ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
08-07-2025, 12:41
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ทำไมจะต้องปฏิวัติซ้อนขึ้นมา-----ในเมื่อเหตุผลของการรัฐประหารที่ผ่านมาชัดเจน 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ทำไมจะต้องปฏิวัติซ้อนขึ้นมา-----ในเมื่อเหตุผลของการรัฐประหารที่ผ่านมาชัดเจน  (อ่าน 1173 ครั้ง)
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« เมื่อ: 13-11-2006, 09:42 »

    วันนี้นั่งสบายๆ  ปล่อยอารมณ์เดินทอดน่อง  เข้าไปในราชดำเนิน  เพื่อท่องหาอาหารสมอง  ไปเจอบทความหนึ่ง
อ่านแล้ว  ค่อนข้างจะชัดเจนและ เข้าใจ  และมองว่าน่าจะเป็นไปได้สำหรับการเป็นเหตุผลที่แท้จริงของการรัฐประหาร
ครั้งนี้
  ------เมื่อความชัดเจนในการทำรัฐประหารครั้งนี้มีเหตุผลมากพอควรแล้ว     ข่าวลือเรื่อง ปฏิวัติซ้อนจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ไม่น่าที่จะเป็นไปได้  คิดอย่างนี้นะ---

----ได้หยิบยกบางตอนของบทความมาให้ชาวเสรีไทยอ่านกัน   ถ้าใครพอมีเวลาลองอ่านให้จบนะคะ   เผื่อใครมีข้อคิดดีๆ  จะได้เอามาคุยกันค่ะ 
--------------------------------------------------------  --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------





   `"   เราสามารถสรุปได้ถึงขนาดนี้เลยไหมว่า--- การที่คุณทักษิณเข้ามาจัดสรรความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐบาลกับกองทัพเสียใหม่
     ทำลายจารีตทหารแบบเดิม เป็นปัจจัยที่ทำให้ทหารบางส่วนไม่พอใจ จนลุกขึ้นมาปฏิวัติ โดยอาศัยสถานการณ์ทางการเมืองเป็น
     เครื่องมือสร้างความชอบธรรม



     ทีนี้ เมื่อมาพิจารณาการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ผมคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน แน่นอนว่าโผทหารเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ของกลุ่มทหารชั้นนำ ที่เป็นแกนหลักของการรัฐประหาร



    ถ้าดูประวัติความเป็นมาของกลุ่มทหารที่เป็นแกนหลักในคราวนี้ ผมยังมองไม่เห็นกลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ช่วยผลักดัน ไม่มีผลประโยชน์ด้านสัมปทานโทรคมนาคมแบบสมัยก่อน อย่างเรื่องโทรศัพท์สามล้านเลขหมาย ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลเบื้องหลังประการหนึ่งของการรัฐประหารเมื่อ 15 ปีที่แล้ว การรัฐประหารครั้งล่าสุดนี้ไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ


    ผมคิดว่าองค์ประกอบที่สำคัญคือมิติทางสังคม สังคมมีความขัดแย้งยาวนานเป็นปี มีการเดินขบวนประท้วงบนท้องถนนเป็นเดือนๆ มีการจัดตั้งมวลชน ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการปะทะกัน แกนนำของพรรคไทยรักไทยใช้กลุ่มรากหญ้าในการสร้างมวลชนจัดตั้งในลักษณะที่อันตรายมาก ดังที่เราเห็นการประท้วงหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์เนชั่น หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ หรือหน้าเวทีปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ที่จังหวัดเชียงใหม่ สมาชิกพรรคไทยรักไทยเลือกที่จะใช้กลุ่มรากหญ้าเข้าปะทะกับคนชั้นกลางตามเมืองใหญ่ๆ โดยเฉพาะกรุงเทพ ฯ


     สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบทางเศรษฐกิจและสังคมที่ประกอบกันจนนำไปสู่การตัดสินใจทำรัฐประหาร ซึ่งฝรั่งหรือคนไทยหลายคนรับไม่ได้กับการที่คนไปถ่ายรูปหรือไปมอบช่อดอกไม้ให้ทหาร ตัวผมเองก็รับไม่ได้ เพราะเท่ากับเป็นการยอมรับการใช้อำนาจนอกระบบ ดังนั้น บทความใน Far Eastern Economic Review ที่ผมเขียน จึงเตือนว่า ให้ทหารรีบกลับเข้ากรมกองไปเป็นทหารอาชีพ เพราะเรากำลังปล่อยเสือเข้าป่า "



            http://www.onopen.com/2006/editor-spaces/1079
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2006, 09:50 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 13-11-2006, 09:56 »

ขออนุญาตเอาบทความฉบับเต็มมาให้อ่านกันนะคะ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


เหลียวมองแวดวงวิชาการรัฐศาสตร์ไทย อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์ เป็นหนึ่งในนักวิชาการที่เปี่ยมด้วยฉันทะทางวิชาการ และเอางานเอาการเป็นอย่างยิ่ง


   นอกเหนือจากผลงานวิชาการด้านการเมืองไทย เอเชียศึกษา กลุ่มทุนไทย กองทัพและความมั่นคง ทั้งภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จะปรากฏสู่บรรณพิภพอย่างไม่ขาดสาย อุกฤษฏ์ยังปลีกเวลาจากการทำงานในฐานะรองผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขียนคอลัมน์ ‘โลกทรรศน์’ ในมติชนสุดสัปดาห์เป็นประจำทุกสัปดาห์


    ความโดดเด่นในงานเขียนของอุกฤษฏ์คือ ‘ข้อมูล’ ซึ่งสั่งสมจากการทำงานหนักอย่างต่อเนื่องยาวนาน มิพักต้องพูดถึง ความเฉียบคมในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ ‘ข้อมูล’ ในคลัง เพื่ออธิบาย ‘ปรากฏการณ์’ ด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยแต่ละช่วงขณะ


พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ส่งเสียงแนะนำจากแดนไกล ถึง open online ว่า หลังรัฐประหาร หลังการแต่งตั้งพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่มีสิ่งใดจะเหมาะไปกว่า การชวน อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์ มานั่งวิเคราะห์เจาะลึกการเมืองไทยยุคหลัง 19 กันยายน 2549


open online เห็นด้วยอย่างที่สุด การนัดหมายพูดคุยจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว



เป็นการพูดคุยกันอย่างเต็มอิ่มสองชั่วโมงเต็ม ในวันฝนตกหนัก ท้องฟ้ามืดครื้ม อากาศเมามัว ทั่วกรุงเทพมหานคร

เป็นการพูดคุยในสถานการณ์การเมืองยุค ‘หลังทักษิณ’ ท่ามกลางคำถามที่ว่า ฤา ‘เปรมาธิปไตย’ กลับมาแล้ว? เริ่มดังระงม

..............................................................

รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 อยู่นอกเหนือความคาดหมายของอาจารย์หรือไม่


ผมคิดตลอด 2 ปีที่ผ่านมาว่า บทสุดท้ายของระบอบทักษิณจะจบลงด้วยการใช้กำลัง เพียงแต่ว่าเมื่อไหร่ และรูปแบบไหน แม้ว่าการปรากฏตัวของกลุ่มพันธมิตรจะเริ่มจากตัวบุคคลคือ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล แต่ความไม่พอใจในสังคมก็ขยายวงกว้างออกไปสู่คนกลุ่มต่างๆ ซึ่งไม่ใช่แค่คนชั้นกลาง หรือขาประจำ

ทั้งนี้เพราะระบอบทักษิณเป็นประชาธิปไตยจำแลง ในแง่นี้ฝรั่งอาจจะไม่เข้าใจ แต่ระบอบทักษิณเป็นประชาธิปไตยจำแลงจริงๆ ตั้งแต่เริ่มต้น คือเป็นนักเลือกตั้ง เป็นธนกิจการเมือง (money politics) มีการจำกัดความคิดเห็นของปัญญาชนในระดับชั้นนำของประเทศ

อาจารย์อัมมาร สยามวาลา และกลุ่มนักวิชาการใน TDRI (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย) เป็นกลุ่มแรกที่ถูกจำกัดความคิดเห็น ซึ่ง TDRI เป็นสถาบันวิจัยเชิงนโยบายมา 20 กว่าปี ติดตามและทำวิจัยด้านนโยบายสาธารณะมาตลอด ดังนั้น TDRI จึงแสดงบทบาทในการวิพากษ์วิจารณ์ทุกรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ทีนี้พอมีนโยบายใหม่ ซึ่งผมไม่คิดว่าคนไทยคนไหนจะรังเกียจนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค และนโยบายรากหญ้าทั้งหลาย แต่ในฐานะนักวิชาการหรือปัญญาชน ก็ต้องตั้งคำถามว่า นโยบายเหล่านั้นมีเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์หรือไม่ โครงการมีความเป็นไปได้หรือไม่ ต้นทุนเท่าไร TDRI ตั้งคำถามเหล่านี้ต่อรัฐบาลมาตั้งแต่แรก แล้วตัวคุณทักษิณก็รับไม่ได้ มีการตอบโต้นักวิชาการ และจำกัดความคิดเห็น

ลักษณะประชาธิปไตยจำแลงของระบอบทักษิณอีกประการหนึ่งคือ มีการใช้กำลัง ทั้งจากสถาบันหลักคือทหาร และกองกำลังพิเศษคือตำรวจ บทบาทที่สูงเด่นของตำรวจเป็นลักษณะพิเศษมาก โดยเฉพาะในช่วงท้ายๆ ที่มีการใช้ตำรวจไปจัดการหัวคะแนนหรือนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ รัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลที่มีการจัดตั้งมวลชน (organized mass) อย่างเป็นระบบ เนื่องจากมีความพร้อมในเรื่องเงินทุน และเครือข่ายในต่างจังหวัด

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-11-2006, 10:21 โดย รวงข้าวล้อลม » บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 13-11-2006, 10:01 »

ทำไมอาจารย์ถึงไม่เชื่อว่าสังคมไทยจะสามารถหาทางออกจากวิกฤตการเมือง ด้วยสันติวิธี ภายใต้กระบวนการประชาธิปไตย



    ผมไม่คิดว่าปัญหาอยู่ที่ตัวบุคคล ไม่ใช่ว่าคุณทักษิณลาออกแล้วทุกอย่างจะสงบ เพราะมันได้พัฒนาจนกลายเป็นระบอบ ( regime) อย่างจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เสียชีวิตไปแล้ว ระบอบสฤษดิ์ก็ยังอยู่ ในช่วงวิกฤตการเมือง มีคนคิดหาทางออกอยู่หลายวิธี แต่ทุกวิธีก็ดูจะใช้ไม่ได้ผล กระบวนการในสภาก็ไม่ทำงาน เพราะเสียงข้างมากเป็นของคุณทักษิณ กระบวนการแสดงความคิดเห็นนอกสภา ก็ถูกปิดกั้น ผมอยู่ที่บ้านก็ต้องฟังวิทยุชุมชน ซึ่งถูกปิดไปเรื่อย หรือถูกคลื่นแทรกอยู่ตลอด ข้อมูลทุกอย่างถูกควบคุมหมด แม้กระทั่งสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ไม่ต้องพูดถึง เพราะโดยธรรมชาติ ใครเป็นรัฐบาลก็คุมได้มากอยู่แล้ว

นอกจากนั้น กระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลจากองค์กรอิสระ ซึ่งมีที่มาจากรัฐธรรมนูญ 2540 ก็ล้มเหลว โดยเฉพาะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่วนกระบวนการอื่น อย่างกระบวนการศาล ก็เริ่มใช้ไม่ได้ในช่วงหลัง เพราะโดยธรรมชาติของศาลไม่ใช่ผู้สั่งหรือผู้กระทำ แต่เป็นผู้ที่นั่งรอให้ตำรวจ อัยการ ส่งเรื่องเข้ามา ศาลการเมืองอย่างศาลรัฐธรรมนูญ ก็ถูกควบคุมเบ็ดเสร็จตั้งแต่แรก ดังนั้น ผมเลยไม่เห็นหนทางอื่นๆ โดยเฉพาะในช่วงปีที่ผ่านมา



อาจารย์เพิ่งเขียนบทความลงใน Far Eastern Economic Review ฉบับเดือนตุลาคม 2549 (1) อาจารย์พยายามนำเสนอประเด็นอะไรเกี่ยวกับรัฐประหาร 19 กันยา

    ผมต้องการนำเสนอ 2 ประเด็นหลัก


 ประเด็นแรก การรัฐประหารครั้งนี้ไม่ได้ยิงกระสุนปืนแม้แต่นัดเดียว แต่เปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองของประเทศไทยอย่างมหาศาล นั่นคือโครงสร้างทางการเมืองที่รวมศูนย์อยู่ที่ระบอบทักษิณถูกทำลาย รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในสถาบันกองทัพด้วย ตั้งแต่ปี 2544 จนถึงก่อนรัฐประหาร เตรียมทหารรุ่น 10 (รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ) คุมกองกำลังหลักทั้งหมดในกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ รวมทั้ง สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีความสำคัญมาก แต่หลังรัฐประหาร เราเห็นการเปลี่ยนแปลงผู้คุมกำลังหลักทั้งหมด


   ตำแหน่งหนึ่งที่มีความสำคัญมากแต่คนมักมองข้ามคือ ตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องงบประมาณ และจัดการด้านบัญชี ความขัดแย้งเรื่องการแต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหม (ระหว่าง พลเอกเลิศรัตน์ รัตนวานิช กับ พลเรือเอกบรรณวิทย์ เก่งเรียน) น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งในการทำรัฐประหาร แม้ พลเอกเลิศรัตน์ ซึ่งคุณทักษิณพยายามผลักดันให้มานั่งตำแหน่งนี้จะไม่ใช่เตรียมทหารรุ่น 10 ก็ตาม แต่เป็นคนเก่ง สร้างความประทับใจให้คุณทักษิณมาก เป็นจอมพลที่กระโดดข้ามหัวนับ 15 คน แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ ปีงบประมาณหน้าจะเป็นจุดเริ่มต้นของแผน 9 ปี ของการซื้ออาวุธกองทัพทั้งหมด ภายใต้ระบบ Barter Trade (ระบบของแลกของ) ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งนี้จะมีส่วนในการเจรจากำหนดสิ่งของและมูลค่าสิ่งของที่จะนำมาแลกกับอาวุธ

   ยิ่งกว่านั้น เท่าที่ผมทราบ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ก็โชคดีมาก จริงๆ ท่านจะถูกย้ายออกจากตำแหน่งมา 2 ครั้งแล้ว พลโท อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม่ทัพภาคที่ 1 (ตำแหน่งและยศในขณะนั้น) ก็จะถูกย้าย ผมคิดว่าพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มีอิทธิพลมากที่ทำให้ทั้ง 2 คนนี้ยังอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่มีแนวโน้มสูงที่จะหลุดจากตำแหน่งเมื่อคุณทักษิณกลับมาจากนิวยอร์ก



   ประเด็นที่สอง ผมอยากจะเตือนสังคมไทย อันที่จริงผมก็ไม่ได้เห็นด้วยกับฝรั่งทั้งหมด แต่ผมไม่เชื่อว่าทหารในโลกปัจจุบันสามารถบริหารประเทศได้ภายใต้ความสลับซับซ้อนของโลกาภิวัตน์ ทหารควรรีบกลับเข้าสู่กรมกอง และแสดงบทบาทเป็นทหารอาชีพ จากนั้นก็ปล่อยให้มีการเลือกตั้ง แม้ว่าอาจจะเป็นนักการเมืองหน้าเดิม ทะเลาะกัน เถียงกัน ประท้วงกัน ก็ต้องปล่อยตามกระบวนการไป
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 13-11-2006, 10:05 »

ฟังดูราวกับว่าอาจารย์ให้น้ำหนักกับการที่คุณทักษิณแทรกแซงกองทัพมาก จนเป็นเหตุผลลึกๆ ประการหนึ่งของรัฐประหารครั้งนี้



    การเมืองต้องเกี่ยวข้องกับกองทัพอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ในระดับนโยบาย คือมันแยกกันไม่ออก เพราะกองทัพเป็นกลไกหนึ่งในระบบราชการ รัฐบาลพลเรือนก็ต้องไปเกี่ยวข้องในเชิงนโยบาย ตรงนี้เป็นความเกี่ยวข้องบนเหตุผลที่เข้าใจได้ อาจมีทะเลาะกันบ้าง เช่นสมัยรัฐบาลชวน 1 มีการเบรกการซื้อเรือดำน้ำ ทหารก็ไม่พอใจ

แต่ในรัฐบาลชุดที่แล้ว คุณทักษิณแทรกแซงกองทัพอย่างน่าเกลียดผิดปกติ ด้วยความที่คุณทักษิณเป็นคนฉลาด และด้วยความเป็นนักธุรกิจ ท่านรู้ดีว่าการเป็นรัฐบาลในวันข้างหน้าขาดการสนับสนุนจากกองทัพไม่ได้ ซึ่งก็เป็นความเป็นจริงของการเมืองไทย ท่านก็พยายามหาฐานสนับสนุนในกองทัพด้วยวิธีการต่างๆ

เมื่อคุณทักษิณเข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่ๆ มีความพยายามที่จะย้ายพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งคุมกำลังอย่างเดียว แต่มีบทบาทในการดำเนินนโยบายระดับภูมิภาค (regional policy) โดยเฉพาะนโยบายต่อพม่า ซึ่งกองทัพในขณะนั้นมีนโยบายเรื่องพม่าแตกต่างจากนโยบายของคุณทักษิณมาก เพราะคำแรกที่คุณทักษิณบอกคือ พม่าเป็นเพื่อนบ้านของไทย ซึ่งแตกต่างจากแนวนโยบายของกลุ่มทหารในช่วงนั้น

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ การดึงพลเอกชัยสิทธิ์ ชินวัตร ญาติของท่าน ซึ่งเป็นทหารสายพัฒนา อยู่ภาคใต้มา 10 ปี แต่เพียงแค่ปีครึ่งได้ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการทหารบก ตรงนี้ไปผิดจารีตของทหาร

นอกจากนั้น ยังมีการเลื่อนตำแหน่งให้เพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 อย่างรวดเร็ว นายทหารเพื่อนร่วมรุ่นในสำนักงานปลัดกระทรวง รวมถึงตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกันในกระทรวงกลาโหม ได้ยศพลโท พลเอก เร็วมาก ผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่นายทหารหลายคนรับไม่ได้

คุณทักษิณยังกระจายกลุ่มเพื่อนพ้องเตรียมทหารรุ่น 10 ไปคุมกำลังหลัก ผมไม่แน่ใจว่ามากหรือน้อยกว่าสมัย จปร.รุ่น 7 แต่ไปนั่งอยู่ในระดับสำคัญมาก โดยที่บางครั้ง ใช้คนไม่ถูกกับงาน เช่น แต่งตั้งพลเอกทรงกิตติ จักกาบาตร์ ซึ่งเป็นทหารที่เก่ง และมีประสบการณ์ในติมอร์ตะวันออก ไปเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ดูแลสถานการณ์ไม่สงบในภาคใต้ ซึ่งท่านไม่มีความรู้และประสบการณ์เรื่องภาคใต้ แต่เป็นคนที่คุณทักษิณไว้วางใจได้ เมื่อเผชิญปัญหาภาคใต้ที่มีความซับซ้อน ก็ส่งผลตรงกันข้าม เพราะรัฐบาลได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

นอกจากคุณทักษิณแทรกแซงการโยกย้ายทหารอย่างน่าเกลียดขึ้นกว่ารัฐบาลที่ผ่านๆ มา ในระดับโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลและกองทัพมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญอย่างไรบ้าง

ในหนังสือ The Thaksinization of Thailand ที่ผมเขียนร่วมกับ Duncan McCargo ผมใช้คำว่า ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลทักษิณและกองทัพมีลักษณะ distasteful structural corruption มีการดึงทหารบางกลุ่มเข้ามาร่วมโต๊ะบุฟเฟต์ ดึงเข้ามาเป็นพวก เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับทหารเหมือนรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ประสบการณ์ครั้งนั้นเตือนเราว่า ประชาธิปไตยไทยจบลงอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่กำลังมีผู้เล่นใหม่ๆ ทางการเมือง มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

ข้อมูลที่สนับสนุนการร่วมกันกินกับทหารบางกลุ่มคือ การทุจริตคอร์รัปชั่นเรื่องการซื้ออาวุธของกองทัพอากาศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะทหารอากาศไปเกี่ยวกับการบินเชิงพาณิชย์ด้วย หรือการล่อด้วยแผน 9 ปี อยากได้อะไรจะจัดซื้อให้ นี่เป็นจุดเชื่อมโยงให้เห็นว่า มีการร่วมกินโต๊ะระหว่างนักการเมืองกับทหารบางกลุ่ม

อีกอย่างหนึ่งคือ มีการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศมีความสัมพันธ์ส่วนตัวแบบพิเศษมาก เพราะได้สมรสกับเพื่อนสนิทของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร

เราสามารถสรุปได้ถึงขนาดนี้เลยไหมว่า การที่คุณทักษิณเข้ามาจัดสรรความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐบาลกับกองทัพเสียใหม่ ทำลายจารีตทหารแบบเดิม เป็นปัจจัยที่ทำให้ทหารบางส่วนไม่พอใจ จนลุกขึ้นมาปฏิวัติ โดยอาศัยสถานการณ์ทางการเมืองเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรม

คำถามนี้อาจจะแคบไปนิดหนึ่ง ผมอยากจะเปรียบเทียบการรัฐประหารครั้งนี้กับครั้งรัฐประหารรัฐบาลพลเอกชาติชายเมื่อ พ.ศ. 2534 สมัยนั้นความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองพลเรือนกับทหารก็มีให้เห็นอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าย้อนกลับไปดูจะเห็นว่า นายทหารรุ่น จปร.5 (ซึ่งเป็นผู้นำการรัฐประหารครั้งนั้น) มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนอย่างมหาศาล ซึ่งผมคิดว่ามันมีความขัดแย้งตรงนั้นเป็นองค์ประกอบด้วย โดยมีความพยายามที่จะแต่งตั้งพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก มาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นจุดตัดสินใจ



แต่ถ้ามองให้กว้างขึ้นอีก จะเห็นว่า มันไม่ใช่แค่เรื่องโผโยกย้าย เพราะถ้าแค่เรื่องนี้ สังคมไทยในเวลานั้นก็คงไม่มีใครสรรเสริญ รสช. ซึ่งคนล้อเลียนว่า “รู้สึกช้า” แต่พอสุดท้าย เมื่อมีความพยายามสืบทอดอำนาจ จากที่บอกว่าผมจะไม่รับตำแหน่งก็กลายเป็นเสียสละเพื่อชาติ สังคมไทยก็รับไม่ได้ ขาดความชอบธรรม จากที่อ้างเหตุผล 5 ข้อ แต่ที่จริงแล้วก็ล้วนทำเพื่อพวกพ้องตัวเอง ประชาชนก็ชุมนุมใหญ่ จนเกิดพฤษภาทมิฬ มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่

ทีนี้ เมื่อมาพิจารณาการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ผมคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน แน่นอนว่าโผทหารเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ของกลุ่มทหารชั้นนำ ที่เป็นแกนหลักของการรัฐประหาร

ถ้าดูประวัติความเป็นมาของกลุ่มทหารที่เป็นแกนหลักในคราวนี้ ผมยังมองไม่เห็นกลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ช่วยผลักดัน ไม่มีผลประโยชน์ด้านสัมปทานโทรคมนาคมแบบสมัยก่อน อย่างเรื่องโทรศัพท์สามล้านเลขหมาย ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลเบื้องหลังประการหนึ่งของการรัฐประหารเมื่อ 15 ปีที่แล้ว การรัฐประหารครั้งล่าสุดนี้ไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

ผมคิดว่าองค์ประกอบที่สำคัญคือมิติทางสังคม สังคมมีความขัดแย้งยาวนานเป็นปี มีการเดินขบวนประท้วงบนท้องถนนเป็นเดือนๆ มีการจัดตั้งมวลชน ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการปะทะกัน แกนนำของพรรคไทยรักไทยใช้กลุ่มรากหญ้าในการสร้างมวลชนจัดตั้งในลักษณะที่อันตรายมาก ดังที่เราเห็นการประท้วงหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์เนชั่น หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ หรือหน้าเวทีปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ที่จังหวัดเชียงใหม่ สมาชิกพรรคไทยรักไทยเลือกที่จะใช้กลุ่มรากหญ้าเข้าปะทะกับคนชั้นกลางตามเมืองใหญ่ๆ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ

สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบทางเศรษฐกิจและสังคมที่ประกอบกันจนนำไปสู่การตัดสินใจทำรัฐประหาร ซึ่งฝรั่งหรือคนไทยหลายคนรับไม่ได้กับการที่คนไปถ่ายรูปหรือไปมอบช่อดอกไม้ให้ทหาร ตัวผมเองก็รับไม่ได้ เพราะเท่ากับเป็นการยอมรับการใช้อำนาจนอกระบบ ดังนั้น บทความใน Far Eastern Economic Review ที่ผมเขียน จึงเตือนว่า ให้ทหารรีบกลับเข้ากรมกองไปเป็นทหารอาชีพ เพราะเรากำลังปล่อยเสือเข้าป่า


จะเป็นไปได้อย่างไรที่ เสือเข้าป่าไปแล้ว จะเดินกลับมาเข้ากรงอีก



คำถามนี้สะท้อนถึงความเป็นจริง พลวัต และเสน่ห์ของเศรษฐกิจการเมืองไทย ซึ่งฝรั่งไม่มีทางเข้าใจ สิ่งที่คณะรัฐประหารต้องทำหลังรัฐประหารสำเร็จ เช่น หนึ่ง ต้องออกกฎหมายนิรโทษกรรมตนเอง เพื่อให้การรัฐประหารถูกต้องตามกฎหมาย จึงต้องดึงตัวอดีตมือกฎหมายไปเขียน ซึ่งมีอยู่ไม่กี่คนที่เขียนได้โดยที่ใครก็แย้งไม่ได้

สอง เขาอ้างได้ว่า มันมีเซลล์ต่างๆ ของนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่เสียผลประโยชน์ มีความพยายามสร้างความรุนแรง เช่น การเผาโรงเรียน เลยต้องคงอำนาจไว้ระยะหนึ่งให้มั่นใจได้ว่าการถ่ายอำนาจจากคณะรัฐประหารสู่รัฐบาลชั่วคราวเป็นไปโดยเรียบร้อย

ในอีกแง่หนึ่ง เราจะสังเกตได้ว่า องค์ประกอบของคณะรัฐประหารมีความเปลี่ยนแปลง ตอนแรกคณะรัฐประหารประกอบด้วย 5 ฝ่าย รวมตำรวจด้วย แต่โครงสร้างล่าสุดเมื่อกลายสภาพเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) มีทหารบกเป็นแกน ขณะที่ฝ่ายอื่นเริ่มมีบทบาทน้อยลง พลเอกเรืองโรจน์ มหาศรานนท์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็หายไปแล้ว รองประธาน คปค. ที่เป็นรองประธาน คมช. เหลือเพียง พลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ คนเดียว ส่วนคนอื่นเป็นเพียงสมาชิก ขณะที่มีการเพิ่มพลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา สองผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการรัฐประหารเข้ามาเป็นผู้ช่วยเลขาธิการ คมช.

โจทย์ต่อไปของเราก็คือ รัฐบาลชั่วคราวเป็นรัฐบาล “หอยในเปลือก” เหมือนที่สมัยรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นหรือไม่ อีกโจทย์หนึ่งที่สำคัญคือ การเมืองไม่ได้เป็นแค่เรื่องของสภาหรือนักการเมือง แต่การเมืองเป็นเรื่องของประชาชน ดังนั้น การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนเป็นเรื่องสำคัญ กระแสสังคมเหล่านี้จะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญให้ทหารกลับเข้ากรมกอง

ผมคิดว่า การเคลื่อนไหวแสดงความไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารของฝ่ายต่างๆ เช่น จัดชุมนุม จัดเสวนาการเมือง ทำไปเลย สื่อมวลชนเขียนวิจารณ์ไปเลย ถึงแม้จะมีการประกาศกฎอัยการศึก แต่เราไม่ได้ทำในลักษณะพรรคการเมือง เราทำด้วยจุดยืนของเสรีภาพทางวิชาการ และจุดยืนในการปกป้องกลไกของระบอบประชาธิปไตย

ฝ่ายทหารต้องจัดสรรโครงสร้างอำนาจให้ดี ผมไม่อยากให้ซ้ำรอยเดิม ยกตัวอย่าง ถ้ามีนักธุรกิจขนาดใหญ่จำนวนมาก วิ่งเข้าหาทหารกลุ่มนี้ แล้วหากผู้นำทหารเริ่มเสพติดอำนาจขึ้นมา มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เช่น หุ้นฟรีของบริษัทใหญ่ๆ มีสัมปทานใหม่ขึ้นมา มันก็จะกลับไปเหมือน 15 ปีที่แล้ว ตรงนี้อันตรายมาก อาจเสียคนได้

บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 13-11-2006, 10:12 »

ในฐานะที่อาจารย์ติดตามศึกษาบทบาทของกลุ่มทหารมานาน อยากให้ช่วยวิเคราะห์ปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จของกลุ่มทหารที่ทำรัฐประหารครั้งนี้




    ก่อนหน้านี้ ผมมีโอกาสไปฟังการประชุมของทหารชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งมีบรมครูทางรัฐศาสตร์ไปพูด อาจารย์ท่านนั้นพูดว่า ดูหน้าน้องๆ ซึ่งในความหมายของท่านก็คือเหล่าพันเอกที่นั่งฟังอยู่ แต่ละคนไม่กล้าทำรัฐประหารหรอก คนทำรัฐประหารได้ต้องพวก จปร.1 จปร.5 หรือ จปร.7 เพราะว่าทหารเหล่านั้น ผ่านสงครามเวียดนาม ผ่านสงครามปราบปรามคอมมิวนิสต์ ทำสงครามจริงมาแล้ว เพราะการทำรัฐประหารต้องใจถึงมาก

ผมดูแผนการรัฐประหารครั้งนี้แล้ว คิดถึงคำพูดของอาจารย์รัฐศาสตร์ท่านนั้น ในทางตรงกันข้าม ผมคิดว่าคุณทักษิณตัดสินใจผิดที่เลือกเตรียมทหารรุ่น 10 มาคุมกำลัง เพราะเป็นทหารนอกสายคุมกำลังมานาน ทหารเหล่านี้ไม่มีความสามารถและใจไม่ถึงที่จะทำรัฐประหาร เพราะถ้าผิดพลาดมีโอกาสเป็นกบฏ ทหารในเมืองเหล่านั้นกล้าหรือเปล่า นี่เป็นประเด็นหนึ่งที่เป็นตัวตัดสินว่าทหารฝ่ายไหนจะกล้าเริ่มก่อน

จุดชี้ขาดความสำเร็จของการรัฐประหารอยู่ที่ความเด็ดเดี่ยว ชิงลงมือก่อน และใช้คนน้อย ถ้าดูจากกองกำลัง ทหารและผู้รู้เรื่องทหาร ที่ผมสอบถาม เขาเล่าว่า การรัฐประหารครั้งนี้ใช้หน่วยงานและกองกำลังไม่กี่แห่ง กองกำลังหลักมาจากพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา (แม่ทัพภาคที่ 1 ในขณะนั้น) ซึ่งสั่งรถถังออกได้ และทางผู้บัญชาการศูนย์สงครามพิเศษ (ผบ.นศส.) ซึ่งใกล้ชิดกับพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ส่วนกองทัพภาคที่ 3 ผ่านมาสองวันแล้วถึงเข้ามาสมทบ



ฝ่ายคุณทักษิณไม่ได้คาดการณ์ว่ามีการเตรียมรัฐประหารโดยทหารฝ่ายตรงข้ามหรือ



ความจริงแล้ว การสื่อสารภายในกองทัพมีการตรวจสอบอย่างละเอียดตลอดเวลา มือถือยังโดนตรวจสอบ ผมทราบมาว่า ผู้นำกองทัพบางคนสามารถถูกเช็คจากมือถือได้ว่าอยู่ตรงไหน ถ้าถามว่าแล้วเตรียมการรัฐประหารอย่างไร ผมคิดว่าคณะรัฐประหารอาจจะต้องมีโค้ดพิเศษในการสื่อสารระหว่างกลุ่มของตนเอง ซึ่งเป็นไปได้ เพราะหน่วยรบพิเศษ ทหารที่สู้รบในป่า ต้องมีวิธีการจัดการเรื่องอย่างนี้ ขณะที่ฝ่ายทหารของรัฐบาลมีความสามารถด้านนี้ไม่เท่า

วันที่เกิดรัฐประหาร มีทหารกลุ่มหนึ่งไปยึดศูนย์ไทยคมที่แคราย เพื่อควบคุมการส่งสัญญาณดาวเทียม และแทรกแซงการเผยแพร่ประกาศภาวการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งทางคุณทักษิณเองได้เขียนเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่ยังไม่ลงวันที่ พกติดตัวไปที่นิวยอร์ก นี่เป็นเหตุผลเดียวกับที่คุณทักษิณพาพลเอกสนธิไปเยือนพม่าด้วย คือต้องเอาไว้ใกล้ตัว

แต่ช่วงเช้าของวันรัฐประหาร มีการประชุมคณะรัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพไม่เข้าร่วมประชุมเลย ตรงนี้ไม่ใช่สัญญาณบอกเหตุผิดปกติหรือ ทำไมคุณทักษิณไม่ประกาศภาวะฉุกเฉินหรือย้ายพลเอกสนธิมาประจำทำเนียบฯ ตั้งแต่หัววัน

คุณทักษิณไม่แน่จริง ถ้าแน่จริง คงไม่ต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ ถ้านายกฯ อยู่เมืองไทย ใครจะกล้าปฏิวัติ แต่เป็นเพราะคุณทักษิณมีทรัพย์สินเงินทองมหาศาล และไม่แน่จริง คุณจะไปบัญชาการได้อย่างไรถ้าตัวอยู่ที่นิวยอร์ก ในสถานการณ์แบบนี้ เป็นนายกฯ ต้องอยู่ที่นี่



อาจารย์คิดว่าคุณทักษิณไม่ยอมกลับประเทศ เพราะรู้ว่าจะมีปฏิวัติ เลยกลัว หรือว่าคุณทักษิณอยู่ต่างประเทศ ทหารเลยกล้าปฏิวัติ


คำถามนี้ตอบยาก แต่ผมคิดว่าคำพูดของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ว่า “ปากกล้า ขาสั่น” น่าจะจริง ทรัพย์สินส่วนหนึ่งที่จะยึดคืนกลับมาไม่ได้ แน่ใจได้เลยว่าใช้นอมินีถือแทนแต่แรกแล้ว กระเป๋าจำนวนมากที่ขนไปตอนเดินทางต่างประเทศคงไม่ใช่เงินหรอก แต่อาจเป็นเพชร ซึ่งแลกเปลี่ยนได้ ชื่อเจ้าของบ้านที่อยู่ที่ลอนดอนก็ไม่ใช่ชื่อตัวเอง ซึ่งอันนี้เขาฉลาด แต่ให้ดูกรณีของมาร์กอส (Ferdinand Marcos) ให้ดี ในยุคโลกาภิวัตน์ เครื่องมือในการเด็ดหัวนักการเมืองทุจริตคือการตรวจสอบการฟอกเงิน ทีนี้คุณทักษิณจะโดนเอง และประเทศที่ควรจะให้ความร่วมมือในการตรวจสอบคือสหรัฐอเมริกา

ผมอยากจะเขียนบทความแรงๆ ที่ตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลสหรัฐอเมริกาของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช อาจมีผลประโยชน์บางอย่างกับคุณทักษิณ เพราะท่าทีในการประท้วงรัฐประหารของสหรัฐอเมริกาต่อไทยในครั้งนี้ไม่ธรรมดา ทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกากล่าวได้อย่างไรว่า จะต้องยกเลิกกฎอัยการศึกใน 10 วัน มันมีผลประโยชน์อะไรแฝงอยู่ในข้อตกลงเขตการค้าเสรี มีอะไรในข้อตกลงพันธมิตรหลักนอกนาโต (Major Non NATO Alliance-MNNA) ที่ทำกับรัฐบาลทักษิณ สมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ยึดอำนาจ ผมไม่เห็นอเมริกาจะประท้วงอะไรเลย

ผมเคยทำวิทยานิพนธ์พบว่า สมัยรัฐบาลจอมพลถนอมก็มีข้อตกลงลับตั้งมากมาย ซึ่งเวลานั้นเราไม่รู้ กว่าจะรู้ก็ 20 ปีให้หลัง ต้องไปค้นเอกสารที่วอชิงตันถึงจะรู้ ว่าทหารไทยในขณะนั้นให้ฐานทัพกี่แห่งแก่สหรัฐอเมริกาในการทำสงครามเวียดนาม ผมเชื่อว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์ค่อนข้างพิเศษกับคุณทักษิณมาก เหมือนกับที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับประธานาธิบดีมูชาราฟ (Pervez Musharraf) แห่งประเทศปากีสถาน



ทำไมคุณทักษิณไม่ยอมลาออกแต่แรก ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าหากดึงดันอาจต้องพบจุดจบเช่นนี้


ผมตีความว่า ความจริงคุณทักษิณคงไม่อยากอยู่ เพียงแต่สิ่งที่ท่านได้สร้างไว้เป็นเหมือนกรรม ใครจะให้หลักประกันได้ว่าจะไม่มีการเช็คบิล ซึ่งไม่จำเป็นต้องมาจากทหารหรือชนชั้นนำในสังคม คนชั้นกลางก็เช็คบิลได้ แค่เรื่องหลีกเลี่ยงภาษีก็แย่แล้ว

แต่คุณทักษิณไม่คิดเหรอว่า ถ้าสุดท้ายจบลงด้วยการยึดอำนาจ เขาก็ต้องโดนเช็คบิลอยู่ดี

ฝรั่งถามผมว่า การเมืองไทยมีการประนีประนอมแบบไทยๆ หรือไม่ ตั้งแต่ผมเกิดมาและเห็นการเมืองไทยตั้งแต่สมัยจอมพลถนอม การเมืองไทยไม่มีการประนีประนอมกัน ตายอย่างเดียวครับ อย่าง 6 ตุลาฯ พฤษภาทมิฬ 2535



หมายถึงไม่มีการประนีประนอมในหมู่ชนชั้นนำด้วยหรือ?




มันมีความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นนำไทยในระดับหนึ่ง ผมกลัวมากว่าจะมีการปะทะกันบนท้องถนน ส่วนตัวผมไม่คิดว่ามีการประนีประนอม มีแต่การขุดรากถอนโคน

แต่ถ้าย้อนประวัติศาสตร์กลับไปช่วงสั้นๆ รัฐประหาร 2534 โดย รสช. ถึงบทสุดท้ายก็มีการประนีประนอม การยึดทรัพย์ก็ล้มเหลว พลเอกชาติชายก็กลับมาเล่นการเมืองได้อีก

ตอนนั้นมีการแตกกันเองในหมู่ทหาร มันสามารถวิ่งเต้นได้ เป็นเรื่องของผลประโยชน์ แต่คราวนี้ โครงสร้างมันใหญ่ขึ้นมาก ผลประโยชน์ทับซ้อนมหาศาล มันต้องทำลายทั้งระบบ เพราะในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ผลประโยชน์ต่างๆ ฝังรากลึกมาก กระทั่งระดับกรม โดยเฉพาะในกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงาน

การเมืองยุคหลังทักษิณเป็นการกลับมาของพลังอำมาตยาธิปไตย เป็นการฟื้นชีพของเทคโนแครต หรือการกลับมาของเปรมาธิปไตยหรือไม่

อันนี้เป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจ แต่หากจะมองในเชิงวิชาการ เราอาจจะต้องดูกันในระยะยาวพอสมควร อย่างสมัยรัฐบาลทักษิณ กว่าผมจะเรียกว่า “ระบอบ” ทักษิณ ก็หลังจากเชื่อว่า มันเกิดโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่มีลักษณะเฉพาะขึ้นมาแล้ว

ในแง่รัฐศาสตร์ ระบอบอำมาตยาธิปไตย (Bureaucratic Polity) ในประเทศไทยมีการพัฒนามานาน และเป็นโครงสร้างใหญ่ เกิดมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ข้อจำกัดของระบอบอำมาตยาธิปไตยคือ มองไม่เห็นพลังกลุ่มอื่น โดยเฉพาะพลังตลาด (market force) เช่น ภาคธุรกิจเอกชน ดังนั้น ถ้าจะให้สรุปคำนิยามของระบอบอำมาตยาธิปไตยก็คือ เป็นระบอบที่พลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การเมือง สังคมมาจากระบบราชการ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นชนชั้นนำในระบบราชการ ผสมเทคโนแครต

แต่สำหรับเปรมาธิปไตยเป็นการผสมผสานระบอบอำมาตยาธิปไตยกับโลกแห่งความเป็นจริง เปรมาธิปไตยไม่ไช่อำมาตยาธิปไตยแบบดั้งเดิมหลัง 2475

ผมจะลองทบทวนว่า เปรมาธิปไตยมีลักษณะอย่างไร ประการแรก เป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ (Semi-Democracy) มีรัฐธรรมนูญ มีสภา มีการเลือกตั้ง แต่มีนายกรัฐมนตรีที่สัมพันธ์กับกลุ่มทหาร มีการทำงานร่วมกันระหว่างคณะทหารกับคณะรัฐมนตรี มีกฎหมายที่ให้อำนาจทหารแทรกแซงการเมืองได้ ซึ่งถ้าเราจับหลักนี้มาวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองปัจจุบัน อาจมองในแง่บวกได้ว่า คณะทหารเพียงพยายามประคองรัฐบาลชั่วคราว

ประการต่อมา เทคโนแครตมีบทบาทสูงในกระบวนการกำหนดนโยบาย มีการใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ใช้เทคโนแครต ซึ่งเป็นนักเรียนนอก มีความรู้ดี ทำหน้าที่กำหนดและดำเนินนโยบายอย่างเต็มที่ มีอิสระ เช่น พลอากาศเอกสิทธิ เศวตศิลา ทำหน้าที่ด้านการต่างประเทศ คุณโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ทำหน้าที่ด้านพัฒนาชนบท เป็นต้น นอกจากนั้น มีความพยายามปรับแผนพัฒนาประเทศให้สอดคล้องกับโลกแห่งความเป็นจริง เช่น เพิ่มบทบาทให้กับภาคธุรกิจเอกชน เช่น ตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.)

หากวิเคราะห์การเมืองในปัจจุบัน ขณะนี้เราอาจจะยังเห็นไม่ชัด ต้องรอดูโฉมหน้าของคณะรัฐมนตรี (ขณะสัมภาษณ์ ยังไม่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี) ท้ายที่สุด เราอาจจะบอกว่า นี่คือรัฐบาลเปรม 6 ก็ได้ คือมีคนที่เคยมีบทบาทอยู่ในรัฐบาลเปรม 1 ถึงเปรม 5 อยู่ในรัฐบาลนี้ เช่น คุณโฆษิต นอกจากนี้ อาจจะมีเทคโนแครตเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอดีตปลัดกระทรวง



   --------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ยังมีรายละเอียดที่น่าสนใจ  น่าติดตามอีกมากมาย  ใครสนใจอ่านต่อได้นะคะ  ตามเวบดังกล่าวข้างบน
มีประเด็นให้พูดคุยกันมากมาย  แต่ยังไงอ่านแล้ว  ก็มีรายละเอียดของเหตุผลของการทำรัฐประหาร
ครั้งที่ผ่านมาอย่างชัดเจน   ขอเปิดประเด็น  และเปิดกระทู้ไว้เช่นนี้นะคะ-----

-----ช่วงนี้กำลังสนใจเรื่องปฏิวัติซ้อน   และต้องการเหตุผลค่ะ  ว่าทำไมต้องทำด้วย
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
นิรนาม
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 554



« ตอบ #5 เมื่อ: 13-11-2006, 10:23 »

ผมแวะไปเที่ยวที่ http://talktalk.43i.net/webboard/show.php?Category=php&No=974

เห็นมีหัวกระทู้ "ใครคิดว่าจะมีปฏิวัติซ้อนบ้าง" เลยเก็บมาฝากมีหลายคำตอบที่น่าสนใจ ลองคลิ๊กเปิดอ่านดูนะครับ เช่น

โดยคุณ คน ประชาชน [13 Nov 2006 09:40] #841 (7/7)   
อ้างอิง > โดยคุณ ใครเข้าร่วมปฏิวัติบ้าง [13 Nov 2006 06:34] #818 (5/6)

รายงานข่าวจากคนใกล้ชิด พล.อ.ชวลิต เปิดเผยว่า พล.อ.ชวลิตยอมรับว่า มีส่วนในการรัฐประหารครั้งนี้ด้วย แต่ในช่วงที่การตั้ง ครม. คมช.และข้าราชการ รวมทั้งบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ นั้น พล.อ.ชวลิตไม่ได้มีส่วนร่วมเลย เช่นการตั้ง ครม. บิ๊กจิ๋วรู้เรื่องและทราบรายชื่อ ครม.ก่อนทูลเกล้าฯ เพียง 2 วัน ซึ่งผู้ที่มีส่วนในการตั้ง ครม. ข้าราชการ และบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งในบ้านเมือง ที่ตัดสินใจด้วยตัวเอง และยังทราบอีกว่า พล.อ.สุรยุทธ์ มีส่วนร่วมในการตั้ง ครม. เพียงแค่ 1 ใน 4 เท่านั้น คือ พล.อ.สุรยุทธ์ เลือกรัฐมนตรีได้เพียง 6-7 คน ที่เหลือก็โดนกำหนดมาหมดแล้ว สิ่งเหล่านี้ทำให้บิ๊กจิ๋วไม่ค่อยพอใจที่โดนลดบทบาท จึงพยายามออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกครั้ง
-----------------------------------------
มีเค้าอยู่นะ ลองย้อนกลับไปช่วงเดือนธันวาคม 2548 ต่อเนื่องจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณฯ จะยุบสภาฯ หนีการอภิปรายของพรรคฝ่ายค้าน

มีความเคลื่อนไหวลับ ๆ ของทหารและนักการเมืองที่อยู่ในซีกของ พล.อ.ชวลิตฯ ทั้งการเตรียมการเพื่อการปฏิวัติและก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่

ทั้งนี้มีรายงานข่าวระบุว่าการกระทำของ พล.อ.ชวลิตฯ ได้รับ "ไฟเขียว" จาก "ผู้มีบารมี"

หลังทำการปฏิวัติสำเร็จผู้ที่จะมาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี คือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์

ต่อเมื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อยแล้ว พล.อ.ชวลิตฯ จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง จากพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาใหม่

แต่ข่าวนี้รั่วไหลไปถึงหู พ.ต.ท.ทักษิณฯ เสียก่อน แผนการณ์ทั้งหมดเลยต้องระงับลงชั่วคราว 
--------------------------------------------------------------------------------

โดยคุณ ส [13 Nov 2006 07:31] #827 (6/7)   
มีแน่นอน ดูท่าทีบิ๊กจิ๋วซิ 
--------------------------------------------------------------------------------

โดยคุณ ใครเข้าร่วมปฏิวัติบ้าง [13 Nov 2006 06:34] #818 (5/7)   
 รายงานข่าวจากคนใกล้ชิด พล.อ.ชวลิต เปิดเผยว่า พล.อ.ชวลิตยอมรับว่า มีส่วนในการรัฐประหารครั้งนี้ด้วย แต่ในช่วงที่การตั้ง ครม. คมช.และข้าราชการ รวมทั้งบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ นั้น พล.อ.ชวลิตไม่ได้มีส่วนร่วมเลย เช่นการตั้ง ครม. บิ๊กจิ๋วรู้เรื่องและทราบรายชื่อ ครม.ก่อนทูลเกล้าฯ เพียง 2 วัน ซึ่งผู้ที่มีส่วนในการตั้ง ครม. ข้าราชการ และบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งในบ้านเมือง ที่ตัดสินใจด้วยตัวเอง และยังทราบอีกว่า พล.อ.สุรยุทธ์ มีส่วนร่วมในการตั้ง ครม. เพียงแค่ 1 ใน 4 เท่านั้น คือ พล.อ.สุรยุทธ์ เลือกรัฐมนตรีได้เพียง 6-7 คน ที่เหลือก็โดนกำหนดมาหมดแล้ว สิ่งเหล่านี้ทำให้บิ๊กจิ๋วไม่ค่อยพอใจที่โดนลดบทบาท จึงพยายามออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกครั้ง
-------------------------------------------------------------------------------

โดยคุณ ต้องมีปฏิวัติ [13 Nov 2006 06:29] #817 (4/7)   
เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ออกมาวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลและคมช. พล.อ.บุญรอด กล่าวว่า เป็นการพูดที่ให้ข้อคิดเห็นถึงการทำงานของคมช.ในฐานะผู้ใหญ่ แต่เรื่องที่ พล.อ.ชวลิต มองว่าจะมีการปฏิวัติซ้อนนั้น ก็ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือไม่ ต้องฟังหูไว้หู

"แต่หากถามว่าโอกาสที่จะเป็นจริงหรือไม่ ขอบอกได้เลยว่าเป็นเรื่องยาก และยิ่งปล่อยข่าวว่าเตรียมทหารรุ่น 9 จะทำปฏิวัติซ้อน ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย เพราะไม่รู้ว่าจะเอากำลังจากที่ไหน เราก็สงสัยว่าทำไมถึงมีข่าวอออกมาเป็นตุเป็นตะ ทั้งนี้ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงกันต่อไป" รมว.กลาโหม ระบุ

 ทักษิณ ก็เคยคิดอย่างนี้ จะไม่มีปฏิวัติแล้ว ปฏิวัติเป็น้รื่องล้าสมัย


 แล้วผลกรรมจากการคิดอย่างเป็นเป็นเช่นไร

555555 
-------------------------------------------------------------------------------

โดยคุณ สสส [13 Nov 2006 06:26] #816 (3/7)   
 
ภายหลัง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาเสนอความเห็นว่า ควรให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กลับมาประเทศไทยได้ พร้อมทั้งวิพากษ์วิจารณ์คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) โดยเฉพาะประเด็นนายทหารระดับสูงตบเท้าเข้าไปเป็นคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) รัฐวิสาหกิจ ทำให้มีการแสดงความเห็นเรื่องนี้กันอย่างหลากหลาย


พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ห้วงเวลาในการกลับมา คงต้องมีการพูดคุยกันก่อนว่าเหมาะสมหรือไม่เพียงใด เพราะถ้ากลับมาแล้วอาจมีปัญหาเรื่องความปรองดองของคนในชาติได้ หรือทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติขึ้นมาอีกจะเหมาะสมหรือไม่ ตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องพูดและทำความเข้าใจกันก่อน


ส่วนจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ ถ้าจะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาเมืองไทยและอยู่แต่ในบ้านจันทร์ส่องหล้า พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า คงเป็นไปไม่ได้ เพราะนั่นเป็นการจำกัดสิทธิและควบคุมตัวในบ้าน ซึ่งตนคิดว่าไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ถ้าพูดกันตรงๆ ก็คือ จะกลายเป็นเหมือนประเทศเพื่อนบ้านของเราที่ควบคุมไว้ในบ้าน คิดว่าคงไม่ดี

"ทางที่ดีคือ รอให้การแก้ไขปัญหาผ่านไป ช่วงเวลา 1 ปี เมื่อมีการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่แล้ว


 สรุป ตอนนี้ท๊ากสิน ไม่เหมาะที่จะอยู่บนแผ่นดินไทย 
--------------------------------------------------------------------------------

โดยคุณ กลัว [13 Nov 2006 05:52] #814 (2/7)   
ต้องมีปฏิวัติอีกครั้งแน่นอน เพื่อสืบทอดอำนาจต่อ ไม่งั้นต้องลงจากหลังเสือ มิถูกเสือขย้ำตายหรือ 
--------------------------------------------------------------------------------

โดยคุณ เครียดต้องเห่า [12 Nov 2006 20:51] #790 (1/7)   
ผมว่าน่าเป็นห่วงเหมือนกันนะ บ้านเมืองยังไม่มีบรรยากาศดีขึ้นเลย ต่างกันก็แค่สนธิ ลิ้ม... ไม่ได้ออกมาก่อม็อบเท่านั้นหละ แถมอีกไม่กี่วันสุรยุทธฺ จะไปเวียดนามอีก ก็น่ากลัวเหมือนกันว่าจะโดนเหมือนทักษิณที่ไปประชุมต่างประเทศแล้วโดนปฏิวัติ

หนาว ..............   
-------------------------------------------------
บันทึกการเข้า

"คืนที่ดำทะมึนมืดสนิท ยังรอแสงอาทิตย์ส่องสว่าง มีที่ไหนถูกปิดทุกทิศทาง เพียงม่านควันหมอกบางมันพรางตา"ถ้อยวลีของ..ประเสริฐ  จันดำ
ถ้อยวลี - จาก; "บันทึกจากกองร้อย ทหารปลดแอก" โดย..เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
      นักรบจรยุทธอย่างพวกเราไม่รู้ว่าบ้านของตัวเองอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าเรามีปิตุภูมิเป็นของพวกเรา ทุกหนทุกแห่งที่เราล้มตัวลงนอนที่นั่นก็คือบ้าน
“บ้านของเราก็คือประเทศชาติ พ่อแม่ของเราก็คือประชาชน และเราจะไปทุกหนทุกแห่งเพื่อจัดการกับเจ้าคนที่มันเหยียบย่ำบ้านกับพ่อแม่ของเรา”
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 13-11-2006, 10:48 »

ผมแวะไปเที่ยวที่ http://talktalk.43i.net/webboard/show.php?Category=php&No=974

เห็นมีหัวกระทู้ "ใครคิดว่าจะมีปฏิวัติซ้อนบ้าง" เลยเก็บมาฝากมีหลายคำตอบที่น่าสนใจ ลองคลิ๊กเปิดอ่านดูนะครับ เช่น

โดยคุณ คน ประชาชน [13 Nov 2006 09:40] #841 (7/7)   
อ้างอิง > โดยคุณ ใครเข้าร่วมปฏิวัติบ้าง [13 Nov 2006 06:34] #818 (5/6)

รายงานข่าวจากคนใกล้ชิด พล.อ.ชวลิต เปิดเผยว่า พล.อ.ชวลิตยอมรับว่า มีส่วนในการรัฐประหารครั้งนี้ด้วย แต่ในช่วงที่การตั้ง ครม. คมช.และข้าราชการ รวมทั้งบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ นั้น พล.อ.ชวลิตไม่ได้มีส่วนร่วมเลย เช่นการตั้ง ครม. บิ๊กจิ๋วรู้เรื่องและทราบรายชื่อ ครม.ก่อนทูลเกล้าฯ เพียง 2 วัน ซึ่งผู้ที่มีส่วนในการตั้ง ครม. ข้าราชการ และบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งในบ้านเมือง ที่ตัดสินใจด้วยตัวเอง และยังทราบอีกว่า พล.อ.สุรยุทธ์ มีส่วนร่วมในการตั้ง ครม. เพียงแค่ 1 ใน 4 เท่านั้น คือ พล.อ.สุรยุทธ์ เลือกรัฐมนตรีได้เพียง 6-7 คน ที่เหลือก็โดนกำหนดมาหมดแล้ว สิ่งเหล่านี้ทำให้บิ๊กจิ๋วไม่ค่อยพอใจที่โดนลดบทบาท จึงพยายามออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกครั้ง
-----------------------------------------
มีเค้าอยู่นะ ลองย้อนกลับไปช่วงเดือนธันวาคม 2548 ต่อเนื่องจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2549 ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณฯ จะยุบสภาฯ หนีการอภิปรายของพรรคฝ่ายค้าน

มีความเคลื่อนไหวลับ ๆ ของทหารและนักการเมืองที่อยู่ในซีกของ พล.อ.ชวลิตฯ ทั้งการเตรียมการเพื่อการปฏิวัติและก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่

ทั้งนี้มีรายงานข่าวระบุว่าการกระทำของ พล.อ.ชวลิตฯ ได้รับ "ไฟเขียว" จาก "ผู้มีบารมี"

หลังทำการปฏิวัติสำเร็จผู้ที่จะมาทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี คือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์

ต่อเมื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อยแล้ว พล.อ.ชวลิตฯ จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง จากพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาใหม่

แต่ข่าวนี้รั่วไหลไปถึงหู พ.ต.ท.ทักษิณฯ เสียก่อน แผนการณ์ทั้งหมดเลยต้องระงับลงชั่วคราว 
--------------------------------------------------------------------------------

โดยคุณ ส [13 Nov 2006 07:31] #827 (6/7)   
มีแน่นอน ดูท่าทีบิ๊กจิ๋วซิ 
--------------------------------------------------------------------------------

โดยคุณ ใครเข้าร่วมปฏิวัติบ้าง [13 Nov 2006 06:34] #818 (5/7)   
 รายงานข่าวจากคนใกล้ชิด พล.อ.ชวลิต เปิดเผยว่า พล.อ.ชวลิตยอมรับว่า มีส่วนในการรัฐประหารครั้งนี้ด้วย แต่ในช่วงที่การตั้ง ครม. คมช.และข้าราชการ รวมทั้งบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ นั้น พล.อ.ชวลิตไม่ได้มีส่วนร่วมเลย เช่นการตั้ง ครม. บิ๊กจิ๋วรู้เรื่องและทราบรายชื่อ ครม.ก่อนทูลเกล้าฯ เพียง 2 วัน ซึ่งผู้ที่มีส่วนในการตั้ง ครม. ข้าราชการ และบอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งในบ้านเมือง ที่ตัดสินใจด้วยตัวเอง และยังทราบอีกว่า พล.อ.สุรยุทธ์ มีส่วนร่วมในการตั้ง ครม. เพียงแค่ 1 ใน 4 เท่านั้น คือ พล.อ.สุรยุทธ์ เลือกรัฐมนตรีได้เพียง 6-7 คน ที่เหลือก็โดนกำหนดมาหมดแล้ว สิ่งเหล่านี้ทำให้บิ๊กจิ๋วไม่ค่อยพอใจที่โดนลดบทบาท จึงพยายามออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกครั้ง
-------------------------------------------------------------------------------

โดยคุณ ต้องมีปฏิวัติ [13 Nov 2006 06:29] #817 (4/7)   
เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ออกมาวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลและคมช. พล.อ.บุญรอด กล่าวว่า เป็นการพูดที่ให้ข้อคิดเห็นถึงการทำงานของคมช.ในฐานะผู้ใหญ่ แต่เรื่องที่ พล.อ.ชวลิต มองว่าจะมีการปฏิวัติซ้อนนั้น ก็ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือไม่ ต้องฟังหูไว้หู

"แต่หากถามว่าโอกาสที่จะเป็นจริงหรือไม่ ขอบอกได้เลยว่าเป็นเรื่องยาก และยิ่งปล่อยข่าวว่าเตรียมทหารรุ่น 9 จะทำปฏิวัติซ้อน ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย เพราะไม่รู้ว่าจะเอากำลังจากที่ไหน เราก็สงสัยว่าทำไมถึงมีข่าวอออกมาเป็นตุเป็นตะ ทั้งนี้ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงกันต่อไป" รมว.กลาโหม ระบุ

 ทักษิณ ก็เคยคิดอย่างนี้ จะไม่มีปฏิวัติแล้ว ปฏิวัติเป็น้รื่องล้าสมัย


 แล้วผลกรรมจากการคิดอย่างเป็นเป็นเช่นไร

555555 
-------------------------------------------------------------------------------

โดยคุณ สสส [13 Nov 2006 06:26] #816 (3/7)   
 
ภายหลัง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาเสนอความเห็นว่า ควรให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กลับมาประเทศไทยได้ พร้อมทั้งวิพากษ์วิจารณ์คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) โดยเฉพาะประเด็นนายทหารระดับสูงตบเท้าเข้าไปเป็นคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) รัฐวิสาหกิจ ทำให้มีการแสดงความเห็นเรื่องนี้กันอย่างหลากหลาย


พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ห้วงเวลาในการกลับมา คงต้องมีการพูดคุยกันก่อนว่าเหมาะสมหรือไม่เพียงใด เพราะถ้ากลับมาแล้วอาจมีปัญหาเรื่องความปรองดองของคนในชาติได้ หรือทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติขึ้นมาอีกจะเหมาะสมหรือไม่ ตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องพูดและทำความเข้าใจกันก่อน


ส่วนจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ ถ้าจะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาเมืองไทยและอยู่แต่ในบ้านจันทร์ส่องหล้า พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า คงเป็นไปไม่ได้ เพราะนั่นเป็นการจำกัดสิทธิและควบคุมตัวในบ้าน ซึ่งตนคิดว่าไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ถ้าพูดกันตรงๆ ก็คือ จะกลายเป็นเหมือนประเทศเพื่อนบ้านของเราที่ควบคุมไว้ในบ้าน คิดว่าคงไม่ดี

"ทางที่ดีคือ รอให้การแก้ไขปัญหาผ่านไป ช่วงเวลา 1 ปี เมื่อมีการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่แล้ว


 สรุป ตอนนี้ท๊ากสิน ไม่เหมาะที่จะอยู่บนแผ่นดินไทย 
--------------------------------------------------------------------------------

โดยคุณ กลัว [13 Nov 2006 05:52] #814 (2/7)   
ต้องมีปฏิวัติอีกครั้งแน่นอน เพื่อสืบทอดอำนาจต่อ ไม่งั้นต้องลงจากหลังเสือ มิถูกเสือขย้ำตายหรือ 
--------------------------------------------------------------------------------

โดยคุณ เครียดต้องเห่า [12 Nov 2006 20:51] #790 (1/7)   
ผมว่าน่าเป็นห่วงเหมือนกันนะ บ้านเมืองยังไม่มีบรรยากาศดีขึ้นเลย ต่างกันก็แค่สนธิ ลิ้ม... ไม่ได้ออกมาก่อม็อบเท่านั้นหละ แถมอีกไม่กี่วันสุรยุทธฺ จะไปเวียดนามอีก ก็น่ากลัวเหมือนกันว่าจะโดนเหมือนทักษิณที่ไปประชุมต่างประเทศแล้วโดนปฏิวัติ

หนาว ..............   
-------------------------------------------------



----ขอบคุณนะคะ  ที่นำข้อมูลมาบอกกล่าวกัน  เรื่องการปฏิวัติ
เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก---กำลังติดตามข่าวนี้อย่างใกล้ชิดอยู่ค่ะ
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
มดโฟร์
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 122



« ตอบ #7 เมื่อ: 13-11-2006, 10:50 »

ไม่ปฎิวัติเพราะมันไปจบ กลับไปกลับมา มันใช้วิธีส่งหมาเฝ้าตระกูลไปหลอกล่อคปค จนเสียผู้เสียคนหมดเเล้ว
อยู่ที่ตอนนี้คปคมีสติเเค่ไหน ไม่งั้นไม่ต้องมีใครทำอะไำร ก็ล้มเอง เสียความตั้งใจเดิมหมด เพราะเชื่อสมุนตระกูล
ชิน วางใจมันเข้าไปภัยจะมา..
บันทึกการเข้า

หลอกคนอื่นนะหลอกง่าย แต่หลอกตัวเองอะไม่มีทาง
รวงข้าวล้อลม
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,103



เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 13-11-2006, 20:57 »

สิ่งที่น่าเป็นข้อคิดในตอนนี้คือ----

----การปฏิวัติซ้อนเป็นกลลวงของเหล่าคนเชียร์ไทยรักไทยหรือเปล่า
ที่พยายามหลอกล่อ  คปค
บันทึกการเข้า

&..หลายๆทำไม ..คุณตอบได้ไหม ?
http://www.oknation.net/blog/roungkaw/2008/05/27/entry-4
นิรนาม
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 554



« ตอบ #9 เมื่อ: 13-11-2006, 21:54 »

สิ่งที่น่าเป็นข้อคิดในตอนนี้คือ----

----การปฏิวัติซ้อนเป็นกลลวงของเหล่าคนเชียร์ไทยรักไทยหรือเปล่า
ที่พยายามหลอกล่อ  คปค


เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ด้วยเช่นกัน เรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อนนะ ยังไงคอยจับตาดูกันต่อไปเรื่อย ๆ ก่อนดีกว่า
บันทึกการเข้า

"คืนที่ดำทะมึนมืดสนิท ยังรอแสงอาทิตย์ส่องสว่าง มีที่ไหนถูกปิดทุกทิศทาง เพียงม่านควันหมอกบางมันพรางตา"ถ้อยวลีของ..ประเสริฐ  จันดำ
ถ้อยวลี - จาก; "บันทึกจากกองร้อย ทหารปลดแอก" โดย..เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
      นักรบจรยุทธอย่างพวกเราไม่รู้ว่าบ้านของตัวเองอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่าเรามีปิตุภูมิเป็นของพวกเรา ทุกหนทุกแห่งที่เราล้มตัวลงนอนที่นั่นก็คือบ้าน
“บ้านของเราก็คือประเทศชาติ พ่อแม่ของเราก็คือประชาชน และเราจะไปทุกหนทุกแห่งเพื่อจัดการกับเจ้าคนที่มันเหยียบย่ำบ้านกับพ่อแม่ของเรา”
engg
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 388


« ตอบ #10 เมื่อ: 14-11-2006, 12:07 »

อีกความเห็นครับ

การเมืองของประเทศไทยไม่ใช่ประชาธิปไตยแต่เป็นอัตตาธิปไตยคือการเอาตัวเองเป็นใหญ่ของชนชั้นนำในกรุงเทพฯจำนวนหนึ่งที่เป็น "อภิชน" ซึ่งสำคัญตนเองว่าควรเป็นผู้ตัดสินใจแทนประชาชนทั้งประเทศ พวกเขาควรเป็นผู้ชี้นำความคิดเห็นและให้คนทั้งประเทศต้องเดินตามความคิดเห็นหรือการชี้นำของพวกเขา เมื่ออภิชนตัดสินว่ารัฐบาลกระทำผิดพวกเขาเรียกร้องให้รัฐบาลต้องพ้นออกไปจากการปฏิบัติหน้าที่ทันทีโดยไม่รอคอยให้ถึงเวลาการตัดสินของประชาชนทั้งประเทศ พวกเขาเชื่อมั่นว่ามติของพวกเขาเป็นมติที่ถูกต้องและมีความคิดเห็นอย่างบริสุทธิ์ใจในการพิพากษารัฐบาลผิดกับประชาชนส่วนใหญ่ที่พวกเขาเชื่อว่าเห็นแก่ประโยชน์ตนเพราะถูกลวง พวกเขาปฏิเสธประชาธิปไตยแต่เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่

ประชาธิปไตยในเมืองไทยถูกทำลายอย่างราบคาบด้วยการรัฐประหาร มาบัดนี้ฝ่ายที่ยึดอำนาจก็เกิดความหวาดระแวงไม่มั่นคงหวั่นไหวในคลื่นใต้น้ำและเกรงจะมีการรัฐประหารซ้อน นี่คือผลของการไม่เคารพกติกาและความไม่อดทนทำให้การเมืองของไทยอยู่ในวังวนอัตตาธิปไตยของชนชั้นอภิชนและการรัฐประหารมากกว่าที่จะพัฒนาไปถึงความเป็นประชาธิปไตย
บทนำ มติชน 14/11/49
บันทึกการเข้า
engg
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 388


« ตอบ #11 เมื่อ: 14-11-2006, 12:19 »

อีกความเห็น

ตอนนี้แหละที่นักรัฐประหารซึ่งเป็นทั้งข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน ตบเท้าเข้าดำรงตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจและในธุรกิจเอกชนกันอย่างคึกคัก

การเติบใหญ่ของทหารนักการค้า ตำรวจนักการค้า ข้าราชการพลเรือนนักการค้า จึงเริ่มขึ้น กระทั่งกลายเป็นแบบธรรมเนียม (เรียกตามสำนวนทหาร) หรือประเพณี (เรียกตามสำนวนทั่วไป) ของนักรัฐประหารทุกยุคทุกสมัย

รวมทั้งเป็นแบบธรรมเนียมของการรัฐประหาร "ซ้ำ" เพื่อกระชับอำนาจตนเองอีกด้วย

นั่นก็เห็นได้จากภายหลังรัฐประหารเดือนกันยายน 2500 ก็นำไปสู่การรัฐประหาร "ซ้ำ" เดือนตุลาคม 2501

และนำไปสู่การรัฐประหาร "ซ้ำ" เดือนพฤศจิกายน 2514

นั่นก็เห็นได้จากภายหลังรัฐประหารเดือนตุลาคม 2519 ก็นำไปสู่การรัฐประหาร "ซ้ำ" ในเดือนตุลาคม 2520

นั่นก็เห็นได้จากภายหลังรัฐประหารเดือนกุมภาพันธ์ 2534 ก็นำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญอันนำไปสู่การสืบทอดและจัดวางกระบวนการแห่งอำนาจในการเลือกตั้งทั่วไปเดือนมีนาคม 2535 ของคณะนายทหารแห่ง รสช.

เป้าหมายของการรัฐประหาร "ซ้ำ" ประการ 1 จึงเพื่อการกระชับอำนาจ ประการ 1 จึงเพื่อการสืบทอดอำนาจ

แต่ที่น่าสนใจก็คือ ผลจากรัฐประหาร "ซ้ำ" ไม่แน่ว่าจะทำให้มี "อำนาจ" อย่างแท้จริง

เพราะอำนาจของ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ที่ได้มาเมื่อเดือนตุลาคม 2520 ก็ต้องเสียให้กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในเดือนมีนาคม 2523

อำนาจของ รสช.ก็พังครืนภายใน 40 กว่าวันหลังการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2535

มองในด้านดี รัฐประหาร "ซ้ำ" เท่ากับเป็นการกระชับอำนาจ เท่ากับเป็นการสืบทอดอำนาจขณะเดียวกัน ในอีกด้านก็เท่ากับเป็นการยอมรับในความล้มเหลวของตนเอง

เป็นความล้มเหลวที่กระบวนการรัฐประหารมิได้แก้ปัญหาให้ได้อย่างแท้จริง

ตรงกันข้าม กระบวนการรัฐประหารกลับสร้างปัญหาใหม่ที่มิอาจแก้ไขได้ด้วยกระบวนการรัฐประหารหากแต่จำเป็นต้องใช้กระบวนการประชาธิปไตย

มีแต่กระบวนการประชาธิปไตยเท่านั้นจึงจะจัดการปัญหาอันเนื่องแต่การรัฐประหารลงได้

วิภาคแห่งวิพากษ์ มติชน 14/11/49
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: