ในหลวงทรงฝากตุลาการศาลฯ หาทางออกปัญหาเลือกตั้ง
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 26 เมษายน 2549 02:40 น.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงห่วงปัญหาการเลือกตั้งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ฝากคณะตุลาการศาลปกครองและศาลฎีกาที่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณฯ ช่วยกันหาทางออก พร้อมทรงมีพระราชดำรัสต่อกรณีการขอนายกพระราชทานตามมาตรา 7
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แก่คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุด
วันที่ 25 เม.ย. เวลา 17.42 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระตำหนักเปี่ยมสุขวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายอักขราทร จุฬารัตน์ ประธานศาลปกครองสูงสุด นำตุลาการศาลปกครองสูงสุด เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้มีพระราชดำรัสกับประธานศาลปกครองสูงสุดกรณีการเลือกตั้ง และนายกฯ พระราชทาน ความบางตอนว่า
หน้าที่ศาลปกครองนี้จริงๆ กว้างขวางมาก ในเวลานี้ ถ้าจะให้พูดก็จะพูด เมื่อเช้านี้เอง ก็อยากจะพูดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และโดยเฉพาะ การเลือกตั้งของผู้ที่ได้คะแนนไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็เขาเลือกตั้งคนเดียว ซึ่งมีความสำคัญที่ว่า ไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็คนเดียว ในที่สุดการเลือกตั้งไม่ครบสมบูรณ์ ไม่ทราบว่าเกี่ยวข้องกับท่านหรือเปล่า แต่ความจริงน่าจะเกี่ยวข้องเหมือนกัน เพราะว่าถ้าไม่มีจำนวนผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง ก็กลายเป็นว่า การปกครองแบบประชาธิปไตย ดำเนินการไม่ได้ แล้วถ้าดำเนินการไม่ได้ ที่ท่านได้ปฏิญาณตนเองก็เป็นหมัน
ถึงบอกว่าจะต้องทำเพื่อให้การปกครองแบบประชาธิปไตยต้องดำเนินการไปได้ ท่านก็เลยทำงานไม่ได้ และถ้าท่านทำงานไม่ได้ ก็มีทางที่ท่านอาจจะต้องลาออก ถ้าไม่มีการแก้ไขปัญหาไม่ได้แก้ปัญหาที่มีอยู่ ต้องหาทางแก้ไขได้
บอกว่าต้องไปทางศาลรัฐธรรมนูญ แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ใช่เรื่อง ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าเป็นการร่างรัฐธรรมนูญ ร่างเสร็จแล้วก็ไม่เกี่ยวข้อง เราเลยขอร้องว่าท่านอย่าไปทอดทิ้งการปกครองแบบประชาธิปไตย การปกครองแบบที่จะทำให้บ้านเมืองดำเนินการผ่านไปได้
แล้วก็อีกข้อหนึ่ง การที่จะบอกว่ามีการยุบสภาฯ และต้องเลือกตั้งภายใน 30 วัน ถูกต้องหรือไม่ ไม่พูดถึง ไม่พูดกันเลย ถ้าไม่ถูก ก็จะต้องแก้ไข ก็อาจจะให้การเลือกตั้งที่เป็นโมฆะหรือเป็นอะไร ซึ่งท่านก็จะมีสิทธิที่จะบอกว่า อะไรที่ควร ที่ไม่ควร ไม่ได้ว่าบอกว่ารัฐบาลนี้ไม่ดี แต่ว่าเท่าที่เราดู มันเป็นไปไม่ได้ คือการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย เลือกตั้งพรรคเดียว คนเดียว ไม่ใช่ทั่วไป มีคนที่สมัครเลือกตั้งคนเดียว มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องประชาธิปไตย เมื่อไม่เป็นประชาธิปไตย ท่านต้องดูเกี่ยวกับว่า เรื่องของการปกครองให้ดี ตรงนี้ขอฝาก อย่างดีที่สุดถ้าท่านทำไม่ได้ ท่านลาออก ท่านเอง ไม่ใช่รัฐบาลลาออก ท่านเองต้องลาออก ทำไม่ได้ รับหน้าที่ไม่ได้ เมื่อตะกี๊ที่ปฏิญาณ นึกดูดี ๆ จะเป็นการไม่ได้ทำตามที่ปฏิญาณ
แล้วก็ตั้งแต่ฟังวิทยุเมื่อเช้านี้ กรณีที่นบพิตำ กรณีที่อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช นั้นไม่ใช่แห่งเดียว ที่อื่นมีอีกหลายแห่ง ที่จะทำให้บ้านเมืองล่มจม บ้านเมืองไม่สามารถที่จะรอดพ้นจากสถานการณ์ที่ไม่ถูกต้อง ก็ขอให้ท่านไปศึกษาว่าเกี่ยวข้องอย่างไร ท่านเกี่ยวข้องอย่างไร แต่ถ้าท่านไม่เกี่ยวข้อง ท่านลาออกดีกว่า ท่านไม่ได้เป็นผู้ที่ได้รับหน้าที่ ท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ เป็นผู้ที่ต้องทำให้บ้านเมืองดำเนินไป หรือไม่เช่นนั้น ก็ต้องไปปรึกษากับท่านผู้พิพากษาที่จะเข้ามา ผู้พิพากษาศาลฎีกา ท่านผู้นี้ก็เกี่ยวข้องเหมือนกัน ก็ไปปรึกษากัน 4 คน ก็ท่านปรึกษากับผู้พิพากษาศาลฎีกาที่จะเข้ามาใหม่ ปรึกษากับท่าน ก็เป็นจำนวนหลายคนที่มีความรู้ ที่ซื่อสัตย์สุจริต ที่มีหน้าที่ที่จะทำให้บ้านเมืองมีขื่อมีแป ฉะนั้นก็ขอฝาก ก็ต้องไปพูดกับสมาชิกอื่นๆ ด้วย ก็จะขอบใจมาก
เดี๋ยวนี้ยุ่ง เพราะว่าถ้าไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีทางจะปกครองแบบประชาธิปไตย ของเรามีศาลหลายชนิด มากมาย แล้วมีสภาหลายแบบ และทุกแบบนี่จะต้องเข้ากัน ปรองดองกัน และคิดทางที่จะแก้ไขได้ เมื่อพูดเรื่องนี้ ก็ค่อนข้างจะประหลาดหน่อย ที่จะขอร้องอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาก็บอกว่าต้องตั้งมาตรา 7
มาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งขอยืนยันว่า มาตรา 7 นั้น ไม่ได้หมายถึงให้มอบให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจที่จะทำอะไรตามชอบใจ ไม่ใช่ มาตรา 7 นั้น พูดถึงการปกครองแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้บอกว่าให้พระมหากษัตริย์ตัดสินทำได้ทุกอย่าง ถ้าทำเขาจะต้องว่าพระมหากษัตริย์ทำเกินหน้าที่ ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยเกิน ไม่เคยทำเกินหน้าที่ ถ้าทำเกินหน้าที่ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย
อ้างถึงเมื่อครั้งก่อนนี้ เมื่อรัฐบาลของ อาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ตอนนั้นไม่ได้ทำเกินอำนาจของพระมหากษัตริย์ ตอนนั้นมีสภา สภามีอยู่ ประธานสภา รองประธานสภามีอยู่ รองประธานสภาทำหน้าที่ และมีนายกฯ ที่สนองพระบรมราชโองการได้ ตามรัฐธรรมนูญในครั้งนั้น ไม่ได้หมายความว่าที่ทำครั้งนั้นผิดรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ ตอนนั้นไม่ใช่นายกฯ พระราชทาน นายกฯ พระราชทานหมายความว่า ตั้งนายกฯโดยไม่มีกฎเกณฑ์อะไรเลย ตอนนั้นมีกฎเกณฑ์ เมื่อครั้ง อาจารย์สัญญา ได้รับตั้งเป็นนายกฯ เป็นนายกฯ ที่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ คือ รองประธานสภานิติบัญญัติ แล้วก็มีหลายขั้น
ดังนั้นไปทบทวนประวัติศาสตร์หน่อย ท่านก็เป็นผู้ใหญ่ ท่านก็ทราบ มีกฎเกณฑ์ที่รองรับ แล้วก็งานอื่นๆ ก็มี แม้จะ ที่เรียกว่าสภาสนามม้า เขาก็หัวเราะกัน สภาสนามม้า แต่ไม่ผิดกฎหมาย เพราะว่านายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองฯ นายกรัฐมนตรี นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้รับสนองพระบรมราชโองการ ก็สบายใจว่าทำอะไรแบบถูกต้องตามครรลองของรัฐธรรมนูญ แต่ครั้งนี้ก็เขาจะให้ทำอะไรผิด ผิดรัฐธรรมนูญ ใครเป็นคนบอกก็ไม่ทราบนะ แต่ว่าข้าพเจ้าเองก็ทราบว่าผิดฉะนั้นก็ขอให้ช่วยปฏิบัติอะไร คิดอะไร ไม่ให้ผิดกฎเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญ จะทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นสิ่งที่เป็นอุปสรรค และมีความเจริญรุ่งเรืองได้ ขอขอบใจท่าน
ต่อจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา นำผู้พิพากษาประจำศาล สำนักงานศาลยุติธรรม เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ โอกาสนี้ได้มีพระราชดำรัสแก่ผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ความบางตอนมีดังนี้
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แก่คณะผู้พิพากษาศาลฏีกา
เวลานี้มีการเลือกตั้งเพื่อให้มีการปกครองแบบประชาธิปไตย แต่ถ้าไม่มีสภาที่ครบถ้วนก็ไม่เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย ฉะนั้นขอให้ท่านไปปรึกษากับศาลปกครอง ศาลในประเทศ เมื่อก่อนนี้มีศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ ศาลอาญา ศาลสูง เดี๋ยวนี้มีศาลหลายอย่าง เมื่อมีก็ต้องให้ดำเนินการไป ขอให้ไปปรึกษากับศาลอื่น ๆ ด้วย จะทำให้บ้านเมืองปกครองแบบระบอบประชาธิปไตยได้ อย่าไปคอยที่จะให้ขอนายกฯ พระราชทาน เพราะขอนายกฯ พระราชทาน ไม่ได้เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตย ข้าพเจ้ามีความเดือดร้อนมาก ที่เอะอะอะไรก็ขอพระราชทาน นายกฯ พระราชทาน ซึ่งไม่ใช่การปกครองแบบประชาธิปไตย ถ้าไปอ้างมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ เป็นการอ้างที่ผิด มันอ้างไม่ได้ มาตรา 7 ที่ว่าอะไรที่ไม่มีในรัฐธรรมนูญ ก็ให้ปฏิบัติตามประเพณีตามที่เคยทำ ไม่มี เขาอยากจะได้นายกฯ พระราชทานกัน ขอนายกฯ พระราชทาน ไม่ใช่เป็นเรื่องของการปกครองแบบประชาธิปไตย เป็นการปกครองแบบ ขอโทษพูด แบบมั่ว คือแบบไม่มีเหตุมีผล การที่ท่านที่เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา มีสมองที่จะใส่ สามารถที่จะไปคิดวิธีที่จะปฏิบัติ คือการปกครองต้องมีสภาที่ครบถ้วน ถ้าไม่ครบถ้วนก็ไม่ได้ อาจจะหาวิธีที่จะทำสภาที่ไม่ครบถ้วนและทำงาน ก็รู้สึกว่ามั่ว ขอโทษที่ใช้คำว่า มั่ว ไม่ถูก ไม่ทราบ ใครจะทำมั่ว ปกครองประเทศมั่วไม่ได้ คิดอะไร แบบเรียกว่า ทำปัดๆ ไป ให้มันเสร็จๆ ไป ถ้าไม่ได้เขาก็โยนให้พระมหากษัตริย์ทำ ซึ่งยิ่งร้ายกว่าทำมั่วอย่างอื่น เพราะพระมหาษัตรย์ไม่มีหน้าที่ ที่จะไปทำ
ก็เลยจะขอร้องให้ศาลคิด ช่วยกันคิด เดี๋ยวนี้ประชาชนประชาธิปไตยเขาหวังในศาล โดยเฉพาะศาลฎีกา ที่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีเหตุมีผล ท่านมีความรู้ ท่านได้เรียนรู้กฎหมายมาก และพิจารณากฎหมายที่ ศึกษาดีๆ ถ้าไม่ทำตามหลักกฎหมาย หลักการปกครองประเทศชาติไปไม่รอด อย่างที่บอกว่า ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ไม่มีสภา สมาชิกสภาไม่ครบ 500 คน ทำงานไม่ได้ ก็ต้องเป็นปัญหา จะทำอย่างไรให้ทำงานได้ จะมาขอให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้ตัดสิน เขาอาจจะว่ารัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์เป็นคนลงพระปรมาภิไธย ไม่ได้ ก็เดือดร้อน
แต่ว่า ในมาตรา 7 นั้น ไม่ได้บอกว่ามีพระมหากษัตริย์สั่งได้ ไม่มี ลองไปดู มาตรา 7 เขาเขียนว่า มีการบทบัญญัติแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้บอกว่ามีพระมหากษัตริย์มาสั่งการได้ และก็ขอยืนยันว่า ไม่เคยสั่งการอะไรที่ไม่มีกฎเกณฑ์ของบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ กฎหมาย พระราชบัญญัติต่างๆ ทำถูกต้องตามรัฐธรรมนูญทุกอย่าง อย่างที่ขอให้มีพระราชทานนายกฯ ไม่เคยมีข้อนี้ มีนายกแบบสนองพระบรมราชโองการถูกต้องทุกครั้ง มีคนมาบอกว่า พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 ทำตามใจชอบ ไม่เคยทำอะไรตามใจชอบ มีรัฐธรรมนูญหลายฉบับ ทำมาหลายสิบปี ไม่เคยทำอะไรตามใจชอบ ถ้าทำตามใจชอบก็คง บ้านเมืองล่มจมไปนานแล้ว แต่ตอนนี้เขาขอให้ทำตามใจชอบ ถ้าเขาให้ทำตามที่เขาขอ เขาก็จะต้องด่าว่านินทาพระมหากษัตริย์ว่าทำตามใจชอบ ซึ่งไม่ใช่กลัว ถ้าต้องทำก็ต้องทำ แต่ว่ามันไม่ต้องทำ เป็นเรื่องที่ผู้พิพากษาศาลฎีกา เป็นสำคัญที่จะบอกกับศาลอื่น ๆ เรามีศาลอื่นๆ ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลอะไร ไม่มีความ ไม่มีข้อที่จะสำคัญมากกว่าศาลฎีกา ที่จะมีสิทธิที่จะตัดสิน ขอให้ท่านไปพิจารณา ไปปรึกษากับผู้พิพากษาศาลอะไรก็ดี ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ว่าควรจะทำอะไร ก็ต้องรีบทำ ไม่งั้นบ้านเมืองจะต้องล่มจม
เมื่อสักครู่ดูข่าวทีวี มีเรือหลายหมื่นตันโดนพายุจมลงไป 4,000 เมตร ในทะเล เขาก็ต้องดูว่าเรือนั้นจมลงไปอย่างไร เมืองไทยจะจมลงไปลึกกว่า 4,000 เมตร แล้วกู้ไม่ได้ กู้ไม่ขึ้น เพราะฉะนั้นท่านเองก็จะต้องจมลงไป ในมหาสมุทร เดี๋ยวนี้เป็นเวลาที่วิกฤติที่สุดในโลก ฉะนั้นท่านก็มีหน้าที่ที่จะปฏิบัติ ปรึกษากับผู้ที่มีความรู้เพื่อที่จะ เขาเรียก กู้ชาติ เอะอะอะไรก็กู้ชาติ กู้ชาติ กู้ชาติเดี๋ยวนี้มันยังไม่ได้จม แต่ว่าป้องกันไม่ให้จมลงไป จึงต้องเรียกว่ากู้ชาติ แต่ถ้าจมลงไปแล้วก็กู้ชาติไม่ได้ ฉะนั้นก็ไปพิจารณาดูให้ดี ถ้าปรึกษาหารือกันได้จริงๆ ประชาชนทั้งประเทศ และประชาชนทั่วโลกจะอนุโมทนา จะเห็นว่าผู้พิพากษาศาลฎีกาในเมืองไทย เรียกว่ายังมีน้ำยา เป็นคนที่มีความรู้ ตั้งใจที่จะกู้ชาติจริง ๆ ถ้าถึงเวลา ขอขอบใจที่ท่านจะทำหน้าที่อย่างดี ถ้าทำอย่างนี้ได้ บ้านเมืองจะได้รอดพ้น ขอบใจที่พยายามปฏิบัติหน้าที่ ขอบใจแทนประชาชนทั้งประเทศที่มีผู้พิพากษาศาลฎีกาที่เข้มแข็ง สามารถปฏิบัติงานได้ ขอให้มีพลานามัยแข็งแรง เพื่อต่อสู้เพื่อคุณงามความดี เพื่อความยุติธรรมในประเทศ ขอบใจ