนหยุดเพื่อซ่อมแซมบ้านเมือง ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
บันทึกการเข้า

********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #27 เมื่อ: 15-11-2006, 08:25 »



รัฐประหารคราวนี้ ถ้าจะให้กล่าวโทษ ก็ขอกล่าวโทษทักษิณมากที่สุด

ที่ปล่อยให้ทุกอย่างเดินมาถึงจุดนี้ โดยที่มีทางหลีกเลี่ยงได้มากมาย 

พรรคไทยรักไทยแตกกระจายก็เพราะทักษิณ จะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะเปลี่ยนหัวหน้าพรรคแล้ว

มองเห็นกันชัดเจน ปฏิเสธอย่างไรไม่ได้เลย

                                                               
บันทึกการเข้า

room5
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 573



« ตอบ #28 เมื่อ: 15-11-2006, 19:44 »

กล้า ๆ หน่อยคุณเกล็ดหิมะ วัน ๆ อย่ามัวแต่เอากระโปรงบังหน้า หรือไม่ก็แอบอยู่หลังบทความของนักวิชาการหัวสี่เหลี่ยมทั้งหลาย 



กล้าอะไรหรือคะ?
ด่าคนอื่นอย่างที่คุณทำน่ะหรือ?
ดิฉันไม่คิดว่าต้องอาศัยความกล้าอะไรในการทำแบบนั้นหรอก
ถ้าคุณยังคิดว่าเป็นวีรกรรม หรือการกระทำที่สูงส่งอะไรก็เชิญคิดต่อไปได้ค่ะ




การไที่ไม่เคยด่าคนอื่นไม่ได้หมายความว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นเท่าไรนักหรอก
บันทึกการเข้า
snowflake
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,207



« ตอบ #29 เมื่อ: 20-11-2006, 05:41 »

ลอยหน้าท้าความเสื่อม

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

ผมเคยตั้งข้อสังเกตตั้งแต่วันแรกที่ คปค. ยึดอำนาจว่า มีอะไรบางอย่างของคณะทหาร
ชุดนี้ที่คล้ายกับการยึดอำนาจของสฤษดิ์ ธนะรัชต์

บัดนี้ความคล้ายอีกอย่างก็ตามมา นั่นคือการตั้งทหารชั้นผู้ใหญ่ไปคุมรัฐวิสาหกิจ ซ้ำยัง
ไม่ใช่ด้วยคำสั่งของรัฐบาล (ที่คณะทหารตั้งขึ้นเองด้วย) แต่เป็นคำสั่งของคณะทหารที่
ยึดอำนาจได้โดยตรง

ไม่มีใครเข้าใจว่ากลุ่มรัฐประหารทำสิ่งนี้ทำไม เสียงจากข้างนอก (ซึ่งไม่ใช่สื่อกระแสหลัก
นัก) คือบ้างก็ว่า เป็นบำเหน็จความเหนื่อยยาก, บ้างก็ว่าเป็นการซื้อใจ, บ้างก็ว่าเป็นการ
แบ่งทรัพย์เชลย

แต่หัวหน้าคณะทหารที่ทำรัฐประหารอธิบายว่า นายทหารเหล่านั้นล้วนมีความสามารถ
เหมาะกับงานที่ถูกส่งไปคุม มีความซื่อสัตย์สุจริต จึงอาจช่วยทำให้ รสก. เหล่านั้นปลอด
พ้นจากการทุจริต

สมมติฐานก็คือ รสก. เหล่านั้นเต็มไปด้วยการกระทำทุจริต และการดูแลไม่ให้เกิดการ
ทุจริตอย่างนั้นได้ อยู่ที่ต้องเลือกประธานบอร์ดที่มีความสามารถและซื่อสัตย์

โลกกลับไปง่ายเหมือน พ.ศ. 2500 เมื่อสฤษดิ์ยึดอำนาจ และ รสก. ของไทยยังเป็น
ธุรกิจเล็กๆ ที่ผู้บริหารยังสามารถเดินสั่งภารโรงเก็บกวาดสำนักงานได้อยู่

แต่ธุรกิจของ รสก. ในปัจจุบันมีขนาดมหึมากว่านั้นเป็นอันมาก และการทุจริตใน รสก.
หากจะมี ก็ย่อมมีความสลับซับซ้อนกว่ากันมาก จะแก้ไขปรับปรุงอย่างไร หากเชื่อว่ามี
"หัวหน้า" ที่ซื่อสัตย์สักคนเดียวแล้วจะแก้ไขได้ ก็ต้องมีใครสักคนหรือสักกลุ่มเป็นผู้ชี้นิ้ว
ให้คนซื่อสัตย์เข้าไปบริหารหรือคุมบอร์ดเสมอไป


เช่นเดียวกับความสามารถ ต้องมีใครสักคนหรือกลุ่มหนึ่งเป็นผู้วินิจฉัยว่า คนมีความ
สามารถคือคนไหนตลอดไป

คุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกกล่าวหาว่าตั้งแต่สมัครพรรคพวกเข้าไปเป็นผู้บริหารทั้ง รสก.
และหน่วยงานอื่นๆ ก็อาจใช้เหตุผลเดียวกันนี้แหละได้ด้วยความชอบธรรมเท่าๆ กัน

หากคณะทหารกลุ่มนี้ยึดอำนาจ เพื่อแก้ไขปัญหาที่คุณทักษิณก่อเอาไว้อย่างที่อ้าง ไม่ใช่
เพียงเพื่อเข้าไปมีอำนาจเป็นผู้วินิจฉัยเสียเอง สิ่งที่ต้องคิดก็คือ จะสร้างระบบอะไรที่ทำให้
คนอื่นๆ (สภา, ป.ป.ช., และที่สำคัญคือสื่อและสังคม) สามารถตรวจสอบการทำงานของ
รสก. ได้ตลอดเวลา มีระบบคัดเลือกอะไรที่ทำให้เราได้คนมีความสามารถและซื่อสัตย์ ใน
ขณะที่ป้องกันการแทรกแซง
จากผู้มีอำนาจทางการเมือง (ไม่ว่าจะผ่านการเลือกตั้งหรือ
รัฐประหาร)

รัฐธรรมนูญปี 2540 ที่พวกเขาฉีกทิ้งไปนั่นแหละ ที่พยายามจะออกแบบให้ระบบทำงาน
ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสุจริต
กลไกที่ออกแบบไว้อาจทำงานได้ไม่เต็มที่หรือถูก
ทำลายลง ด้วยเหตุใดจำเป็นต้องศึกษากันให้รอบคอบ และปรับปรุงแก้ไขกลไกเหล่านั้น
ให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ไม่ใช่กลับไปใช้การคัดเลือกบุคคลหรือพรรคพวกของผู้มีอำนาจอย่าง
ที่เคยทำมาครั้งสฤษดิ์

อันที่จริง เพราะประสบการณ์อันเลวร้ายของการปล่อยให้ผู้มีอำนาจ (ไม่ว่าจากการเลือกตั้ง
หรือรัฐประหาร) คัดเลือกคนเข้าสู่ตำแหน่งตามใจชอบนี่แหละ ที่ทำให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญ
2540 พยายามสร้างกระบวนการ
คัดคนเข้าสู่ตำแหน่งที่โปร่งใสขึ้น ในที่สุดคณะรัฐประหาร
ชุดนี้ก็กลับไปหาประสบการณ์อันเลวร้ายนั้นใหม่อีก ด้วยเหตุผลเดียวกับผู้มีอำนาจในอดีต
เคยอ้างมาแล้วด้วย คือความสามารถและความซื่อสัตย์ของบุคคลที่ตัวเลือกมา

ที่ผ่านมาในอดีต ก่อนรัฐธรรมนูญ 2540 เหตุผลเหล่านี้ล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น นอกจาก
บุคคลเหล่านั้นไม่มีความสามารถแล้ว ยังฉวยโอกาสตักตวงผลประโยชน์เข้าตัวอย่าง
ล้นเหลือเพราะเขาไม่ต้องรับผิด (accountable) ต่อใคร นอกจากผู้มีอำนาจที่ตั้งเขา
ให้ดำรงตำแหน่งนั้นๆ

จะเชื่อได้อย่างไรว่า ครั้งนี้จะต่างจากที่เคยผ่านมานับเป็นหลายทศวรรษในการเมืองไทยเล่า

ยิ่งคิดว่าคณะทหารที่ยึดอำนาจบ้านเมืองกลุ่มนี้ หวงอำนาจการแต่งตั้งไว้ในมือของตน
หลายอย่าง นับตั้งแต่สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ, คณะบุคคลที่ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ,
ฯลฯ การแต่งตั้งนายทหารไปดำรงตำแหน่งประธานบอร์ด รสก. ในครั้งนี้ ก็ยิ่งทำให้การ
ปฏิรูปการเมือง
ที่คณะรัฐประหารเป็นผู้กำกับอย่างออกหน้าครั้งนี้ จะน่าไว้วางใจได้น้อย
ลงเพียงใด

ผมนึกไม่ออกเหมือนกันว่า ใครจะสามารถยับยั้งขัดขวางการตัดสินใจที่สายตาสั้นของ
คณะรัฐประหารได้ สังคมขยับเขยื้อนไม่ออก ส่วนหนึ่งเพราะกฎอัยการศึก แต่อีกส่วนที่
สำคัญกว่าคือการสร้างความกลัวให้แก่ผู้คนในสังคมว่า คลื่นใต้น้ำกำลังก่อตัวรุนแรง
อันจะนำไปสู่การเสียเลือดเสียเนื้อที่ไม่จำเป็น

(ถ้าจริงตามนั้น สิ่งที่น่าจะถามก็คือแล้วผู้มีอำนาจ "ติดอาวุธ" อะไรให้แก่ประชาชน
ในการต่อสู้กับคลื่นใต้น้ำนั้นบ้าง)

เมื่อไรที่ผู้ปกครองเฝ้าสร้างความหวาดกลัวให้แก่ประชาชน จงรู้ไว้เถิดว่า เมื่อนั้นผู้มี
อำนาจกำลังลิดรอนอำนาจของประชาชนลง เพื่อไม่ให้ประชาชนหือกับพวกเขาเท่านั้น...
(ถ้าคุณปอดแหกขนาดนั้น ก็กลับไปนอนบ้านเถิด)

ถ้าไม่พึ่งสังคม ก็เหลือแต่เพียง ครม.และสภานิติบัญญัติฯ คำถามคือคนเหล่านี้ขยับเขยื้อน
ทำอะไรบ้างที่จะยับยั้งมิให้คณะรัฐประหารเริ่มเดินเข้าสู่การยึดอำนาจถาวรอย่างหลีกเลี่ยง
ไม่ได้เช่นนี้

เมื่อก่อนที่คุณทักษิณ ชินวัตร จะถูกขับไล่ออกจากตำแหน่งด้วยการรัฐประหาร เพื่อน
นักธุรกิจของผมคนหนึ่งชอบพูดเสมอว่า ครม. และคนที่คุณทักษิณแต่งตั้งให้ไปดำรง
ตำแหน่งสำคัญๆ ทั้งหลายนั้น ต้องรับผิดชอบกับการกระทำของคุณทักษิณด้วย จะมา
อ้างว่าเป็นแค่ลูกน้องเขาไม่ได้

ผมก็อยากพูดอย่างเดียวกันบ้างกับ ครม.ของคณะรัฐประหาร และสภานิติบัญญัติฯซึ่ง
ล้วนได้รับการแต่งตั้งจากคณะทหารชุดนี้ทั้งสิ้น

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้า คนเหล่านี้มีส่วนต้องรับผิดชอบ เพราะเขามีโอกาสที่จะ
หยุดยั้งกระบวนการที่อำนาจกำลังผันแปรไปสู่ทรราช แต่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะ
ความแหย, ความโลภ, หรือความเขลาก็ตามที

มติชน วันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10481

http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act02201149&day=2006/11/20

ไม่ว่าผู้มีอำนาจจะได้อำนาจมาทางใด
เราก็ต้องมีระบบหรือกลไกที่ตรวจสอบได้
จะยกเว้นเสีย ให้ใครหรือกลุ่มบุคคลใด
ที่บอกว่าดี มาเลือกคนที่เขาว่าเก่งว่าดี
ตามอำเภอใจ หาได้ไม่


 
บันทึกการเข้า

Even the smallest person can change the course of the future.
********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #30 เมื่อ: 20-11-2006, 05:51 »



เอ ที่ผมสงสัยคือ มีใครแสดงอาการกลัว คมช.เหรอครับ

แต่ผมไม่กลัวนะครับ   เอาปืนมาขู่ก็เกรงนิดหน่อย

หวังว่า คมช. จะไม่สร้าง อะไรที่ กระทบคนบริสุทธิ์ และโอกาสในการเจริญก้าวหน้าของเขา


กฏอัยการศึก ก็ควรหาจังหวะยกเลิกได้แล้ว ภายในสัก3เดือน ถึง 1ปี
 
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
    กระโดดไป: